ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #12 : เขียวหวานน่ารัก ~ 12 ~

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 59



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 12

    Fiction by 2nd Admin 

    .

    .

    .


    “ที่ว่าเป็นแฟนกัน ฉันตกลง”

     

    อี้ชิงไม่รู้ตัวเลยว่าเอาชีวิตรอดออกมาจากวงล้อมในตอนนั้นได้ยังไง สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือรอยยิ้มบนมุมปากได้รูป กับเสียงกรีดร้องจากรอบด้านจนหูอื้อไปหมด เขาอ้าปากค้างแต่ไม่มีคำใดที่เล็ดรอด ประกายตาวาววับที่จับจ้องทำเอาเนื้อตัวร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด ความคิดที่ว่าคงโดนแกล้งอีกแล้วแน่ๆ ทำให้นึกอยากเสกตัวเองให้หายตัวจากตรงนั้น แต่ที่ทำได้ก็เพียงยกสองมือขึ้นปิดหูแล้วสั่นหน้า ก่อนที่มือหนึ่งจะถูกคริสดึงไปจับแล้วกึ่งจูงกึ่งลากให้ออกมาจากโรงยิมฯด้วยกัน

    เขายังไม่หายมึนเลยตอนที่จู่ๆ หมวกกันน็อคสีฟ้าก็ถูกสวมลงบนหัวแล้วได้ยินเสียงทุ้มสั่งให้ปีนขึ้นไปซ้อนท้ายบนมอเตอร์ไซค์คันโต อี้ชิงจำได้ว่าเขาสั่นหน้าในทีแรก แต่ถูกอีกฝ่ายขู่สำทับจนต้องยอมตามในที่สุด มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รถจอดอยู่หน้าหอพักตัวเองแล้ว อีกฝ่ายพูดอะไรซักอย่างตอนที่เขาส่งหมวกกันน็อคคืนให้ แต่ในหูของอี้ชิงยังมีแต่เสียงวิ้งๆ จนฟังอะไรไม่รู้เรื่องทั้งนั้น ยืนรอและมองตามกระทั่งร่างสูงใหญ่หายลับไปพร้อมมอเตอร์ไซค์คันแพงแล้วก็เดินเข้าห้องมานั่งอึนบนเตียงต่อ จนลู่หานกลับมาแล้วนั่นล่ะ พอเล่าเรื่องให้ฟังเท่าที่พอจะเรียบเรียงได้ เพื่อนสนิทเขาก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงแล้วส่งเสียงเฮลั่นเหมือนเชียร์บอลก็ไม่ปาน

    “เยส! ต้องแบบนี้สิ รุ่นพี่นี่เท่ชะมัด!

    “โอ้ยย เบาๆ หน่อยเถอะเสี่ยวลู่ เดี๋ยวห้องข้างๆ ก็ว่าเอาหรอก” อี้ชิงยกสองมือขึ้นปิดหูอย่างสุดทน ยังอื้อไม่หายก็มาถูกเพื่อนซ้ำเข้าให้อีก

    “แหะๆ โทษที ก็มันดีใจนี่นา เพื่อนมีแฟนทั้งที”

    “ไม่ใช่แฟน แค่ตัวหลอก โอเคนะ?”

    “แหม มโนบ้างอะไรบ้างก็ได้ นั่นรุ่นพี่คริสคนดังเชียวนะ หล่อ รวย เก่ง เพอร์เฟ็คออกขนาดนั้น อีกอย่าง ถึงยังไงตัวก็รับปากทำตามแผนของจงแดไปแล้วด้วย จะจริงหรือหลอกตัวก็ต้องเป็นแฟนรุ่นพี่อยู่ดีนั่นแหละ” ยังมาทำลอยหน้าลอยตาแล้วยิ้มใส่ อี้ชิงเลยย่นจมูกเข้าให้ ดึงหมอนมากอดแล้วขยับก้นนั่งหันหลังให้เพื่อนอย่างงอนๆ

    “แต่เรายังไม่ได้พูดอะไรซักคำ หมอนั่นโมเมเอาเองชัดๆ”

    “หรือตัวอยากสารภาพรักก่อนแล้วเป็นฝ่ายขอรุ่นพี่เป็นแฟนซะเองล่ะ?”

    “เสี่ยวลู่!

    “แต่เราว่านะ ที่จู่ๆ รุ่นพี่เค้าก็รีบรวบรัดจับตัวเป็นแฟนก็มีอยู่สองเหตุผล” สายตามองค้อนนั้นดูจะไม่เป็นผลเลย ลู่หานยังคลานตามมานั่งจ้องหน้าได้ ยกนิ้วขึ้นนับให้เห็น” หนึ่งคือเค้าหึงตัวกับรุ่นพี่กัปตัน สองคืออยากปกป้องตัวจากพวกแฟนคลับ”

    “หรือสามคือตั้งใจจะแกล้ง” อี้ชิงช่วยงัดอีกนิ้วที่เพื่อนกำไว้ขึ้นมาให้ “หมอนั่นเห็นอยู่แล้วว่าพวกสาวๆ น่ะน่ากลัวแค่ไหน ยังจะกล้าพูดแบบนั้น อยากให้เราโดนรุมล่ะไม่ว่า”

    ว่าเสร็จก็กระแทกลมหายใจฮึดฮัดแล้วเมินหน้าหนีเพื่อนอย่างเคืองๆ เสี่ยวลู่ไม่ได้อยู่ด้วยตอนนั้น ไม่รู้หรอกว่าตอนที่พวกเธอกรูกันเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาน่ะน่ากลัวแค่ไหน หมอนั่นดีแต่ว่าเขา ไม่เห็นจะช่วยอะไรเลย เสี่ยวลู่ก็ยังไปเข้าข้างอยู่ได้ แต่เพื่อนรักกลับเงียบไปไม่มีการโต้เถียง ผิดวิสัยจนอี้ชิงต้องปรายตากลับมามอง เห็นอีกฝ่ายหรี่ตาจ้องเขาเหมือนจับผิดก็เริ่มระแวง

    “...อะไร?”

    “ตัวเขินอยู่ใช่ป่ะ?”

    “ข.. เขินอะไรเล่า?!

    “ไม่ต้องมาปฏิเสธเลย แก้มแดงขนาดนี้ๆๆ”

    “โอ๊ยยย เจ็บนะ” อี้ชิงโอดแล้วย่นคอหนีเมื่อถูกเพื่อนเอามือปั่นแก้ม

    “เขินก็บอกมาเหอะน่า ไม่มีใครว่าหรอก”

    “เราไม่ได้...!

    “โอ๊ะ จริงสิ จงแดรู้เรื่องหรือยัง?” อี้ชิงสั่นหน้าทั้งที่ยังบึ้งอยู่ พูดไม่ทันจบก็ทำมาเป็นเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น แต่ก็พอดีกับที่เพลงประจำทีมฟุตบอลทีมโปรดดังขึ้น ลู่หานล้วงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูหน้าจอแล้วยิ้มสนุก ก่อนจะกดปุ่มรับสาย “เหวยๆ จงแด ตายยากชะมัด มีอะไรหรือเปล่า? ...อี้ชิงเหรอ อยู่กับฉันนี่แหละ แป๊บนึงนะ”  

    ลู่หานขยับตัวมานั่งเบียดอี้ชิงแล้วกดปุ่มที่หน้าจอเพื่อให้เสียงออกลำโพง ก่อนจะบอกกับคู่สนทนาที่อยู่ในสาย

    “ว่ามาเลย”

    [ไง อี้ชิง ไฟแรงเหมือนกันนะเนี่ย แค่สามวันก็จีบรุ่นพี่ติดแล้ว]

    “แค่นี้นะ”

    “เย้ย!” กวางจอมซนรีบดึงมือหนีเมื่อจู่ๆ เพื่อนก็ทำท่าจะกดปุ่มตัดสาย เขาเปลี่ยนเป็นนั่งหันข้างเอาหลังพิงแขนเพื่อนไว้แทน แต่ยังยกโทรศัพท์ขึ้นสูงเพื่อให้อี้ชิงได้ยินด้วย “นายรู้ได้ยังไงอ่ะ?”

    [บอกแล้วไง ฉันมีเครือข่ายอยู่ทั่วมหาลัยนั่นแหละ แต่ที่จริงก็อยากฟังจากปากพวกนายเองมากกว่านะ นึกว่าชมรมเราจะเป็นที่แรกที่ได้กระจายข่าวนี้เสียอีก ตอนนี้กลายเป็นว่ามีรูปอี้ชิงกับรุ่นพี่แล้วก็แคปชั่นโอดครวญของบรรดาแฟนคลับว่อนเน็ตไปหมดเลย]

    “ว่าไงนะ?!

    “จริงดิ? มีแฮชแท็กมั้ย ฉันจะตามไปส่อง”

    “เสี่ยวลู่!

    [แต่ของฉันเด็ดกว่านะ สมาชิกอิสระส่งรูปมาให้ มีตั้งแต่ตอนที่นายกับรุ่นพี่เดินจูงมือกันออกมาจากโรงยิมฯ แล้วก็ตอนที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยกัน โรแมนติกสุดๆ อยากดูมั้ยล่ะ?]

    “อยากสิ”

    “ไม่!

    [ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่าฉันจะอัพโหลดแล้วก็โพสต์ลงเวบเพจแล้วกันนะ พวกนายเข้าไปดูหรืออยากจะเซฟเก็บก็ตามใจเลย]

    “เจ๋ง!” มีแค่คนเดียวแหละที่สนุกไปด้วย อี้ชิงมองค้อนจนเพื่อนยิ้มเจื่อนแล้วถึงได้อ้อนเสียงเอากับคนในสาย

    “จงแด ฉันว่าเรายกเลิกแผนนี้เถอะ มันไม่เวิร์คหรอก ทุกวันนี้ฉันก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว แฟนคลับหมอนั่นก็ไม่ลดลงเลย ขืนให้ฉันไปเป็นแฟนหลอกๆ อีก ฉันว่าเรื่องมันจะยิ่งวุ่นวายกว่าเดิมนะ”

    [นายยังไม่ทันได้เริ่มสถานะแฟนรุ่นพี่อย่างจริงจังเลย รู้ได้ยังไงว่าไม่เวิร์ค?]

    “แต่ว่า...”

    [เอาอย่างนี้นะ นายลองทำตามแผนไปก่อน ถ้ามันไม่เวิร์คจริงๆ หรือเห็นท่าว่าจะไม่ปลอดภัย ฉันจะยกเลิก โอเคมั้ย?]

    “ฉันมีทางเลือกอื่นด้วยรึไง” ที่จริงก็ไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว จนถึงตอนนี้จงแดก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนใจง่ายๆ อี้ชิงได้แต่โอดครวญแล้วล้มตัวลงนอนพร้อมหมอนปิดหน้าอย่างสิ้นหวัง

    ลู่หานเอื้อมมือไปตบหมอนปุๆ ทั้งที่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้ม กดปุ่มปิดลำโพงก่อนจะเลื่อนโทรศัพท์มาแนบหูแล้วบอกลาคนที่ปลายสาย

    “อ้อ แล้วก็ รุ่นพี่เค้าตกลงยอมลงแข่งให้กีฬามหาลัยแล้วนะ เผื่อนายยังไม่รู้ อี้ชิงถ่ายรูปมาด้วย เดี๋ยวส่งไปให้ แค่นี้นะ บาย” เก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วก็ล้มตัวลงนอนข้างๆ เพื่อน ชำเลืองตามองคนที่ยังเอาหมอนปิดหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ

    “จะมีแฟนแล้วน้า~

    “บอกแล้วไงว่าไม่ใช่แฟน” อู้อี้อยู่ใต้หมอนนั่น ลู่หานส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วพลิกตัวตะแคงหันหน้าเข้าหา ค่อยดึงหมอนใบใหญ่ที่ปกปิดใบหน้าน่ารักออก

    “นี่ ถามหน่อยสิ ตอนที่รุ่นพี่พูดเรื่องนั้น ตัวรู้สึกยังไง?” อี้ชิงเอียงคอน้อยๆ คิ้วบางขมวดมุ่นก่อนจะตีหน้ามุ่ย

    “...ปวดหัว”

    “ปวดหัวเหรอ?”

    “อือ เสียงกรี๊ดกร๊าดแล้วก็...”

    “ใจเต้นแรงใช่ป่ะ? ได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ ในหู?”

    “ก็... ทำนองนั้น” ลู่หานยิ้มสนุก ลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นเต้น

    “ชิงชิง ตัวกำลังมีความรักนะ”

    “มันไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย” คนขี้เถียงลุกขึ้นนั่งบ้าง และเพื่อนสนิทก็ยื่นหน้าเข้าไปจนใกล้

    “มันใช่แบบนั้นเลยล่ะ ตอนเรามีความรักก็เป็นแบบนั้น ใจเต้นแรง สมองเบลอๆ มองเห็นแค่เค้าอยู่ในสายตา แค่เค้ายิ้มให้หรือพูดอะไรด้วยหน่อย หน้าก็ร้อนหูก็อื้อไปหมดจนได้ยินแต่เสียงวิ้งๆ” แค่พูดก็คิดถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มกับดวงตายิบหยีของรุ่นน้องผู้น่ารักแล้ว ลู่หานยิ้มเพ้อ หารู้ไม่ว่ากำลังถูกเพื่อนหรี่ตามองอย่างจับผิด

    “เดี๋ยวก่อนนะ เราเห็นตัวเต๊าะสาวไปเรื่อยแต่ไม่เคยจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตน แล้วนี่ไปแอบมีความรักตอนไหน?” คนหลุดปากทำตาโตเพราะเพิ่งนึกได้ คิดจะบ่ายเบี่ยงก็ไม่ทันเมื่อเจอนิ้วเล็กจิ้มจึ้กเข้าที่ปลายจมูก “หรือว่าเป็นตอนนี้? ตัวแอบมีแฟนไม่บอกเราใช่มั้ย?”

    กวางน้อยสั่นหัวดิก

    “เปล่าซักหน่อย คือ ยังไม่ใช่แฟนกันน่ะ”

    “แต่มีความรัก!

    “ก็... ก็ใช่ คือ ก็เกือบใช่”

    “แล้วคิดจะบอกกันเมื่อไหร่?!

    “เรายังไม่แน่ใจไง”

    “แต่ตัวมีความรักอ่ะ”

    “แค่ข้างเดียวเอง ฝ่ายนั้นคิดยังไงยังไม่รู้เลย” น้ำเสียงอ่อยๆ บวกกับอาการคอตกอีกเล็กน้อยผิดวิสัยคนขี้เล่น คนใจอ่อนก็เริ่มเห็นใจเพื่อนสนิทขึ้นมา

    “อยากเล่าให้ฟังมั้ย?” ลู่หานยิ้มบาง เอียงหัวลงซบกับไหล่เพื่อนอย่างออดอ้อน

    “อยากสิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ ขอเราลองดูซักตั้งก่อน”

    “ก็ได้ อกหักเมื่อไหร่แล้วค่อยมาบอกแล้วกัน”

    “โหย อย่าแช่งสิ ใจฟ่อหมด” คนตัวขาวหัวเราะเบาๆ ลู่หานชำเลืองตามองรอยบุ๋มที่ข้างแก้มขาวแล้วก็ยิ้มตาม “แต่ตอนนี้เราอยากลุ้นคู่ของตัวกับรุ่นพี่คนดังมากกว่า”

    ยิ้มน่ารักหุบลงทันที

    “ไม่มีอะไรให้ลุ้นทั้งนั้นแหละ”

    “น่าตื่นเต้นดีออก ดูรุ่นพี่เค้าถือตัวออกขนาดนั้น อยากรู้จังว่าเวลามีแฟนแล้วจะเป็นยังไง” อี้ชิงยักไหล่แล้วเบ้ปาก ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

    “ก็คงสนุกกับการหาเรื่องปั่นหัวเล่นทุกวันล่ะมั้ง เราคงกลายเป็นตัวตลกประจำตัวของหมอนั่นแน่ๆ”

    เพื่อนสนิทอมยิ้มโดยไม่พูดอะไร อี้ชิงไม่ชอบความวุ่นวายมาแต่ไหนแต่ไร จะอคติกับรุ่นพี่ที่มีคนรุมล้อมตลอดเวลาขนาดนี้ก็ไม่แปลก แต่ฝ่ายนั้นคงไม่คิดเหมือนกัน เขาว่าเขามองออกนะ ความรู้สึกมันรุนแรงออกขนาดนั้น ดวงตาคมคู่นั้นไม่เคยคิดจะปิดบังความรู้สึกเลย แต่บอกไปอี้ชิงก็คงไม่เชื่อหรอก อยากรู้เหมือนกันว่ารุ่นพี่คนดังจะจัดการกับแฟนดื้อๆ คนนี้ด้วยวิธีใดกันนะ

     




    เช้าวันต่อมา ตอนที่อี้ชิงกับลู่หานเดินลงบันไดมาด้วยกัน บรรยากาศที่ชั้นล่างของหอพักดูวุ่นวายและอึกทึกผิดปกติกว่าทุกวัน เสียงพูดคุยและอาการตื่นเต้นของนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ส่งต่อและกระจายออกเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วราวกับอุปทานหมู่นั้นดูไม่ธรรมดาเลย อี้ชิงนึกระแวงในทีแรกเพราะคิดว่าอาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เขายังไม่ได้เปิดเข้าไปดูในเวบเพจเลย จงแดโพสต์อะไรเกินจริงไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจเขาเลยก็ค่อยโล่งใจหน่อย คนอื่นๆ พากันวิ่งไปที่ประตูหน้าของหอพัก คงเป็นเรื่องอื่นกระมัง เขามองหน้ากันกับลู่หานแล้วต่างคนต่างก็ยักไหล่เมื่อไม่อาจคาดเดาถึงสาเหตุ แต่เมื่อเดินมาถึงหน้าหอพักถึงได้เข้าใจ

    ที่นอกประตูรั้วนั่น ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อหนังสีดำสวมทับเครื่องแบบนักศึกษา ยืนกอดอกพิงสะโพกอยู่กับรถมอเตอร์ไซค์คันแพงด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก อาจเป็นเพราะนึกรำคาญสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง โชคดีว่าที่นี่หอพักชาย เพราะหากว่ามีสาวๆ อยู่ด้วยคงได้กรูกันเข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังอย่างที่อี้ชิงเห็นจนชินตาเป็นแน่ ก็ขนาดว่าสีหน้ามึนตึงอยู่อย่างนี้ยังดูดีจนอดนึกหมั่นไส้ไม่ได้ ใครคนนั้นถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะหันมาเห็นว่าเขายืนอยู่ เรียวคิ้วได้รูปเหนือกรอบแว่นกันแดดเลิกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วก้าวตรงมา ลู่หานใช้ศอกสะกิดเบาๆ แล้วกระซิบบอกเหมือนกลัวว่าเขาจะไม่รู้จักคนที่กำลังเดินมาหา

    “รุ่นพี่คริสนี่นา” เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว แต่ที่ไม่รู้คือจู่ๆ พ่อคนดังก็มาโผล่ที่หน้าหอพักเขาแต่เช้าแบบนี้ได้ยังไง

    “ม.. มาทำไมเนี่ย?” เสียงที่ถามนั้นเบาแสนเบาราวกับพึมพัม ทว่าคนที่เดินมาถึงตัวแล้วยังได้ยิน ริมฝีปากได้รู้นั้นคล้ายจะคลี่ยิ้ม แต่ติดเพราะสีหน้าที่ยังมึนตึงเลยดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังแยกเขี้ยวขู่เขาเสียมากกว่า

    “ฉันบอกว่าจะมารับ ลืมไปแล้วหรือไง?”

    “มารับ? บอกเมื่อไหร่? ตอนไหน?” ได้ยินเสียงถอนหายใจครืดคราด ก่อนที่คนดังจะตอบคำถามแบบเน้นยำทีละคำ

    “เมื่อวาน ตอนที่มาส่ง ตรงนี้เนี่ยแหละ” อี้ชิงมองตามเรียวนิ้วยาวที่ชี้ลงพื้นแล้วก็นึกขึ้นได้ เมื่อวานคริสพูดอะไรซักอย่างที่เขาไม่ทันได้ฟัง คงเป็นเรื่องนี้สินะ “ฉันบอกว่าจะมารับตอนเจ็ดโมง แต่นี่มันจะเจ็ดโมงครึ่งแล้ว”

    “ก็... ปกติฉันก็ออกเวลานี้ แล้วนายจะมารับทำไม ฉันไปเองทุกวัน”

    “ก่อนหน้านี้นายโสด แต่ตอนนี้มีแฟนแล้ว แฟนมารับ ผิดด้วยหรือไง?” ฟังพูดเข้า! ทำเป็นกอดอกตีหน้านิ่ง ไม่ได้ยินเสียงฮือฮาของคนพวกนั้นหรือยังไงกัน อี้ชิงนิ่วหน้าด้วยนึกเคือง หงุดหงิดจนตัวร้อนหน้าร้อนไปหมด หมอนี่จะหน้าทนปล่อยให้คนมองก็ช่าง แต่เขาไม่เอาด้วยแน่

    “ฉันจะเดินไปเอง!” ไม่ไปด้วยหรอก อยากมารับเองทำไม เขาไม่ได้รับนัดด้วยเสียหน่อย เดินหนีเอาดื้อๆ แบบนี้แหละ

    “คิดว่ารับมือไหวก็เชิญ”

    “หมายความว่าไง?” แต่มาได้ไกลไม่กี่ก้าวก็ต้องหันกลับ เช่นเดียวกับร่างสูงที่หันหลังมาพร้อมรอยยิ้มร้าย

    “แฟนคลับฉันคงอยากรู้ว่านายเข้ามาขอฉันเป็นแฟนได้ยังไง ป่านนี้คงตั้งป้อมรออยู่ เตรียมคำตอบไว้ให้ดีก็แล้วกัน”

    “ว.. ว่าไงนะ?!” เรียวคิ้วได้รูปนั้นยกขึ้นน้อยๆ คริสเดินผ่านเขากลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะวาดขาขึ้นคร่อมอย่างใจเย็น เหมือนรู้ว่าอี้ชิงจะตามไปดึงแขนเสื้อไว้ได้ทันก่อนที่หมวกกันน็อคจะสวมลงบนศีรษะ “ด.. เดี๋ยวก่อน!

    คนตัวเล็กกัดปากด้วยสีหน้าบึ้งตึง มองเบาะหนังท้ายรถสลับกับใบหน้าหล่อที่ยังเปื้อนยิ้มร้ายด้วยความอึดอัด รู้ทั้งรู้ว่าโดนขู่ แต่แค่นึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานก็ยังขยาด เขาไม่อยากตกไปอยู่ท่ามกลางวงล้อมของแฟนคลับพวกนั้นอีก แต่จะให้ยอมตามคนที่ชอบมัดมือชกคนอื่นแบบนี้ง่ายๆ หัวดื้อๆ ของเขาก็บอกว่าทำไม่ได้เช่นกัน และดูเหมือนเพื่อนสนิทจะรู้ทันถึงได้แทรกขึ้น

    “แหม รุ่นพี่อุตส่าห์มารับทั้งที ตัวก็อย่าทำเขินไปหน่อยเลยน่า” เอามือดันหลังเขาแล้วทำเป็นหัวเราะเสียงดังจนอี้ชิงย่นหัวคิ้วใส่ เขาสั่นหน้าแต่ลู่หานกระซิบซ้ำ “ไปเถอะน่า คนมองกันใหญ่แล้วนะ”

    พอชำเลืองตามองไปรอบๆ ถึงได้เห็น คนอื่นๆ ในหอพักยังคอยสังเกตุการณ์กันอยู่เลย บางคนถึงกับยกมือถือขึ้นมาแอบถ่ายเลยด้วยซ้ำ อยู่ตรงนี้นานๆ คงได้มีประเด็นใหม่ แบบว่าเด็กปีสองหน้าจืดทำเป็นเล่นตัวไม่ยอมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รุ่นพี่สุดหล่อที่อุตส่าห์มารับ อะไรทำนองนี้ว่อนไปทั่วอินเตอร์เน็ตเป็นแน่ รู้ไปถึงหูพวกแฟนคลับ เขาคงโดนรุมขย้ำเอาอีก เสี่ยวลู่พูดถูก รีบออกไปจากตรงนี้ดีกว่า อี้ชิงกระตุกแขนเสื้อเพื่อนอย่างร้อนรน

    “ไปด้วยกันสิเสี่ยวลู่”

    “เฮ่ย ซ้อนสาม ผิดกฏหมายนา”

    “แต่ว่า...!

    “ไปเถอะน่า อย่าให้รุ่นพี่เค้ารอนาน เป็นแฟนกันวันแรกก็อย่าทำตัวแสนงอนนักเลย”

    “เสี่ยวลู่!” จอมซนขยิบตาให้รู้ว่าประโยคหลังนั้นแกล้งพูด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อี้ชิงใจชื้นขึ้นเลย เขามองไปรอบๆ และคนอื่นๆ ก็เริ่มจะส่งเสียงซุบซิบกันดังขึ้น ถึงได้รีบรับหมวกกันน็อคสีฟ้ามาทันทีที่เจ้าของรถยื่นให้ ยังไม่ทันสวมมันลงบนหัว เพื่อนรักก็ดันหลังเขาเบาๆ

    “เจอกันที่มหาลัยนะ ผมฝากเพื่อนด้วยนะฮะรุ่นพี่” ดันอีกทีจนหน้าเขาแทบจะชนกับอกกว้าง อี้ชิงจิ๊จ๊ะแล้วหันไปมองค้อนใส่เพื่อนที่ถอยไปยืนยิ้มแล้วโบกมือบ๊ายบายอยู่ห่างๆ ก่อนที่มือใหญ่จะประกบเข้าที่สองข้างแก้มบังคับให้หันหน้ามองตรง หมวกกันน็อคในมือถูกแย่งไปแล้วยัดเยียดสวมให้ลงบนหัวโดยเจ้าของมัน คริสชี้นิ้วโป้งข้ามไหล่ไปข้างหลังแล้วเร่งซ้ำ

    “เร็วหน่อย เดี๋ยวก็สายหรอก” แฟนหลอกๆ ได้แต่ย่นจมูกใส่ ก่อนจะยอมปีนขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายที่เบาะหลัง เพราะยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อี้ชิงถึงได้แกล้งดึงหลังเสื้อหนังแล้วขยำเสียเต็มมือด้วยความหมั่นไส้ หารู้ไม่ว่าเจ้าของเสื้อไม่สะเทือนซ้ำยังกระตุกยิ้ม

    คริสปิดกระจกหน้าของหมวกกันน็อคลงแล้วแล้วสตาร์ทเครื่องรถ แค่บิดคันเร่งมอเตอร์ไซค์คันแพงก็ออกตัวอย่างแรง ร่างเล็กที่ถูกแรงกระชากจนแทบจะหงายเงิบถึงกับต้องปล่อยมือจากเสื้อหนังแล้วเปลี่ยนเป็นโอบเอวหนาไว้แทน ไม่มีใครได้ยินเสียงหัวเราะของคนขับและเสียงโวยวายอู้อี้ของคนที่เอาหน้าซุกแผ่นหลังกว้างไว้แน่ๆ

     

    สมาชิกดีเด่นย่อมไม่ปล่อยให้ชมรมตัวเองต้องตกข่าว ลู่หานยังโบกมือบ๊ายบายกระทั่งท้ายรถมอเตอร์ไซค์คันโตห่างออกไปไกลแล้วถึงได้เอามือข้างที่ตั้งกล้องมือถือไว้ลง ช็อตเด็ดๆ ทั้งนั้นที่ถ่ายไว้ ต้องรีบส่งให้จงแดก่อนที่ใครจะชิงโพสต์ไปก่อน ก้มหน้าก้มตากับมือถืออยู่เพียงครู่ภารกิจก็เรียบร้อย ลู่หานพรูลมหายใจทั้งรอยยิ้ม ส่งเพื่อนใส่พานถวายให้รุ่นพี่คนดังไปแล้ว งานชมรมก็ไม่มีขาดตกบกพร่อง คราวนี้ก็ได้เวลาหาความสุขใส่ตัวเองบ้างล่ะ

    สไลด์หน้าจอมือถือด้วยปลายนิ้วอยู่สองสามปื้ดก็ได้เบอร์ที่ต้องการ เขากดปุ่มโทรออกแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู เพียงอึดใจก็ได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย ลู่หานยิ้มกว้างด้วยหัวใจที่เต้นระรัว ปั้นเสียงหวานกรอกตอบระหว่างที่เดินออกจากตรงนั้น

    “น้องฮุน~ จะไปเรียนหรือยัง? ...เพิ่งออกจากหอเหรอ พอดีเลย นี่ก็เพิ่งออกมา งั้นเดี๋ยวไปรับนะ”

     

    .

    .

    .

     

    อี้ชิงได้ยินเสียงเรียกและเงยหน้าขึ้นจากเสื้อหนังอีกทีก็ตอนที่รถติดสัญญาณไฟตรงสี่แยก คริสเปิดกระจกหน้าของหมวกกันน็อคขึ้นแล้วหันเพียงเสี้ยวหน้ามาถาม

    “กินอะไรมาหรือยัง?”

    “ยัง”

    “ไม่กินข้าวเช้าหรือไง?”

    “กินแต่นมกับขนมปัง ปกติก็ซื้อเอาแถวนี้” เพราะต้องรีบไปเรียนทุกวัน ไม่มีเวลาแวะกินข้าวที่ไหน เขากับลู่หานก็เลยชอบซื้อของกินง่ายๆ แล้วเดินไปกินไปจนถึงมหาวิทยาลัย แต่วันนี้คงทำแบบนั้นไม่ได้ ช่างเถอะ “เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินที่แคนทีนก็ได้”

    คนตัวสูงไม่พูดอะไรต่อ แต่รอจนสัญญาณไฟเขียวแล้วกลับเลี้ยวรถไปอีกทางซึ่งอี้ชิงจำได้ว่าไม่ใช่ทางไปมหาวิทยาลัยแน่ๆ จะว่าทางลัดก็ไม่ใช่ ดูจะอ้อมกว่าทางที่เขาเดินทุกวันด้วยซ้ำ แต่ถามเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ตอบ สะกิดก็แล้ว ตีไหล่ก็แล้ว ทำเป็นไม่ได้ยินเสียอย่างนั้น จากที่แค่สงสัยก็เริ่มกระวนกระวายเพราะกลัวจะเข้าเรียนไม่ทัน หมอนี่คิดจะแกล้งอะไรเขาอีกกันแน่

    กระทั่งไม่กี่นาทีหลังจากนั้นรถถึงเลี้ยวเข้าจอดในซอยแห่งหนึ่ง อี้ชิงมองไปรอบๆ ก็รู้สึกไม่คุ้นตากับร้านรวงแถวนั้นเลยซักนิด ดูเหมือนจะอยู่ใกล้ตลาด แต่ผู้คนไม่พลุกพล่านเท่าแถวหอพักเขา หมอนี่พาเขาออกนอกเส้นทางทำไมกัน ประสบการณ์การซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คนดังคราวก่อนอดทำให้นึกระแวงไม่ได้เลย

    “จอดที่นี่ทำไม? อย่าบอกนะว่าจะโดดเรียนอีกแล้วน่ะ”

    คริสถอดหมวกกันน็อคแล้วใช้มือเสยผมลวกๆ ตอนที่ตอบ

    “ข้าวต้มร้านนี้อร่อย” อี้ชิงมองตามปลายนิ้วโป้งที่ชี้ไป ทางซ้ายมือนั่นเป็นเพิงร้านไม่เล็กนัก มองเข้าไปก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่เกือบเต็ม

    “แล้วไง?”

    “ฉันหิว”

    “ห.. ห๊ะ?!” พอร่างสูงขยับตัวเขาก็รีบปีนลงจากรถก่อน ยืนงงๆ มองซ้ายมองขวาอยู่ครู่หนึ่งจนหันมาเห็นว่าอีกฝ่ายยื่นมือมาทำท่าจะถอดหมวกกันน็อคให้ก็เลยต้องรีบถอดเอง “จะกินที่นี่เหรอ?”

    “หรือนายอยากไปกินที่แคนทีน?” อี้ชิงสั่นหน้า ก่อนหน้านี้เขาก็พูดไปอย่างนั้น แต่ใครจะรู้ พวกแฟนคลับอาจจะรอขย้ำเขาอยู่ที่นั่นก็ได้

    “ฉันแค่... เราจะไปเรียนสายนะ”

    “กลัวอะไร ฉันมีมอเตอร์ไซค์ นายไม่ได้เดินไปเรียนเหมือนทุกวันเสียหน่อย” คริสเก็บหมวกใบเล็กไว้ใต้เบาะเรียบร้อยก็เดินนำเข้าไปในร้านซึ่งความสูงของเขาทำให้ต้องก้มหัวเล็กน้อยตอนที่ผ่านเพิงหน้าร้านเข้าไป เลือกนั่งโต๊ะแรกที่เห็นว่าว่างอยู่แล้วสั่งอาหารทันทีที่เด็กในร้านเดินมารับออเดอร์

    “ข้าวต้มหมูสองชาม ไม่ใส่พริกไทยชามนึง”

    “ไม่คิดจะถามกันเลยหรือไง?”

    “ที่นี่ขายแต่ข้าวต้ม นายอยากกินอะไรล่ะ?” มัดมือชกกันขนาดนี้ยังมีหน้ามาย้อนถาม เขานั่งซ้อนท้ายมาด้วยแท้ๆ คิดจะแวะที่ไหนก็ไม่บอกกันซักคำ แต่หมั่นไส้แค่ไหนอี้ชิงก็ทำได้แค่แอบแยกเขี้ยวใส่ไม่ให้เห็น

    ไม่อยากมองหน้าคนที่นั่งตรงกันข้ามก็เลื่อนสายมองสำรวจทั่วร้านไปเรื่อยเปื่อย แค่ร้านข้าวต้มข้างทางธรรมดา ดูไม่มีอะไรพิเศษ ถึงลูกค้าจะเยอะมากแต่สภาพร้านก็ดูไม่หรูหราสมฐานะคุณชายคนดังอยู่ดี หมอนี่รู้จักร้านแบบนี้ได้ยังไงกันนะ คราวก่อนโดดเรียนไปเหมาร้านวิวสวยๆ สั่งอาหารโรงแรมแพงๆ มากิน ไม่อยากเชื่อว่าจะเข้าร้านเพิงข้างทางแบบนี้เป็นด้วย

    รออยู่ไม่นาน เด็กในร้านคนเดิมก็ยกข้าวต้มสองชามมาเสิร์ฟให้ อี้ชิงชะโงกมองชามข้าวต้มตรงหน้าที่มีหมูชิ้นโตลอยอยู่ แค่เห็นก็ทำเอาน้ำลายสอ อยากลองชิมดูซักคำ แต่เพียงแค่หยิบช้อนยังไม่ทันได้ตัก คริสก็กลับเลื่อนมันไปสลับกับชามของตัวเอง

    “หื้อ ทำไมอ่ะ? ชามนั้นหมูชิ้นใหญ่กว่าตั้งเยอะ”

    “แต่ชามนี้ใส่พริกไทยนะ เดี๋ยวก็กินไปเผ็ดไปหรอก อย่าตะกละนักสิ”

    “ใครจะไปรู้ล่ะ” คนตัวเล็กบู้ปาก บอกกันดีๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องว่าเลย มองชามข้าวต้มของตัวเองแล้วก็ทำจมูกฟุดฟิด กลิ่นน้ำซุปหอมน่ากินจนต้องก้มลงไปสูดกลิ่นใกล้ๆ เขาเคยรู้มาว่าที่เกาหลีมีร้านข้าวต้มหมูอยู่ไม่กี่ร้าน แต่ไม่ยักรู้ว่ามีอยู่ใกล้หอพักด้วย จะอร่อยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ชำเลืองมองคนตรงหน้าที่หยิบช้อนตักข้าวต้มคำแรกเข้าปากไปแล้วก็เริ่มลงมือบ้าง ใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาแล้วเอาริมฝีปากแตะๆ เพียงเท่านั้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาตินุ่มลิ้นจนต้องตักข้าวขึ้นมาชิมบ้าง ตามด้วยเนื้อหมูอีกชิ้นหนึ่ง รสชาติของมันทำให้อี้ชิงตาโตด้วยความตื่นเต้น

    “ฮื้ม อร่อยอ่ะ” ข้าวสวยที่ต้มกำลังพอดี กับเนื้อหมูตุ๋นเปื่อยๆ นี่เข้ากันมาก เคี้ยวไม่กี่คำก็แทบละลายในปาก หอมกลิ่นน้ำต้มกระดูกอีก แค่คำเดียวยังรู้สึกฟินขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่ลูกค้าเยอะ ร้านนี้ต้องเป็นร้านดังแน่ๆ เขาอยู่แถวนี้มาเป็นปีไม่ยักเคยรู้ “นายเพิ่งมาเกาหลี รู้จักร้านนี้ได้ยังไง?”

    “ไม่รู้หรอก ฉันเดาเอา”

    “จริงอ่ะ?” คริสไม่ตอบแต่กลับตักเนื้อหมูติดกระดูกชิ้นใหญ่จากชามตัวเองมาใส่ให้ ทำเอาคนกินเก่งยิ้มกว้างอย่างชอบใจ “ขอบใจนะ”

    “ฉันไม่อยากกินเยอะ กลัวอ้วน นายอ้วนอยู่แล้วคงไม่เป็นไร”

    “ว่าไงนะ?!” คนตัวสูงไม่พูดซ้ำ ตักข้าวต้มเข้าปากแล้วเคี้ยวเอาๆ แต่อี้ชิงรู้ว่านั่นก็แค่กลบเกลื่อนรอยยิ้มเยาะเขาเท่านั้นแหละ “ฉันไม่ได้อ้วนซักหน่อย!

     

    คนอะไรปากร้ายชะมัด!

     

    เพียงสิบห้านาที ชามข้าวต้มทั้งสองใบก็ว่างเปล่า อี้ชิงหยิบแก้วน้ำใกล้มือยกขึ้นดื่มจนหมดก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ในสภาพผึ่งพุง

    “ฮ้า อร่อยชะมัดเลย ไม่ได้กินข้าวเช้าจนพุงกางแบบนี้มานานแล้ว คราวหน้าพาเสี่ยวลู่มากินด้วยดีกว่า” คริสที่เพิ่งวางแก้วน้ำปรายตามามองเขาก่อนจะบอกเสียงเรียบ

    “จะมาอีกก็ได้ แต่ต้องมากับฉัน”

    “ทำไมอ่ะ?”

    “มีแฟนแล้วก็ต้องมากับแฟนสิ จะมากับคนอื่นได้ยังไง”

    คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากค้างตอนที่อีกฝ่ายวางเงินไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้น กว่าจะรู้ตัวว่าต้องลุกตามคริสก็เดินออกไปจนเกือบจะถึงมอเตอร์ไซค์แล้ว

    “นี่ ไม่รู้สึกแปลกๆ บ้างหรือไง?”

    “เรื่อง?”

    “ก็ ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย”

    “แล้วไง?”

    “นายไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องที่เราเป็นแฟนกันก็ได้”

    คริสปิดเบาะท้ายรถแล้วหันกลับมามองเขา หมวกกันน็อคสีฟ้าอยู่ในมือแล้วแต่ยังไม่ยอมส่งให้

    “แล้วนายล่ะ?”

    “ฉันทำไม?”

    “นายรู้สึกยังไง?” อี้ชิงมุ่ยหน้า เห็นอยู่แล้วว่าเขาโดนอะไรบ้าง ยังมีหน้ามาถามกันได้

    “ฉันก็... อึดอัด แล้วก็ซวยด้วย ไม่มีอะไรดีเลยซักอย่าง”

    “เป็นแฟนฉันมันแย่ขนาดนั้นเลย?”

    “ก็ถ้าไม่นับรวมโจ๊กอร่อยๆ ที่นายเลี้ยงฉันวันนี้ล่ะก็นะ” คริสพยักหน้าช้าๆ เดินเข้ามาใกล้แล้วสวมหมวกกันน็อคให้เขาอย่างที่เคยทำ อี้ชิงคงชินเสียแล้วถึงไม่ได้ถอยหนี

    “งั้นฉันจะชดเชยให้ด้วยการพาไปเที่ยวบ่อยๆ แล้วก็เลี้ยงของอร่อยๆ แล้วกัน”

    “ฉันดูเห็นแก่กินขนาดนั้นเลยหรือไง?” คนตัวสูงหัวเราะเบาๆ เดินกลับไปที่รถแล้วสวมหมวกกันน็อคของตัวเองก่อนจะวาดขาขึ้นคร่อม รอจนอี้ชิงปีนขึ้นนั่งซ้อนท้ายแล้วถึงได้ดึงมือเล็กมาโอบเอวตัวเองไว้

    “เรียกไว้ให้ชินเถอะ เพราะถึงยังไงหลังจากนี้ นายก็ต้องเป็นแฟนฉันอยู่ดี”

     




      

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

    คนรอง: เต๊าะเนียนๆ กันไป ^^

    เลาอยากเขียนให้ถึงกลางเรื่องเร็วๆ จัง มีเรื่องจะเล่าเยอะแยะเลยอ่ะ โปรดติดตาม ><

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×