ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    AcreDis จักรวรรดิซาตาน

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4 การตื่นจากนิทรา-ศาสตราที่เปลี่ยนแปลง

    • อัปเดตล่าสุด 11 พ.ย. 48


    ท้องฟ้าที่สว่างไสวในยามเช้า บัดนี้กลับมืดครึ้มลงเหมือนต้องมนตรา  สายฝนที่ชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาประปรายบนพื้นธรณี   เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหวประสานกับเสียงฟ้าผ่าที่สั่นคลอนพื้นพิภพ  พายุก่อตัวขึ้นด้วยแรงลมที่มหาศาล เศษใบไม้ที่ถูกพัดขึ้นกลางอากาศปลิวล่องลอยดุจลูกธนูที่พุ่งไปตามสายลม





    ณ ดินแดนสูงสุดที่ยากแก่การไปเยือน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือสุดขอบฟ้า   ปรากฏบานประตูใหญ่สีดำล่องลอยอยู่เหนือพื้นดิน  อักษรโบราณสีเงินที่ถูกสลักขึ้นบนบานประตู กลับหมองคล้ำลง เมื่อต้องกับละอองน้ำฝนที่จับตัวเกาะกันอย่างเหนียวแน่น  





    ไม่นาน...บานประตูทั้งสองข้างที่ปิดตายไม่ได้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนมาเป็นเวลานาน  ก็พลันเปิดอ้าออกมาอย่างช้าๆ   แสงสว่างที่เจิดจ้าจากภายในส่องแสงกระทบเงามืดของคนกลุ่มใหญ่ ท่ามกลางสายฝน  





    พลังบางอย่างห่อหุ้มพวกเขาให้ปลอดภัยจากละอองฝนที่เหน็บหนาว  สายตานับสิบคู่ยังคงจับจ้องไปยังนภาเบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล





      สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างกะทันหันเหนือความควบคุมของพวกเขา เป็นเหตุให้เกิดความหวาดหวั่นใจ  ในคำทำนายเมื่อสองร้อยปีที่แล้ว “จะเป็นจริง”  จากคำบอกกล่าวในครั้งนั้น...ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำที่แสนจะวุ่นวายของทุกๆเผ่าพันธุ์  





    “ โบลิเวีย   ท่านคิดว่ามันจะเป็นจริงอย่างที่ถูกทำนายไว้หรือไม่ ” น้ำเสียงอันแหบห้าวเปล่งออกมาอย่างช้าๆจากปากของบุรุษผู้แก่ชรา   ผมที่เป็นสีขาวสลับดำประกอบด้วยหน้าตาที่หยาบกร้าน แสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของอายุนับหลายร้อยปี      อาภรณ์สีฟ้าที่เขาสวมใส่ ช่างดูสวยสดงดงามยิ่งนักเมื่อต้องกับแสงของท้องนภา





    “ ทุกสิ่งทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับโชคชะตา ”   บุรุษรูปงามตอบขึ้น หางคิ้วที่ยาวจรดปลายหู ทำให้เขาเป็นที่น่าเกรงกลัวต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก  ผมสีดำเป็นมันเยิ้ม มัดรวบเป็นหางม้าไว้ด้านหลัง





    “ ท่านไม่คิดจะฝืนโชคชะตา  บ้างหรือ ” ชายแก่ถามขึ้น น้ำเสียงอ้อนวอน





    “ ข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของพวกเรานะ ท่านเชอร์บิรัส ” โบลิเวียเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น





    “ แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับเผ่าพันธุ์ของพวกเรา ” เชอร์บิรัสตะคอก  





    “ พวกท่านหยุดได้แล้ว!!  จะเถียงกันให้ได้อะไรขึ้นมา  ”  สตรีสูงวัยในชุดอาภรณ์สีแดงเข้าห้ามปรามทั้งสอง





    “ เฮร่า   ท่านมีวิธีที่ดีกว่านี้หรือไงกัน!  ท่านรู้หรือไม่...สิ่งที่มันหายสาบสูญไปนานนับพันปี กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง  พร้อมกับสิ่งที่อันตรายที่สุด ” เชอร์บิรัสเถียง





    “ เบาๆเถอะท่านเชอร์บิรัส!  ข้าก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น  แต่เราจะทำอะไรกันได้ละ  ในเมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดมันขึ้นมาแบบนี้  ” เฮร่าพูดขึ้น เธอมีสีหน้าที่วิตกกังวลยิ่งนัก





    “ งั้นหรือ!! ถ้าไม่มีใครทำ   ข้าจะเป็นคนฆ่าเจ้านั้นด้วยตัวของข้าเอง  ” ชายแก่ตะคอกขึ้นมาอย่างดุดัน





    “ ท่านอยากจะทำอะไรก็ตามใจ  ข้าคิดว่าหอน่านฟ้า  คงกำลังรอต้อนรับท่านอยู่อย่างแน่นอน  ”  น้ำเสียงที่เรียบเฉยของโบลิเวียดังขึ้นเย้ยหยัน     บุรุษหนุ่มหันหลังกลับ เขาเดินหายลับเข้าไปที่ด้านหลังของประตูสีดำบานใหญ่





    “ โบลิเวีย  ท่านขู่ข้างั้นหรือ!! ” เชอร์บิรัสตะโกนสุดเสียงดังไล่หลังบุรุษหนุ่มไป





    “………” ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา





    “ อย่าฝืนตัวเองเลยจะดีกว่าท่านเชอร์บิรัส  ” เฮร่าพูดขึ้น





    ชายแก่มีท่าทีที่หงุดหงิด เขาสบถอะไรบางอย่างออกมาด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว อาภรณ์สีฟ้าของเขาขยับไปมาอย่างกระตือรือร้น  ฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆตอกย้ำความพ่ายแพ้ให้แก่เชอร์บิรัสยิ่งนัก





    ศูนย์กลางแห่งพลังอำนาจที่อยู่ห่างออกไปไกลแสนไกล ดึงดูดให้สายตาหลายสิบคู่ ยังคงเฝ้ามองอย่างนิ่งเงียบตลอดการสนทนาของทั้งสาม  พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ สรรพสิ่งรอบตัวยังมิอาจรู้  โชคชะตาเท่านั้นที่ถูกลิขิตขึ้นมาเหนือคำสั่งของสวรรค์





    ณ   ศูนย์กลางแห่งพลัง  ห่างจากประตูสวรรค์หลายหมื่นไมล์..........................................





         การต่อสู้ของนักบวชและยักษ์แคระหยุดลงอย่างกะทันหัน    สายตาที่เขียวมรกตยังคงทอประกายส่องแสงท่ามกลางสายฝนที่หนักหน่วง    สายฟ้าที่คำรามกึ่งก้องบนท้องฟ้าแสดงอานุภาพฟาดฟันลงบนพื้นดิน





         เปรี้ยง!   หนึ่งสายอัสนีผ่าลงกลางลำตัวของชายหนุ่ม       หมอกควันแห่งความหายนะพวยพุ่งขึ้นบดบังร่างที่มืดมิด    สายพิรุณที่เย็นยะเยือกยังคงฝังลึกลงในทุกอณูอย่างไม่หยุดยั้ง             แววตาที่หวาดกลัวสุดขีดปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเหล่ายักษา  ร่างกายที่เปียกโชกด้วยความเหน็บหนาวยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับถูกตรึงด้วยอำนาจที่มองไม่เห็น  มือที่เปียกชื้นของพวกมันยังคงกำขวานที่คมกริบอย่างมั่นคง





        ดวงตาสีเขียวอำพันคู่ใหญ่ พลันปรากฏขึ้นท่ามกลางหมอกควันที่จางหายไปในบันดล  ร่างสีดำถมึน  ดั่งวิญญาณร้ายล่องลอยออกมาอย่างเชื่องช้า ผ้าคลุมสีดำของมันปลิวไสวไปมาด้วยสายวายุ ด้ายสีทองที่ปักอยู่กลางผืนผ้าบ่งบอกถึงความเป็นเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง   ศาสตราในมือของมันส่องแสงเมื่อกระทบกับหมู่สายตาที่ยังคงจับจ้องอยู่เบื้องหน้า





    “ หลบเร็วววววววววววววววว!!! ” บรุษในชุดขาวตะโกนแหวกสายฝนผ่านไปยังบุรุษชุดขาวกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านตรงข้าม   ปฏิกิริยาที่เกิดจากเสียงตะโกนเพียงหนึ่งเดียวเกิดสนองขึ้นในกลุ่มใหญ่ทันที  พวกเขาต่างกระโดดหลบไปคนละทิศละทาง  โดยไม่สนใจชุดคลุมสีขาวที่เปียกโชกไปด้วยโคลนที่เหม็นคลุ้ง





    “ ฉั๊วะ!   ฉั๊ว!!   ฉั๊ว!!! ” เสียงฟาดฟันแห่งความตายดังแหวกอากาศกระทบโสตประสาทอันชาญฉลาดของเหล่าบุรุษชุดขาว   ยมทูตผู้มีนัยน์ตาสีเขียวควงศาสตราวุธแห่งสายฟ้าด้วยท่าทางราวกับเป็นสิ่งที่คุ้นมือนัก ดั่งสัตว์ร้ายบ้าคลั่งที่กระหายหิวเหยื่ออันโอชะมานานหลายเพลา





    เหล่ายักษาต่างหวาดผวาในความโหดเหี้ยมที่ถูกบังคับให้ต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง  การฝืนที่ยากแก่การยอมจำนนนั้น ช่างเพิ่มความเจ็บปวดแสนทรมานให้กับพวกมันยิ่งนัก จุดที่เรียกว่าหัวใจ พลันสลายลงด้วยคมดาบบนร่างอันสูญสิ้นวิญญาณ  ร่างกายที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆด้วยคมเขี้ยวแห่งดาบ ลอยเวิ้งว้างอยู่กลางสายฝน  โลหิตสีเขียวที่เหนียวหนึบหนับไหลซึมออกมาจากชิ้นเนื้อที่ขาดวิ่นผสมรวมกับน้ำฝนซึมลงพื้นดิน





    กองทัพยักษ์แคระที่ทรงอำนาจแหลกสลายลงด้วยดาบเพียงเล่มเดียว ยมทูตผู้ล่าวิญญาณบัดนี้  ยังคงยืนอย่างสงบท่ามกลางร่างอันไร้วิญญาณของยักษา     สายฝนที่โปรยปรายอย่างหนักกลับหยุดลงอย่างรวดเร็ว  แสงสุริยันที่ถูกบดบังด้วยเมฆากลับมาส่องสว่างอำไพขึ้นอีกครั้ง   วายุที่โหมกระหน่ำอย่างไม่รู้หน่ายพลันเงียบสงบลง  





    สภาพอากาศที่ผิดวิสัยกลับมาเป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง   ชายหนุ่มผู้เป็นศูนย์กลางแห่งพลัง  ล้มลงหน้าฟาดกับพื้นเสียงดังสนั่น ศาสตราวุธที่เหนือสิ่งอื่นใดถูกแรงอันมหาศาลปักยึดลงไปในพื้นดิน   บุรุษในชุดสีขาวต่างพร้อมใจกันปรากฏตัวออกมาจากที่กำบัง  





    “ ท่านหัวหน้า  ระวังนะขอรับ! ”  นักบวชคนหนึ่งเอ่ยขึ้น





    “ อืม...เขายังไม่ตาย  ข้าคิดว่าเราควรจะนำเขาไปยังที่อาณาจักรของเรา ” นักบวชผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น   รอยบากบนหน้าผากที่อยู่กึ่งกลางระหว่างคิ้วของเขา แสดงถึงความชำนาญในการต่อสู้ของผู้เป็นนักบวชระดับสูง





    “ แต่…มันเป็นปีศาจนะขอรับ  มันอาจจะย้อนทำร้ายเราเมื่อไรก็ได้นะขอรับ ”  นักบวชอีกคนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงโอดครวญ





    “ วางใจเถอะ  พวกเราเผ่าพันธุ์แห่งนักบวชนอกจากสติปัญญาที่ชาญฉลาดแล้ว การต่อสู้ของพวกเราก็ล้ำเลิศไม่แพ้กัน ข้าไม่ปล่อยให้เขากระทำการแบบนั้นแน่ๆ ”  ผู้เป็นหัวหน้าพูดขึ้นด้วยความภูมิใจ





    “ นั่นสินะขอรับ   ข้าลืมคิดเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน  ”  นักบวชคนเดิมเอ่ยโทษตัวเอง





    “ พวกเจ้าสามคน…พยุงเจ้านี่ไปที่เรือของเรา ” หัวหน้าสั่งขึ้นพลางชี้ไปที่เซดอร์ฟ





    “ หัวหน้าขอรับ!   มีพวกเราล้มตายสี่คน บาดเจ็บสิบสองคนขอรับ ” นายทหารคนสนิทของผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น





    “ ดีมากลูน   พาพวกเราทั้งหมดไปขึ้นเรือซะ  พวกเราจะออกเดินกันเดี๋ยวนี้หล่ะ ” ผู้เป็นหัวหน้าถ่ายทอดคำสั่งผ่านทหารคนสนิท    





    ดาบที่ปักอยู่บนพื้น ยังคงดึงดูดให้เขาต้องการที่จะสัมผัสมัน ความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม ทำให้บุรุษผู้สูงวัยต้องใช้มือซ้ายดึงมันขึ้นมา   พละกำลังที่มหาศาลของเขาเหมือนถูกดูดกลืนหายลงไปในตัวดาบ พลังบางอย่างในตัวดาบสะท้อนร่างกายของเขากระเด็นออกมา มือซ้ายของผู้เป็นนักบวชเกิดอาการชาไปชั่วขณะ





    “ ไม่นึกว่า…เจ้าครึ่งซาตาน  จะมีศาสตราวุธที่วิเศษขนาดนี้ ” บุรุษสูงวัยเอ่ยด้วยความทึ่ง





    เขาเกร็งพลังที่มือข้างซ้าย  รอยสักรูปกางเขนที่ข้อมือซ้าย ปรากฏสีแดงขึ้นเป็นรอยลึก  เส้นเลือดตามลำแขนปูดโปนขึ้นมาอย่างน่ากลัว  พลังบางอย่างถูกกระตุ้นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด  นักบวชผู้สูงศักดิ์ ใช้มือซ้ายดึงศาสตราวุธแห่งอัสนีอีกครั้ง    





    ครั้งนี้! ความพยายามของนักบวชไม่ไร้ผล  ดาบที่ปักลึกลงใต้พื้นพสุธาพลันถูกกระชากด้วยพลังกายที่เหนือชั้นกว่า     อาวุธที่เต็มไปด้วยมนตรายังคงนอนแน่นิ่งอยู่ในการควบคุมของเขา   ศาสตราวุธถูกแบกขึ้นบนบ่า ความหนักด้วยรูปลักษณ์ที่ใหญ่โตเทอะทะถูกถ่ายทอดลงบนไหล่จนทรุดฮวบลงมาข้างหนึ่ง   ยานพาหนะที่ทำด้วยไม้ยังคงล่อยลอยรอพวกเขาทั้งสองอยู่เหนือวาริน  







    ------------------------ผ่านไปสามวัน------------------------







      เสียงหายใจที่แผ่วเบา ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดภายในห้องที่ว่างเปล่า  ห้องพักที่ถูกทาขึ้นด้วยสีขาวช่างดูสะอาดตานักเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ   ที่กลางห้องชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงที่ขาวโพลน   ด้านหน้าของเตียง ของสามสิ่งถูกวางรวมไว้บนโต๊ะที่ถัดจากเตียงนอนไปเพียงไม่กี่ก้าว  สีแดงและดำของพวกมัน ดูเป็นจุดเด่นขึ้นมาเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับห้องที่เป็นสีขาว





       โอ๊ย!   เสียงร้องที่บางเบาดังออกมาจากเตียงนอน  ชายหนุ่มขยับตัวเล็กน้อย มือทั้งสองข้างจับต้องอยู่บนเรือนผมสีขาวบนศีรษะ  การนิทราที่ยาวนานสร้างความเจ็บปวดให้กับเขาได้ไม่น้อยทีเดียว   เซดอร์ฟลุกขึ้นจากเตียงอย่างแผ่วเบา  สายตาของเขาจับต้องอยู่ที่ของสามสิ่งตรงหน้า    เซดอร์ฟจัดการถอดชุดคลุมสีขาวออก เขาใส่ผ้าคลุมที่มีสีดำสนิทลงไปแทน และหยิบหนังสือปกแดงซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุมทางด้านหลัง  ชายหนุ่มแปลกใจยิ่งนักกับของสิ่งสุดท้าย  ดาบสีเทาอันใหญ่ถูกวางเอาไว้แทนที่วัตถุปริศนา  ไล่ลงไปตั้งแต่ตัวดาบจนถึงปลายสุด ถูกตีขึ้นเลียนแบบการเกิดสายฟ้า    ที่ด้ามจับถูกสลักขึ้นเป็นรูปสายฟ้าเล็กๆตลอดด้าม    ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่ด้ามของดาบอย่างเชื่องช้า





    ความทรงจำ  แว๊บ หนึ่ง ปรากฏขึ้น.... ภาพ ตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ห้อมล้อม  สายฝนที่โปรยปรายลงมามิอาจแหวกหมู่หมอกที่หนาทึบเข้ามาได้ สายฟ้าอัสนีผ่าลงกลางลำตัวของเขา    ที่จริงมันไม่ได้ผ่าลงกลางลำตัว  แต่มันผ่าลงมาใส่วัตถุปริศนาที่อยู่ในมือขวาของเขา  วัตถุสีดำสนิทเปลี่ยนรูปขึ้นมาทันที   ศาสตราวุธที่เป็นรูปสายฟ้าพลันปรากฏขึ้นแทนที่   ผ่านการต่อสู้ที่โหดร้ายก็เริ่มปรากฏขึ้น   ความรวดเร็วที่สายตาธรรมดาไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก   กองทัพยักษ์ที่ตกเป็นเหยื่อของมันมิอาจจะขัดขืนต่อความตายครั้งนี้ได้เลย    





    เซดอร์ฟชักมือของเขาออกมาจากดาบด้วยความรวดเร็ว  เขาเดินถอยห่างมันไปหลายก้าว  เหงื่อสองสามหยดไหลลงมาอาบแก้มเป็นทางยาวจากเรือนผมสีขาว เลือดสีเขียวๆที่ไหลเยิ้มออกมาจากชิ้นเนื้อที่แหลกเหลวในความทรงจำเมื่อกี้ ยังคงติดตาเขาอยู่จนถึงขณะนี้





    -----------------------พลังของมันรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ!!--------------------





    เซดอร์ฟตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นปกติ  ไม่มีความทรงจำที่แสนโหดร้ายเกิดขึ้นกับเขา  ชายหนุ่มมองหาเศษผ้าสีขาวที่พอจะเป็นประโยชน์กับเขาได้   เขามองไปที่เตียง   ผ้าห่มสีขาวบางๆ ยังคงเกองละเทะอยู่บนเตียงนอน  ชายหนุ่มหยิบมันขึ้นมาพันรอบตัวดาบจนหนาทั้งเล่ม  เขาฉีกเศษผ้าที่เหลือจากการพันรอบดาบ มาทำเป็นสายสะพายและมัดติดกับดาบไว้ทางด้านหลังของผ้าคลุม





    ชายหนุ่มก้าวเดินออกมาด้วยความมั่นใจ ที่นี่คือที่แห่งใด  เขาเองก็ยังมิอาจทราบ มีเพียงต้องก้าวเดินไปข้างหน้า  หนทางที่เขาต้องเผชิญในอนาคตจะเป็นอย่างไร มีเพียงโชคชะตาเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดมันขึ้นมา      





    ดอกไม้ที่บานสะพรั่งหลากหลายสีในสวนที่เต็มไปด้วยสีของต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวขจี ดูจะเป็นสถานที่แห่งเดียวที่ปราศจากสีขาว  กลิ่นหอมของดอกไม้แต่ละชนิดต่างแข่งกันถ่ายทอดความสวยงามและความสดชื่นให้กับผู้ที่สูดดม แมลงหลากชนิดบินตอมดอกไม้กันขวักไขว่  แสงแดดอ่อนๆสาดส่องสาดไม่ทั่วถึง แม้ในอากาศที่ร้อนอบอ้าว  ในที่แห่งนี้กับยังคงเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก  ความร่มรื่นของหลากไพรสณฑ์ ดูจะปกปิดตัวตนที่แท้จริงของพวกมันเสียเอง    





    พลั๊ก ผั๊วะ “ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอามันเลยพวก เอาให้ตาย  พวกชอบทำตัวเป็นเก่งอย่างมัน โดนแบบนี้ถึงจะรู้สำนึก ”  เสียงเอะอะโวยวายดั่งการวิวาท ดังลึกเข้าไปภายในสวน   ชายหนุ่มหลุดจากวังวน เขาตั้งสติได้ในทันทีและออกวิ่งอย่างเชื่องช้าไปยังต้นเหตุของเสียง





    ต้นมะฮอกกานีใหญ่ยักษ์ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุมพฤกษาธรรมชาติหลากชนิด  มันช่วยบดบังร่างของชายหนุ่มเพื่อไม่ให้ถูกพบเห็น  เด็กหนุ่มในชุดคลุมขาวกลุ่มเล็กๆ ห้อมล้อมกันรุมทำร้ายบุรุษหนุ่มผู้ไม่มีทางสู้   ชุดคลุมสีขาวสะอาดกลับเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆเป็นจุดด่างตามตัว





    เซดอร์ฟทนไม่ได้ที่จะเห็นบุรุษหนุ่มถูกรุมรังแก  เขาอยากจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงเพื่อเข้าช่วยบุรุษผู้น่าสงสาร  แต่ความคิดที่บุ่มบ่ามของเขา  ก็พลันสะดุดลงด้วยเสียงอันไพเราะที่ดังขึ้น





    “ หยุดนะ! ” เสียงที่ดุดันแต่แฝงไปด้วยความอ่อนหวานดังขึ้น  





    เหล่าบุรุษชุดขาวที่กำลังประพฤติการชั่วช้าหยุดอยู่กับที่ ด้วยอาการตกใจเล็กน้อยที่ถูกขัดจังหวะความสำราญของพวกตน    สตรีนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของพวกเขา  นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวราวไข่มุกยาวจรดพื้น ผมที่หยิกเป็นลอนเล็กๆสีน้ำตาลถูกมัดรวมไว้ที่ด้านหลังศีรษะและปล่อยยาวลงมาถึงกลางหลัง  





    “ นักบวชอย่างพวกเจ้าที่มีระดับสูงกว่า....กลับมารุมทำร้ายผู้ที่มีระดับต่ำกว่าเจ้าได้อย่างไรกัน ”  เสียงที่อ่อนหวานดังขึ้นอีกครั้งจากริมฝีปากที่บางเบาของนาง





    “ อ..องค์หญิง!…ท่านเอาอะไรมาอ้างขอรับ ”  หนึ่งในกลุ่มชุดขาวเอ่ยขึ้น





    “ หึ...เจ้าคิดว่าข้าโกหกงั้นหรือ  ข้าแอบเห็นพฤติกรรมชั่วๆของเจ้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ” องค์หญิงเอ่ยขึ้นอย่างมีชัย





    “ พวกข้าเปล่าทำ  ข้าคิดว่าถ้าองค์หญิงไม่อะไรแล้ว พวกข้าจะขอตัวไปฝึกวิชา  ”  บุรุษคนเดิมพูดขึ้น





    “ รีบไปซะ  ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกเปลี่ยนแปลงด้วยสติปัญญาอันชาญฉลาดของข้า ” นางพูดขึ้นแกมขู่





    กลุ่มบุรุษชุดขาวที่รังแกบุรุษหนุ่มต่างกระเสือกกระสนแข่งกันวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว





    “ เจ้าเป็นอะไรมากหรือเปล่า ” นางถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แววตาสีน้ำตาลของนางที่มองลงมาช่างดูสวยงามยิ่งนัก





    “ มิได้องค์หญิง  ข้าไม่ได้เป็นอะไรมากนักขอรับ ” ชายหนุ่มที่เปรอะเปื้อนไปด้วยดินพูดขึ้น เขาก้มหน้าก้มตาปัดเศษดินที่ติดอยู่ตามเสื้อผ้าออกอย่างเบามือ





    “ เจ้ารังเกียจข้างั้นหรือ! ” น้ำเสียงที่ดูน้อยใจของนางดังขึ้น





    “ ไม่ใช่อย่างั้น  เพียงแต่ข้า... ”





    “ ข้าไม่คู่ควรกับท่าน ”  นางพูดขึ้นเหมือนจะเดาใจบุรุษหนุ่มออก





    “ เฮ้อ...ข้าน่ะ  รู้จักกับใครมาก็เยอะแยะ  แต่ไม่เคยเจอใครที่เป็นเหมือนเจ้าซักที ” นางพูดขึ้นพลางถอนหายใจ  สีหน้าของนางที่เคืองแครงใจยิ่งนัก





    “ ฮ่าๆๆ !  ข้าละสงสารท่านนัก  ท่านบุรุษหนุ่มผู้สง่างาม ” เสียงของเซดอร์ฟดังขึ้นมาทางด้านหลังไม้ใหญ่ยักษ์





    “ หืม!  เจ้าเป็นใครกัน ”  นางถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแปลกใจ





    “ องค์หญิง  ข้าเป็นแขกของอาณาจักรท่านนะครับ ”  เซดอร์ฟพูดปด





    “ งั้นหรือ! แล้วท่านทำไมไม่อยู่รอท่านพ่อที่ปราสาทคารอยด์กันละ ” นางพูดขึ้นด้วยท่าทางที่วางมาดแห่งผู้นำ





    “ ข้าแค่มาเดินเที่ยวนะ ไม่นึกว่าจะมาเจอคนอ่อนแอที่ถูกรังแกอยู่ในสวนแห่งนี้ ” ชายหนุ่มพูดขึ้นพลางปาดสายตาดูถูกไปที่บุรุษหนุ่มผู้เปรอะเปื้อน





    “ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกข้า ” บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ





    “ เปล่าหรอก  ข้าก็แค่พูดไปตามความเป็นจริง ”





    “ เจ้า!….” บุรุษหนุ่มสบถคำบางอย่างออกมา เขาลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ   ข้อมือข้างซ้ายที่มีรูปไม้กางเขน พลันมีรอยลึกสีแดงปรากฏขึ้น  เส้นเลือดสีแดงปูดโปนขึ้นมาตามแขนซ้าย    หมัดซ้ายที่ทรงพลังของบุรุษหนุ่มพุ่งตรงมาที่ท้องของเซดอร์ฟ    เขาโดนอัดเข้าที่ท้องน้อยอย่างรุนแรง  เศษอาหารภายในท้องของเขาบิดวนอย่างน่าเป็นห่วง  ผ้าคลุมสีดำเปล่งแสงขึ้นอีกครั้ง   ย๊าก!  ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยเสียงที่กึ่งก้อง  พลังของผ้าคลุมกระแทกเข้ากับบุรุษหนุ่มจนตัวงอ เขากระเด็นล้มลงหน้าฟาดพื้น มีเลือดสีแดงไหลรินออกมาที่หน้าผาก





    “ อูย  ข้าลงทุนถึงขนาดนี้แล้ว  ท่านคงจะคิดอะไรออกบ้างหรอกนะ ” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยท่าทางที่โอดครวญ มือทั้งสองข้างยังคงจับต้องอยู่กลางท้องน้อยที่ถูกโจมตีไปเมื่อครู่





    บุรุษหนุ่มยังคงปิดปากเงียบ ท่าทางที่ดูเหนื่อยล้าภายใต้ใบหน้าที่หมองคล้ำยังคงใช้ความคิดอันชาญฉลาดหาเหตุผลที่เด็กหนุ่มได้พูดขึ้น





    “ ท่านหมายความว่าไงกัน ” บุราหนุ่มเอ่ยขึ้น





    “ ข้าก็แค่ช่วยขจัดความกลัวในตัวเจ้า  เจ้ารู้ไหมว่าฝีมือของเจ้าเหนือกว่าเจ้าพวกที่รังแกเจ้าหลายเท่านัก  แม้เจ้าจะมีระดับพลังที่ต่ำกว่า  แต่เจ้ากลับจำกัดมันขึ้นมา  นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เจ้าไม่กล้าต่อต้านเจ้าพวกนั้น ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยความสำราญใจ  เขาดูจะมีหวังเมื่อมองไปยังสีหน้าที่มั่นคงของบุรุษหนุ่ม





    “ เฮ้....ท่านมาอยู่นี่เองหรือ  ท่านสหภาคีทั้ง7ต้องการพบตัวท่าน ” นักบวชผู้แก่ชราตะโกนออกมาที่ด้านข้าง





    “ เอ่อ...ข้าไปละนะ    แล้วก็องค์หญิงข้าน้อยลาละ ” ชายหนุ่มบอกลา บุรุษหนุ่มและองค์หญิง





    เซดอร์ฟเดินจากไปยังทิศที่เหมือนว่าจะเป็นปราสาทคารอยด์  บุรุษหนุ่มหันมองตามเขาไปจนลับสายตา





    “ องค์หญิง ข้าขอตัวก่อนขอรับ ” บุรุษหนุ่มเอ่ยขึ้นในทันที เขาออกวิ่งไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเซดอร์ฟ





    องค์หญิงยังคงนิ่งอึ้งอยู่ในพลังที่เหนือขีดระดับของเขา   พลัง.....ที่เหนือกว่าขีดจำกัดแห่งนักบวช  

        













        













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×