ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KrisLay] เขียวหวานน่ารัก~♡

    ลำดับตอนที่ #10 : เขียวหวานน่ารัก ~ 10 ~

    • อัปเดตล่าสุด 14 เม.ย. 59



    [Fic] เขียวหวานน่ารัก~

    ตอนที่ 10

    Fiction by 2nd Admin

     


     


    ความเร็วของมอเตอร์ไซค์สีดำแดงคันใหญ่ลดลงกระทั่งจอดสนิทที่หน้าหอพักชายเมื่อคนตัวเล็กที่ซ้อนท้ายเอามือตีไหล่หนาเบาๆ เพื่อเป็นสัญญาณ คริสดับเครื่องยนต์แล้วเอียงตัวรถเล็กน้อยเพื่อให้คนขาสั้นปีนลงไม่ลำบากนัก

    “ขอบใจนะ” อี้ชิงบอกเมื่อลงมายืนบนพื้นแล้ว คริสจึงเปิดกระจกหน้าของหมวกกันน็อคขึ้นมาเพื่อถามกลับ

    “สำหรับ?”

    “ที่เลี้ยงข้าว แล้วก็ที่มาส่ง”

    “แล้วที่ฉันพานายเที่ยวล่ะ?”

    “อันนั้นไม่นับสิ ก็นายตั้งใจจะโดดเรียนไปเที่ยวอยู่แล้ว ฉันแค่ติดร่างแหไปด้วยเฉยๆ” คริสส่ายหน้าช้าๆ แล้วยิ้มขัน แบบนี้ก็มีด้วย “ไปนะ”

    “เดี๋ยวก่อน” อี้ชิงหยุดเดินและหันกลับมาเมื่ออีกฝ่ายเรียกไว้ เขามองคริสที่วาดขาลงจากรถแล้วเดินมาหาด้วยความสงสัย ย่นคอหนีน้อยๆ เมื่อจู่ๆ มือใหญ่ก็ยื่นออกมา กระทั่งล็อคที่ใต้คางนั้นถูกปลด

    “โอ๊ะ ลืมไปเลย” ยิ้มแหะๆ แล้วยกมือขึ้นตั้งใจจะถอดหมวกกันน็อคเอง แต่กลับถูกสองมือที่ใหญ่กว่าแย่งหน้าที่นั้น

    คริสถอดหมวกกันน็อคให้เขาอย่างเบามือ ก่อนจะลูบมือลงบนเส้นผมที่ยุ่งเหยิงเหมือนจะช่วยจัดทรงให้ ความไม่คุ้นชินทำให้อี้ชิงย่นคอหนีอย่างนึกระแวง ทว่าไม่อาจก้าวถอย นอกจากลู่หานแล้ว เขาก็ไม่ชอบให้ใครมาเล่นผม คริสไม่ได้ขออนุญาตเขาด้วยซ้ำ อี้ชิงน่าจะโกรธและต่อว่าไปบ้าง ปากอิ่มแดงขยับน้อยๆ แต่แล้วก็ถูกกลืนกลับ ตาคู่คมนั้นจับจ้องอย่างเงียบเชียบราวกับจะบังคับให้เขาทำได้แค่มองตอบ อี้ชิงไม่มีโอกาสได้เห็นสีหน้าภายใต้หมวกกันน็อคใบใหญ่นั้นเลย แต่ทำไม... ถึงรู้สึก...

     

    ...ตึกตัก ...ตึกตัก

     

    “นายน่ะ...”

    “.....?”

    มือใหญ่ค่อยเลื่อนลงมาที่ข้างแก้มแล้วนิ่งค้าง อี้ชิงสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วอุ่นที่ไล้เบาๆ จนรู้สึกร้อนวาบไปทั้งหน้า

    “นาย... หัวโตจัง”

    “ว.. ว่าไงนะ?!” คริสหัวเราะเสียงลั่นแล้วหันหลัง เดินกลับไปที่รถในทันที อี้ชิงได้แต่กระทืบเท้าปัง “คนนิสัยไม่ดี! ล้อปมด้อยคนอื่นแบบนี้ได้ยังไงกัน!

    เขาโกรธจนหูอื้อไปหมด ขยับไม้ขยับมืออยากจะเดินเข้าไปข่วนหน้าหล่อๆ ให้หายโมโหนัก!

    “พรุ่งนี้ฉันมีเรียนแค่ช่วงเช้า”

    “มาบอกทำไมเล่า!” หลับหูหลับตาตวาดเสียงกลับ ใครอยากรู้กัน!

    “ว่าจะไปเล่นบาส ไม่อยากไปแคนทีน ซื้อข้าวกล่องให้หน่อยสิ”

    “เรื่องอะไรมาใช้ฉัน!

    “วันนี้ฉันเลี้ยงข้าวนายนะ ไม่คิดจะเลี้ยงคืนบ้างรึไง” คนตัวเล็กกัดปากแน่น ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าให้กินฟรีแล้วต้องมาทวงบุญคุณกันทีหลังแบบนี้ เขายอมหิวตายดีกว่า!

    “จะกินอะไร?!

    “อะไรก็ได้ นายกินอะไรฉันก็กินอย่างนั้น”

    “เกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”

    “นายก็ซื้อมาเผื่อตัวเองด้วยเลยสิ จะเดินไปเดินมาเป็นเด็กส่งข้าวรึไง” อี้ชิงจิ๊ปาก จะใช้คนอื่นทั้งที พูดจาดีๆ หน่อยก็ไม่ได้

    คริสวาดขาขึ้นคร่อมรถแล้วสตาร์ทเครื่อง ไม่ลืมที่จะหันมายิ้มแล้วบอกกับคนที่ยังหน้าบึ้งไม่เลิก

    “พรุ่งนี้เจอกันนะเขียวหวาน”

    ปิดประจกหน้าหมวกกันน็อคลงแล้วบิดคันเร่งให้รถคันใหญ่เคลื่อนตัว อี้ชิงยังมองตามกระทั่งเสียงกระหึ่มของเครื่องยนต์นั้นไกลออกไป ย่นจมูกตามหลังทั้งที่รู้ว่าคนตัวสูงคงไม่เห็น เขายกสองมือขึ้นประกบแก้มตัวเองที่ยังรู้สึกร้อนผ่าวไม่หาย ตั้งแต่ขึ้นมัธยมปลายก็ไม่มีใครล้อเรื่องหัวโตๆ ของเขาอีก หมอนี่กล้าดียังไงนะ! อุตส่าห์คิดว่าจะคุยกันดีๆ ได้อยู่แล้วเชียว

    เห็นทีว่าจางอี้ชิงกับคริสคนดังคงญาติดีกันไม่ได้แล้วล่ะ

    “ฮึ่ย คอยดูเถอะ ฉันเอาคืนนายแน่!

     

     

    เพราะไม่ได้เข้าเรียนช่วงบ่าย ถึงจะออกไปเถลไถลอยู่จนเย็นย่ำแต่ก็ยังกลับถึงห้องเร็วกว่าทุกวันอยู่ดี โทรหาลู่หานเพื่อฝากซื้ออาหารเย็นเสร็จแล้วอี้ชิงก็อุ้มกล้องตัวเก่งมานั่งรอที่โซฟาในห้องกลาง ตั้งใจจะเปิดดูรูปที่ถ่ายมาเป็นร้อยในวันนี้ เพิ่งจะตอนนี้เองที่รู้สึกเมื่อยเท้านิดหน่อยจนต้องเอามือบีบนวดตัวเอง เพราะได้เห็นวิวสวยๆ ก็เลยเดินได้ไกลจนลืมเหนื่อยเลย นอกจากสวนสาธารณะยออึยโดแล้ว อี้ชิงยังเดินเล่นไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าอาคารรัฐสภา ซึ่งตลอดทั้งแนวนั้นเป็นจุดชมวิวซากุระที่ร่มรื่นมากๆ น่าเสียดายที่ไม่ใช่เดือนเมษายน ก็เลยได้เห็นแต่ใบเขียวๆ แต่เขาหมายใจไว้แล้วว่าจะต้องกลับไปอีกครั้งเมื่อดอกซากุระบาน ต้องมาถ่ายรูปทางเดินที่เต็มไปด้วยซากุระบานสะพรั่งสองข้างทางให้ได้ คริสยังขับรถพาเขาข้ามไปฝั่งตะวันออกซึ่งมีวิวตึกสูงๆ กับสวนโล่งกว้าง ตรงนี้ไม่ค่อยมีมุมให้ถ่ายรูปเท่าไหร่ แต่อากาศก็ดี สดชื่นมากๆ ถือว่าเมื่อยแต่ก็คุ้ม

     

    โอเคแหละ ขอบคุณคนที่โดดเรียนพาไปเที่ยวก็ได้ แต่ไม่โทรไปบอกหรอกนะ บอกในใจก็พอ

     

    อี้ชิงยังกดปุ่มไล่ดูรูปไปเรื่อยๆ บางส่วนในนั้นเป็นรูปคริสที่เขาตั้งใจถ่ายตอนที่อีกฝ่ายไม่ได้มองกล้อง ใช่ว่าหมอนั่นไม่รู้ แต่ดูเหมือนจะปล่อยให้เขาถ่ายไปเรื่อยๆ มากกว่า สิ่งที่อี้ชิงคิดคือต้องมีซักรูปที่พ่อคนดังเผลอทำอะไรหลุดๆ ให้กล้องได้จับภาพไว้เป็นหลักฐาน หรืออย่างน้อยบังเอิญได้มุมขี้เหร่มาบ้างก็ยังดี แต่ที่เห็นอยู่นี่... ไม่มีเลย ไม่ว่าจะมุมไหนๆ หมอนี่ก็ดูดีไม่มีที่ติ คนบ้าอะไรจะเพอร์เฟคได้ขนาดนี้ อี้ชิงบุ้ยปากอย่างเซ็งๆ แบบนี้ก็ไม่มีรูปตลกๆ น่าขายหน้าไว้เอาคืนคริสเลยน่ะสิ

    เปิดรูปย้อนไปมาจนกลับมาที่รูปตัวเองซึ่งถูกถ่ายที่คาเฟ่ อี้ชิงคลิกดูทีละรูปอย่างช้าๆ เขาไม่ได้หลงตัวเองแต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ารูปพวกนี้ไม่ขี้เหร่เลย แสงแดดตกกระทบที่ใบหน้าเขาทำให้รูปดูสว่าง คนกดถ่ายคงไม่ตั้งใจหรอก ก็แค่นั่งอยู่กับที่ ไม่ได้เล็งหามุมเหมาะๆ อะไรเลยด้วยซ้ำ จะว่าไปแล้ว บางทีอาจจะไม่ใช่เพราะหมอนั่นดูดีเกินไปก็ได้นะ คงเป็นเพราะกล้องตัวนี้ ถ่ายอะไรก็ออกมาดูดีไปหมดเสียมากกว่า

    “ใครถ่ายให้น่ะ?” ลู่หานกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้ อี้ชิงมัวแต่ก้มหน้าเช็ครูปเลยไม่ทันได้มอง รู้ตัวอีกทีเพื่อนสนิทก็ย่องมายืนอยู่ข้างหลังและกำลังแอบดูรูปในกล้องเขา

    “ก็ คนแถวนั้น”

                “คนแถวนั้นนี่คือคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์พาตัวไปเที่ยวป่ะ? น่าอิจฉาจังน้า~ แอบโดดเรียนไปเดทกันสองต่อสองเนี่ย”

    “ไม่ได้โดดซักหน่อย แล้วก็ไม่ใช่เดทด้วย เราถูกลักพาตัวไปต่างหาก” หลอกให้ขึ้นรถไปด้วยกันโดยไม่บอกว่าจะพาไปไหน เขาเป็นฝ่ายเสียหายนะเนี่ย

    “แต่ก็เต็มใจใช่มั้ยล่ะ?” ลู่หานแกล้งเอาไหล่กระแซะเพื่อน เขารู้เรื่องตั้งแต่ตอนที่โทรถามเมื่อบ่ายเผื่อว่าอี้ชิงจะกลับบ้านพร้อมกัน แต่เพื่อนรักกลับไปเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำฮันโน่นแล้ว ไม่ต้องถามว่าวิวทิวทัศน์ที่นั่นสวยงามแค่ไหน อี้ชิงก็สาธยายให้ฟังหมดจนน่าอิจฉา แต่เอาเถอะ ถ้าไปกับสารถีรูปหล่อคนนั้น เขาก็ไม่ควรไปให้เป็นก้างน่ะดีแล้ว ร่างสมส่วนกระโดดข้ามพนักหลังของโซฟามานั่งข้างคนตัวขาว ถือวิสาสะดึงกล้องในมือเล็กมาถือไว้เองแล้วกดดูรูปในนั้น เห็นรูปเพื่อนตอนที่ไม่ได้มองกล้องอยู่หลายรูปก็ตื่นเต้นใหญ่ “รุ่นพี่เค้าแอบถ่ายรูปตัวด้วยอ่ะ”

    “ไม่ได้แอบหรอก เราตั้งใจให้ถ่าย แต่หมอนั่นดันกดส่งเดชไปเรื่อย” ลู่หานเหล่ตามองแล้วก็อมยิ้มเมื่อเห็นอี้ชิงย่นจมูก

    “เอาจริงๆ นะ ตอนที่จงแดบอกให้ตัวเข้าไปจีบรุ่นพี่ เราก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันจะแนบเนียนกว่า เพราะรุ่นพี่เค้าทั้งหล่อทั้งดังขนาดนั้น จะให้จู่ๆ ก็เข้ามาจีบคนธรรมดาอย่างเราคงไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เราว่าบางที... รุ่นพี่เค้าอาจจะปิ๊งตัวเข้าจริงๆ ก็ได้นะ”

    “หมอนั่นชอบผู้หญิง ตัวลืมไปแล้วรึไง”

    “เค้าก็ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบผู้ชายนี่”

    “นั่นมันก็แค่เรื่องที่กุขึ้น”

    “แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นจริงไม่ได้นี่นา จริงมั้ย?” ลู่หานแกล้งเอียงตัวมาชนจนอี้ชิงต้องเอนตัวตาม แต่ก็ยังส่ายหน้าไม่เห็นด้วยอยู่ดี

    “ยังไงเราก็ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเป็นเกย์จริงๆ” และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาชอบเขา ถ้าชอบปั่นหัวเหมือนเห็นเขาเป็นของเล่นล่ะก็อาจใช่ แต่ไม่ใช่แอบปิ๊งอะไรแบบนั้นแน่ ลู่หานก็พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย

    แต่คนเพ้อเจ้อไม่ได้พูดต่อ อี้ชิงมัวแต่เหม่อถึงไม่รู้ว่าถูกเพื่อนสนิทมองจ้อง รอยยิ้มทะเล้นหายไปจากใบหน้าแสนซนนั้น กลับปรากฏแววกังวลเล็กๆ ขึ้นมาแทนที่ ลู่หานขยับปากคล้ายจะพูดแต่แล้วก็เก็บคำไว้ กลับมานั่งตัวตรงแล้วเลื่อนถุงที่วางไว้บนโต๊ะเมื่อครู่มาใกล้ตัว

    “หิวแล้วล่ะ ตัวจะกินเลยมั้ย?”

    “กินเลยก็ได้ เดินตั้งไกล เสียพลังงานไปเยอะเลย”

    “นึกว่าจะอิ่มอกอิ่มใจจนไม่ต้องกินอะไรไปหลายวันซะอีก” กระเซ้าเย้าแหย่จนเพื่อนเหล่ตามองถึงได้หัวเราะแหะ กุลีกุจอยกกล่องพลาสติกออกจากถุง แล้วเลื่อนกล่องนึงไปตรงหน้าคนข้างๆ “เราซื้อราเมงร้านอร่อยมาฝากเลยนะ”

    นั่นถือว่าทำให้หายเคืองได้ อี้ชิงเปิดฝาพลาสติกออกแล้วมองดูราเมงผัดเส้นเหลืองอวบกับเครื่องเคียงหน้าตาน่ากินในกล่องนั้น จมูกเล็กสูดกลิ่นฟุดฟิด กลิ่นหอมฉุยของซอสผัดยิ่งทำให้ท้องหิว เขาฉีกตะเกียบไม้ที่แถมมาด้วยกันแล้วเริ่มลงมือคลุกเส้นกับเครื่องและซอสให้เข้ากัน ครั้นพอเห็นคราบซอสที่เลอะปลายตะเกียบก็นึกอะไรขึ้นได้

    “นี่เสี่ยวลู่”

    “หือ?”

    “พรุ่งนี้ห้ามเบี้ยวมื้อกลางวันนะ”

    “ทำไมอ่ะ มีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”

    “ก็ไม่เชิง” รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากอิ่ม อี้ชิงส่งปลายตะเกียบข้างหนึ่งเข้าปากแล้วลิ้มรสหวานของซอส นึกถึงหน้าหล่อๆ ตอนที่ได้ชิมรสของมันแล้วยิ้มนั้นก็ยิ่งกว้าง

     

    “เรียกว่าเรื่องสนุกจะดีกว่า”

     

    .

     

    .

     

    .

     

    เช้าวันต่อมาก่อนเข้าเรียนชั่วโมงเช้า อี้ชิงกับลู่หานแวะเข้าไปที่ห้องชมรมตามที่จงแดส่งข้อความมาบอก ตอนแรกก็นึกว่าจะมีงานอะไรให้ทำ แต่กลายเป็นว่าประธานชมรมร่างเล็กอยากอวดผลงานที่ตัวเองเพิ่งโพสต์ลงเวบเพจของชมรมเมื่อเช้านี้มากกว่า

    “รูปพวกนี้... อะไรกันเนี่ย?!

    อี้ชิงถลึงตาใส่ทุกรูปที่ถูกโพสต์เมื่อจงแดเลื่อนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คของชมรมมาให้เขากับลู่หานดู มอเตอร์ไซค์สีดำแดงคันใหญ่กับคนขับตัวโตในรูปพวกนั้นดูคุ้นตาไม่น้อย แต่ที่คุ้นที่สุดก็เห็นจะเป็นหมวกกันน็อคสีฟ้าของคนที่ซ้อนท้ายนี่แหละ

    “หนุ่มโชคดีที่ได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์คันเท่ของรุ่นพี่สุดหล่อเป็นใครกัน จะใช่คนที่กลับบ้านพร้อมกันเมื่อวันก่อนหรือเปล่านะ?” ลู่หานเกือบหลุดเสียงหัวเราะตอนที่อ่านหัวข้อกระทู้ที่เพิ่งจะโพสต์ไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนแต่ก็เป็นประเด็นร้อนจนมีคนเข้ามาคอมเม้นท์หลายสิบให้เพื่อนฟัง แต่พอเห็นสีหน้าอี้ชิงตอนที่ปรายตามามองแล้วก็ต้องกลั้นขำ ให้คนตัวเล็กหันไปโวยวายเอากับคนที่กำลังนั่งยิ้มอย่างพอใจในผลงานแทน

    “ใครเป็นคนคิดเนี่ย?!

    “ฉันไง” จงแดอวดพร้อมขยับแว่นน้อยๆ

    “แล้วรูปพวกนี้ล่ะ?”

    “ก็สมาชิกอิสระของชมรมเราเนี่ยแหละ ฉันให้พวกเค้าคอยจับตามองนายกับรุ่นพี่เอาไว้ ถ้ามีโมเม้นท์อะไรก็ให้เก็บรูปมาส่งฉันทันที จะได้ช่วยกระพือข่าวคู่จิ้นคนดังไง ว่าแต่นายเองก็ก้าวหน้าเหมือนกันนะเนี่ย แค่สองวันก็แอบโดดเรียนไปเดทกันสองต่อสองแล้ว” ยังมีหน้ามาแซวกัน รู้บ้างไหมว่าชะตาชีวิตอี้ชิงจะขาดเอา!

    “ให้ตายเถอะ! นี่นายไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับฉัน? ถ้าแฟนคลับพวกนั้นรู้ว่าคนที่อยู่กับรุ่นพี่เป็นใคร ฉันคงมาเรียนไม่ได้แน่” นึกถึงสามสาวเพื่อนร่วมห้องที่มายืนท้าวสะเอวอยู่ตรงหน้าแล้วอี้ชิงยังขยาดไม่หาย เล็บยาวๆ สวยๆ ของพวกเธอนั่น ถ้ามันข่วนลงมาบนหน้าเขาคงไม่สวยแน่

    “ไม่มีใครรู้หรอกน่าว่าเป็นนาย ที่กลับบ้านด้วยกันเมื่อวันก่อนก็ไม่มีใครรู้นี่ อ่านคอมเม้นท์สิ มีแต่คนสงสัยว่าเป็นใคร แต่ไม่มีใครระแคะระคายว่าเป็นนายเลย ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันก็แค่สร้างกระแสให้คนสงสัย แต่ไม่ทำให้นายเดือดร้อนแน่”

    คิมจงแดยักคิ้วน้อยๆ รอยยิ้มที่มุมปากหยักนั้นบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวมั่นใจในความฉลาดของตัวเองแค่ไหน อี้ชิงมองหน้ากันกับลู่หานแล้วฝ่ายนั้นก็ได้แต่ยิ้มแล้วยักไหล่ ถ้าไม่เกรงใจคงอยากหัวเราะออกมาเสียมากกว่า รายนี้ก็ชอบเห็นเป็นเรื่องสนุกอยู่เรื่อย อี้ชิงได้แต่ทึ้งหัวตัวเองแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะพร้อมเสียงคราง นี่คงมีแค่เขาคนเดียวที่ต้องเสี่ยงชีวิตกับงานนี้สินะ ถอนตัวตอนนี้ทันมั้ยเนี่ย

    “เออนี่ อี้ชิง”

    “อะไรอีกล่ะ?” ตอบเสียงยานคาง ยังไม่ยอมเงยหน้าจากพื้นโต๊ะ

    “รุ่นพี่เค้าจะลงแข่งกีฬามหาวิทยาลัยเดือนหน้ามั้ย?”

    “ไม่รู้หรอก เห็นว่ากัปตันมาชวน แต่ยังไม่ได้ตอบตกลงไป”

    “ถ้าเขาตกลง นายต้องเป็นคนแรกที่รู้นะ”

    “ห๊ะ?” คราวนี้เงยหน้าขึ้นมาขมวดคิ้วใส่ได้ และจงแดก็ยักคิ้วน้อยๆ ก่อนจะบอกให้อี้ชิงต้องเอาหน้าผากโหม่งพื้นโต๊ะอีกครั้ง

    “สิทธิพิเศษของคนสำคัญไง”

    “โฮ่ยยย~” ไม่เห็นจะอยากเป็นเลย!

     

     

    แต่ก็ถือว่าจงแดยังพูดถูกอยู่บ้าง กลับกลายเป็นเรื่องดีที่วันนี้มีประเด็นใหญ่ให้สาวๆ ในห้องพูดคุยกัน ที่โชคดีไปกว่านั้นคือไม่มีใครนึกระแวงมาถึงเขา อี้ชิงถึงได้อยู่รอดปลอดภัยตลอดชั่วโมงเรียนเช้าโดยไม่มีใครเข้ามาวอแวหรือหาเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรีบออกจากห้องเรียนทันทีที่อาจารย์บอกเลิกคลาส ลู่หานไม่เบี้ยวมื้อกลางวันอย่างที่พูดไว้จริงๆ ยิ่งรู้ว่าอี้ชิงมีนัดมื้อกลางวันกับใครก็ยิ่งกะตือรือร้นใหญ่ ชวนกันไปซื้อข้าวกล่องที่แคนทีนแล้วตรงไปยังโรงยิมฯของชมรมบาสเก็ตบอลในทันที

    “เห็นยืนต่อแถวร้านราเมง ตกลงซื้ออะไรให้รุ่นพี่?” ลู่หานถามด้วยความอยากรู้ พวกเขาแยกกันไปซื้อแล้วก็ได้ข้าวกล่องกันมาคนละถุง อี้ชิงไม่ได้ซื้อแกงเขียวหวานของโปรดมากินเหมือนทุกวัน แต่ถึงจะเป็นราเมงก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ ที่เขาสงสัยคือรุ่นพี่เองก็ชอบกินอาหารธรรมดาแบบนี้ด้วยหรือไงนะ

    อี้ชิงหันมายิ้มแล้วยักคิ้วก่อนบอก

    “จาจังมยอน”

    “จาจังมยอน? หมี่ดำน่ะนะ?”

    “อาฮะ”

    “รุ่นพี่เค้าจะกินได้เหรอ?” บะหมี่ราดซอสดำ อร่อยก็จริง แต่คนที่มาจากเมืองนอกมองนาอย่างรุ่นพี่คนดังไม่น่าจะชอบอะไรแบบนี้นะ แต่อี้ชิงยักไหล่แล้วยิ้มสนุก

    “ทำไมจะไม่ได้ ก็เค้าบอกเอง เรากินอะไรเค้าก็กินอย่างนั้น”

    ท่าทางจะมีแผน นี่สินะที่บอกว่าเรื่องสนุก ลู่หานส่ายหน้ายิ้มๆ จะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัวเองอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้

     

    ดูเหมือนพวกแฟนคลับจะรู้ความเคลื่อนไหวของรุ่นพี่คนดังดี ตอนที่ทั้งคู่มาถึง รอบขอบสนามถึงได้มีคนนอกมายืนออกันอยู่ประปราย ยังดีที่ไม่ใช่เวลาซ้อมปกติเหมือนทุกวัน ไม่อย่างนั้นคนคงเยอะกว่านี้ จะว่าไปก็น่าสงสารคนที่มาเฝ้านะ คงทำได้แค่มองอยู่ไกลๆ จะมีก็แต่สมาชิกชมรมหนังสือพิมพ์ออนไลน์อย่างอี้ชิงกับลู่หานเท่านั้นแหละ ที่มีสิทธิพิเศษเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามได้

    ทั้งคู่เดินเลาะไปตามขอบสนาม เห็นคริสกับเพื่อนอีกสามสี่คนกำลังวิ่งไล่ลูกบาสกันอยู่ ก็เลยหยุดรออยู่ใกล้ๆ กับที่พักนักกีฬากระทั่งคริสหันมาเห็น เขายกมือให้สัญญาณเพื่อนๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงมาหา

    “เอาข้าวมาส่ง” อี้ชิงยกถุงใส่กล่องข้าวในมือขึ้นให้ดูเมื่อคนตัวสูงวิ่งมาถึง แถมยิ้มยิงฟันให้อีกต่างหาก พวกเพื่อนๆ ชมรมบาสที่เดินตามมาหาน้ำดื่มในที่พักเห็นเข้าก็เอาไหล่กระแซะแซวกันใหญ่

    “เห็นแล้วหิวเลย แต่ฉันไม่มีคนส่งข้าวให้ ขอตัวไปหาอะไรกินก่อนแล้วกันนะ” คริสเพียงพยักหน้าแล้วยิ้มให้เมื่อเพื่อนตบไหล่แล้วเดินจาก หันกลับมาหารุ่นน้องทั้งสองก็เห็นคนตัวเล็กกว่ากำลังหันซ้ายหันขวา

    “จะกินที่ไหน?” คริสเพยิดหน้าไปบนอัฒจันทร์ชั้นสองซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักนักกีฬา

    “บนนั้นก็ได้”

    “ผมนึกว่าเค้าห้ามไม่ให้เอาของกินเข้ามาในสนามซะอีก”

    “แต่ถ้าบนอัฒจันทร์ก็ได้” ลู่หานมองไปรอบๆ โรงยิมฯแล้วยักไหล่ โล่งโจ้งดีแท้ รุ่นพี่คงโอเคเพราะถึงยังไงคนก็น้อยกว่าในแคนทีน เขาเองก็ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกัน

    คริสเอื้อมมือไปคว้าผ้าขนหนูซึ่งวางโปะอยู่บนกระเป๋าบนม้านั่ง ก่อนจะเดินนำคนทั้งสองขึ้นไปบนชั้นสอง อี้ชิงเลือกที่นั่งได้ก่อน เขาให้ลู่หานนั่งข้างๆ แล้วเว้นเก้าอี้ตรงกลางระหว่างเขากับคริสเพื่อวางถุงที่หิ้วมาด้วย จัดแจงยกกล่องอาหารกับเครื่องเคียงออกมาจากถุงแล้วยื่นกล่องนึงให้คริส เมื่อฝ่ายนั้นรับไปแล้วเปิดดูของกินข้างในก็ถึงกับย่นหัวคิ้ว

    “อะไรเนี่ย?” อี้ชิงยิ้มอย่างอารมณ์ดี

    “หมี่ดำไง เค้าเรียกว่าจาจังมยอน อร่อยนะ ไม่เคยกินล่ะสิ” สีหน้าคริสบอกชัดว่าแม้แต่หน้าตาของมันเขาก็เพิ่งจะเคยเห็น นี่ถ้าไม่บอกว่ากินได้เขาคงนึกว่ามันเป็นแค่บะหมี่ราดซอสผัดไหม้ๆ แน่ อี้ชิงเปิดกล่องใส่เครื่องเคียงเล็กๆ อีกสองสามกล่อง หนึ่งในนั้นเป็นเครื่องปรุงรส เขาตักพริกป่นใส่เข้าไปในกล่องหมี่ดำของคริสเสียหลายช้อน “ต้องใส่นี่เข้าไปเยอะๆ ด้วยนะ”

    ลู่หานเห็นแล้วก็ตาโต รีบคว้ามือเพื่อนไว้ก่อนที่คนตัวเล็กจะเผลอเททั้งกล่องนั่นลงไปจนหมด

    “พอแล้วอี้ชิง มันเผ็ดนะ” แต่อี้ชิงกลับขยิบตาให้แล้วหันไปยิ้มให้คนตรงข้ามพร้อมเอ่ยชวน

    “ชิมสิ” ผิดสังเกตุจนเห็นได้ชัด แต่คริสยังตีหน้านิ่ง มองกล่องอาหารในมือแล้วมองหน้าคนที่ซื้อมาให้โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยซ้ำ เห็นอย่างนั้นอี้ชิงก็กุลีกุจอแย่งกล่องพลาสติกมาจากมือใหญ่ “กินไม่เป็นใช่มั้ย ฉันป้อนให้ก็ได้”

    จัดแจงคลุกเส้นหมี่กับซอสผัดและพริกป่นให้เข้ากันจนกลายเป็นหมี่ดำน่ากิน ก่อนจะหมุนตะเกียบเพื่อม้วนเส้นหมี่ขึ้นมาแบบพอดีคำแล้วยื่นไปให้ถึงปากคนตัวสูง

    “ชิมสิ อร่อยน้า~” ดูคะยั้นคะยอเกินไปจนไม่น่าไว้ใจเลย แม้แต่ลู่หานก็ยังยิ้มแหะๆ คริสหรี่ตาน้อยๆ เขาอาจจะนึกระแวงจนไม่ยอมกินมัน แต่แล้วก็กลับยิ้ม ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้แล้วอ้าปาก อี้ชิงเกือบหลุดเสียงหัวเราะตอนที่แกล้งป้อนหมี่ดำให้แบบไม่ตรงปากนิดหน่อย

    “อร่อยมั้ย?” แกล้งถามทั้งที่กลั้นขำ คริสเคี้ยวมันอย่างช้าๆ แล้วพยักหน้า

    “ก็ดีนะ” ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ามีคราบซอสดำติดอยู่ที่ริมฝีปากและมุมปากทั้งสองข้าง ยังคงเคี้ยวต่ออย่างหน้าตาเฉย กระทั่งลู่หานหยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาสองสามแผ่นแล้วยื่นให้ 

    “รุ่นพี่ฮะ เช็ดซักหน่อย” ยิ้มแห้งๆ แล้วชี้นิ้วที่มุมปากซ้ายขวาบนหน้าตัวเอง คริสเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อรับรู้ว่าที่กำลังเลอะนั่นคือปากเขาต่างหาก ดูเหมือนคนที่กำลังกลั้นขำจนแก้มบุ๋มอยู่นี้คงจงใจ มิน่าล่ะ ถึงได้ดูใจดีนัก คริสกระตุกยิ้มที่มุมปาก เขารับทิชชู่มามาแต่ไม่ยอมใช้มัน กลับยื่นให้อี้ชิงอีกที

    “เช็ดให้หน่อยสิ” แต่คนตัวเล็กเบะปาก

    “เช็ดเองสิ”

    “ฉันมองไม่เห็นนี่” อี้ชิงยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้จนคริสถามซ้ำ “หรือจะให้เรียกใครซักคนข้างนอกนั่นมาเช็ดให้?”

    คนตัวเล็กหันหลังขวับกลับไปมองที่นอกสนาม สาวๆ แฟนคลับบางส่วนยังคงคุมเชิงอยู่ และแน่นอนว่าคงเห็นเหตุการณ์ที่พวกเขากำลังปิคนิคกันอยู่ตรงนี้ คิ้วบางขมวดฉับ หันกลับมามองคนตรงหน้าที่ยื่นหน้าออกมารอจนหน้าหมั่นไส้ จากที่ยิ้มๆ อยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึง จะเรียกใครเข้ามาเช็ดปากให้ หรือจะให้มาเล่นงานเขาโทษฐานทำให้หน้าหล่อๆ ต้องแปดเปื้อนกันแน่ แกล้งขู่กันชัดๆ คิดว่าเขาจะกลัวมั้ย?

    อี้ชิงส่งเสียงครื่อๆ ในคอก่อนจะดึงกระดาษทิชชู่จากมือใหญ่ด้วยความหงุดหงิด กัดปากแน่นตอนที่ใช้ทิชชู่เช็ดคราบซอสดำเลอะริมฝีปากและมุมทั้งสองข้างให้อย่างลวกๆ แกล้งออกแรงหมายให้หน้าหล่อๆ หงายเงิบด้วยซ้ำ แต่คริสยังคงยิ้ม เหมือนจะตอกย้ำว่านี่เป็นการเอาคืนที่อี้ชิงบังอาจทำให้หน้าเขาเลอะ

    “ป้อนอีกสิ” ยังมีหน้ามาพูด อี้ชิงยัดกล่องข้าวคืนใส่ให้มือใหญ่อย่างเคืองๆ

    “กินเองสิ หรือจะเรียกใครซักคนมาป้อนก็เรื่องของนาย” คนหล่อหัวเราะเบาๆ หยิบตะเกียบแล้วสาวเส้นหมี่เข้าปากคำแล้วคำเล่า คราบซอสจะเลอะยังไงก็ไม่สน เขาแค่ชี้นิ้วที่ปาก ก็มีคนคอยเช็ดให้ (ถึงจะดูกระฟัดกระเฟียดไปหน่อยก็เถอะ) อี้ชิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจนไม่เป็นอันกินราเมงของตัวเอง มองคนที่กินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วก็ต้องถามเสียงห้วน “ไม่เผ็ดรึไง?

    “ไม่นี่ อร่อยดีออก” ใส่พริกป่นไปเยอะขนาดนั้นยังกินได้หน้าตาเฉย ไม่ใช่ว่าแกล้งแอ๊บเพราะกลัวจะเสียหน้าหรอกนะ

    “นายกินเผ็ดไม่ได้ไม่ใช่รึไง”

    “รู้ได้ยังไง?”

    “ก็อาหารเมื่อวานไม่เห็นมีรสเผ็ดซักจาน” มื้อกลางวันที่คาเฟ่ ที่อี้ชิงกินได้เยอะขนาดนั้นไม่ใช่แค่เพราะอาหารถูกปาก เขายังคิดว่าโชคดีเพราะคนสั่งก็คงกินรสเผ็ดไม่ได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่แกล้งใส่พริกป่นให้เสียเยอะขนาดนั้นหรอก กะจะให้เผ็ดจนวิ่งหาน้ำไม่ทันเลยด้วยซ้ำ แต่คริสสบตาเขาแล้วเลิกคิ้วน้อยๆ ยิ้มอย่างรู้ทันนั่นทำให้อี้ชิงต้องเม้มปาก

     

    “ฉันกินได้ นายต่างหากที่กินไม่ได้”

     

    ลู่หานมองหน้าเพื่อนรักที่เอาแต่บึ้งตึงแล้วก็ต้องแอบขำ นี่สินะเรื่องสนุกที่ว่า ดูเอาเถอะ คิดจะแกล้งเขาแต่กลับถูกเอาคืนเสียเอง จางอี้ชิงนี่ช่างใสซื่อเสียนี่กระไร เขาเพิ่งบอกรุ่นพี่ไปแค่ครั้งเดียวตอนที่กินมื้อกลางวันร่วมโต๊ะกันที่แคนทีนเมื่อวันก่อน ว่าอี้ชิงกินอาหารเผ็ดไม่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เพราะความเอาใจใส่ จะสั่งแต่อาหารรสจืดมาทำไมทั้งที่ตัวเองก็กินเผ็ดเก่งออกขนาดนี้ จนป่านนี้แล้วเพื่อนสนิทเขาก็ยังไม่รู้ตัวอีกว่าตัวเองถูกใส่ใจแค่ไหน ลู่หานได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ

    ก้มลงมองหน้าจอมือถือตัวเองแล้วเลื่อนนิ้วสไลด์ไปมาเพื่อดูรูปที่แอบถ่ายไปเมื่อครู่ก่อนจะกดส่งมันเข้าไลน์ให้คิมจงแด ยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องสนุก คอยดูเถอะ พรุ่งนี้ได้มีข่าวใหญ่ให้เป็นกระแสยิ่งกว่าวันนี้แน่!

     

     

     

     

     

     

     

    ทู บี คอนตินิว...

     

     

     

    คนรอง: เคยได้ยินมาว่าพริกป่นของเกาหลีไม่เผ็ดเท่าของบ้านเรา แต่สีจะแดงมากจนน่ากลัว ใส่เข้าไปในอาหารเยอะๆ ก็จะบิ้วต์ไปเองว่ามันเผ็ด พริกที่อี้ชิงใส่เข้าไปในกล่องราเมงของคริสก็เป็นแบบนั้น ที่จริงแล้วนางไม่ได้กินเผ็ดเก่งอะไรหรอก เจอส้มตำบ้านเราเข้าไปก็คงจอดเหมือนกัน ฮะๆๆ

     

    เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×