คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Love in the ice - 02 -
[Fic] Love in the ice
Fiction by 2nd Admin
ตอนที่ 2
.
.
.
เช้านี้คุณชายรองลงมาจากห้องสายกว่าทุกวัน ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเข้มพยักหน้ารับคำทักทายยามเช้าจากเด็กรับใช้ในบ้านแล้วก็ตรงไปยังห้องอาหารในทันที เลยเวลาอาหารเช้ามาครึ่งชั่วโมงแล้ว เกรงว่าผู้เป็นแม่จะรอนาน แต่เมื่อมาถึงโต๊ะอาหารก็ต้องแปลกใจที่เห็นเด็กรับใช้จัดอาหารเช้าไว้แค่ชุดเดียว
“แล้วคุณแม่ล่ะ?”
“คุณผู้หญิงออกไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”
“วันนี้คุณผู้หญิงบอกให้คุณชายเข้าออฟฟิศด้วยนะครับ” จื่อเทาที่เดินเข้ามาทีหลังค้อมศีรษะทักทายผู้เป็นนายก่อนจะแจ้งให้ทราบถึงคำสั่งที่ได้รับมาจากนายใหญ่ของบ้าน อี้ฟานพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะนั่งลงตรงที่ที่จัดไว้ หันไปถามสาวใช้คนเดิม
“ไปเชิญคุณอี้ชิงหรือยัง?” ยังไม่ลืมผู้อาศัยคนสำคัญที่ทำให้เขานอนดึกจนต้องตื่นสาย ถึงตรงนี้สาวใช้ดูจะอึกอักเล็กน้อย
“เอ่อ ไปเคาะประตูเรียกแล้วค่ะ แต่เธอไม่ตอบรับเลย”
อี้ฟานขมวดคิ้ว เลื่อนสายตาไปถามจื่อเทาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“ยังไม่ออกจากห้องตั้งแต่เช้าแล้วครับ” คนสนิทก็ตอบในทันทีเหมือนรู้ใจ เขาต้องตื่นก่อนผู้เป็นนายเพื่อมาเฝ้าดูใครทุกวันอยู่แล้ว “อาจจะยังไม่ตื่น จะให้ผมขึ้นไปดูไหม?”
“ไม่เป็นไร” อี้ฟานตอบหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะแฮงค์น่ะ ก็เมื่อคืนเมามาขนาดนั้น”
ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มบางโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ กลิ่นกายหอมหวานและผิวเนื้อนุ่มละมุนที่ได้สัมผัสนั้น ...จนเช้านี้ก็ยังไม่จาง ในห้วงคำนึงของคุณชายรองตอนนี้มีแต่ภาพของเด็กหนุ่มที่ออดอ้อนเพราะความเมามายไม่ได้สติ จะว่าไปเมื่อคืนนี้อี้ชิงก็เมามาก ถึงขนาดกอดเขาโดยไม่รู้สึกตัวคงเพราะดื่มเข้าไปเยอะ เขาเองก็เคยถูกเพื่อนที่แคนาดามอมจนเมาเละตอนงานเลี้ยงส่ง ตื่นเช้ามายังปวดหัวหนักจนลุกแทบไม่ขึ้น แล้วคนที่ดูบอบบางขนาดนั้น... ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง
“ฉันขึ้นไปดูหน่อยดีกว่า”
“ครับ?”
“ก็... เผื่อว่าเค้าจะไม่สบาย ปกติไม่เคยตื่นสายขนาดนี้ไม่ใช่หรือ?” คนสนิทเลิกคิ้วก่อนจะเม้มริมฝีปากซ่อนรอยยิ้ม เห็นแล้วอี้ฟานก็ขมวดคิ้วใส่ “ก็เด็กบอกว่าเรียกแล้วไม่ตอบ ฉันก็แค่อยากให้แน่ใจว่าเค้าไม่ได้เป็นอะไร”
คนสนิทพยักหน้าแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ แต่คุณชายรองก็ยังตวัดหางตาดุๆ ใส่อยู่ดี สนิทถึงขั้นโตมาด้วยกันขนาดนี้ ผู้เป็นนายคิดอะไรทำไมเขาจะไม่รู้
อี้ฟานเดินขึ้นมาชั้นบนโดยมีจื่อเทาเดินตามมาด้วย เคาะประตูห้องที่เคยเป็นของพี่ชายเรียกคนที่อยู่ในห้องแต่ก็ไม่มีเสียงตอบ ลองขยับลูกบิดประตูดูก็ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกเปิดเข้าไปได้โดยง่าย จำได้ว่าเมื่อคืนเขารีบร้อนออกไปจนลืมล็อคประตู แสดงว่าอี้ชิงไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยหลังจากนั้น
“อี้ชิง ผมเข้าไปนะ” บอกให้คนในห้องได้รู้ตัวเป็นเชิงขออนุญาตก่อนจะผลักประตูเข้าไป โดยที่จื่อเทายังคงยืนรออยู่ด้านนอก สภาพภายในห้องยังคงเหมือนเมื่อคืนก่อนที่เขาจะออกไป ร่างขาวบางยังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงโดยที่ผ้าห่มที่เขาห่มให้เมื่อคืนก็ยังปกคลุมร่างกายเรียบร้อยดี อี้ฟานเดินเข้าไปใกล้แล้วลองเรียกคนที่ยังหลับ
“อี้ชิง สายแล้วนะ” ยืนรออยู่ซักพักร่างบนเตียงก็ยังไม่ขยับ ร่างสูงจึงนั่งลงตรงขอบเตียง เขย่าต้นแขนเล็กของคนที่หลับเบาๆ
“นี่คุณ ตื่น...” แต่กระไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ชายหนุ่มชะงัก เรียวคิ้วหนาขมวดเข้าหากัน อี้ฟานถือวิสาสะดึงโปงผ้าห่มลงแล้วทาบหลังมือกับผิวเนื้อที่ต้นแขนเล็กตรงๆ “ทำไมตัวร้อนอย่างนี้ล่ะ?”
ยังไล่แตะเบาๆ ที่หน้าผาก ใบหน้าและลำคอ อุณหภูมิร่างกายของคนตัวขาวสูงมากจนน่าตกใจ อี้ฟานขมวดคิ้ว หันไปเรียกคนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าห้องอย่างร้อนใจ “จื่อเทา เข้ามานี่หน่อย”
“มีอะไรครับ?”
“เค้าไม่สบาย โทรตามคุณหมอโจที”
จื่อเทาวางสายแล้วรายงานกับผู้เป็นนายว่าคุณหมอจะมาถึงภายในครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นก็คงต้องรอ แต่มือใหญ่ยังไม่ยอมละจากเนื้อตัวคนป่วย ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มจะหลับจนไม่รู้สึกตัวเลย แต่ดูเหมือนจะทุรนทุรายเพราะพิษไข้ด้วยซ้ำ ร่างกายบอบบางที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นขยับดิ้นอย่างกระสับกระส่ายพลางส่งเสียงครางฮืออย่างทรมาน
“ทำยังไงดีล่ะจื่อเทา เค้าตัวร้อนมากเลย เหงื่อก็ออก ปลุกก็ไม่ตื่นด้วย”
“เช็ดตัวดีไหมครับ ไข้จะได้ลด”
“ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกให้เด็กเอาน้ำกับผ้าขนหนูมาให้ที”
เพียงครู่เดียวสาวใช้คนหนี่งก็เดินเข้ามาพร้อมกับอ่างแก้วใสในมือ มีผ้าขนหนูขาวสะอาดพาดอยู่ที่ขอบอ่าง เธอวางมันลงบนโต๊ะข้างเตียง แล้วยื่นมือออกมาหมายจะปลดกระดุมเสื้อให้เด็กหนุ่ม แต่คุณชายรองกลับห้ามไว้
“ไม่ต้อง”
“คะ?”
“เค้าเป็นผู้ชาย เดี๋ยวฉันจัดการเอง” สาวใช้ค่อนข้างแปลกใจ แต่เมื่อเธอหันไปมองคนสนิทของผู้เป็นนายแล้วฝ่ายนั้นพยักหน้าเธอก็ค้อมศีรษะรับคำสั่งแล้วเดินออกจากห้องไป จื่อเทาเดินตามไปปิดประตูให้แล้วก็กลับเข้ามาหยิบผ้าขนหนูลงชุบน้ำในอ่าง บิดจนหมาดแล้วส่งให้ผู้เป็นนาย
“ไม่ต้องให้ผมช่วยแน่นะครับ?”
“ไม่ต้องหรอก แค่เช็ดตัวเอง” จื่อเทาพยักหน้า เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดใหม่ออกมาเตรียมไว้ให้
“เมื่อสักครู่คุณหมอโจโทรมา บอกว่ารถเสียอยู่กลางทาง ผมจะออกไปรับนะครับ”
“ก็ดี รีบไปเถอะ”
จื่อเทาออกไปแล้ว อี้ฟานมองผ้าขนหนูในมือสลับกับร่างขาวที่อยู่บนเตียงอย่างลังเล แล้วก็ตัดสินใจเริ่มจากซับเหงื่อที่ใบหน้าหวานให้เบาๆ แต่คนป่วยก็หันหน้าหนีในทันที ส่งเสียงครางฮื่ออย่างขัดใจ
“อย่าดิ้นสิคุณ เช็ดตัวนะ ไข้จะได้ลด” บอกเหมือนคนที่ไม่ได้สติจะเข้าใจ ยื่นมืออีกข้างจับแก้มเนียนไว้ไม่ให้หันหนี แต่ท่าทางจะไม่ง่ายเลย เพราะยิ่งแตะต้องร่างขาวบนเตียงก็ยิ่งถดตัวหนี ยิ่งท่าทางเก้ๆ กังๆ ของคนเฝ้าไข้ด้วยแล้วยิ่งทำให้การเช็ดตัวเป็นไปอย่างยากลำบาก อี้ฟานต้องถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ มองซ้ายมองขวาอยากจะหาใครมาช่วย แต่จะเรียกสาวใช้ก็ไม่ได้ เพิ่งไล่เค้าออกไปเองเมื่อครู่ จื่อเทาก็ไม่อยู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเขยิบเข้าไปใกล้แล้วช้อนตัวคนป่วยให้ลุกขึ้นมานั่ง พิงแผ่นหลังไว้กับอกเขาเอง
“ขอโทษนะ” เพราะการถูกเนื้อต้องตัวทั้งที่อีกฝ่ายไม่รู้สึกตัวอยู่แบบนี้เป็นเรื่องไม่เหมาะสมนัก ยิ่งอีกฝ่ายได้ชื่อว่าเป็นคนรักของพี่ชาย อี้ฟานพรูลมหายใจเบาๆ ก่อนจะใช้ผ้าขนหนูซับไปตามใบหน้าและลำคอของร่างที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างเบามือ แต่คนป่วยก็พยายามจะดิ้นหลบ แต่คราวนี้แทนที่จะหนีกลับยิ่งเบียดเข้าหาอกอุ่นๆ มือเล็กปัดป่ายจนคว้าคอเสื้อของร่างสูงได้ก็กำไว้จนแน่น
“อือออ หนาว...” คงจะเพ้อเพราะพิษไข้ แต่คนที่เช็ดตัวอยู่นี้กลับทำอะไรไม่ถูก มือที่เช็ดอยู่บริเวณลำคอก็ค้างอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เพราะคนป่วยบอกว่าหนาว แต่เป็นเพราะร่างกายที่เบียดจนแนบชิดกันอยู่นี้ต่างหาก ร่างกายอุ่นร้อนเพราะพิษไข้ของอี้ชิงเบียดเข้าซุกซบกับอกหนาราวกับต้องการความอบอุ่น ทำเอาคนเช็ดตัวก็พลอยตัวร้อนตามไปด้วย
“เช็ดตัว เช็ดตัว...” อี้ฟานต้องพยายามเตือนสติตัวเองเพื่อให้ใจที่เต้นระรัวนี้สงบลงบ้าง ก่อนจะใช้นิ้วแกะกระดุมเสื้อตัวบางของคนป่วยออกทีละเม็ด เมื่อสาบเสื้อถูกแยกออกก็เผยให้เห็นแผ่นอกขาวบางที่สะท้อนขึ้นลงทุกครั้งที่ร่างขาวบางหายใจ คนที่มองเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว กล้ามเนื้อในอกยิ่งเต้นกระหน่ำจนน่าตำหนิ และเมื่อกระดุมเม็ดสุดท้ายถูกปลด ผิวกายขาวสว่างไร้รอยตำหนิใดก็ปรากฏแก่สายตา อี้ฟานไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของผู้ชายด้วยกันจะสวยงาม ดูบริสุทธิ์และน่าหลงใหลได้ขนาดนี้ จางอี้ชิงยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่มีร่างกายบอบบาง ผิวเนื้อนุ่มนิ่มเหมือนผิวเด็ก ไม่แน่นตึงและไม่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดเหมือนชายหนุ่มเต็มวัยอย่างเขา อี้ฟานแทบจะกลั้นหายใจตอนที่เลื่อนมือลงซับผ้าขนหนูที่แผ่นอกขาวบางนั่น แต่แทนที่มือจะทำหน้าที่เช็ดตัวให้คนป่วยอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อข้อนิ้วได้สัมผัสกับผิวกายที่เนียนนุ่มเขากลับต้องชะงัก ค่อยๆ ไล้หลังมือไปตามผิวเนื้อขาวอย่างลืมตัว แต่ก่อนที่สติของอี้ฟานยิ่งเตลิดไปมากกว่านั้น เสียงครางฮือของคนที่ซบอยู่กับอกก็ดังขึ้น
“พี่จุน... ผมหนาว กอดผมหน่อย...” สองมือเล็กยกขึ้นไขว่คว้าอากาศราวกับจะให้คนที่ตนเรียกชื่อหาเข้ามากอดรับไว้ แต่เมื่อเจ้าของชื่อไม่อยู่แล้ว คนเฝ้าไข้จำเป็นจึงต้องรับหน้าที่นั้นแทน อี้ฟานลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจับมือทั้งสองข้างของอี้ชิงไว้แล้วดึงร่างขาวเข้ามากอดแนบอก มือใหญ่ลูบไปบนแผ่นหลังเปลือยเปล่าเบาๆ
“อุ่นหรือเปล่า? ดีขึ้นไหม?” ถามคนป่วยทั้งที่คนที่กำลังจะแย่น่าจะเป็นตัวเขาเองมากกว่า เพราะทันที่ที่แผ่นอกของทั้งคู่แนบชิดกัน อี้ฟานก็รู้สึกร้อนผ่าวราวกับรับเอาความร้อนจากตัวคนป่วยเข้ามา หัวใจยิ่งเต้นแรงเร็วจนเหมือนมันจะหลุดออกมานอกอก พลันนาสิกประสาทสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมหวานจางๆ อี้ฟานนึกสงสัยถึงแหล่งที่มาจึงโน้มใบหน้าลงช้าๆ สูดความหอมจากเส้นผมนุ่ม ไล่มาจนถึงไรผมอ่อนที่ข้างขมับขาว ...อยู่ตรงไหนกันนะ กลิ่นหอมนี้มาจากไหนกัน... ปลายจมูกโด่งแตะไล่จนหยุดอยู่เหนือแก้มเนียนที่เรื่อสีอ่อนเพราะพิษไข้ อี้ฟานหยุดมือที่ลูบแผ่นหลังบางเพื่อคลายความหนาวให้แล้วกลับดึงร่างโปร่งบางให้ยิ่งแนบชิดอยู่กับอก จางอี้ชิงตัวเล็กจนแทบจะจมหายไปกับอกเขาได้ จมูกโด่งยังคงซุกไซ้ไล่ลงหาซอกคอขาวระหง ชายหนุ่มหลับตาพริ้มยามได้ซึมซับสูดเอาความหอมหวานจากบริเวณนั้นอย่างไม่รู้จักพอ
หอม...
อยากอยู่อย่างนี้นานๆ...
อยากกอดเอาไว้... ไม่อยากปล่อยเลย...
ความหลงใหลที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวทำให้อี้ฟานลืมไปแล้วว่าคนในอ้อมกอดเป็นใคร จากที่เพียงแค่สูดเอาความหอมหวานอย่างผิวเผิน ริมฝีปากได้รูปกลับค่อยๆพรมจูบไปทั่วลำคอระหงนั้นก่อนจะระเรื่อยไปจนถึงลาดไหล่บาง ขบเม้มและประทับรอยจูบหนักๆ ไว้จนเห็นเป็นรอยแดงเด่นชัด ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้ไปจนทั่วแผ่นหลังบางนั้น อีกมือก็สอดเข้าสางกลุ่มผมนิ่มแล้วขยำเบาๆ ด้วยความพึงใจ ยิ่งได้สัมผัสร่างกายนี้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งจะหยุดความต้องการของตัวเองไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเค้าเป็นคนรักของพี่ชายตัวเอง แต่ร่างกายกลับตอบสนองในสิ่งที่อี้ฟานต้องการมากกว่าความถูกต้อง เขากำลังเพลิดเพลินกับรสสัมผัสนั้น แต่ก็ต้องหยุดชะงักในทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง …จื่อเทากลับมาแล้ว
อี้ฟานได้สติในทันที เค้าจับไหล่บางทั้งสองข้างก่อนจะดันร่างขาวออกห่าง เห็นสภาพคนป่วยในตอนนี้แล้วก็รู้สึกผิด นี่เขากำลังจะทำอะไรลงไปกันแน่ ทั้งที่คนๆ นี้กำลังป่วยและไม่รู้สึกตัวอยู่แท้ๆ แต่เขาก็ยังเสียมารยาทได้ รีบหยิบเสื้อผ้าที่จื่อเทาเตรียมไว้ให้มาสวมให้ร่างขาวก่อนจะประคองให้คนป่วยนอนราบลงกับพื้นเตียงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ หันไปบอกอนุญาติให้คนสนิทเปิดประตูห้องเข้ามาได้
ร่างสูงโปร่งที่ตามหลังจื่อเทาเข้ามานั้นแต่งกายในชุดสุภาพ แม้ไม่ได้ใส่เสื้อกราวน์แต่ก็ยังดูน่าเชื่อถือสมกับที่เป็นคุณหมอประจำตระกูล คุณหมอโจคยูฮยอน อี้ฟานยืนขึ้นทักทายก่อนจะหลีกทางให้คุณหมอหนุ่มเข้าไปนั่งที่ข้างเตียง วางกระเป๋าอุปกรณ์ลงบนโต๊ะข้างเตียงแล้วคุณหมอโจก็หยิบอุปกรณ์ออกมาเพื่อเตรียมการตรวจ อี้ฟานกับจื่อเทาจึงได้ขอตัวออกไปรอข้างนอก
ขณะที่รออยู่หน้าห้อง อี้ฟานก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่จื่อเทาโทรมารายงานเขาเมื่อวาน
“จื่อเทา เมื่อวานนี้นายบอกว่าเขาไปโรงพยาบาลที่คุณหมอโจทำงานอยู่ใช่ไหม? เค้าไปทำอะไรนายรู้หรือเปล่า? ไปตรวจหรือไปเยี่ยมใคร?”
“ไปเยี่ยมคนครับ เป็นคนไข้ผู้หญิง”
“ใครกัน?”
“ไม่ทราบครับ ผมถามเอากับพยาบาลที่นั่นแล้ว เห็นว่าญาติคนไข้ต้องการให้ปิดเป็นความลับ ไม่อยากให้คนนอกรู้ แม้แต่ชื่อก็ไม่ให้เปิดเผย” อี้ฟานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“จะลองถามคุณหมอโจดูไหมครับ?”
“ไม่ต้องหรอก คงแค่ไปเยี่ยมไข้ ไม่น่ามีอะไร” แค่เจ้าตัวไม่ได้เป็นอะไรก็พอแล้ว
ครู่หนึ่งประตูห้องก็เปิดออก คุณหมอหนุ่มเดินออกมาพร้อมกับกระเป๋าเครื่องมือ ยิ้มให้กับคุณชายรองของบ้านอู๋ก่อนจะบอก
“ไม่เป็นอะไรมากครับ แค่มีไข้ธรรมดา ผมฉีดยาให้แล้ว ที่เหลือก็ให้ทานยาตรงเวลาแล้วก็พักผ่อนมากๆ พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น”
“ขอบคุณมากนะครับ” อี้ฟานถอนหายใจเบาๆ พูดคุยกันอีกสองสามคำก็บอกให้คนสนิทไปส่งคุณหมอกลับโรงพยาบาล
เขากำลังจะกลับเข้าไปในห้องเพื่อดูอาการคนไข้อีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอก็นึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ เขารีบกดรับในทันที
“ครับคุณแม่”
[ลูกอยู่ไหน สายแล้วนะยังไม่เข้าบริษัทอีกหรือ]
“ขอโทษครับ ผมยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย”
[จื่อเทาไม่ได้บอกหรือว่าวันนี้ลูกต้องเข้าบริษัท]
“บอกแล้วครับ แต่ผมติดธุระนิดหน่อย จะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ” วางสายจากมารดาแล้วก็ต้องถอนใจ มองประตูห้องของพี่ชายแล้วก็นึกเป็นกังวลถึงคนที่ยังนอนป่วยอยู่ในนั้น แต่ให้กลับเข้าไปตอนนี้คงไม่ได้ สุดท้ายก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอีกครั้ง
“จื่อเทา ส่งคุณหมอเสร็จแล้วกลับมาที่บ้านนะ ฉันจะเข้าบริษัท ฝากดูแลเค้าด้วย”
.
.
.
ห้องทำงานบนชั้นสูงสุดของตึกดับเบิ้ลยูเคกรุ๊ปถูกตกแต่งอย่างหรูหราเพื่อให้สมกับตำแหน่งประธานกรรมการฝ่ายบริหารบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของห้อง ไม่ว่าจะมองจากด้านไหนหรือกระจกบานไหนของห้องก็จะได้เห็นบรรยากาศตัวเมืองในมุมสูง เป็นแง่คิดเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของผู้ที่เคยทำงานในห้องนี้ อู๋เจียหลิงผู้ซึ่งในขณะนี้ดำรงตำแหน่งประธานของบริษัทแทนสามีของเธอ และเป็นผู้มีที่มีสิทธิอย่างเต็มเปี่ยมที่จะใช้ห้องนี้ กำลังนั่งอ่านรายงานบนหน้าจอแลปท็อปประกอบกับเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะ ขณะที่โทรศัพท์ภายในที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะจะส่งสัญญาณเสียงสั้นๆ และไฟสีแดงที่ปุ่มเล็กๆ จะกระพริบ
“ท่านประธานคะ รองประธานลีมาขอพบค่ะ” เสียงเลขาหน้าห้องดังขึ้นเมื่อคุณนายอู๋กดสปีกเกอร์โฟน เธอถอดแว่นสายตาที่สวมอยู่ออกแล้วปิดแฟ้มเอกสารที่เปิดค้างอยู่ลง
“เชิญเข้ามา” ไม่นานนักประตูห้องทำงานก็ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนร่างท้วมแต่งตัวภูมิฐานเดินยิ้มเผล่เข้ามาในห้อง
“ท่านประธานนี่ขยันจังนะครับ จะบ่ายโมงแล้ว ยังไม่ไปทานข้าวอีก” เรียกชื่อตำแหน่งแทนชื่อจริงเป็นการให้เกียรติผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า แต่ท่าทางการเอามือล้วงกระเป๋า กับรอยยิ้มที่ไม่ดูจริงใจซักนิดนั่นกลับตรงกันข้าม
“รองประธานลีมีธุระอะไรก็ว่ามาเถอะ ดิฉันจะได้ทำงานต่อ” คุณนายอู๋ว่าเสียบเรียบ เบนสายตาไปให้ความสนใจกับหน้าจอแล็ปท็อปพลางคลิกเม้าส์ไปเรื่อยราวกับมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจกว่า
“ลูกชายคนรองของท่านประธาน ผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ช่วยรองประธานคนใหม่ เห็นว่ามาทำงานวันแรกก็สายแล้วหรือครับ”
“ถ้าจะเข้ามารายงานเรื่องประวัติการมาทำงานสายล่ะก็ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแผนกบุคคลดีกว่านะ”
ผู้มาเยือนดูท่าว่าไม่สะทกสะท้านกับท่าทีเย็นชาของนายหญิง กลับตรงเข้ามาลากเก้าอี้รับแขกตรงหน้าโต๊ะทำงานใหญ่ไปนั่งก่อนจะยกขาอีกข้างขึ้นไขว้กันอย่างไม่เกรงใจเจ้าของห้อง
“ผมก็ไม่ได้อยากจะก้าวก่ายอะไร แต่เกรงว่าอนาคตท่านประธานคนใหม่จะถูกนินทาเอาได้ ความจริงการที่คุณชายรองเข้ามานั่งตำแหน่งนี้ทั้งที่ไม่ได้จบบริหารมาโดยตรง แถมยังเพิ่งกลับจากเมืองนอกเมืองนา ประสบการณ์อะไรก็ไม่มีสักนิด ผมเองก็เคยได้ยินเสียงบ่นๆ มาบ้าง ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก คนในตระกูลอู๋ทุกคนล้วนเป็นทายาทและได้รับสายเลือดโดยตรงมาจากนักบริหารที่เก่งที่สุด ต่อให้ไม่มีประสบการณ์อะไรมาก่อนก็ยังทำงานได้ คงไม่ต้องรบกวนรองประธานลีให้ช่วยดูแล” ท่านประธานยังคงรักษาระดับอารมณ์และน้ำเสียงได้เป็นอย่างดี เธอหันไปเปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าแล้วหยิบแว่นมาสวม อ่านอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อจะบอกว่าตัวเองกำลังยุ่ง และไม่มีเวลามาคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ รองประธานลีมองคนตรงหน้าที่พยายามไล่เขาทางอ้อม รอยยิ้มที่ยังอยู่บนใบหน้าเมื่อครู่ค่อยจางหาย
“เฮ้อออ ท่าทางท่านประธานจะยุ่ง ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนแล้ว” พูดจบก็ลุกขึ้นจัดเสื้อสูทของตัวเองให้เข้าที่ทำท่าว่าจะเดินออกประตูไป แต่ก็ไม่วายหันมาพูดทิ้งท้าย “ยังไงก็อย่าหักโหมนักนะครับ ตอนนี้ผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ซึ่งเป็นคนของตระกูลอู๋ก็เหลือแค่คุณนายกับคุณชายรอง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับใครซักคน บริษัทจะแย่เอาได้นะครับ”
คำพูดที่เหมือนเป็นคำขู่มากกว่าความห่วงใยนั้นคงจะสร้างความหนักใจให้ผู้ฟังอยู่ไม่น้อย เพราะทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง อู๋เจียหลิงก็ถอนหายใจเคร่งเครียด หันไปมองกรอบรูปบนโต๊ะทำงาน ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานในรูปนั้นกำลังยิ้มตอบกลับมา
“ฉันจะรักษาบริษัทนี้ไว้ อย่าห่วงเลยค่ะคุณ ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่ให้ใครได้มันไป นอกจากลูกของเราเท่านั้น”
.
.
.
การทำงานวันแรกของผู้ช่วยรองประธานฝ่ายบริหารดูจะยุ่งเหยิงซักเล็กน้อย เข้ามาถึงบริษัทได้ไม่ถึงห้านาที เลขาหน้าห้องก็หอบเอาแฟ้มเอกสารกองโตมาวางไว้ให้บนโต๊ะทำงาน ซ้ำยังกำชับว่าท่านประธานให้ศึกษางานทั้งหมดจากเอกสารกองนี้ แต่เพราะในใจยังเป็นกังวล ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับงานนั่งโต๊ะแบบนี้ ทำให้อี้ฟานไม่มีสมาธิจะทำอะไร อ่านรายงานประจำปีอยู่ได้แค่ไม่กี่บรรทัด ใจก็นึกถึงคนที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน ถึงหมอโจจะบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่อาการแบบนั้นก็น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ตอนที่เขาได้กอดเด็กหนุ่มไว้ในอ้อมแขนถึงได้รู้ ว่าจางอี้ชิงตัวเล็กและบอบบางขนาดนั้น ถ้าเกิดรู้สึกหนาวเพราะพิษไข้ขึ้นมาอีกแล้วใครจะคอยกอดให้อุ่น แล้วถ้าตื่นขึ้นมาจะยังปวดหัวเพราะพิษไข้อยู่ไหม
...เป็นห่วงงั้นหรือ?
ไม่สิ จะห่วงไปทำไม เค้าก็แค่คนอาศัย ...เป็นคนอื่น
ไม่ใช่สิ ไม่ใช่คนอื่น เค้าเป็นคนรักของพี่จุน เราก็ต้องดูแล... ตามหน้าที่ไง
คิดแล้วอี้ฟานได้แต่ถอนใจ นี่เขากำลังจะเป็นบ้าเพราะความคิดผิดชอบชั่วดีกำลังตีกันเองหรือไงนะ
.
.
.
ร่างบางบนเตียงใหญ่กำลังขยับตัวน้อยๆ ชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าคนป่วยมาตลอดช่วงเช้าสังเกตุเห็นจึงลุกจากที่นั่งมายืนอยู่ข้างเตียงแทน และทันทีที่จางอี้ชิงลืมตาขึ้น เขาก็ถามอาการ
“ปวดหัวหรือเปล่าครับ?”
อี้ชิงพยายามพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง โคลงหัวเล็กน้อยก่อนตอบ
“ก็นิดหน่อย” มองหน้าคนสนิทของคุณชายรองแล้วก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง สุดท้ายก็ก้มลงสำรวจตัวเอง พยายามนึกทบทวนแล้วก็จำได้ว่าครั้งสุดท้ายตนไม่ได้ใส่เสื้อตัวนี้ ที่ข้อพับแขนมีพลาสเตอร์ปิดอยู่ เขายกแขนข้างนั้นขึ้นแล้วถามจื่อเทา
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เมื่อคืนคุณเมาหนัก เช้าขึ้นมาก็มีไข้ตัวร้อน คุณชายเลยให้คุณหมอมาดูอาการ หมอฉีดยาให้แล้วบอกให้พักผ่อนมากๆ ยาอยู่บนโต๊ะนะครับ คุณหมอให้ทานให้ตรงเวลา”
อี้ชิงพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ
“แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ล่ะ? นายเปลี่ยนให้ฉัน?”
“คุณชายเช็ดตัวแล้วก็เปลี่ยนให้ครับ”
“แล้วนายก็นั่งเฝ้าฉันอยู่อย่างนี้?”
“ครับ คุณชายต้องเข้าบริษัท ก็เลยให้ผมคอยดูไว้ เผื่อคุณต้องการอะไร” เป็นอีกครั้งที่อี้ชิงพยักหน้า รู้สึกมึนๆ หัวจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดี “ทานอะไรซักหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะให้เด็กยกอาหารขึ้นมาให้ คุณจะได้ทานยา”
จื่อเทากำลังจะเดินออกจากห้องตอนที่ดูเหมือนว่าจะมีสายเรียกเข้ามาในโทรศัพท์มือถือที่ปิดเสียงไว้ ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาและกดรับในทันที
“ครับคุณชาย ตื่นแล้วครับ ผมกำลังจะให้เด็กเอาอาหารมาให้” เป็นประโยคสุดท้ายที่อี้ชิงได้ยินก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง
ก้มลงมองเสื้อผ้าที่ถูกเปลี่ยนให้แล้วอี้ชิงก็ไล้ปลายนิ้วไปตามสาบกระดุมเสื้อของตัวเองช้าๆ อย่างใช้ความคิด ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่กระจกบานใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับตู้เสื้อผ้า เปิดคอเสื้อให้กว้างออกจนเผยให้เห็นช่วงไหล่ขาวมนสะท้อนในกระจก เด็กหนุ่มจุดยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นรอยแดงเหนือเนินไหล่ขาวข้างหนึ่ง ดวงตาคู่สวยเป็นประกายด้วยความพอใจ นับว่าแผนที่เขาวางไว้นั้นเป็นไปได้ดีจนเกินคาด
“ต้องอย่างนี้สิอู๋อี้ฟาน ยิ่งนายลืมตัวกับฉันมากเท่าไหร่ นายก็ยิ่งหลงเข้ามาในกับดักของฉันเร็วขึ้นเท่านั้น”
.
.
.
TBC.
คนรอง: นิย๊ายยยยนิยาย น้ำน๊าวววน้ำเน่าเนอะ ยังกะละครทีวี หกปีที่แล้วฉันคิดอะไร (หรือดูละครเรื่องอะไรอยู่) พล็อตมันถึงได้ออกมาเป็นแบบนี้ ><
เนื้อเรื่องดราม่าแต่จบแฮปปี้นะฮะ ไม่ต้องกลัว เราไม่เคยฆ่าใครตาย
เจอกันใหม่ตอนหน้าค่ะ ^^
ความคิดเห็น