ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] My Kris, My Lay

    ลำดับตอนที่ #12 : MKML ตอน 12 ::: My Angel

    • อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 57



    [Fic] My Kris, My Lay
    Fiction by 2nd Admin

     

     

     
     
     


    - ตอนที่ 12 -

     

     

     



    .

     

    .

     

    .

     

     

    แม่ครับ วันนี้วันเกิดผม ผมอายุยี่สิบเอ็ดแล้วนะครับ ขอบคุณคุณแม่มากๆ รักคุณแม่ที่สุดครับ ^^’

     

     

    เลย์ปิดสมุดไดอารี่เล่มเล็กลงแล้ววางมันไว้ที่หัวเตียง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ข้อความอวยพรวันเกิดจากบุคคลอันเป็นที่รักในอีกแผ่นดินหนึ่งถูกส่งเข้ามาตอนที่เขาอยู่ในงานปาร์ตี้วันเกิดตัวเองที่ตึกของบริษัท เลย์อ่านทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะจำได้ขึ้นใจ ก่อนหน้านี้ก็โทรไปหาทุกคนที่บ้านแล้ว แต่ถึงยังไงก็ยังอดคิดถึงวันเกิดในทุกๆ ปีที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกันพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ได้

     

    เพราะคุณแม่บอกมาในข้อความว่า โตแล้ว อย่าขี้แย หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเอ็ดหมาดๆ ถึงต้องรีบปาดน้ำตาหยดแรกที่ไหลเปื้อนแก้มขาว แล้วกลืนความรู้สึกอัดแน่นในอกที่พร้อมจะให้เขาปล่อยโฮออกมาให้กลับลงไป หันมองเตียงข้างๆ เฉินน้อยก็หลับไปแล้ว นึกถึงในงานปาร์ตี้เมื่อตอนหัวค่ำที่มีเพื่อนๆ มากันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งสิบสองชีวิตแล้วก็ยังสนุกไม่หาย นึกถึงหน้าลู่หานที่อยากแกล้งเขาแต่กลับถูกเครื่องจับโกหกช็อตไฟฟ้าใส่เอาเสียเอง เลย์ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาแล้วก็ต้องรีบยกมือขึ้นปิดปาก เฉินเป็นคนหูไวมาก อาจสะดุ้งตื่นได้  

     

    หันมองไปอีกด้านของเตียง ตรงมุมห้อง มีถุงใส่ของใบใหญ่ๆ วางอยู่สองสามใบ นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของของขวัญจากแฟนคลับ เลย์เอากลับมาได้แค่นี้เพราะของส่วนใหญ่พี่ผู้จัดการบอกให้ฝากไว้ที่บริษัทก่อน ที่ได้กลับมาทั้งหมดก็คือจดหมายที่แฟนๆ เขียนให้ ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว เอาจดหมายไปเปิดอ่านที่ห้องนั่งเล่นดีกว่า

     

    ร่างโปร่งบางขยับลุกจากเตียง เดินไปอุ้มถุงใส่ซองจดหมายขึ้นมาแล้วย่องไปที่ประตูอย่างเงียบเชียบที่สุด

     

     

     

     

    คริสเพิ่งจะมาร์คหน้าเสร็จ ช่วงก่อนหน้านี้งานเยอะมากจนแม้แต่เวลาพักผ่อนก็น้อยเต็มที พอไม่ได้ดูแลก็รู้สึกว่าผิวหน้าดูแย่ไปมาก ตอนนี้พอจะมีเวลาบ้างก็เลยอยากจะบำรุงเอาไว้ก่อน จะปล่อยให้กลับไปดำคล้ำเหมือนสมัยเป็นนักบาสเก็ตบอลทีมไฮสคูลก็สงสารแฟนคลับที่ต้องคอยช่วยรีทัชรูปให้

     

    ลู่หานกับซิ่วหมินหลับไปแล้ว เมื่อสิบนาทีก่อนยังนอนคว่ำหน้าตีขากับพื้นเตียง ดูคลิปวิดีโอในไอแพดแล้วส่งเสียงคุยกันเจื้อยแจ้ว  ตอนนี้ก็หลับพับอยู่บนเตียงเดียวกัน คริสหรี่ไฟที่หัวเตียงเพื่อไม่ให้แยงตาคนหลับแล้วเดินไปที่ประตู ตั้งใจจะออกไปหาน้ำดื่มก่อนเข้านอน

     

    แต่แสงไฟจากห้องนั่งเล่นก็ทำให้เขาต้องชะโงกหน้าเข้าไปดู เรียวคิ้วได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่างโปร่งบางของเมนเต้นคนเก่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นพรม ข้างๆ คือกองกระดาษหลากสี

    “ยังไม่นอนอีกเหรอ?” คริสถามพลางเดินเข้าไปหา นั่งลงข้างๆ กัน “แล้วนี่อะไร?”

    เลย์เงยหน้าขึ้นตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    “จดหมายที่ได้มาวันนี้น่ะ อยู่ว่างๆ ก็เลยเอาออกมาอ่าน”

    “แต่นี่มันดึกแล้วนะ นายเหนื่อยมาทั้งวันน่าจะพักก่อน มีเวลาอีกตั้งหลายวัน เดี๋ยวค่อยอ่านก็ได้”

    “ยังไงก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว”

    คริสลอบมองสีหน้าคนตัวเล็ก ริมฝีปากอิ่มยังแย้มยิ้มน้อยๆ แต่ในดวงตาคู่สวยกลับมีน้ำใสเอ่อคลอ

    “คิดถึงบ้านเหรอ?”

    “อื้อ...” คนเก่งของเขาสูดลมหายใจเข้าจนลึกก่อนจะพยักหน้ารัวๆ เลย์ไม่เหมือนกับเขาที่เติบโตในเมืองนอกเมืองนา คนตัวเล็กเกิดและโตมาในครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น วันสำคัญแบบนี้คงนึกถึงทุกคนที่อยู่ทางบ้าน ยิ่งเป็นเด็กติดแม่ขนาดนี้ด้วยแล้ว...  

     

    “อยู่ที่นี่นายมีฉันนะ”

    เลย์พยักหน้าอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นยิ้มให้เขาทั้งที่ปลายจมูกเล็กแดงก่ำ

    “...ฉันรู้”

    คริสอยากจะดึงร่างโปร่งบางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่ถ้าทำอย่างนั้นเลย์ต้องร้องไห้ออกมาแน่ๆ เท่าที่ทำอยู่ก็รู้ว่าน้องกำลังพยายามกลั้นน้ำตาไว้ คริสไม่อยากให้คนตัวเล็กเสียความตั้งใจและคิดว่าตัวเองอ่อนแอ

     

    ในเวลาแบบนี้... คริสยินดีแค่ได้อยู่ข้างๆ แม้ไม่ได้กอด ขอแค่เป็นหลักให้น้องได้ทิ้งตัวยามที่อ่อนล้าก็พอ

     

     

     

    ยี่สิบนาทีต่อมาคริสก็ยังอยู่ในห้องนั่งเล่น นั่งท้าวคางมองคนตัวเล็กละเลียดเปิดซองจดหมายออกทีละซอง อ่านแล้วก็อมยิ้มอยู่คนเดียว ถึงย่อหน้าไหนที่ถูกใจมากเป็นพิเศษก็จะอ่านออกเสียงให้เขาฟัง คริสยิ้มตาม แต่น่าตีนักที่เขาไม่ได้สนใจเนื้อความในจดหมายแม้แต่น้อย มือไม้เล็กๆ ที่หยิบจับกระดาษสีสวยๆ พวกนั้นอย่างทะนุถนอม แล้วยังยิ้มหวานๆ กับตำหนิที่ข้างแก้มขาว ทุกความน่ารักตรงหน้าสะกดทั้งหัวใจและสายตาของเขาไว้หมดแล้ว

     

    “ทำไมถึงชอบอ่านจดหมายนัก?”

    “เพราะตัวหนังสือมันสื่อแทนความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ยังไงล่ะ”

    จู่ๆ ก้อนเนื้อในอกมันก็เต้นรุนแรงราวกับคำพูดใสๆ นั่นไปสะกิดโดนมันเข้า รู้ว่าน้องไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาเองเนี่ยแหละที่ร้อนตัวจนเป็นเอามาก

    “แล้ว... เรื่องอะไรที่ไม่สามารถพูดออกมาได้?”

    “ก็... อ๊ะ”

    เลย์ปล่อยซองจดหมายหลุดมือแล้วจับปลายนิ้วตัวเองไว้ ดูก็รู้ว่าต้องได้แผลแล้วแน่ๆ

    “กระดาษบาดนิ้วใช่มั้ย ไหนดูซิ”

     

    แค่ขอบกระดาษก็คมมากพอจะทำร้ายผิวบางๆ ได้ บาดแผลเล็กๆ แม้จะไม่ลึกมากแต่ก็ทำให้เลือดซิบ ยิ่งเป็นแผลที่อยู่บนร่างกายบอบบางของเลย์ด้วยแล้ว... คริสใช้ริมฝีปากดูดเลือดที่เริ่มไหลซึมออกมาก่อนจะหันไปคว้ากระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะมาพันปลายนิ้วเล็กแล้วกดไว้จนแน่น “เจ็บมั้ย?”

    คนตัวเล็กส่ายหน้า

    “ไม่หรอก แค่แสบๆ”

    “จับไว้ก่อนนะ ฉันจะไปหยิบกล่องยา”   

    “ไม่ต้องก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก แผลนิดเดียวเอง”

    “นิดหน่อยก็อันตรายนะ ระวังหน่อยสิ” พอถูกเสียงเข้มดุเข้าให้ คนตัวเล็กก็เลยต้องปิดปากเงียบ กดปลายนิ้วตัวเองระหว่างรอให้คริสไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมา

     

     

    ใครไม่รู้จะนึกว่าคริสตื่นเต้นเกินไป แต่แผลที่อยู่บนตัวเลย์ไม่เหมือนคนอื่น ถึงรอยบาดแค่นี้จะไม่ลึกพอให้เลือดไหลออกมาได้มาก แต่ถ้าปล่อยไว้เฉยๆ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอันตรายอะไรกับคนตัวบางบ้าง คริสไม่อยากเสี่ยงให้น้องต้องเจ็บป่วย และไม่อยากให้ตัวเองต้องมานั่งเสียใจภายหลังที่ดูแลน้องไม่ดี

     

    แค่น้ำยาล้างแผลหยดลงบนปลายนิ้ว เลย์ก็สะดุ้งทั้งร่าง คริสเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นคนตัวเล็กกำลังกัดปาก น้ำยาล้างแผลมันเย็นๆ คงทำให้แสบ แต่ยาใส่แผลยิ่งแสบกว่า เพราะอย่างนั้นพอมือเล็กเริ่มเกร็งขืนคริสก็เลยต้องรีบเป่าให้

    “แสบใช่มั้ยล่ะ?” คนตัวเล็กพยักหน้ารัวๆ ทำหน้าเหมือนอยากจะขอมือคืนเสียให้ได้ แต่คริสกลับยิ่งจับไว้จนแน่น “ถ้าไม่อยากโดนใส่ยาแสบๆ แบบนี้ก็ระวังหน่อยสิ”

    “อู๋ฟานรู้มั้ย คนที่พูดว่า ระวังหน่อยสิบ่อยที่สุดก็คือนายนะ”

    มือที่กำลังแกะห่อพลาสเตอร์ยาชะงักไปเล็กน้อย คริสหัวเราะได้แค่ในลำคอ

    “น่ารำคาญใช่มั้ยล่ะ”

    “ถ้านายแค่อยากจะบ่นตามหน้าที่ล่ะก็นะ”

    “นายก็รู้ว่าที่ฉันพูดเพราะเป็นห่วง”

     

    ดูท่าว่าจะรู้จริงๆ นั่นแหละ ทำหัวใจคริสหล่นไปถึงตาตุ่มเพราะหลงนึกว่าน้องรำคาญที่ตัวเองขี้บ่น แต่กลับอมยิ้มตอนที่เขาเงยหน้า... ไม่สิ กลั้นยิ้มต่างหาก เม้มปากจนแก้มกลมเป็นลูก ลักยิ้มบุ๋มก็ฟ้องชัดขนาดนี้

     

    “ยิ้มอะไร?”

    “ฮึ~” ยังจะมาส่ายหน้า พอคริสตั้งท่าจะเอาเรื่องต่อ ก็แบมือข้างที่ไม่เจ็บมาตรงหน้าเขา

    “อะไร?”

    “ของขวัญวันเกิดไง เหลือนายคนเดียวแล้วนะ”

    คริสหรี่ตาใส่คนตัวเล็กเจ้าเล่ห์ที่เฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูด แต่อีกฝ่ายกลับตีหน้าซื่อตาใส

    “บอกแล้วว่ายังไม่ได้ซื้อ”

    “นึกว่าพูดเล่นซะอีก ไม่ได้ซื้อจริงๆ เหรอเนี่ย ใจร้ายจัง” ดูซิ ทียังงี้มาทำงอน รู้ตัวบ้างมั้ยว่าทำปากยื่นๆ แบบนี้มันน่าหมั่นเขี้ยวแค่ไหน

      

    พอน้องจะดึงมือกลับคริสก็ยึดไว้ จับมือเล็กทั้งสองข้างให้ประกบกันอยู่ในอุ้งมือของเขาเอง

    “ก็บอกแล้วไงว่าจะให้เลือกเอง”

    “แต่ของขวัญวันเกิดก็ต้องให้ในวันเกิดสิ”

    “งั้นเอางี้” คริสยื่นมือไปยีกลุ่มผมนุ่มเสียจนยุ่งเหยิง พอคนตัวเล็กครางอื้อแล้วดิ้นขืนเขาก็กดหัวกลมๆ ให้ซุกลงกับอก “ให้เป็นคำอวยพรไปก่อนแล้วกันนะ สุขสันต์วันเกิด ขอให้จางอี้ชิงของฉันมีความสุขมากๆ น่ารักมากๆ ขี้อ้อนมากๆ ขี้ลืมน้อยๆ ดื้อน้อยๆ เจ้าเล่ห์น้อยๆ”

    “อื้ออ~ นั่นมันคำอวยพรที่ไหนเล่า”

    “อ้าว ไม่ใช่เหรอ แต่ฉันอยากได้แบบนี้นี่นา”

    “แต่นี่วันเกิดฉันนะ”

    “เดือนหน้าก็วันเกิดฉันเหมือนกัน ขอไว้ล่วงหน้าเลยละกันนะ”

     

    เลย์ยังโอดครวญอยู่กับอกคนตัวโตต่ออีกหลายยก ตัวก็ได้แต่ดิ้นๆ เพราะมือสองข้างยังถูกจับไว้ ความจริงคริสก็ไม่ได้ออกแรงอะไรมากมาย กลัวว่าน้องจะเจ็บ แต่สุดท้ายเมนเต้นคนเก่งก็หมดแรงเลิกดิ้นไปเอง

     

    ที่ปนมากับเสียงหอบคือเสียงหัวเราะใสๆ คริสเองก็ยิ้มกว้างอย่างห้ามไม่อยู่ ตั้งแต่ทลายกำแพงในหัวใจตัวเองไปได้ คริสก็มีความสุขขึ้นมาก เขาไม่ต้องอึดอัดเพราะต้องคอยเก็บซ่อนความรู้สึกตัวเองไว้ ใกล้ชิดน้องได้โดยไม่ต้องคอยพะวงว่าจะไม่เหมาะสม ทุกครั้งที่เลย์ยิ้ม เลย์หัวเราะ คริสนี่แหละที่มีความสุขที่สุด

     

    แต่ยังคงไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ เลย์ก็แค่ติดเขามาแต่ไหนแต่ไร เป็นเด็กขี้อ้อนที่ชอบเข้ามาเกาะแขนหรือซบหลัง ทุกครั้งที่เขากอดหรือจับมือน้องก็ไม่เคยขัดขืน ความสนิทสนมทำให้ความใกล้ชิดทางกายกลายเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้คริสรู้แค่ว่าน้องยังอยากให้เขาอยู่ใกล้ๆ และเขายังไม่เห็นแก่ตัวพอจะเรียกร้องอะไรที่มากกว่า

     

    แค่ขอให้ทุกๆ วันเป็นวันที่มีความสุขอย่างนี้ ...ก็เพียงพอแล้ว  

     

     

    .

     

    .

     

    .
     

     

    อีกสามวันสมาชิกฝั่งเอ็มต้องออกเดินทางไปขึ้นคอนเสิร์ตในเวทีใหญ่ที่ต่างประเทศ แล้วตารางงานของทั้งสิบสองหนุ่มหลังจากนั้นก็จะยาวเหยียดจนอาจไม่มีเวลาให้พัก วันนี้พี่ๆ ผู้จัดการถึงต้องพาหนุ่มๆ ออกมาซื้อของใช้ส่วนตัวเตรียมไว้ก่อน แต่จะให้ยกกันมาทั้งหอก็คงดูแลไม่ไหว

     

    คริส ลู่หาน เทา ซูโฮ ดีโอ และชานยอล  รับหน้าที่ออกมาซื้อของแทนเพื่อนๆ ที่เหลือ ทุกคนมีรายการของที่ต้องซื้อทั้งของตัวเองแล้วก็รูมเมทอยู่แล้ว ก็เลยแยกย้ายกันไปตามล็อคต่างๆ ของซุปเปอร์มาร์เก็ตซึ่งหนุ่มๆ คุ้นเคยกันดีเพราะอยู่ใกล้หอพักมากที่สุด

     

    ซูโฮกับดีโอกำลังยืนมองโฮมเธียเตอร์ชุดใหญ่ที่เพิ่งออกใหม่ ร่างเล็กเจ้าของดวงตากลมโตยืนนิ่งอยู่หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์ในขณะที่ลีดเดอร์ฝั่งเคกำลังอ่านคุณสมบัติของมันให้เขาฟัง แต่สุดท้ายแล้วซูโฮก็บอกว่ามันยังไม่จำเป็น ก่อนจะพาดีโอไปซื้อของสดสำหรับทำอาหารเย็นนี้แทน

     

    ชานยอลอยู่ในแผนกเครื่องสำอาง หนีบโทรศัพท์ไว้ระหว่างแก้มกับคอเพราะสองมือมันไม่ว่าง ต้องถือกล่องเซรั่มบำรุงผิวเปรียบเทียบกันอยู่สามสี่กล่อง เสียงแหลมเล็กที่ดังลอดออกมาจากโทรศัพท์ก็ทำให้ยิ่งลนลาน ก็แบคฮยอนบอกแค่ว่าอยากได้เซรั่ม มันมีตั้งหลายสูตรจะให้ซื้อแบบไหน พอถามมากๆ เจ้าตัวเล็กก็ตวาดเอา หาว่าเป็นรูมเมทภาษาอะไร ไม่เคยสนใจว่าเขาใช้ของแบบไหน ยี่ห้ออะไร โดนบ่นเสียจนหูชากว่าจะได้ยี่ห้อที่ตรงสเปคคนฝากซื้อ นี่ไม่อยากจะคิดเลยว่าพอไปถึงแผนกชุดชั้นในแล้วโทรไปถามไซส์แบคฮยอนอีกรอบ จะโดนด่าจนหูลู่เลยรึเปล่า

     

    ลู่หานกับเทาดูเหมือนจะเก็บแต้มได้ดีที่สุด ใช้เวลาไม่นานก็ซื้อของให้เลย์และซิ่วหมินได้ครบตามรายการ ระหว่างที่รอคนอื่นๆ เทาก็ลากรถเข็นดูของไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ลู่หานเริ่มอู้ ปีนขึ้นไปอยู่บนรถเข็นให้น้องลาก พอผ่านแผนกของใช้ในบ้านก็เห็นร่างสูงของหัวหน้าวงกำลังยืนเลือกของอยู่ ร่างโปร่งที่ชอบรู้ชอบเห็นเป็นนิสัยก็กระโดดลงจากรถเข็นตัวเองแล้ววิ่งเข้าไปเกาะรถเข็นของหล่อหัวหน้าในทันที

     

     

    “ซื้ออะไรน่ะตุ้ยจาง” คริสไม่ได้ตอบ เห็นอยู่แล้วว่าจอมซนกำลังรื้นค้นของในรถเข็นเขาอย่างถือวิสาสะ “...ขนมเยอะแยะเลยนี่

    “เมื่อวานเห็นอี้ชิงบ่นๆ ว่าอยากกิน” คริสตอบเรียบๆ หน้าตาก็ดูเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา น้องอยากกินขนมก็ซื้อไปฝาก แปลกตรงไหน? ลู่หานก็ว่าไม่แปลกนะ ถ้าตุ้ยจางไม่ใช่คนที่บ่นนักหนาว่าขนมพวกนี้มันไร้ประโยชน์ แล้วก็ห้ามไม่ให้อี้ชิงทานเยอะๆ น่ะ คนรองแสนรู้โคลงหัวกลมๆ ก่อนจะตาโตเมื่อเห็นอะไรที่คุ้นตากว่า

    “นี่มันหมอนรองคอ?”

    “อื้ม ก็อันเก่ามันนิ่มมากแล้ว ใช้ไปก็ปวดคอ”

    “ของตุ้ยจาง?”

    “ของอี้ชิง”

    คนน่ารักทำปากเป็นรูปตัวโอ ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ แล้วหลีกทางให้พนักงานของซุปเปอร์ฯ เอาของที่ชิ้นค่อนข้างใหญ่เข้ามาใส่รถเข็น ยืนพิจารณาอยู่ซักพักถึงจะรู้ว่ามันคืออะไร

    “ซื้อเบาะรองหลังไปด้วยเหรอ?”

    “ก็รูมเมทนายชอบขลุกอยู่แต่ในห้องนั่งเล่น นั่งกับพื้นนานๆ เดี๋ยวก็ปวดหลังเอา” อ้อ ซื้อให้เลย์ว่างั้น?

    “น้องฝากซื้อ?”

    ร่างสูงส่ายหน้า ลู่หานเองก็กะอยู่แล้ว อย่างน้อยชายคนโปรดของเขาน่ะเหรอจะฝากซื้อของอะไรแบบนี้ ไม่รู้ด้วยซ้ำมั้งว่าตัวเองต้องใช้ จอมซนชะโงกหน้ามองของในรถเข็นอีกที มีพวกเครื่องประทินผิวแบรนด์นอกอยู่แค่สองสามกล่องซึ่งน่าจะเป็นของเจ้าตัว ที่เหลือน่าจะเป็นของคนที่ไม่ได้ฝากซื้อแทบทั้งนั้น

     

    ให้ตายเหอะตุ้ยจาง เป็นเอามากแล้วนะ!

     

     

     

     

    “อื้อ หมดตัวแล้ว ใช้บัตรเมเนเจอร์ฮยองรูดเอา ฮะๆๆ นายจะเอาอะไรอีกมั้ยล่ะ อ้อ ไม่ต้องถามอี้ชิงฮยองหรอกนะ รายนั้นเค้าได้ของฝากเยอะแล้ว ...อื้ม โอเค               ...ใคร? เจ้าหมีง่วงนั่นน่ะนะ? ไม่เอาอ่ะไม่คุย อย่ากลับดึกกันนักแล้วกัน แค่นี้นะ”

     

    กลับดึก?

     

    “ไปไหนกัน?”

    “ห.. ห๊ะ?!” คริสถามเอาปุบปับแบบนี้ก็เล่นเอาลู่หานเกือบเหวอ เมื่อกี้เขายังเดินเข็นรถเข็นนำหน้าเพราะต้องเอาของไปเก็บที่รถ ไม่ได้คิดจะแอบฟังตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามักเน่ฝั่งเคโทรมาแล้ว แต่บังเอิญมีบางชื่อมันลอยเข้าหู กับอีกชื่อที่พอจะเดาได้ว่าลู่หานหมายถึงใคร แล้วที่ทิ้งท้ายว่าอย่ากลับดึกนั่นหมายความว่ายังไง?

    “ถามว่าไปไหนกัน?”

    “เราเหรอ? ก็กลับหอกันไง”

    “ฉันหมายถึง...!

    “อ๋อออ เซฮุนน่ะเหรอ” พลังหยั่งรู้ระดับลู่หานมีหรือจะไม่รู้ว่าตุ้ยจางหมายถึงใคร ทำมาเป็นตีหน้านิ่งๆ ถามเลยแกล้งตีรวนไปอย่างนั้น “เข้าตึกน่ะ พวกเมนเต้นเค้าไปยืดเส้นยืดสายกัน”

    “อี้ชิงก็ด้วย?”

    “จงอินกับจงแดก็ด้วย” ลู่หานจงใจเน้นน้ำเสียงหนักๆ แล้วรอดูสีหน้าคนที่ถาม ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าชื่อไหนที่ทำให้เรียวคิ้วได้รูปพุ่งชนกันจนหน้าหล่อๆ ดูดุดันขึ้นขนาดนี้ เมื้อกี้ตอนอยู่ในซุปเปอร์ฯ เลือกของให้น้องชายคนโปรดของเขาก็ยังดูปกติดีแท้ๆ จอมซนอมยิ้มเมื่อร่างสูงหันหลังแล้วเดินจ้ำไปที่ลานจอดรถแบบไม่รอใคร เห็นว่าพักนี้อารมณ์ดีขึ้นมากก็นึกว่าจะหมดเรื่องสนุกซะแล้ว แต่ที่ไหนได้... หึหึ

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เวลาที่คนตัวโตๆ เดินวนไปวนมาอย่างงุ่นง่านอยู่ในห้องนี่มัน... น่ารำคาญนะ

     

    ทั้งที่ลู่หานพยายามจดจ่ออยู่กับคลิปแฟนแคมตอนที่พวกเขาอยู่ที่สนามบินครั้งล่าสุดบนหน้าจอไอแพด แต่ภาพเคลื่อนไหวมันกลับรบกวนสายตาและดึงความสนใจเขาได้มากกว่า ในที่สุดก็ทนรำคาญไม่ไหว คนรองของววางไอแพดลงข้างตัวแล้วขยับลุกขึ้นนั่ง เอามือกอดอกไว้

     

    “จะเดินวนไปวนมาทำไม เราเวียนหัว”

    “ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับกันอีก”

    “ใคร?”

    “ก็อี้ชิง...! เอ่อ... ก็สี่คนนั้น ป่านนี้น่าจะกลับกันได้แล้ว”

    คนน่ารักย่นหัวคิ้ว ก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือ

    “แต่นี่มันเพิ่งจะทุ่มเดียวเองนะ ยังหัวค่ำอยู่เลย”

    “น่าจะกลับกันมาได้ตั้งแต่เย็นแล้วด้วยซ้ำ ซ้อมอะไรกันนักหนา อีกสามวันก็จะต้องเดินทางแล้วด้วย”

    “บอกแล้วไงว่าแค่ไปยืดเส้นยืดสาย ไม่แน่ว่าอาจจะเลยไปหาอะไรกินกันต่อก็ได้” ท่าทางยักไหล่ของลู่หานบอกให้รู้ว่าเป็นเรื่องปกติ เมื่อก่อนสมัยเป็นเด็กฝึกหัด เมนเต้นทั้งหมดรวมทั้งตัวเขาเองก็มักจะต้องซ้อมหนักและเลิกดึกกว่าใครๆ บางทีก็มีไถลออกไปหาราเมงอร่อยๆ กินกันบ้าง

     

    คนรองของวงพยายามเข้าใจว่าตุ้ยจางคุ้นเคยกับการมีสมาชิกทุกคนอยู่ในสายตามาตลอดหกเดือนเต็มที่ไปทำงานอยู่ที่จีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องชายคนโปรดของเขา เพิ่งจะรู้สึกได้ว่าพักหลังๆ ตุ้ยจางเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พูดคุยและเล่นหัวกับเลย์ได้อย่างเปิดเผย เพราะอย่างนั้นก็อาจจะนอยด์ๆ ไปบ้างที่เมนเต้นคนเก่งต้องไกลหูไกลตาไปนานๆ แบบนี้

     

    อันที่จริงก็ไม่นานเท่าไหร่นะ ยังไม่ทันข้ามวันเลย

     

    “ฉันจะไปตาม”

    “เฮ้ยเดี๋ยว!

     

     

    “กลับมาแล้วฮะ~” เสียงรายงานตัวจากประตูหน้าดังเจื้อยแจ้วมาพร้อมๆ กับที่คริสเปิดประตูห้องนอนออกมา ร่างสูงโปร่งของมักเน่ฝั่งเคที่ถอดรองเท้าผ้าใบเสร็จแล้วตรงรี่เข้ามาก่อน และแน่นอนว่าพี่ชายคนสนิทก็เดินยิ้มร่าออกไปหา

    “กลับมากันแล้วเหรอ”

    “เสี่ยวลู่~ ซื้ออะไรมาฝากผมมั้ย?”

    “เยอะแยะ มาดูนี่สิ”

    สองพี่น้องจูงมือกันไปนั่งบนพื้นพรมในห้องนั่งเล่น ลู่หานหยิบถุงของที่ซื้อมาวันนี้มารื้อออก ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อยืดกับถุงเท้าแบบที่เซฮุนชอบใส่

     

    คริสละสายตาจากคนทั้งคู่แล้วมองไปยังประตูอีกครั้ง เฉินที่ดูพลังงานลดลงไปมากกำลังเปลี่ยนรองเท้าเป็นสลิปเปอร์อย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเดินไปทิ้งตัวอย่างหมดสภาพอยู่บนโซฟา รออยู่ซักพักก็ดูท่าว่าจะไม่มีใครที่เดินรั้งท้ายตามมาอีก

    “อี้ชิงกับจงอินล่ะ?”

    “อ่า... ยังอยู่ที่ห้องซ้อมฮะ” เฉินลากเสียงตอบเนือยๆ

    “ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน”

    “อี้ชิงฮยองบอกว่าอยากซ้อมต่อ จงอินฮยองก็เลยอยู่เป็นเพื่อน” คราวนี้เป็นเซฮุนที่หันมายิ้มตอบ ก่อนจะหันกลับไปสนใจถุงเท้าคู่ใหม่ที่พี่ชายคนโปรดซื้อมาฝาก

     

     

    ลู่หานได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆ ก่อนที่ร่างสูงจะเดินออกจากห้องรับแขก เขาไม่ได้เรียกหรือถามตอนที่คริสเดินไปที่ประตูแล้วเปลี่ยนไปสวมรองเท้าผ้าใบ รู้อยู่แล้วล่ะว่าจะไปไหน แต่ที่ไม่รู้ก็คือ... ตุ้ยจางเป็นอะไรมากรึเปล่า?

     

    งุ่นง่านผิดปกตินะ อาการเหมือนคนแพ้ท้องเข้าไปทุกวัน

     

     

    .

     

    .

     

    .

     

     

    เสียงเพลงในห้องซ้อมบนชั้นเจ็ดของตึกเอสเอ็มยังดังอย่างต่อเนื่อง จากจังหวะแดนซ์หนักๆ ในช่วงบ่ายจนถึงเย็น ตอนนี้ก็ช้าลงเป็นอาร์แอนด์บี ขาเต้นอีกสองคนกลับไปก่อนแล้ว แต่อีกสองยังอยู่ ร่างโปร่งบางที่ห่างหายจากการเต้นไปหลายวันขยับท่วงท่าไปตามจังหวะเพลงอย่างไม่รู้จักเหนื่อย พอหมุนตัวแล้วมองผ่านกระจกบานใหญ่ตรงหน้าไปเห็นร่างสูงของรุ่นน้องจากอีกฝั่งที่นั่งหลับคอพับอยู่ตรงมุมห้อง เลย์ก็ต้องหยุดสเต็ปตัวเองไว้ก่อน

     

    “จงอิน”

    “......”

    “จงอินน่า.. กลับไปพักผ่อนก่อนมั้ย?”

    “อือ...” เด็กหนุ่มงัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะแรงเขย่าไม่ใช่เพราะเสียงเรียก พอกระพริบเปลือกตาปรับสภาพจนชินแล้วมองไปรอบๆ ถึงนึกขึ้นได้ว่ายังอยู่ในห้องซ้อม เมื่อครู่ยังนั่งมองรุ่นพี่ตัวขาวที่มาปลุกเขาเนี่ยแหละซ้อมเต้นอยู่เลย เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    “จงอิน กลับหอก่อนก็ได้นะ”

    “แล้วฮยองล่ะ?”

    “ฉันอยู่ได้ อีกเดี๋ยวก็กลับแล้ว”

    ไคมองนาฬิกาข้อมือแล้วใช้มือข้างเดียวกันยีผมตัวเองจนยุ่ง หน้าตาก็งัวเงีย ผมก็ยุ่งเหยิง แต่กระนั้นความหล่อก็ยังไม่ลดลงแม้แต่น้อย ที่น่ารักกว่านั้นคือเด็กหนุ่มไม่ยอมปล่อยให้รุ่นพี่ตัวขาวต้องอยู่คนเดียว

    “งั้นผมนอนเฝ้าตรงนี้” ไคหันไปคว้ากระเป๋าข้างตัวมาตบปุๆ ตั้งใจจะใช้หนุนต่างหมอน “ฮยองอยากกลับเมื่อไหร่ก็เรียกละกัน”

    “จงอินน่า...”

     

    “กลับไปก่อนเถอะจงอิน” เสียงทุ้มเข้มดังขึ้นพร้อมๆ กับร่างสูงที่เพิ่งก้าวเข้ามาในห้องซ้อม คริสมองหน้าสมาชิกคนสำคัญที่ทำตาโตใส่เขาเพียงแว่บเดียวก่อนจะหันไปบอกรุ่นน้องผิวเข้ม “ทางนี้เป็นหน้าที่ฉันเอง”

    “ค่อยยังชั่ว งั้นผมไปนะครับ” พอมีคนมารับหน้าที่แทนเด็กหนุ่มก็ลุกพรวด สะพายกระเป๋าอย่างกระตือรือร้น ฝากฝังรุ่นพี่ตัวขาวไว้กับคนที่น่าจะดูแลได้ดีที่สุดแล้วก็เดินอาดๆ ออกจากห้องซ้อมไป

     

     

    พอเหลือกันสองคน คริสก็ทำสีหน้าอ่อนใจใส่เมนเต้นคนเก่ง คว้าข้อมือเล็กขึ้นมาชี้ให้ดูหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลของเจ้าตัว

    “สองทุ่มแล้วนะ”

    คนตัวเล็กยิ้มแหยสู้สายตาตำหนิ สีหน้ารู้สึกผิดยังไม่ทำให้ร่างสูงใจอ่อนได้เท่า เมื่อเลย์พลิกข้อมือมาเป็นฝ่ายเกาะแขนเขาไว้แทน ขยับเข้ามาใกล้แล้วซุกหน้าผากไว้กับต้นแขนของเขาอย่างออดอ้อน

    “อยู่เฉยๆ ที่หอมันน่าเบื่อนี่นา ฉันแค่อยากออกกำลังกายบ้าง”

    คริสทอดถอนลมหายใจ เลย์นิสัยไม่ดีเลย รู้บ้างมั้ยว่าอ้อนแบบนี้ไม่ใช่แค่ทำให้เขาใจอ่อน แต่มันอ่อนจะแทบจะละลายเอาได้ง่ายๆ มือใหญ่ลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มที่ชื้นเหงื่อเบาๆ

    “ไม่ได้ว่าอะไร แต่แบบนี้เค้าเรียกว่าหักโหมนะ เดี๋ยวก็ปวดหลังอีก”

    “ฉันเต้นเบาๆ จังหวะช้าๆ”

    “เชื่อได้มั้ยเนี่ย”

    คนตัวเล็กรีบเงยหน้าขึ้นมาพยักรัวๆ ก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างช้าๆ

     

    เสียงเพลงที่คุ้นหูยังดังอย่างต่อเนื่องจากเครื่องเสียงที่ถูกเปิดทิ้งไว้ตรงมุมห้อง เพลงบัลลาดที่คริสได้ฟังเป็นร้อยๆ รอบก็ยังไม่รู้สึกว่ามันเพราะเท่าวันนี้ เมื่อร่างโปร่งบางเขย่งปลายเท้าแล้วหมุนตัว เลย์ยิ้มให้เขา วาดแขนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะเริ่มขยับร่างกายตามท่วงทำนองของเพลง

     

    ทัศนียภาพรอบกายเริ่มพร่าเลือนเมื่อดวงตาคมจับจ้องเพียงความงดงามตรงหน้า ทุกสเต็ปที่ร่างสูงจำได้ขึ้นใจ ถูกคนตัวเล็กปรับเปลี่ยนตามใจตัวเอง ความอ่อนโยนทว่าเข้มแข็งในเนื้อเพลงราวกับจะแทรกซึมอยู่ในทุกท่วงท่าของเมนเต้นคนเก่ง เลย์เต้นวนไปรอบๆ ตัวเขา ยิ้มและชายตาเหมือนจะสะกดให้คริสต้องคอยมองตาม เลย์จะวาดแขนขยับขาอย่างไร หัวใจของคริสก็เต้นกระหน่ำไม่แพ้กัน

     

     

     

    ...ฉันคือผู้ที่ขี่สายลมอันอ่อนโยนไปยังโลกของเธอ

     

    ...คือคนที่อยู่เคียงข้าง ...ให้เธอเฝ้าถามว่าฉันมาจากไหน

     

    ฉันได้แต่ยิ้ม แล้วบอกกับเธอว่ามันคือความลับ

     

    ขอแค่ได้เดินด้วยกันอย่างนี้เรื่อยไป

     

    ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน... ก็เหมือนดั่งสวรรค์

     

     

    หมุนตัวเพียงครึ่งรอบ ร่างขาวบางก็กลับมาอยู่ตรงหน้า เมนเต้นคนเก่งยิ้มอวดจนแก้มบุ๋ม

    “เห็นมั้ยล่ะ?”

    คริสเองก็ยิ้ม

    “เห็นสิ” แตะหลังมือที่ข้างขมับขาวเพื่อซับเหงื่อให้ “เหงื่อออกเยอะขนาดนี้ ออกกำลังกายหนักเกินไปแน่ๆ”

    คนถูกรู้ทันโอดครวญหมายจะค้าน พอคริสทำเป็นไม่สนใจก็แกล้งเช็ดเหงื่อกับแขนเสื้อของเขา คริสดึงแขนออกแล้วย่นคิ้วใส่ คนตัวเล็กก็เช็ดเหงื่อกับอกเสื้อเขาแทน

     

    “ไม่มีเหงื่อแล้วเห็นมั้ย”

     

    คริสหัวเราะปนเสียงถอนหายใจ ระอาล่ะก็ใช่ แต่เอ็นดูเสียมากกว่า เลย์น่ะดื้อตาใส แต่สุดท้ายก็จะมาอ้อนๆ ให้เขาต้องยิ้มจนบ่นต่อไม่ถูก เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม เพียงแค่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาเกือบจะต้องสูญเสียความน่ารักตรงหน้าเพราะความกังวลและคิดมากของตัวเอง หัวใจของคริสก็บีบรัดจนเจ็บแน่นไปทั้งอก

     

    เขายอมปล่อยวางทุกอย่างนับแต่วันที่ได้รู้หัวใจตัวเองแน่ชัด รอยยิ้มหวานของคนตรงหน้าคือสิ่งที่คริสอยากปกป้อง เขามีความสุขเพียงแค่ได้เฝ้ามอง และคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เมื่อคริสยอมฟังเสียงหัวใจตัวเอง โลกทั้งใบของเขาก็อวลอุ่นความหอมหวานอีกครั้ง

     

    แม้ว่าในซอกหลืบที่ลึกที่สุดของความคิด ความกลัวกำลังเฝ้าวนเวียนจะแทรกซึมเข้ามาทำให้จิตใจของคริสสั่นไหวจนอาจจะก้าวถอยหลังไปได้ทุกเมื่อ แต่ความสุขที่เขามีในตอนนี้มันมากพอจะถมทับมันไว้ ร่างสูงสาบานกับตัวเองแล้ว ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ...เขาจะไม่มีวันปล่อยมือคู่เล็กนี้ไปอีก

     

     

     

    คนที่เป็นเหมือนเทวดาผู้คอยปกป้อง คุ้มครองเธอจากสายลมแรง

     

    คนที่จะอยู่เคียงข้าง ...แม้ว่าใครๆ จะหันหลังให้

     

    และหากวันใดเธอเหนื่อยล้าเกินกำลัง ยังมีคนที่คอยซับน้ำตา

     

    ถ้าฉันเป็นคนๆ นั้นของเธอได้...

     

    ...ไม่ว่าที่ใด ...ก็จะเป็นเหมือนดั่งสวรรค์

     

     

     

    คริสสูดลมหายใจเข้าจนลึก เดินไปปิดเครื่องเสียงแล้วคว้ากระเป๋าเป้ของคนตัวเล็กที่อยู่ตรงมุมห้องมา ส่งให้เจ้าตัวสะพายหลังไว้

     

    “กลับบ้านกันนะ พี่ซื้อของมาฝากเยอะแยะ”  

    “มีของขวัญวันเกิดด้วยรึเปล่า?”

    “ไม่มี”

    “โหยยย อะไรอ่ะ”

    “ก็บอกว่าให้ไปเลือกเองไง”

    “แล้วเมื่อไหร่จะว่างพาไป อีกไม่กี่วันก็ต้องเดินทางอีก”

    “ไม่นานหรอก”

    “ไม่นานน่ะเมื่อไหร่”

    “ก็ไม่นานไง”

    “ก็เมื่อไหร่ล่ะ”

    คริสเอาแต่หัวเราะไม่ยอมตอบ คนตัวเล็กก็ทำปากยื่นอย่างงอนๆ พอร่างสูงออกเดินไปก่อนก็รีบตามไปเกาะแขน เขย่าเซ้าซี้จะขอคำตอบให้ได้ แต่เสียงเล็กๆ ที่ตัดพ้อกับท่าทางออดอ้อนเอาแต่ใจแบบนั้นไม่เคยทำให้คริสรำคาญ เลย์ควรจะรู้ว่ายิ่งทำตัวน่ารักแค่ไหน เขาก็ยิ่งอยากแกล้งเท่านั้น

     

    ลู่หานพูดถูก ตอนนี้คริส... เป็นเอามากแล้วจริงๆ

     

     

     

    ...ฉันตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว

     

    ไม่อาจเปลี่ยนใจได้อีก ...เหมือนว่าปีกของฉันได้ถูกเด็ดออก

     

    แต่แม้จะต้องสูญเสียชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ...ฉันก็ยังมีความสุข

     

    ...เพราะมีเธอที่เป็นนิรันดร์ของหัวใจ

     

    My Eternally Love...

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     

     

     

    TBC.

     
     

     

     

    คนรอง: จบตอนนนนน ^^

    ขออภัยในความล่าช้า จิ้มได้วันละสองสามย่อหน้าแต่ก็อยากจะลงให้จบ - -’

     

    มีใครรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันไม่ต่อเนื่องหรือวนไปวนมามั่งมั้ย? > <” คือเค้าเขียนตามความองค์ คนอ่านคงงงว่าตกลงสถานะสองคนนี้คืออะไร ฮะๆๆ

     

    ปอลอ เพลงที่เลย์เต้นอวดพี่คริสนั่นคือ Angel นะคะ ขอเป็นเวอร์ชั่นเกาหลี เซริจหาคำแปลแล้วเอามาปรับแต่งให้มันเข้ากับฟิคมากขึ้น ความหมายอาจจะไม่ตรงเป๊ะๆ แต่อ่านเอาความสลวยเป็นกับแกล้มประกอบฟิคละกันนะคะ

    (ขอขอบคุณทุกคำแปลเอาไว้ ณ ที่นี้) ^^


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×