ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่5 ( Fitchburg Finches ) ฟิชเบิร์ก ฟินเชส อัพ 100%
ปราสาทหินอ่อนขาวโพลนหลังใหญ่ตั้งตระหง่านเทียมฟ้าอยู่ด้านหน้าชายหนุ่ม  ท่อรางน้ำฝนที่ยื่นออกมาจากตัวปราสาทสลักรูปปั้นตัวการ์กอยด์คู่ใหญ่ยักษ์  เสาหินขนาดใหญ่สี่ต้นวางเรียงกันตามจุดที่สำคัญเพื่อรองรับน้ำหนักของตัวอาคาร    หอคอยที่สูงถัดขึ้นไปจากตัวปราสาทดูจะโดดเดี่ยวเมื่อถูกปกคลุมด้วยเมฆฟ้า   
ชายหนุ่มถูกนำทางให้เข้าไปภายในปราสาทที่โอ่อ่า  นักบวชหลายคนยืนเป็นองค์รักษ์หันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆตามทางเดินที่ยาวเหยียด    นักบวชผู้แก่ชราพาชายหนุ่มมาหยุดอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่  สีขาวและความกว้างใหญ่ของภายในห้องดูจะโล่งไปถนัดตาถ้าไม่นับรวมเก้าอี้หินอ่อนเจ็ดตัวที่ถูกตั้งเอาไว้ตามลำดับความอาวุโส
“ ท่าน...ไปยืนตรงกลาง  ” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั้นๆ
“ พวกเขาจะไม่มาต้อนรับข้าที่นี่หรือไงกัน ”  เซดอร์ฟพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ พวกเขารอท่านอยู่แล้ว ขอให้ท่านไปยืนตรงกลางเร็วๆเถอะ ” ชายชราดูจะเบื่อหน่ายกับการพูดหลายประโยค
ชายชราชี้นิ้วไปที่พื้นหินอ่อนตรงกลางห้องโถง    วงแหวนขนาดใหญ่ถูกเขียนลงที่ด้านล่าง  ภาษาโบราณของเผ่าพันธุ์นักบวชจารึกอักษรขึ้นรอบๆวงแหวน  ชายหนุ่มก้าวกระโดดเข้าไปตรงกลาง  แสงสีทองที่เปรียบเสมือนน้ำ  ค่อยๆไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดินตามร่องที่สลักอักษรโบราณ  มันไหลเคลื่อนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไปบรรจบกันที่วงแหวนรอบนอก
ครืน!   วงแหวนสีทองเริ่มเคลื่อนที่ลอยขึ้นอย่างช้าๆ  มันพาร่างที่เด็ดเดี่ยวของชายหนุ่มลอยขึ้นไปยังหอคอยที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยฟุต  ชายหนุ่มแหงนหน้ามองด้วยความท้อใจ  ความสูงของหอคอยดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่ๆทีเดียว  ขาของเขาสั่นเล็กน้อย    เมื่อวงแหวนขนาดใหญ่ลอยมาได้ถึงครึ่งทาง  พื้นข้างล่างดูจะเล็กลงไปถนัดตาเมื่อมองลงไปจากจุดนี้
สักพักวงแหวนสีทองก็เคลื่อนที่มาจนถึงด้านบนสุดของหอคอย  มันหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติเหมือนถูกควบคุมโดยกลไกที่ซับซ้อน  ชายหนุ่มก้าวออกมาจากวงแหวน  ทางเดินแคบๆด้านหน้า ดูจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ สหภาคีแห่งนักบวช  ที่สุดทางเดินเป็นลานกว้างขนาดเล็กด้านนอก    ชายเจ็ดคนยืนหันหน้าออกไปทางด้านนอกของหอคอย  แต่ละคนล้วนใส่ชุดสีขาวที่แสดงถึงความเป็นนักบวช  พวกเขายืนเอามือไพร่หลังกันตามล็อกของแต่ละเสาหิน ที่เรียงร้อยกันเป็นวงกลมบนจุดสูงสุด 
“ สวัสดี ท่าน... ”  บุรุษผู้สูงวัยยืนนิ่งในลำดับที่สี่หันหน้ากลับมาทักชายหนุ่ม    บนศีรษะของเขามีแท่งคล้ายๆกับจะเป็นหมวกทรงสูงสีดำซึ่งทำจากผมที่ดำสนิทของเขาดูประหลาดอย่างยิ่ง  หน้าตาที่คมสันได้รูปดูจะเข้ากับอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ที่สวมใส่
“ เซดอร์ฟ  ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อตัวเองขึ้น
“ อืม...นามของข้า เบนเลอโรฟอน  นักบวชระดับสูงสุดหัวหน้าแห่งสหภาคีนักบวช ”  บุรุษผู้สูงวัยเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ ยินดีที่ได้รู้จักท่าน เบนเลอโรฟอน  เป็นเกียรติอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียวที่ข้าได้พบท่าน ” ชายหนุ่มพูดขึ้นน้ำเสียงเอาอกเอาใจบุรุษผู้สูงวัย
“ ข้าขอแนะนำ  ท่านผู้นี้ ชาร์ล ดิคเก้นส์ นักบวชระดับสูงของสหภาคี  เขาเป็นคนพาท่านมายังที่นี่  ” เบนเลอโรฟอน  หันหน้ามาทางด้านซ้าย  นักบวชลำดับที่ห้านับจากซ้ายหันหน้ากลับมาหาชายหนุ่ม    เซดอร์ฟจำได้ในทันที  มันเป็นคนเดียวกับที่ชายตามองเขาที่ตลาดกลางเมืองเมื่อหลายวันก่อน  แต่รอยบากที่หน้าผาก เขากลับไม่เคยเห็นในวันนั้น
“ ยินดีที่ได้รู้จัก  ท่าน ดิคเก้นส์ ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่ไว้ใจ  บุรุษสูงวัยก้มหัวให้เขาเบาๆเป็นเชิงทักทาย
“ ได้ข่าวมาว่า ท่านไปอาละวาดที่ตลาดกลางเมืองมาอย่างงั้นหรือ! ” เบนเลอโรฟอน เริ่มตั้งคำถามเข้าใส่
“ ข้าก็ไม่รู้  ข้าจำอะไรไม่ได้ก็เท่านั้น ” เซดอร์ฟพูดปด
“ งั้นหรือ!!  ข้าต้องขอบคุณท่านมาก  ที่ช่วยทำให้พวกเรารอดมาได้จากกองทัพยักษ์ที่อัปรีย์พวกนั้น ” เบนเลอโรฟอน สบถคำออกมา
“ คงจะบังเอิญซะมากกว่านะ  พวกมันก็จ้องจะโจมตีพวกมนุษย์อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ” ชายหนุ่มพูดขึ้น  มือซ้ายยังคงจับอยู่ที่ท้องน้อย  อาการเจ็บแปล๊บ ดูจะปรากฏขึ้นมาทีละนิดจากบนสีหน้าของเขา
“ พวกมันไม่ได้ต้องการจะโจมตีพวกมนุษย์  แต่พวกมันต้องการจะล่อให้พวกเราออกไป เพื่อฆ่าพวกเรา ”  ดิคเก้นส์พูดขึ้นด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขา
“ แล้วพวกมันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“  พวกมันถูกควบคุมจากจอมขมังเวท ” สีหน้าที่โกรธาบังเกิดขึ้นบนใบหน้าของดิคเก้นส์  สิ่งที่ฝังลึกลงภายใต้จิตใจอันเข้มแข็งคงจะมีบางอย่างที่ทำให้เขาแค้นเคืองใจอย่างยิ่ง
“ ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่ถูกกับ...เหล่าจอมขมังเวทนี่ก็คงจะเป็นจริงอย่างที่ร่ำลือซินะ ”  น้ำเสียงมีเลศนัยของชายหนุ่มดังขึ้น
“ ถูกต้อง! ในอดีตพวกเราเผ่าพันธุ์นักบวชอยู่กันอย่างสงบสุข  ในวันที่สว่างไสว  ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มเป็นฟ้ามืด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมีแต่ลมพายุที่รุนแรง  มันกลับปรากฏเป็นกองทัพจอมขมังเวทย์ล่องลอยมาตามสายลมเหนือน่านฟ้าของอาณาจักรพวกเรา  พวกมันทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า  เด็ก  ผู้หญิง  คนแก่  ต่างล้มตายเป็นพัลวัน  พวกข้าทั้งหมดต่างสู้ตายโดยไม่เสียดายชีวิต    แต่จู่ๆ พวกมันก็ถอยทัพที่ชั่วช้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว สถิตอยู่ภายในอาณาจักร  อำนาจที่ลึกลับ อำนาจที่แม้แต่สติปัญญาที่ชาญฉลาดทั้งหมดของพวกเรา ก็ไม่อาจหยั่งถึง  ทำให้พวกมันต้องถอยหนีอย่างหวาดผวา  ข้าไม่ลืม!! และจะไม่มีวันลืม ความชั่วช้าที่มันทำกับพวกเรา ” ดิคเก้นส์ร่ายยาว สายตาที่คมกริบยังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มอย่างไม่วาง
“ ข้ากลัวว่า...มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด?? ” ชายหนุ่มพูด
“ ท่านกล่าวมาแบบนี้  แสดงว่าท่านรู้อะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ ? ” ดิคเก้นส์เอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่ท้าทาย
“ ข้าว่า...พวกเขาน่าจะถูกควบคุมซะมากกว่า  คงไม่มีใครบ้าพอขนาดเอาเผ่าพันธุ์ตัวเองมาตายทั้งๆที่ไม่มีความแค้นต่อกันหรอก ”  เซดอร์ฟยิ้มออกมาเบาๆ
“ แล้วใครกัน...ที่จะมีอำนาจขนาดควบคุมจอมขมังเวททั้งกองทัพได้ ”  ดิคเก้นส์ตะคอกออกมา  ท่าทีของเขาร้อนรนเหมือนโดนหักหน้า
                        “ เวไลน์    จอมขมังเวทที่4 แห่งเยฮาน  ” 
เฮือกกกก! ! เสียงสะดุ้งที่ดังสนั่นออกมาจากลำคอของทั้ง7คน  ดูจะกระทบกระทั้งจิตใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขานัก  สายตาที่แน่นิ่งของดิคเก้นส์มองไปมาอย่างวุ่นวาย ลูกตากลอกไปมาเหมือนกับถูกมนต์สะกด
“ เจ้าพูดอะไรออกมา!!.....  จอมบ้าคลั่ง  เวไลน์  มันถูกพวกข้าฆ่าตายก่อนที่พวกเราจะโดนพวกจอมขมังเวทรุกรานเสียอีก  ”  บุรุษเฒ่าหันหน้าเข้ามาตะคอกใส่เซดอร์ฟด้วยความไม่พอใจ  เขาเป็นหนึ่งในสหภาคีที่อายุมากที่สุด รูปร่างของเขาดูจะเตี้ยมากทีเดียวเมื่อเทียบกับเหล่านักบวชที่เหลือ   
“ ใจเย็นน่า!! ! โอแฮร์  ”  เบนเลอโรฟอนดึงตัวของบุรุษเฒ่าเอาไว้ 
“ รอยแผลเป็นที่ฝังลึกลงบนหน้าของข้า?  เป็นฝีมือของเวไลน์    มันตายด้วยฝีมือของพวกเราทั้ง7  การที่มันจะมาควบคุมเหล่าจอมขมังเวทคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  อีกอย่าง เหล่าจอมขมังเวทก็ขับไล่มันออกไปจากเผ่าพันธุ์แล้วอีกด้วย ”  น้ำเสียงที่ดูจะมั่นใจของดิคเก้นส์ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมอย่างไม่หยุด 
“ ท่านบอกว่าพวกท่านทั้งหมด  เป็นคนฆ่าเวไลน์  ตอนที่มันตายท่านเห็นศพของมันหรือเปล่าละ ” ชายหนุ่มเถียง
“ ท่านนี่ช่างจะรู้ดียิ่งกว่าพวกเราอีกนะ ”  เบนเลอโรฟอนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงสัยดังกระจ่างออกมา
“ ท่านอย่าคิดอะไรให้ปวดหัวไปเลย  ข้านะสงสารผมบนศีรษะของท่านนัก ” เซดอร์ฟพูดขึ้นติดตลก
“ หึๆ  เรื่องนั้นมันไม่สำคัญ    บอกตรงๆว่าข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นศพของเจ้านั่นเหมือนกัน  มันตกเหวลงไปก่อนที่จะโดนวิชาสูงสุดของข้า ” เบนเลอโรฟอนพูดขึ้น เขามีท่าทีที่ยอมรับผิดอยู่มากในความบกพร่องของตนเอง
“ งั้นข้าขอตัวไปพักก่อนนะ  ข้าไม่ชอบเถียงอะไรกับคนที่แก่กว่านักหรอก  พรุ่งนี้ข้าจะไปจากที่นี่ตอนสายๆ  ต้องขอบคุณพวกท่านอีกครั้งที่ช่วยข้า และ เอ่อ...ไม่ถามคำถามอะไรที่ข้าไม่สามารถตอบพวกท่านได้ ” เสียงของเซดอร์ฟเปล่งออกมา เขาเดินหันหลังกลับโดยไม่คอยให้มีเสียงตอบกลับจากเหล่านักบวช
“ ฮึ่ม!!  เจ้า!  ”  โอแฮร์โกรธจนหน้าเขียว  เขาอยากจะระบายความอัดอั้นตันใจที่มีอย่างล้นหลามออกมาใส่เซดอร์ฟ  แต่ก็ถูกฉุดกระชากยับยั้งด้วยมือที่ทรงพลังของนักบวชดิคเก้นส์
“ เอาน่าท่านผู้เฒ่า...  มันยังไม่ถึงเวลา ” เบนเลอโรฟอน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่กังวานกว่าเก่า
“ เบอเลอโรฟอน  ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเจตนาของท่านดี  ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปกับเจ้านั่นต่อไปกันละ ”  ดิคเก้นส์พูด
เบนเลอโรฟอนขยับตัวโอนเอนไปมาเล็กน้อย เขาเดินวนไปรอบๆลานกว้างด้วยเท้าที่หนักแน่น  เหล่านักบวชต่างก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงประจำตำแหน่งของตนและคุกเข่าลงกับพื้นที่ขาวสะอาด  สายตาทุกคู่ที่จดจ้องมองอยู่เพียงผู้เป็นหัวหน้าดั่งเป็นเชิงรอรับคำสั่ง
“ พวกท่านวางใจได้  ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของข้า นักบวชระดับสูงสุดรุ่นที่25แห่งสหภาคี ”  เบนเลอโรฟอนสูดหายใจแรงๆ  ดวงตาของเขาทอประกายขึ้นด้วยแววมีชัย  “ โชคชะตาถูกบัญญัติขึ้นมา  ด้วยลมปากแห่งพระเจ้า  ยามที่ตะวันเคลื่อนคล้อยลงตรงกลางฟ้า  บุรุษครึ่งซาตาน!! ที่เคยตื่นขึ้นจากการหลับใหล จะถูกปลิดชีพโดยการลอบสังหารของนักบวช ”
“ อ่า...มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการอย่างยิ่ง  ท่านเบนเลอโรฟอน  ข้าขอรับหน้าที่จัดการเจ้านั่นด้วยตัวของข้าเองเถิด ” ผู้เฒ่าโอแฮร์พูดเสียงอ่อยๆ
เบนเลอโรฟอนยื่นมือข้างซ้ายที่ขาวซีดออกมาและวางมันลงบนศีรษะของโอแฮร์  ข้อมือซ้ายของเขามีรอยกรีดลึกสีแดงเป็นรูปไม้กางเขน สีหน้าที่นิ่งเฉยของเขาดูจะเก็บความรู้สึกได้ดีทีเดียว  เส้นเลือดที่แดงสดค่อยๆปูดขึ้นเรื่อยอย่างน่ากลัวตามแขนจนเลยขึ้นไปถึงหัวไหล่ที่ถูกคลุมด้วยอาภรณ์ขาว  คาถาบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์แห่งภาษาเปล่งออกมาจากปากของเขา  โอแฮร์มีอาการสั่นเทารุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับคนจับไข้เมื่อถูกสัมผัสจากมือของเบนเลอโรฟอน ท่าทางของชายแก่ดูจะมีอาการที่น่าเป็นห่วง  ดวงตาของเขากลอกไปมาเหมือนกับจะหลุดออกมาจากเบ้า 
“ พระผู้เป็นเจ้า  ทรงมอบความกล้าหาญและพละกำลังที่แข็งแกร่งให้กับท่านแล้ว  จงไปทำภารกิจที่สำคัญให้สำเร็จด้วยเถิด ”    เบนเลอโรฟอนเอ่ยขึ้นเมื่อร่ายคาถาเสร็จ
“ ข้า...จะต้องฆ่ามันให้ได้อย่างแน่นอน ” ชายแก่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบห้วน  น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ครืน!!!  วงแหวนสีทองเคลื่อนลงสู่กลางห้องโถงสีขาวอีกครั้ง  ชายหนุ่มก้าวกระโดดออกมาก่อนจะถึงพื้นด้วยอาการหงุดหงิด  ดิคเก้นส์เป็นบุคคลที่ไม่ค่อยจะน่าไว้ใจซักเท่าไรสำหรับเขา  ดวงตาที่คมกริบราวกับเหยี่ยวมักจะจับจ้องมองสำรวจอยู่ที่ตัวชายหนุ่ม  โดยเฉพาะศาสตราที่ถูกพันด้วยผ้าขาวห้อยไว้ที่ด้านหลัง  เสียงรองเท้าที่เอื่อยเฉื่อยดังก้องไปทั่วปราสาท เซดอร์ฟยังหันไปทำหน้ากวนๆใส่นักบวชที่ยืนยามอยู่ด้านหน้าก่อนจะออกมาในไม่ช้า
“ อ้าว! ท่านไปพบท่านพ่อของข้ามาแล้วใช่ไหม ”  เสียงทักที่ไพเราะแทรกขึ้นมาในหัวสมองของเซดอร์ฟ
“ แน่นอนองค์หญิง...ท่านพ่อของท่านต้อนรับข้าอย่างดีเชียวละ ” เซดอร์ฟเอ่ยขึ้นเบาๆ  มือข้างซ้ายที่หยาบกร้านของชายหนุ่มค่อยๆเลื่อนไปที่ด้านหลัง นิ้วชี้กันนิ้วกลางเกี่ยวขัดกันอย่างเหนียวแน่น
“ แล้วท่านจะไปไหนต่อหรือ!!  ข้าว่างพอดี  เลยอยากจะชวนท่านไปดื่มน้ำชาที่ ศาลาเลื่อนลอย ซักหน่อยนะ ”  ผมที่หยิกเป็นลอนของนางปลิวไสวอย่างเงางามด้วยแรงลม ท่าทางที่ร่าเริงผิดปกติทำให้เซดอร์ฟเผลอหลุดยิ้มตอบกลับไปเบาๆ
“ จริงๆแล้ว...ข้าเองก็กะว่าจะกลับไปนอนพักซักงีบ  แต่ถ้าเป็นคำเชิญขององค์หญิง  ข้าเองก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน ”  เซดอร์ฟพูด  ลึกๆในใจที่ว้าเว่ของเขามีท่าทีที่สนใจองค์หญิงไม่น้อยทีเดียว  คงเป็นเพราะเขาคิดถึง  เซนต์  เพื่อนรักที่สนิทที่สุด ซะมากกว่า 
“ งั้น! เชิญเถอะ... ” องค์หญิงเดินนำหน้าชายหนุ่มไปยังด้านหลังของปราสาทที่ดูจะรกร้างไปด้วยสวนสนที่ขึ้นเบียดเสียดกันหนาทึบ รอบข้างมีแต่ความมืดของเงาไม้ที่เคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิต เมื่อโอนเอนไปมาตามกระแสลม  แสงสว่างที่แฝงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของป่าสะท้อนเข้ากระทบกับนัยน์ตาสีเขียวคู่โตเป็นประกาย
“ ถึงแล้ว! ..เชิญนั่ง  ” นางพูดขึ้น เมื่อทั้งสองเดินแทรกหมู่ไม้ที่เคี้ยวคดและเต็มไปด้วยขวากหนามสู่ศาลาสีขาวที่สุกสว่างอยู่ภายใน  โต๊ะม้าหินอ่อนตั้งอยู่ด้านใน  ถ้วยชามีหูขนาดเล็กสองถ้วย ถูกนำมาตั้งไว้ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะมาถึง  กลิ่นหอมของชาลอยมาเตะจมูกของชายหนุ่มชวนให้น่าลิ้มลองยิ่งขึ้น  ด้านหลังของศาลาดูจะว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี มีเพียงสายธารน้ำแห่งวังวนสายเล็กๆที่ไหลไปสู่ตอนเหนือ
“ ไม่นึกเลยว่า...ในที่รกร้างแบบนี้ยังคงถูกซ่อนเอาไว้ด้วยความงามที่ล้ำค่า  นี่ซินะคงเป็น ศาลาเลื่อนลอย  ที่ท่านว่า ” ชายหนุ่มยอดคำหวาน
“ ท่านอย่าพยายามให้ยากเลย!!! ไม่นึกเลยว่า...สายตาที่เย็นชาของข้า จะใช้กับท่านที่แสนจะธรรมดาไม่ได้เอาเสียเลย  ” นางพูดขึ้นขณะยกถ้วยขึ้นจิบเบาๆ  ควันในถ้วยยังคงลอยกรุ่นออกมา 
“ ข้าไม่อยากจะเรียกท่านว่าองค์หญิงอีก ” เซดอร์ฟพูด “ ข้าว่าเราน่าจะมาเป็นมิตรกันน่าจะดีที่สุด  ไหนๆข้าเองก็ไม่สมหวังในรักกับท่านซะแล้ว ”
“ ข้าเป็นถึงองค์หญิง  ชื่อของข้าเอง ก็คงไม่สมควรจะพูดให้คนอื่นทราบหรอกนะ ” องค์หญิงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่เย็นชา  ” แต่ยังไงซะ ท่านเองก็เหมือนเป็นมิตรคนหนึ่งของข้า \"
“ ท่านนี่หัวแข็งเป็นบ้าเลยนะ  ชื่อของข้าเองก็คงจะไม่สำคัญอย่างแน่นอน ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ เขายกถ้วยชาขึ้นซดไปหลายอึกจนหมดถ้วย 
“ ท่านไม่กลัวว่าข้า จะวางยาท่านบ้างหรือไงกัน ”  นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย็นเฉียบ
“ เฮ้อ อย่างไงซะข้าก็ดื่มจนหมดเกลี้ยง จะตายหรือไม่ตายมันก็คงขึ้นอยู่กับท่าน ” เสียงที่ท้าทายดังขึ้น
“  ท่านนี่ใจกล้าไม่เบาจริงๆ ”  นางพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ “ ข้าเองก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่เสียตรงที่ ยาพิษที่จะใส่มันดันหมดเสียก่อนนะซิ  ” 
ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วขณะ  เขาไม่นึกเลยว่า องค์หญิงผู้บอบบางและสง่างามจะคิดได้จริงจังขนาดนี้  รอยยิ้มเย็นๆของนางปรากฏขึ้นที่มุมปาก  นิ้วที่เรียวบางของนางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้งอย่างเบามือ
“ ท่านรู้ไหม!  ว่าทำไมที่นี่ถึง ได้ชื่อว่า  ศาลาเลื่อนลอย  ”  แววตาที่ดูช่างเพ้อฝันของนางกวาดตามองไปรอบๆศาลาที่สว่างไสว  นางยื่นมือขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าเหมือนจะไขว่คว้าหาสิ่งที่สัมผัสไม่ได้
“ ดูท่าท่านจะมีความผูกพันกับที่นี่มากเลยนะ ”  ชายหนุ่มพูดขึ้น 
“ สมัยก่อน ที่แห่งนี้ไม่ได้ขึ้นรกด้วยสนป่าที่มืดทึบ ” นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย  “ มันเคยเป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งและสวยงามที่สุดที่ข้าเคยเห็น  แม่บอกกับข้าว่า...สวนแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ  ข้ามักจะชวนแม่มานั่งดูสายธารแห่งวังวน มองดูหมู่นกที่กำลังส่งเสียงเจี้ยวแจ้วที่ไพเราะ  และเหล่าผีเสื้อที่บินหาน้ำหวานอย่างร่าเริง  แม่เป็นคนที่ข้ารักมากที่สุด... ”
มาถึงตรงนี้ สีหน้าของนางดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับตอนปกติที่แววตาของนางจะเย็นชาอยู่เสมอ  เหมือนนางกำลังร้องไห้อยู่ในใจ  เซดอร์ฟได้แต่นิ่งฟังอย่างเงียบเชียบที่สุดจนกระทั่งหลุดโพล่งออกมา
“ แล้วท่านแม่ของท่านละ ”  เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ แม่เคยให้ข้าสัญญากับนางว่า  หากวันใดร่างของนางไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนกับข้าบนโลกนี้แล้ว ให้ข้าเอานางลอยไปตามกระแสสายน้ำแห่งนี้  สายน้ำที่จะนำนางไปสู่ความสงบสุขที่สุด  ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างที่นางพูด  แต่วันนั้นมันก็มาถึงจริงๆ  วันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มผิดปกติ  วันที่ข้าต้องสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักไปชั่วนิรันดร์อย่างไม่กลับคืนมา  ข้านำตัวนางไปลอยที่แม่น้ำแห่งนี้อย่างที่นางต้องการ  ข้าขอท่านพ่อให้ช่วยสร้างศาลาแห่งนี้ขึ้นมา และห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในที่แห่งนี้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ” แววตาของนางมีน้ำใสๆท่วมอยู่เต็มเปี่ยมรอเวลาพรั่งพรูออกมา  เสียงที่สดใสในตอนแรกดูจะเศร้าสร้อยกว่าเดิมหลายเท่านัก  นางเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมนางจึงต้องเผยความในใจที่เจ็บปวดที่สุดของนางให้กับชายแปลกหน้าผู้นี้ฟัง  คงเป็นเพราะนางเกิดถูกชะตากับเขาก็เป็นไปได้
“ เสียใจด้วยนะ ” เสียงที่บางเบาของชายหนุ่มดังขึ้น
“ ช....ช่างมันเถอะ  นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว  เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าอยากจะกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย  ” นางพูดขึ้นขณะหันหลังเดินจากไปยังเส้นทางเดิม  เซดอร์ฟรู้สึกได้ทันทีว่าบัดนี้น้ำตาที่อัดอั้นได้แตกซึมออกมาอย่างยากที่จะหยุดยั้งบนแก้มสีชมพูอ่อนๆของนาง  ไม่นึกเลยว่า นางที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงที่สูงส่งของเหล่านักบวช จะมีอดีตที่ฝังใจได้น่าสงสารขนาดนี้  สมองของเขารู้สึกหนักอึ้งและชาไปครึ่งหนึ่ง  ชายหนุ่มก้าวเดินออกมาจากศาลาที่ว่างเปล่าและตรงไปยังทางที่มุ่งไปสู่ห้องพักที่ขาวโพลน
  ทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งและร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ ถูกย้อมไปด้วยโลหิตที่แดงฉานท่วมพสุธาของเหล่านักรบผู้กล้า  เสียงหัวเราะสะใจดังกึ่งก้องไปทั่วบริเวณดั่งกับสรรเสริญการกระทำที่น่าสมเพศของตน  เมื่อมองดูผู้คนที่ล้มตายระเนระนาดตามพื้นดินที่แห้งแล้ง  แร้งสีดำขลับฝูงใหญ่ บินโฉบจิกกินเศษเนื้อจากศพของผู้กล้าอย่างเอร็ดอร่อยอย่างกับเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกมัน  ดาบในรูปลักษณ์ต่างๆที่เป็นอาวุธคู่กายของพวกเขาปักนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยเลือด    เมื่อเพ่งมองให้ชัดขึ้นอีกครั้ง  สีแดงที่เต็มไปด้วยเลือดต่างก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างที่ดูน่าเกลียดและน่าสยดสยองยิ่งนักด้วยชื่อที่พวกมันถูกขนานนามว่า  ซาตาน  พวกมันพูดคุยกันด้วยภาษาที่ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่เขากลับสามารถเข้าใจมันได้อย่างง่ายได้
  “ ยินดีกับงานเลี้ยงเลือดของท่านด้วย ” เสียงที่ดุดันแต่แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวดังขึ้นมา   
“ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ๆๆๆๆๆ ” เสียงหัวเราะที่บาดหูดังขึ้นเมื่อซาตานตนหนึ่งพูดขึ้นอย่างนอบน้อมกับซาตานอีกตนซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของมัน  ชายหนุ่มเหลือบตามองไปยังต้นเหตุของเสียง  แทนที่เขาจะได้เห็นหน้าที่แท้จริงของผู้เป็นหัวหน้าเหล่าซาตาน  แต่กลับมีเลือดสีแดงดำ พุ่งกระจายสาดกระเด็นเข้าเต็มหน้าของเขาแทน
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!   เซดอร์ฟกรีดร้องราวกับคนที่เสียสติ  เขาตื่นขึ้นจากนิทราด้วยอาการที่เจ็บปวดสุดจะบรรยาย  หัวใจดวงโตๆของเขาเต้นรัวเร็วขึ้นทุกขณะจนจับจังหวะไม่ได้  นัยน์ตาสีเขียวที่แฝงไปด้วยแววตาที่หวาดกลัวสุดขีดจ้องเขม็งไปที่ปลายเตียง  มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมไว้บนขมับที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ  เหงื่อปริมาณมากไหลซึมออกมาตามรูขุมขนของทุกส่วนบนร่างกาย 
-------------------ฝันไปอีกแล้วหรือ!??????-----------------------
ชายหนุ่มปาดเหงื่อด้วยแขนทั้งสองข้างอย่างยากเย็น  เสียหายใจที่ร้อนรนทำลายความเงียบสงัดของห้องพัก  เขาค่อยๆคิดทบทวนถึงความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่กี่นาทีที่แล้วอย่างช้าๆ  ดูท่าเขาจะจดจำมันได้อย่างครบถ้วนทีเดียว    ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงที่นุ่มนิ่มอย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปเปิดหน้าต่างซึ่งมีระเบียงกั้นอยู่ด้านหน้า    ท้องฟ้าที่มืดสนิทยังคงมีแสงสว่างจากจันทราและดวงดาวต่างๆเปล่งแสงไปทั่วทุกบริเวณของฟ้า  ดาวสีแดงที่ดวงใหญ่ที่สุด ส่องสว่างลุกโชนดั่งดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน  ชายหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจในชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญต่อไปในวันข้างหน้า ..........
      แสงแดดอ่อนๆที่เจิดจ้าส่องพ้นชายป่าบริเวณรอบๆอาณาจักร แห่งนักบวช  ไม่นานนักแสงของมันก็ส่องเข้ากระทบกับหน้าของเซดอร์ฟที่กำลังหลับฝันอย่างมีความสุขเกาะริมระเบียง  เขางัวเงียเล็กน้อยก่อนจะเอามือป้องหน้ากันแสงแดดที่ส่องรบกวนการหลับที่บ้าบอของเขา  เช้านี้ดูจะสดใสเกินไปจริงๆสำหรับชายหนุ่ม  อาหารถูกจัดเตรียมตั้งไว้บนโต๊ะสีขาวกลางห้องพัก หลังจากที่เซดอร์ฟเดินเข้ามาด้วยท่าบิดขี้เกียจที่กลางแขนออกอย่างเต็มที่  ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างกับคนที่หิวโซมานานหลายวัน  สลัดผักที่ไม่ถูกปากเขา แต่กลับเกลี้ยงจานอย่างรวดเร็ว  ชายหนุ่มนั่งหลังพิงเก้าอี้ด้วยความสบายใจพลางใช้มือตบพุงเบาๆด้วยความอิ่มเอิบ 
หนังสือสีแดงเล่มใหญ่ถูกหยิบออกมาวางบนโต๊ะสีขาวแทนอาหารที่ตอนนี้ลงไปกองอยู่ในพุงของชายหนุ่มจนหมด  เขาเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลาไปเรื่อยๆด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง  พักใหญ่ๆทีเดียวที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่เพียงแต่ตัวอักษรในหนังสืออย่างเดียว  แสงแดดยามเช้าเริ่มส่องแสงเลยเข้ามาถึงในห้องพักอย่างรวดเร็ว  อากาศรอบๆเริ่มอุ่นขึ้นจนถึงขั้นร้อนอย่างกับเตาอบ    มันบอกได้ถึงเวลาแห่งการจากไปได้เริ่มเข้ามาถึง
ปึ๊บ! เซดอร์ฟปิดหนังสือลง  หลังจากเวลาที่เขารอคอยได้มาถึง  เขาเก็บซ่อนหนังสือไว้ยังที่เดิมและนำศาสตราที่พันด้วยผ้าขาวแน่นปึกสะพายไว้ที่ด้านหลังอีกครั้ง  ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็วฝุ่นที่เกาะตามพื้นปลิวล่องลอยไปตามแรงเคลื่อนของผ้าคลุมสีดำที่ปลิวอย่างบางเบา 
ความเงียบที่วังเวงผิดปกติเมื่อชายหนุ่มเดินมาได้ถึงทางเดินที่กว้างใหญ่ซึ่งมุ่งตรงไปยังทางออกของอาณาจักร    ใจจริงของเขาอยากที่จะลาองค์หญิงก่อนที่จะจากไปอย่างเรียบง่าย  ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มอยากที่จะมีรักเกิดขึ้นอีกสักครั้งเพื่อทดแทนความเหงาที่เขาได้รับมานานหลังจากที่เขาจากมาจากเซนต์ตั้งนานเน
ระวัง!!!!!!   เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหน้าของชายหนุ่ม  บุรุษหนุ่มในชุดขาวร้องทักขึ้นที่หน้าประตูทางออกที่สูงใหญ่      ชายหนุ่มหันขวับกลับไปทางด้านหลังทันที เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของบุรุษหนุ่ม    อาวุธลับพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความรวดเร็วปราณธนูที่ถูกเหนี่ยวยิงยิ่งกว่าลูกธนูอันธรรมดา  ลักษณะกลมของมันดูจะกลมกลืนกับท้องฟ้ายิ่งนัก
ชายหนุ่มกระตุ้นจิตของเขาขึ้นมาอีกครั้ง  ผ้าคลุมสีดำเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้าสู้กับแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก่อนที่อาวุธลับที่รวดเร็วจะพุ่งเข้ามาถึง  พลังบางอย่างผลักมันให้พุ่งกลับไปยังทิศทางเดิมที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า
อั๊ก!  เสียงร้องเสียดอากาศดังขึ้น พอที่จะทำให้ชายหนุ่มได้ยิน  สายตาของเขายังคงมองนิ่งไปยังจุดที่อาวุธลับพุ่งกลับขึ้นไปบนหอคอยสูง
“ แย่แล้ว! ” บุรุษหนุ่มอุทานออกมา เขามีท่าทีที่ร้อนรนยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องที่ฟังดูจะเป็นของชายแก่
ครู่หนึ่ง!  เหล่านักบวชในชุดขาวมากมายหลายสิบคน  ก็พุ่งตรงทะยานออกมาจากที่ซ่อนต่างๆ  บุรุษผู้สูงวัยในอาภรณ์สีขาวพุ่งถลามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างอันบอบบางของชายแก่ที่ถูกหิ้วด้วยมือข้างเดียวร่วงลงสู่พื้นพร้อมกัน  เซดอร์ฟจำท่าทางของมันได้ทันที  มันคือ ดิคเก้นส์  หนึ่งในสหภาคีแห่งนักบวชนั่นเอง
“ เจ้าครึ่งซาตาน! เจ้าไม่มีทางรอดพ้นออกไปจากที่นี่ได้ ”  เสียงของดิคเก้นส์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธที่แผนฆ่าเซดอร์ฟไร้ผล
“ ในที่สุด  ธาตุแท้ของพวกท่านก็ปรากฏขึ้นจนได้นะ  ท่าน ดิคเก้นส์  ” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นๆ
“ เจ้าไม่ต้องมาพูดมาก!!  ตายซะเถอะ ” หนึ่งในนักบวชแห่งสหภาคีที่ดูหนุ่มสบถขึ้น  เขาพุ่งหมัดซ้ายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอัดเข้าใส่ร่างของเซดอร์ฟ    ชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมเข้าใส่ มันสะท้อนพลังหมัดของนักบวชหนุ่มจนกระเด็นไปไกล   
“ ได้!  ถ้าพวกท่านต้องการแบบนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป ” เซดอร์ฟใช้แววตาที่เลียนแบบขององค์หญิง
“ เซดอร์ฟ  ท่านฝืนลิขิตแห่งโชคชะตาของพระเจ้าไม่ได้หรอก ” เสียงที่ดูดุดันดังขึ้นมาจากด้านหลัง  เบนเลอโรฟอนค่อยๆก้าวเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม
“ โชคชะตางั้นหรือ....ถ้ามันกำหนดให้ข้าตาย  ข้าก็จะเป็นคนฝืนโชคชะตาและกำหนดมันขึ้นมาด้วยตัวเอง  ” ชายหนุ่มเถียง ท่าทีของเขาดูจะพร้อมรบตลอดเวลา
“ งั้น!...ข้าเองก็คงจะจนปัญญา ” เบนเลอโรฟอนพูดท่าทางของเขาเอาเรื่องทีเดียว
เหล่านักบวชแห่งสหภาคีทั้งหมดต่างกรูเข้าโจมตีเซดอร์ฟด้วยหมัดซ้ายที่ทรงพลังที่สุด  ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะปลุกซาตานในตัวขึ้นมาอีกครั้ง    พลัน!  มีมือที่หนักแน่นคว้าตัวของชายหนุ่มไว้ เขาถูกดึงให้ออกมาจากวงล้อมของสหภาคีอย่างรวดเร็ว  เขาถูกลากออกไปที่หน้าประตูของอาณาจักร และหลบซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ที่หนาพอที่จะบดบังพวกเขาได้    สหภาคีทั้งเจ็ดต่างอัดพลังที่ยากจะหยุดยั้งเข้าใส่กันอย่างรุนแรง 
ตูม!!!!!!  พลังที่อัดรวมกันระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นพลันเกิดควันฟุ้งหนาทึบไปทั่ว    อั๊กๆๆ!!  เหล่าสหภาคีท่างล้มสลบลงอยู่ในหลุมลึกที่เกิดจากพลังของพวกเขา  ดิคเก้นส์สบถคำบางอย่างออกมา มีเพียงเขาและเบนเลอโรฟอนที่ยืนนิ่งเงียบเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากพลังของพวกตน
“ อ่า...เจ้านั่นเอง ” เซดอร์ฟอุทานออกมาเบาๆ เขาขยี้ตามองให้เห็นผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ให้ชัดขึ้น  บุรุษหนุ่มผู้สง่างามในอาภรณ์สีขาว ปรากฏกายขึ้น ร่างที่สูงโปร่งแล้วหน้าตาที่ได้รูปดูจะหาใครเทียบได้ยาก คิ้วของเขาดูดกดำยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบผมสีดำที่เงางามยาวประปรายลงมาถึงต้นคอ  ที่ศีรษะมีผ้าพันแผลบางๆสีขาวพันไว้รอบ มีรอยเลือดสีแดงจางๆซึมออกมาบนผ้าพันแผลที่ด้านหน้า
“ ข้า  ฟิชเบิร์ก  ฟินเชส  นักบวชระดับสาม ” บุรุษหนุ่มในชุดขาวเอ่ยขึ้น “ ท่านคงเป็น  เซดอร์ฟ ซินะ ”
“ อืม... ” ชายหนุ่มตอบ และถามต่อ “ เจ้าช่วยข้าไว้ทำไม ”
“ ข้าก็แค่ชดใช้กับบางอย่างที่เจ้าทำให้ข้าได้สติ  ” ฟินเชสเอ่ย
“ งั้นหรือ! สุดท้ายข้าก็ต้องให้เจ้าช่วยแทน ” เซดอร์ฟก้มหน้า
“ เอ๋!..... องค์หญิง  ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ” ฟินเชสพูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
สตรีผู้สง่างามเดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลังของพวกเขา  เธอมีท่าทีที่เด็ดเดี่ยวด้วยแววตาที่เย็นชา  เซดอร์ฟได้แต่นิ่งอึ้งปิดปากเงียบ
“ ข้าก็แค่มาส่งเจ้านะซิ  ” องค์หญิงพูด ดูท่าทางเธอจะสนิทสนมกับฟินเชสมาก่อน
บุรุษหนุ่มดึงตัวอันบอบบางขององค์หญิงเข้ามากอด เขาจุมพิตลงที่ปากของนางโดยไม่ทันตั้งตัว  ริมฝีปากสีชมพูที่เรียวงามของนางช่างนุ่มยิ่งนักเมื่อเขาสัมผัสถูกมัน นางเกิดอาการตาค้างไปชั่วขณะ แววตาที่เย็นชาจางหายไปในพริบตา  แก้มทั้งสองข้างเริ่มแดงขึ้นพรวดอย่างรวดเร็ว  เซดอร์ฟยิ่งอึ้งทึ่งไปมากกว่าเดิม เขามีท่าทีที่ผิดหวังลึกๆ
“ ข้าอยากให้ท่านจำ ฟิชเบิร์ก  ฟินเชส ชื่อนี้ไว้  สักวันหนึ่งข้าจะต้องกลับมาหาท่านอย่างแน่นอน ” ฟินเชสพูดขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มนวลพลางสาวผมสีน้ำตาลที่หยิกเป็นลอนน้อยๆขึ้นมาหอม  เขาปล่อยตัวขององค์หญิงออก และ หันกลับมาพูดกับเซดอร์ฟ
“ เซดอร์ฟ!  ข้าอยากจะออกไปตามหาบางสิ่งบางอย่างกับเจ้า ” บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง  “สายเลือดแห่งนักบวชทำให้ข้าได้ทราบว่า...เราทั้งสองมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  คือตามหาสิ่งที่อยากแก่การหยั่งถึง  ”
องค์หญิงยังยืนนิ่งไม่ไหวตึง ดูเหมือนนางจะตกตะลึงกับการกระทำที่อุกอาจนักของชายหนุ่ม  แม้ลึกๆนางจะมีใจให้กับเขาก็ตาม
“ ได้ซิ!  ข้าเองก็อยากจะมีใครสักคนร่วมเดินทางไปด้วย ” ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขามีท่าทีที่กระตือรือร้นมากขึ้น
“ องค์หญิง  ข้าขอลา วันหน้าเราคงจะได้พบกันอย่างแน่นอน ” ฟินเชสกล่าว ปิดท้าย
เซดอร์ฟและฟินเชสต่างโบกมือลาองค์หญิงเป็นครั้งสุดท้าย นางโบกตอบกลับมาด้วยสายตาที่เลื่อนลอย พวกเขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าเดินทางไปยังทิศตะวันออกที่ถูกห้อมล้อมด้วยสายธารแห่งทะเล!!!!! 
ชายหนุ่มถูกนำทางให้เข้าไปภายในปราสาทที่โอ่อ่า  นักบวชหลายคนยืนเป็นองค์รักษ์หันหน้าเข้าหากันเป็นคู่ๆตามทางเดินที่ยาวเหยียด    นักบวชผู้แก่ชราพาชายหนุ่มมาหยุดอยู่ที่กลางห้องโถงใหญ่  สีขาวและความกว้างใหญ่ของภายในห้องดูจะโล่งไปถนัดตาถ้าไม่นับรวมเก้าอี้หินอ่อนเจ็ดตัวที่ถูกตั้งเอาไว้ตามลำดับความอาวุโส
“ ท่าน...ไปยืนตรงกลาง  ” ชายชราเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั้นๆ
“ พวกเขาจะไม่มาต้อนรับข้าที่นี่หรือไงกัน ”  เซดอร์ฟพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ พวกเขารอท่านอยู่แล้ว ขอให้ท่านไปยืนตรงกลางเร็วๆเถอะ ” ชายชราดูจะเบื่อหน่ายกับการพูดหลายประโยค
ชายชราชี้นิ้วไปที่พื้นหินอ่อนตรงกลางห้องโถง    วงแหวนขนาดใหญ่ถูกเขียนลงที่ด้านล่าง  ภาษาโบราณของเผ่าพันธุ์นักบวชจารึกอักษรขึ้นรอบๆวงแหวน  ชายหนุ่มก้าวกระโดดเข้าไปตรงกลาง  แสงสีทองที่เปรียบเสมือนน้ำ  ค่อยๆไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดินตามร่องที่สลักอักษรโบราณ  มันไหลเคลื่อนอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไปบรรจบกันที่วงแหวนรอบนอก
ครืน!   วงแหวนสีทองเริ่มเคลื่อนที่ลอยขึ้นอย่างช้าๆ  มันพาร่างที่เด็ดเดี่ยวของชายหนุ่มลอยขึ้นไปยังหอคอยที่อยู่สูงขึ้นไปหลายร้อยฟุต  ชายหนุ่มแหงนหน้ามองด้วยความท้อใจ  ความสูงของหอคอยดูจะเป็นอุปสรรคใหญ่ๆทีเดียว  ขาของเขาสั่นเล็กน้อย    เมื่อวงแหวนขนาดใหญ่ลอยมาได้ถึงครึ่งทาง  พื้นข้างล่างดูจะเล็กลงไปถนัดตาเมื่อมองลงไปจากจุดนี้
สักพักวงแหวนสีทองก็เคลื่อนที่มาจนถึงด้านบนสุดของหอคอย  มันหยุดนิ่งโดยอัตโนมัติเหมือนถูกควบคุมโดยกลไกที่ซับซ้อน  ชายหนุ่มก้าวออกมาจากวงแหวน  ทางเดินแคบๆด้านหน้า ดูจะเป็นเส้นทางที่นำไปสู่ สหภาคีแห่งนักบวช  ที่สุดทางเดินเป็นลานกว้างขนาดเล็กด้านนอก    ชายเจ็ดคนยืนหันหน้าออกไปทางด้านนอกของหอคอย  แต่ละคนล้วนใส่ชุดสีขาวที่แสดงถึงความเป็นนักบวช  พวกเขายืนเอามือไพร่หลังกันตามล็อกของแต่ละเสาหิน ที่เรียงร้อยกันเป็นวงกลมบนจุดสูงสุด 
“ สวัสดี ท่าน... ”  บุรุษผู้สูงวัยยืนนิ่งในลำดับที่สี่หันหน้ากลับมาทักชายหนุ่ม    บนศีรษะของเขามีแท่งคล้ายๆกับจะเป็นหมวกทรงสูงสีดำซึ่งทำจากผมที่ดำสนิทของเขาดูประหลาดอย่างยิ่ง  หน้าตาที่คมสันได้รูปดูจะเข้ากับอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ที่สวมใส่
“ เซดอร์ฟ  ” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อตัวเองขึ้น
“ อืม...นามของข้า เบนเลอโรฟอน  นักบวชระดับสูงสุดหัวหน้าแห่งสหภาคีนักบวช ”  บุรุษผู้สูงวัยเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ ยินดีที่ได้รู้จักท่าน เบนเลอโรฟอน  เป็นเกียรติอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียวที่ข้าได้พบท่าน ” ชายหนุ่มพูดขึ้นน้ำเสียงเอาอกเอาใจบุรุษผู้สูงวัย
“ ข้าขอแนะนำ  ท่านผู้นี้ ชาร์ล ดิคเก้นส์ นักบวชระดับสูงของสหภาคี  เขาเป็นคนพาท่านมายังที่นี่  ” เบนเลอโรฟอน  หันหน้ามาทางด้านซ้าย  นักบวชลำดับที่ห้านับจากซ้ายหันหน้ากลับมาหาชายหนุ่ม    เซดอร์ฟจำได้ในทันที  มันเป็นคนเดียวกับที่ชายตามองเขาที่ตลาดกลางเมืองเมื่อหลายวันก่อน  แต่รอยบากที่หน้าผาก เขากลับไม่เคยเห็นในวันนั้น
“ ยินดีที่ได้รู้จัก  ท่าน ดิคเก้นส์ ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางที่ไม่ไว้ใจ  บุรุษสูงวัยก้มหัวให้เขาเบาๆเป็นเชิงทักทาย
“ ได้ข่าวมาว่า ท่านไปอาละวาดที่ตลาดกลางเมืองมาอย่างงั้นหรือ! ” เบนเลอโรฟอน เริ่มตั้งคำถามเข้าใส่
“ ข้าก็ไม่รู้  ข้าจำอะไรไม่ได้ก็เท่านั้น ” เซดอร์ฟพูดปด
“ งั้นหรือ!!  ข้าต้องขอบคุณท่านมาก  ที่ช่วยทำให้พวกเรารอดมาได้จากกองทัพยักษ์ที่อัปรีย์พวกนั้น ” เบนเลอโรฟอน สบถคำออกมา
“ คงจะบังเอิญซะมากกว่านะ  พวกมันก็จ้องจะโจมตีพวกมนุษย์อยู่แล้วไม่ใช่หรือ ” ชายหนุ่มพูดขึ้น  มือซ้ายยังคงจับอยู่ที่ท้องน้อย  อาการเจ็บแปล๊บ ดูจะปรากฏขึ้นมาทีละนิดจากบนสีหน้าของเขา
“ พวกมันไม่ได้ต้องการจะโจมตีพวกมนุษย์  แต่พวกมันต้องการจะล่อให้พวกเราออกไป เพื่อฆ่าพวกเรา ”  ดิคเก้นส์พูดขึ้นด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของเขา
“ แล้วพวกมันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน ”  ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“  พวกมันถูกควบคุมจากจอมขมังเวท ” สีหน้าที่โกรธาบังเกิดขึ้นบนใบหน้าของดิคเก้นส์  สิ่งที่ฝังลึกลงภายใต้จิตใจอันเข้มแข็งคงจะมีบางอย่างที่ทำให้เขาแค้นเคืองใจอย่างยิ่ง
“ ได้ยินมาว่าพวกท่านไม่ถูกกับ...เหล่าจอมขมังเวทนี่ก็คงจะเป็นจริงอย่างที่ร่ำลือซินะ ”  น้ำเสียงมีเลศนัยของชายหนุ่มดังขึ้น
“ ถูกต้อง! ในอดีตพวกเราเผ่าพันธุ์นักบวชอยู่กันอย่างสงบสุข  ในวันที่สว่างไสว  ท้องฟ้ากลับมืดครึ้มเป็นฟ้ามืด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมีแต่ลมพายุที่รุนแรง  มันกลับปรากฏเป็นกองทัพจอมขมังเวทย์ล่องลอยมาตามสายลมเหนือน่านฟ้าของอาณาจักรพวกเรา  พวกมันทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า  เด็ก  ผู้หญิง  คนแก่  ต่างล้มตายเป็นพัลวัน  พวกข้าทั้งหมดต่างสู้ตายโดยไม่เสียดายชีวิต    แต่จู่ๆ พวกมันก็ถอยทัพที่ชั่วช้ากลับไปอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่ามีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว สถิตอยู่ภายในอาณาจักร  อำนาจที่ลึกลับ อำนาจที่แม้แต่สติปัญญาที่ชาญฉลาดทั้งหมดของพวกเรา ก็ไม่อาจหยั่งถึง  ทำให้พวกมันต้องถอยหนีอย่างหวาดผวา  ข้าไม่ลืม!! และจะไม่มีวันลืม ความชั่วช้าที่มันทำกับพวกเรา ” ดิคเก้นส์ร่ายยาว สายตาที่คมกริบยังคงจับจ้องอยู่ที่ชายหนุ่มอย่างไม่วาง
“ ข้ากลัวว่า...มันจะไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิด?? ” ชายหนุ่มพูด
“ ท่านกล่าวมาแบบนี้  แสดงว่าท่านรู้อะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ ? ” ดิคเก้นส์เอ่ยขึ้นด้วยสายตาที่ท้าทาย
“ ข้าว่า...พวกเขาน่าจะถูกควบคุมซะมากกว่า  คงไม่มีใครบ้าพอขนาดเอาเผ่าพันธุ์ตัวเองมาตายทั้งๆที่ไม่มีความแค้นต่อกันหรอก ”  เซดอร์ฟยิ้มออกมาเบาๆ
“ แล้วใครกัน...ที่จะมีอำนาจขนาดควบคุมจอมขมังเวททั้งกองทัพได้ ”  ดิคเก้นส์ตะคอกออกมา  ท่าทีของเขาร้อนรนเหมือนโดนหักหน้า
                        “ เวไลน์    จอมขมังเวทที่4 แห่งเยฮาน  ” 
เฮือกกกก! ! เสียงสะดุ้งที่ดังสนั่นออกมาจากลำคอของทั้ง7คน  ดูจะกระทบกระทั้งจิตใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขานัก  สายตาที่แน่นิ่งของดิคเก้นส์มองไปมาอย่างวุ่นวาย ลูกตากลอกไปมาเหมือนกับถูกมนต์สะกด
“ เจ้าพูดอะไรออกมา!!.....  จอมบ้าคลั่ง  เวไลน์  มันถูกพวกข้าฆ่าตายก่อนที่พวกเราจะโดนพวกจอมขมังเวทรุกรานเสียอีก  ”  บุรุษเฒ่าหันหน้าเข้ามาตะคอกใส่เซดอร์ฟด้วยความไม่พอใจ  เขาเป็นหนึ่งในสหภาคีที่อายุมากที่สุด รูปร่างของเขาดูจะเตี้ยมากทีเดียวเมื่อเทียบกับเหล่านักบวชที่เหลือ   
“ ใจเย็นน่า!! ! โอแฮร์  ”  เบนเลอโรฟอนดึงตัวของบุรุษเฒ่าเอาไว้ 
“ รอยแผลเป็นที่ฝังลึกลงบนหน้าของข้า?  เป็นฝีมือของเวไลน์    มันตายด้วยฝีมือของพวกเราทั้ง7  การที่มันจะมาควบคุมเหล่าจอมขมังเวทคงจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน  อีกอย่าง เหล่าจอมขมังเวทก็ขับไล่มันออกไปจากเผ่าพันธุ์แล้วอีกด้วย ”  น้ำเสียงที่ดูจะมั่นใจของดิคเก้นส์ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความวิตกกังวล ใบหน้าของเขาชื้นไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมอย่างไม่หยุด 
“ ท่านบอกว่าพวกท่านทั้งหมด  เป็นคนฆ่าเวไลน์  ตอนที่มันตายท่านเห็นศพของมันหรือเปล่าละ ” ชายหนุ่มเถียง
“ ท่านนี่ช่างจะรู้ดียิ่งกว่าพวกเราอีกนะ ”  เบนเลอโรฟอนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงสงสัยดังกระจ่างออกมา
“ ท่านอย่าคิดอะไรให้ปวดหัวไปเลย  ข้านะสงสารผมบนศีรษะของท่านนัก ” เซดอร์ฟพูดขึ้นติดตลก
“ หึๆ  เรื่องนั้นมันไม่สำคัญ    บอกตรงๆว่าข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นศพของเจ้านั่นเหมือนกัน  มันตกเหวลงไปก่อนที่จะโดนวิชาสูงสุดของข้า ” เบนเลอโรฟอนพูดขึ้น เขามีท่าทีที่ยอมรับผิดอยู่มากในความบกพร่องของตนเอง
“ งั้นข้าขอตัวไปพักก่อนนะ  ข้าไม่ชอบเถียงอะไรกับคนที่แก่กว่านักหรอก  พรุ่งนี้ข้าจะไปจากที่นี่ตอนสายๆ  ต้องขอบคุณพวกท่านอีกครั้งที่ช่วยข้า และ เอ่อ...ไม่ถามคำถามอะไรที่ข้าไม่สามารถตอบพวกท่านได้ ” เสียงของเซดอร์ฟเปล่งออกมา เขาเดินหันหลังกลับโดยไม่คอยให้มีเสียงตอบกลับจากเหล่านักบวช
“ ฮึ่ม!!  เจ้า!  ”  โอแฮร์โกรธจนหน้าเขียว  เขาอยากจะระบายความอัดอั้นตันใจที่มีอย่างล้นหลามออกมาใส่เซดอร์ฟ  แต่ก็ถูกฉุดกระชากยับยั้งด้วยมือที่ทรงพลังของนักบวชดิคเก้นส์
“ เอาน่าท่านผู้เฒ่า...  มันยังไม่ถึงเวลา ” เบนเลอโรฟอน เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่กังวานกว่าเก่า
“ เบอเลอโรฟอน  ข้าคิดว่าข้าเข้าใจเจตนาของท่านดี  ท่านคิดจะทำอย่างไรต่อไปกับเจ้านั่นต่อไปกันละ ”  ดิคเก้นส์พูด
เบนเลอโรฟอนขยับตัวโอนเอนไปมาเล็กน้อย เขาเดินวนไปรอบๆลานกว้างด้วยเท้าที่หนักแน่น  เหล่านักบวชต่างก้าวไปหยุดยืนอยู่ตรงประจำตำแหน่งของตนและคุกเข่าลงกับพื้นที่ขาวสะอาด  สายตาทุกคู่ที่จดจ้องมองอยู่เพียงผู้เป็นหัวหน้าดั่งเป็นเชิงรอรับคำสั่ง
“ พวกท่านวางใจได้  ด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของข้า นักบวชระดับสูงสุดรุ่นที่25แห่งสหภาคี ”  เบนเลอโรฟอนสูดหายใจแรงๆ  ดวงตาของเขาทอประกายขึ้นด้วยแววมีชัย  “ โชคชะตาถูกบัญญัติขึ้นมา  ด้วยลมปากแห่งพระเจ้า  ยามที่ตะวันเคลื่อนคล้อยลงตรงกลางฟ้า  บุรุษครึ่งซาตาน!! ที่เคยตื่นขึ้นจากการหลับใหล จะถูกปลิดชีพโดยการลอบสังหารของนักบวช ”
“ อ่า...มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการอย่างยิ่ง  ท่านเบนเลอโรฟอน  ข้าขอรับหน้าที่จัดการเจ้านั่นด้วยตัวของข้าเองเถิด ” ผู้เฒ่าโอแฮร์พูดเสียงอ่อยๆ
เบนเลอโรฟอนยื่นมือข้างซ้ายที่ขาวซีดออกมาและวางมันลงบนศีรษะของโอแฮร์  ข้อมือซ้ายของเขามีรอยกรีดลึกสีแดงเป็นรูปไม้กางเขน สีหน้าที่นิ่งเฉยของเขาดูจะเก็บความรู้สึกได้ดีทีเดียว  เส้นเลือดที่แดงสดค่อยๆปูดขึ้นเรื่อยอย่างน่ากลัวตามแขนจนเลยขึ้นไปถึงหัวไหล่ที่ถูกคลุมด้วยอาภรณ์ขาว  คาถาบางอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์แห่งภาษาเปล่งออกมาจากปากของเขา  โอแฮร์มีอาการสั่นเทารุนแรงขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับคนจับไข้เมื่อถูกสัมผัสจากมือของเบนเลอโรฟอน ท่าทางของชายแก่ดูจะมีอาการที่น่าเป็นห่วง  ดวงตาของเขากลอกไปมาเหมือนกับจะหลุดออกมาจากเบ้า 
“ พระผู้เป็นเจ้า  ทรงมอบความกล้าหาญและพละกำลังที่แข็งแกร่งให้กับท่านแล้ว  จงไปทำภารกิจที่สำคัญให้สำเร็จด้วยเถิด ”    เบนเลอโรฟอนเอ่ยขึ้นเมื่อร่ายคาถาเสร็จ
“ ข้า...จะต้องฆ่ามันให้ได้อย่างแน่นอน ” ชายแก่เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบห้วน  น้ำตาของลูกผู้ชายไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ
ครืน!!!  วงแหวนสีทองเคลื่อนลงสู่กลางห้องโถงสีขาวอีกครั้ง  ชายหนุ่มก้าวกระโดดออกมาก่อนจะถึงพื้นด้วยอาการหงุดหงิด  ดิคเก้นส์เป็นบุคคลที่ไม่ค่อยจะน่าไว้ใจซักเท่าไรสำหรับเขา  ดวงตาที่คมกริบราวกับเหยี่ยวมักจะจับจ้องมองสำรวจอยู่ที่ตัวชายหนุ่ม  โดยเฉพาะศาสตราที่ถูกพันด้วยผ้าขาวห้อยไว้ที่ด้านหลัง  เสียงรองเท้าที่เอื่อยเฉื่อยดังก้องไปทั่วปราสาท เซดอร์ฟยังหันไปทำหน้ากวนๆใส่นักบวชที่ยืนยามอยู่ด้านหน้าก่อนจะออกมาในไม่ช้า
“ อ้าว! ท่านไปพบท่านพ่อของข้ามาแล้วใช่ไหม ”  เสียงทักที่ไพเราะแทรกขึ้นมาในหัวสมองของเซดอร์ฟ
“ แน่นอนองค์หญิง...ท่านพ่อของท่านต้อนรับข้าอย่างดีเชียวละ ” เซดอร์ฟเอ่ยขึ้นเบาๆ  มือข้างซ้ายที่หยาบกร้านของชายหนุ่มค่อยๆเลื่อนไปที่ด้านหลัง นิ้วชี้กันนิ้วกลางเกี่ยวขัดกันอย่างเหนียวแน่น
“ แล้วท่านจะไปไหนต่อหรือ!!  ข้าว่างพอดี  เลยอยากจะชวนท่านไปดื่มน้ำชาที่ ศาลาเลื่อนลอย ซักหน่อยนะ ”  ผมที่หยิกเป็นลอนของนางปลิวไสวอย่างเงางามด้วยแรงลม ท่าทางที่ร่าเริงผิดปกติทำให้เซดอร์ฟเผลอหลุดยิ้มตอบกลับไปเบาๆ
“ จริงๆแล้ว...ข้าเองก็กะว่าจะกลับไปนอนพักซักงีบ  แต่ถ้าเป็นคำเชิญขององค์หญิง  ข้าเองก็คงจะปฏิเสธไม่ได้อย่างแน่นอน ”  เซดอร์ฟพูด  ลึกๆในใจที่ว้าเว่ของเขามีท่าทีที่สนใจองค์หญิงไม่น้อยทีเดียว  คงเป็นเพราะเขาคิดถึง  เซนต์  เพื่อนรักที่สนิทที่สุด ซะมากกว่า 
“ งั้น! เชิญเถอะ... ” องค์หญิงเดินนำหน้าชายหนุ่มไปยังด้านหลังของปราสาทที่ดูจะรกร้างไปด้วยสวนสนที่ขึ้นเบียดเสียดกันหนาทึบ รอบข้างมีแต่ความมืดของเงาไม้ที่เคลื่อนไหวคล้ายกับมีชีวิต เมื่อโอนเอนไปมาตามกระแสลม  แสงสว่างที่แฝงอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของป่าสะท้อนเข้ากระทบกับนัยน์ตาสีเขียวคู่โตเป็นประกาย
“ ถึงแล้ว! ..เชิญนั่ง  ” นางพูดขึ้น เมื่อทั้งสองเดินแทรกหมู่ไม้ที่เคี้ยวคดและเต็มไปด้วยขวากหนามสู่ศาลาสีขาวที่สุกสว่างอยู่ภายใน  โต๊ะม้าหินอ่อนตั้งอยู่ด้านใน  ถ้วยชามีหูขนาดเล็กสองถ้วย ถูกนำมาตั้งไว้ก่อนที่พวกเขาทั้งสองจะมาถึง  กลิ่นหอมของชาลอยมาเตะจมูกของชายหนุ่มชวนให้น่าลิ้มลองยิ่งขึ้น  ด้านหลังของศาลาดูจะว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี มีเพียงสายธารน้ำแห่งวังวนสายเล็กๆที่ไหลไปสู่ตอนเหนือ
“ ไม่นึกเลยว่า...ในที่รกร้างแบบนี้ยังคงถูกซ่อนเอาไว้ด้วยความงามที่ล้ำค่า  นี่ซินะคงเป็น ศาลาเลื่อนลอย  ที่ท่านว่า ” ชายหนุ่มยอดคำหวาน
“ ท่านอย่าพยายามให้ยากเลย!!! ไม่นึกเลยว่า...สายตาที่เย็นชาของข้า จะใช้กับท่านที่แสนจะธรรมดาไม่ได้เอาเสียเลย  ” นางพูดขึ้นขณะยกถ้วยขึ้นจิบเบาๆ  ควันในถ้วยยังคงลอยกรุ่นออกมา 
“ ข้าไม่อยากจะเรียกท่านว่าองค์หญิงอีก ” เซดอร์ฟพูด “ ข้าว่าเราน่าจะมาเป็นมิตรกันน่าจะดีที่สุด  ไหนๆข้าเองก็ไม่สมหวังในรักกับท่านซะแล้ว ”
“ ข้าเป็นถึงองค์หญิง  ชื่อของข้าเอง ก็คงไม่สมควรจะพูดให้คนอื่นทราบหรอกนะ ” องค์หญิงเอ่ยขึ้นด้วยแววตาที่เย็นชา  ” แต่ยังไงซะ ท่านเองก็เหมือนเป็นมิตรคนหนึ่งของข้า \"
“ ท่านนี่หัวแข็งเป็นบ้าเลยนะ  ชื่อของข้าเองก็คงจะไม่สำคัญอย่างแน่นอน ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเบาๆ เขายกถ้วยชาขึ้นซดไปหลายอึกจนหมดถ้วย 
“ ท่านไม่กลัวว่าข้า จะวางยาท่านบ้างหรือไงกัน ”  นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย็นเฉียบ
“ เฮ้อ อย่างไงซะข้าก็ดื่มจนหมดเกลี้ยง จะตายหรือไม่ตายมันก็คงขึ้นอยู่กับท่าน ” เสียงที่ท้าทายดังขึ้น
“  ท่านนี่ใจกล้าไม่เบาจริงๆ ”  นางพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ “ ข้าเองก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่เสียตรงที่ ยาพิษที่จะใส่มันดันหมดเสียก่อนนะซิ  ” 
ชายหนุ่มอึ้งไปชั่วขณะ  เขาไม่นึกเลยว่า องค์หญิงผู้บอบบางและสง่างามจะคิดได้จริงจังขนาดนี้  รอยยิ้มเย็นๆของนางปรากฏขึ้นที่มุมปาก  นิ้วที่เรียวบางของนางยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้งอย่างเบามือ
“ ท่านรู้ไหม!  ว่าทำไมที่นี่ถึง ได้ชื่อว่า  ศาลาเลื่อนลอย  ”  แววตาที่ดูช่างเพ้อฝันของนางกวาดตามองไปรอบๆศาลาที่สว่างไสว  นางยื่นมือขึ้นไปในอากาศที่ว่างเปล่าเหมือนจะไขว่คว้าหาสิ่งที่สัมผัสไม่ได้
“ ดูท่าท่านจะมีความผูกพันกับที่นี่มากเลยนะ ”  ชายหนุ่มพูดขึ้น 
“ สมัยก่อน ที่แห่งนี้ไม่ได้ขึ้นรกด้วยสนป่าที่มืดทึบ ” นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเลื่อนลอย  “ มันเคยเป็นสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีขาวที่บานสะพรั่งและสวยงามที่สุดที่ข้าเคยเห็น  แม่บอกกับข้าว่า...สวนแห่งนี้สร้างขึ้นมาเพื่อข้าโดยเฉพาะ  ข้ามักจะชวนแม่มานั่งดูสายธารแห่งวังวน มองดูหมู่นกที่กำลังส่งเสียงเจี้ยวแจ้วที่ไพเราะ  และเหล่าผีเสื้อที่บินหาน้ำหวานอย่างร่าเริง  แม่เป็นคนที่ข้ารักมากที่สุด... ”
มาถึงตรงนี้ สีหน้าของนางดูเศร้าสร้อยอย่างเห็นได้ชัด ผิดกับตอนปกติที่แววตาของนางจะเย็นชาอยู่เสมอ  เหมือนนางกำลังร้องไห้อยู่ในใจ  เซดอร์ฟได้แต่นิ่งฟังอย่างเงียบเชียบที่สุดจนกระทั่งหลุดโพล่งออกมา
“ แล้วท่านแม่ของท่านละ ”  เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นทำลายความเงียบ
“ แม่เคยให้ข้าสัญญากับนางว่า  หากวันใดร่างของนางไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนกับข้าบนโลกนี้แล้ว ให้ข้าเอานางลอยไปตามกระแสสายน้ำแห่งนี้  สายน้ำที่จะนำนางไปสู่ความสงบสุขที่สุด  ในตอนนั้นข้าคิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างที่นางพูด  แต่วันนั้นมันก็มาถึงจริงๆ  วันที่ท้องฟ้ามืดครึ้มผิดปกติ  วันที่ข้าต้องสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักไปชั่วนิรันดร์อย่างไม่กลับคืนมา  ข้านำตัวนางไปลอยที่แม่น้ำแห่งนี้อย่างที่นางต้องการ  ข้าขอท่านพ่อให้ช่วยสร้างศาลาแห่งนี้ขึ้นมา และห้ามไม่ให้ใครเข้ามาในที่แห่งนี้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ” แววตาของนางมีน้ำใสๆท่วมอยู่เต็มเปี่ยมรอเวลาพรั่งพรูออกมา  เสียงที่สดใสในตอนแรกดูจะเศร้าสร้อยกว่าเดิมหลายเท่านัก  นางเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมนางจึงต้องเผยความในใจที่เจ็บปวดที่สุดของนางให้กับชายแปลกหน้าผู้นี้ฟัง  คงเป็นเพราะนางเกิดถูกชะตากับเขาก็เป็นไปได้
“ เสียใจด้วยนะ ” เสียงที่บางเบาของชายหนุ่มดังขึ้น
“ ช....ช่างมันเถอะ  นี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว  เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ ข้าอยากจะกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย  ” นางพูดขึ้นขณะหันหลังเดินจากไปยังเส้นทางเดิม  เซดอร์ฟรู้สึกได้ทันทีว่าบัดนี้น้ำตาที่อัดอั้นได้แตกซึมออกมาอย่างยากที่จะหยุดยั้งบนแก้มสีชมพูอ่อนๆของนาง  ไม่นึกเลยว่า นางที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงที่สูงส่งของเหล่านักบวช จะมีอดีตที่ฝังใจได้น่าสงสารขนาดนี้  สมองของเขารู้สึกหนักอึ้งและชาไปครึ่งหนึ่ง  ชายหนุ่มก้าวเดินออกมาจากศาลาที่ว่างเปล่าและตรงไปยังทางที่มุ่งไปสู่ห้องพักที่ขาวโพลน
  ทุ่งหญ้าที่แห้งแล้งและร้อนแรงจากแสงอาทิตย์ ถูกย้อมไปด้วยโลหิตที่แดงฉานท่วมพสุธาของเหล่านักรบผู้กล้า  เสียงหัวเราะสะใจดังกึ่งก้องไปทั่วบริเวณดั่งกับสรรเสริญการกระทำที่น่าสมเพศของตน  เมื่อมองดูผู้คนที่ล้มตายระเนระนาดตามพื้นดินที่แห้งแล้ง  แร้งสีดำขลับฝูงใหญ่ บินโฉบจิกกินเศษเนื้อจากศพของผู้กล้าอย่างเอร็ดอร่อยอย่างกับเป็นอาหารชั้นเลิศของพวกมัน  ดาบในรูปลักษณ์ต่างๆที่เป็นอาวุธคู่กายของพวกเขาปักนิ่งอยู่บนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยเลือด    เมื่อเพ่งมองให้ชัดขึ้นอีกครั้ง  สีแดงที่เต็มไปด้วยเลือดต่างก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างที่ดูน่าเกลียดและน่าสยดสยองยิ่งนักด้วยชื่อที่พวกมันถูกขนานนามว่า  ซาตาน  พวกมันพูดคุยกันด้วยภาษาที่ชายหนุ่มไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่เขากลับสามารถเข้าใจมันได้อย่างง่ายได้
  “ ยินดีกับงานเลี้ยงเลือดของท่านด้วย ” เสียงที่ดุดันแต่แฝงไปด้วยความแข็งกร้าวดังขึ้นมา   
“ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ๆๆๆๆๆ ” เสียงหัวเราะที่บาดหูดังขึ้นเมื่อซาตานตนหนึ่งพูดขึ้นอย่างนอบน้อมกับซาตานอีกตนซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของมัน  ชายหนุ่มเหลือบตามองไปยังต้นเหตุของเสียง  แทนที่เขาจะได้เห็นหน้าที่แท้จริงของผู้เป็นหัวหน้าเหล่าซาตาน  แต่กลับมีเลือดสีแดงดำ พุ่งกระจายสาดกระเด็นเข้าเต็มหน้าของเขาแทน
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกก!!!   เซดอร์ฟกรีดร้องราวกับคนที่เสียสติ  เขาตื่นขึ้นจากนิทราด้วยอาการที่เจ็บปวดสุดจะบรรยาย  หัวใจดวงโตๆของเขาเต้นรัวเร็วขึ้นทุกขณะจนจับจังหวะไม่ได้  นัยน์ตาสีเขียวที่แฝงไปด้วยแววตาที่หวาดกลัวสุดขีดจ้องเขม็งไปที่ปลายเตียง  มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมไว้บนขมับที่ดูเหมือนกำลังจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ  เหงื่อปริมาณมากไหลซึมออกมาตามรูขุมขนของทุกส่วนบนร่างกาย 
-------------------ฝันไปอีกแล้วหรือ!??????-----------------------
ชายหนุ่มปาดเหงื่อด้วยแขนทั้งสองข้างอย่างยากเย็น  เสียหายใจที่ร้อนรนทำลายความเงียบสงัดของห้องพัก  เขาค่อยๆคิดทบทวนถึงความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นไปไม่กี่นาทีที่แล้วอย่างช้าๆ  ดูท่าเขาจะจดจำมันได้อย่างครบถ้วนทีเดียว    ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงที่นุ่มนิ่มอย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปเปิดหน้าต่างซึ่งมีระเบียงกั้นอยู่ด้านหน้า    ท้องฟ้าที่มืดสนิทยังคงมีแสงสว่างจากจันทราและดวงดาวต่างๆเปล่งแสงไปทั่วทุกบริเวณของฟ้า  ดาวสีแดงที่ดวงใหญ่ที่สุด ส่องสว่างลุกโชนดั่งดวงอาทิตย์ในยามกลางวัน  ชายหนุ่มรู้สึกสังหรณ์ใจในชะตากรรมที่เขาต้องเผชิญต่อไปในวันข้างหน้า ..........
      แสงแดดอ่อนๆที่เจิดจ้าส่องพ้นชายป่าบริเวณรอบๆอาณาจักร แห่งนักบวช  ไม่นานนักแสงของมันก็ส่องเข้ากระทบกับหน้าของเซดอร์ฟที่กำลังหลับฝันอย่างมีความสุขเกาะริมระเบียง  เขางัวเงียเล็กน้อยก่อนจะเอามือป้องหน้ากันแสงแดดที่ส่องรบกวนการหลับที่บ้าบอของเขา  เช้านี้ดูจะสดใสเกินไปจริงๆสำหรับชายหนุ่ม  อาหารถูกจัดเตรียมตั้งไว้บนโต๊ะสีขาวกลางห้องพัก หลังจากที่เซดอร์ฟเดินเข้ามาด้วยท่าบิดขี้เกียจที่กลางแขนออกอย่างเต็มที่  ชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตากินอาหารอย่างกับคนที่หิวโซมานานหลายวัน  สลัดผักที่ไม่ถูกปากเขา แต่กลับเกลี้ยงจานอย่างรวดเร็ว  ชายหนุ่มนั่งหลังพิงเก้าอี้ด้วยความสบายใจพลางใช้มือตบพุงเบาๆด้วยความอิ่มเอิบ 
หนังสือสีแดงเล่มใหญ่ถูกหยิบออกมาวางบนโต๊ะสีขาวแทนอาหารที่ตอนนี้ลงไปกองอยู่ในพุงของชายหนุ่มจนหมด  เขาเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลาไปเรื่อยๆด้วยสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง  พักใหญ่ๆทีเดียวที่สายตาของเขาจับจ้องอยู่เพียงแต่ตัวอักษรในหนังสืออย่างเดียว  แสงแดดยามเช้าเริ่มส่องแสงเลยเข้ามาถึงในห้องพักอย่างรวดเร็ว  อากาศรอบๆเริ่มอุ่นขึ้นจนถึงขั้นร้อนอย่างกับเตาอบ    มันบอกได้ถึงเวลาแห่งการจากไปได้เริ่มเข้ามาถึง
ปึ๊บ! เซดอร์ฟปิดหนังสือลง  หลังจากเวลาที่เขารอคอยได้มาถึง  เขาเก็บซ่อนหนังสือไว้ยังที่เดิมและนำศาสตราที่พันด้วยผ้าขาวแน่นปึกสะพายไว้ที่ด้านหลังอีกครั้ง  ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็วฝุ่นที่เกาะตามพื้นปลิวล่องลอยไปตามแรงเคลื่อนของผ้าคลุมสีดำที่ปลิวอย่างบางเบา 
ความเงียบที่วังเวงผิดปกติเมื่อชายหนุ่มเดินมาได้ถึงทางเดินที่กว้างใหญ่ซึ่งมุ่งตรงไปยังทางออกของอาณาจักร    ใจจริงของเขาอยากที่จะลาองค์หญิงก่อนที่จะจากไปอย่างเรียบง่าย  ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มอยากที่จะมีรักเกิดขึ้นอีกสักครั้งเพื่อทดแทนความเหงาที่เขาได้รับมานานหลังจากที่เขาจากมาจากเซนต์ตั้งนานเน
ระวัง!!!!!!   เสียงของใครบางคนดังขึ้นมาจากด้านหน้าของชายหนุ่ม  บุรุษหนุ่มในชุดขาวร้องทักขึ้นที่หน้าประตูทางออกที่สูงใหญ่      ชายหนุ่มหันขวับกลับไปทางด้านหลังทันที เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของบุรุษหนุ่ม    อาวุธลับพุ่งแหวกอากาศมาด้วยความรวดเร็วปราณธนูที่ถูกเหนี่ยวยิงยิ่งกว่าลูกธนูอันธรรมดา  ลักษณะกลมของมันดูจะกลมกลืนกับท้องฟ้ายิ่งนัก
ชายหนุ่มกระตุ้นจิตของเขาขึ้นมาอีกครั้ง  ผ้าคลุมสีดำเปล่งแสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเข้าสู้กับแสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงก่อนที่อาวุธลับที่รวดเร็วจะพุ่งเข้ามาถึง  พลังบางอย่างผลักมันให้พุ่งกลับไปยังทิศทางเดิมที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า
อั๊ก!  เสียงร้องเสียดอากาศดังขึ้น พอที่จะทำให้ชายหนุ่มได้ยิน  สายตาของเขายังคงมองนิ่งไปยังจุดที่อาวุธลับพุ่งกลับขึ้นไปบนหอคอยสูง
“ แย่แล้ว! ” บุรุษหนุ่มอุทานออกมา เขามีท่าทีที่ร้อนรนยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงร้องที่ฟังดูจะเป็นของชายแก่
ครู่หนึ่ง!  เหล่านักบวชในชุดขาวมากมายหลายสิบคน  ก็พุ่งตรงทะยานออกมาจากที่ซ่อนต่างๆ  บุรุษผู้สูงวัยในอาภรณ์สีขาวพุ่งถลามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างอันบอบบางของชายแก่ที่ถูกหิ้วด้วยมือข้างเดียวร่วงลงสู่พื้นพร้อมกัน  เซดอร์ฟจำท่าทางของมันได้ทันที  มันคือ ดิคเก้นส์  หนึ่งในสหภาคีแห่งนักบวชนั่นเอง
“ เจ้าครึ่งซาตาน! เจ้าไม่มีทางรอดพ้นออกไปจากที่นี่ได้ ”  เสียงของดิคเก้นส์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงแฝงไปด้วยความโกรธที่แผนฆ่าเซดอร์ฟไร้ผล
“ ในที่สุด  ธาตุแท้ของพวกท่านก็ปรากฏขึ้นจนได้นะ  ท่าน ดิคเก้นส์  ” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มเย็นๆ
“ เจ้าไม่ต้องมาพูดมาก!!  ตายซะเถอะ ” หนึ่งในนักบวชแห่งสหภาคีที่ดูหนุ่มสบถขึ้น  เขาพุ่งหมัดซ้ายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอัดเข้าใส่ร่างของเซดอร์ฟ    ชายหนุ่มสะบัดผ้าคลุมเข้าใส่ มันสะท้อนพลังหมัดของนักบวชหนุ่มจนกระเด็นไปไกล   
“ ได้!  ถ้าพวกท่านต้องการแบบนี้ ข้าก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป ” เซดอร์ฟใช้แววตาที่เลียนแบบขององค์หญิง
“ เซดอร์ฟ  ท่านฝืนลิขิตแห่งโชคชะตาของพระเจ้าไม่ได้หรอก ” เสียงที่ดูดุดันดังขึ้นมาจากด้านหลัง  เบนเลอโรฟอนค่อยๆก้าวเดินเข้ามาใกล้ชายหนุ่ม
“ โชคชะตางั้นหรือ....ถ้ามันกำหนดให้ข้าตาย  ข้าก็จะเป็นคนฝืนโชคชะตาและกำหนดมันขึ้นมาด้วยตัวเอง  ” ชายหนุ่มเถียง ท่าทีของเขาดูจะพร้อมรบตลอดเวลา
“ งั้น!...ข้าเองก็คงจะจนปัญญา ” เบนเลอโรฟอนพูดท่าทางของเขาเอาเรื่องทีเดียว
เหล่านักบวชแห่งสหภาคีทั้งหมดต่างกรูเข้าโจมตีเซดอร์ฟด้วยหมัดซ้ายที่ทรงพลังที่สุด  ชายหนุ่มตัดสินใจที่จะปลุกซาตานในตัวขึ้นมาอีกครั้ง    พลัน!  มีมือที่หนักแน่นคว้าตัวของชายหนุ่มไว้ เขาถูกดึงให้ออกมาจากวงล้อมของสหภาคีอย่างรวดเร็ว  เขาถูกลากออกไปที่หน้าประตูของอาณาจักร และหลบซ่อนตัวหลังพุ่มไม้ที่หนาพอที่จะบดบังพวกเขาได้    สหภาคีทั้งเจ็ดต่างอัดพลังที่ยากจะหยุดยั้งเข้าใส่กันอย่างรุนแรง 
ตูม!!!!!!  พลังที่อัดรวมกันระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่นพลันเกิดควันฟุ้งหนาทึบไปทั่ว    อั๊กๆๆ!!  เหล่าสหภาคีท่างล้มสลบลงอยู่ในหลุมลึกที่เกิดจากพลังของพวกเขา  ดิคเก้นส์สบถคำบางอย่างออกมา มีเพียงเขาและเบนเลอโรฟอนที่ยืนนิ่งเงียบเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจากพลังของพวกตน
“ อ่า...เจ้านั่นเอง ” เซดอร์ฟอุทานออกมาเบาๆ เขาขยี้ตามองให้เห็นผู้ที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ให้ชัดขึ้น  บุรุษหนุ่มผู้สง่างามในอาภรณ์สีขาว ปรากฏกายขึ้น ร่างที่สูงโปร่งแล้วหน้าตาที่ได้รูปดูจะหาใครเทียบได้ยาก คิ้วของเขาดูดกดำยิ่งขึ้นเมื่อเปรียบเทียบผมสีดำที่เงางามยาวประปรายลงมาถึงต้นคอ  ที่ศีรษะมีผ้าพันแผลบางๆสีขาวพันไว้รอบ มีรอยเลือดสีแดงจางๆซึมออกมาบนผ้าพันแผลที่ด้านหน้า
“ ข้า  ฟิชเบิร์ก  ฟินเชส  นักบวชระดับสาม ” บุรุษหนุ่มในชุดขาวเอ่ยขึ้น “ ท่านคงเป็น  เซดอร์ฟ ซินะ ”
“ อืม... ” ชายหนุ่มตอบ และถามต่อ “ เจ้าช่วยข้าไว้ทำไม ”
“ ข้าก็แค่ชดใช้กับบางอย่างที่เจ้าทำให้ข้าได้สติ  ” ฟินเชสเอ่ย
“ งั้นหรือ! สุดท้ายข้าก็ต้องให้เจ้าช่วยแทน ” เซดอร์ฟก้มหน้า
“ เอ๋!..... องค์หญิง  ท่านมาที่นี่ทำไมกัน ” ฟินเชสพูดขึ้นด้วยสีหน้าแปลกใจ
สตรีผู้สง่างามเดินออกมาจากพุ่มไม้ด้านหลังของพวกเขา  เธอมีท่าทีที่เด็ดเดี่ยวด้วยแววตาที่เย็นชา  เซดอร์ฟได้แต่นิ่งอึ้งปิดปากเงียบ
“ ข้าก็แค่มาส่งเจ้านะซิ  ” องค์หญิงพูด ดูท่าทางเธอจะสนิทสนมกับฟินเชสมาก่อน
บุรุษหนุ่มดึงตัวอันบอบบางขององค์หญิงเข้ามากอด เขาจุมพิตลงที่ปากของนางโดยไม่ทันตั้งตัว  ริมฝีปากสีชมพูที่เรียวงามของนางช่างนุ่มยิ่งนักเมื่อเขาสัมผัสถูกมัน นางเกิดอาการตาค้างไปชั่วขณะ แววตาที่เย็นชาจางหายไปในพริบตา  แก้มทั้งสองข้างเริ่มแดงขึ้นพรวดอย่างรวดเร็ว  เซดอร์ฟยิ่งอึ้งทึ่งไปมากกว่าเดิม เขามีท่าทีที่ผิดหวังลึกๆ
“ ข้าอยากให้ท่านจำ ฟิชเบิร์ก  ฟินเชส ชื่อนี้ไว้  สักวันหนึ่งข้าจะต้องกลับมาหาท่านอย่างแน่นอน ” ฟินเชสพูดขึ้นด้วยเสียงที่นุ่มนวลพลางสาวผมสีน้ำตาลที่หยิกเป็นลอนน้อยๆขึ้นมาหอม  เขาปล่อยตัวขององค์หญิงออก และ หันกลับมาพูดกับเซดอร์ฟ
“ เซดอร์ฟ!  ข้าอยากจะออกไปตามหาบางสิ่งบางอย่างกับเจ้า ” บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง  “สายเลือดแห่งนักบวชทำให้ข้าได้ทราบว่า...เราทั้งสองมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  คือตามหาสิ่งที่อยากแก่การหยั่งถึง  ”
องค์หญิงยังยืนนิ่งไม่ไหวตึง ดูเหมือนนางจะตกตะลึงกับการกระทำที่อุกอาจนักของชายหนุ่ม  แม้ลึกๆนางจะมีใจให้กับเขาก็ตาม
“ ได้ซิ!  ข้าเองก็อยากจะมีใครสักคนร่วมเดินทางไปด้วย ” ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ เขามีท่าทีที่กระตือรือร้นมากขึ้น
“ องค์หญิง  ข้าขอลา วันหน้าเราคงจะได้พบกันอย่างแน่นอน ” ฟินเชสกล่าว ปิดท้าย
เซดอร์ฟและฟินเชสต่างโบกมือลาองค์หญิงเป็นครั้งสุดท้าย นางโบกตอบกลับมาด้วยสายตาที่เลื่อนลอย พวกเขาทั้งสองต่างมุ่งหน้าเดินทางไปยังทิศตะวันออกที่ถูกห้อมล้อมด้วยสายธารแห่งทะเล!!!!! 
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น