ตอนที่ 3 : The Voice

III : The Voice
อีวานเจลีนเรียนที่ฮอกวอตซ์มาได้เกือบสองเดือนแล้ว โดยอาจารย์หลายคนพบว่าเธอไม่มีความสามารถในการเรียนรู้วิชาใดเป็นพิเศษเลย-- ไม่มีสักนิด
ศาสตราจารย์ฟลิตวิคและศาสตราจารย์มักกอนนากัลเคยลงความเห็นกัน เรื่องสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นนักเรียนที่เรียนได้แย่ที่สุดในชั้นปี ว่าอาจเป็นเพราะไม้กายสิทธิ์ที่มีนั้นไม่เหมาะกับตัวเธอเท่าที่ควรจะเป็น มันเสกคาถาได้ช้า หรือบางทีก็ไม่ยอมเสกอะไรออกมาเลย แต่ก็มีบ้างที่มันทำเกินกว่าที่ต้องการไปมากโข และดูเหมือนเจ้าของเองก็ไม่สามารถควบคุมไม้ของตนเองได้อย่าเต็มประสิทธิภาพ
แต่เมื่อทั้งสองพบว่าผลการเรียนในวิชาอื่นๆที่ไม่ได้ใช้ไม้กายสิทธิ์ของเธอนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน อย่างวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ หรือวิชาสมุนไพรศาสตร์ แม้กระทั่งในวิชาปรุงยาที่ศาสตราจารย์สเนปที่ทุกคนเดาว่าเป็นพ่อของเธอเป็นคนสอน -- อันที่จริง เธอน่าจะเป็นนักเรียนปีหนึ่งที่โดนเขาพูดจากระแนะกระแหนกับทุกการกระทำในชั้นเรียนมากกว่าคนอื่นเสียอีก – ทำให้ศาสตราจารย์ทั้งสองเริ่มจะลองตั้งทฤษฏีใหม่เกี่ยวกับผลการเรียนของอีวานเจลีน ว่าปัญหาทั้งหมด น่าจะอยู่ที่ตัวเธอเองที่เรียนได้ช้า และความสามารถด้านเวทมนตร์ไม่สูงนัก
และจนถึงกระทั่งตอนนี้เธอก็ยังเดินไปไหนมาไหนหรือทำอะไรคนเดียว เธอไม่มีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม อาจเพราะความนิยมในตัวศาสตราจารย์สเนปจากนักเรียนต่างบ้านนั้นติดลบ จึงไม่มีใครนึกอยากผูกมิตรกับเธอ และแม้แต่นักเรียนบ้านสลิธีรินด้วยกัน คงเพราะเห็นว่าเธอไม่ได้มีสิทธิพิเศษอะไรจากอาจารย์คนไหน (โดยเฉพาะสเนป) และไม่ได้เรียนเก่งหรือมีความสามารถเป็นที่ยอมรับ จึงไม่มีใครเห็นว่าการคบกับเธอจะทำประโยชน์ได้
อีวานเจลีนไม่ได้รู้สึกอะไร เธอชินกับทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาแล้ว ทั้งการที่ไม่มีใครคนไหนจะคบเธอเป็นเพื่อน แถมยังโดนนักเรียนในบ้านสลิธีรินเกือบทุกคนแกล้งอยู่บ่อยๆ – เมื่อคืนนี้หมอนและผ้าห่มของเธอหายไปจากเตียง ไม่มีใครคิดช่วยตามหา จึงต้องนำเสื้อผ้าและชุดคลุมต่างๆมาใช้หนุนนอนและห่มแก้ขัดไปก่อน – และการโดนบ่นบ่อยๆจากศาสตราจารย์สเนป ซึ่งก็ไม่ได้ต่างไปจากที่เคยเจอเมื่อตอนอยู่บ้านเท่าไรนัก
วันนี้กำลังจะได้เรียนเรื่องการเปลี่ยนหนูตัวเล็กๆ เป็นกล่องยานัตถุ์ ซึ่งก็เหมาะแล้วที่จะนำหนูสีน้ำตาลอ่อนที่ได้รับมามาเรียนสักที เธอตั้งชื่อมันว่าทีนี่ ซึ่งคล้องกับคำว่า ไทนี่ (เจ้าตัวเล็ก) อย่างง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ด้านการตั้งชื่อให้ดูดีของเธอก็ไม่มีเช่นกัน
อีวานเจลีนเดินเข้าไปในหอนอนที่ซ่อนอยู่บริเวณคุกใต้ดิน มันเย็นมากกว่าบริเวณอื่นในปราสาทเพราะอยู่ติดทะเลสาบ เธอเดินลัดเลาะเข้าไปในห้อง เดินตรงไปที่เตียง – หมอนและผ้าห่มชุดใหม่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ เดาว่าพวกเอลฟ์คงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว – ใจของเธอหล่นวูบไปกองอยู่ที่พื้นห้อง เมื่อเห็นว่ากรงหนูที่วางอยู่บนตู้ใส่ของขนาดกลางข้างเตียงนั้นเปิดอ้าเอาไว้ และหนูของเธอหายไป
“...ทีนี่...” เธอเรียกหามัน “ทีนี่ แกอยู่ไหนน่ะ”
ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปตามจุดต่างๆ อย่างค่อนข้างจะสิ้นหวัง ก้มลงมุดไปใต้เตียงเผื่อว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมองเห็นมันเลย เมื่อมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่ใกล้ผนัง ซึ่งบ่งบอกได้ว่าใกล้จะถึงเวลาเรียนวิชาแปลงร่างกับศาสตราจารย์มักกอนนากัลแล้ว อีวานเจลีนจึงจำใจต้องหยุดการตามหาหนูไว้ตรงนี้ และออกจากหอนอนเพื่อไปเรียนในทันที
ระเบียงทางเดินเต็มไปด้วยนักเรียนเดินขวักไขว่ เด็กๆกำลังจะเริ่มเรียนคาบบ่ายในอีกไม่กี่นาทีนี้ จึงค่อนข้างวุ่นวายเล็กน้อย แต่อีวานเจลีนก็เดินไปยังห้องเรียนเพียงคนเดียว แม้จะมีนักเรียนบางส่วนที่เรียนในชั้นเดียวกันอยู่รอบตัวก็ตาม
ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่แสนเยียบเย็น ดังขึ้นแทรกกับเสียงพูดคุยของนักเรียนที่จอแจ
และอีกครั้ง เธอสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตาสีดำสนิทกวาดมองไปตามทางเดิน เพื่อจะดูว่ามีใครได้ยินเหมือนที่เธอได้ยินหรือไม่ แต่ก็เปล่า ทุกๆคนยังคงเดินไปอย่างปกติ ไม่ได้มีท่าทีที่แปลกไปเลยสักนิด
มันเหมือนเสียงกระซิบ แทรกอยู่ระหว่างรูปปั้นสวมชุดเกราะฝุ่นเขรอะสองตัวที่ตั้งไว้ระหว่างทางเดิน เธอเข้าไปใกล้ และก้มลงมองอย่างระมัดระวัง
ปรากฏเป็นว่าเป็นงูขนาดค่อนข้างเล็ก สีดำสนิท ลำตัวของมันยาวกว่าหนึ่งเมตร ผิวหนังเรียบลื่นเป็นมันวาว
กลางตัวมีลักษณะกลมป่องขึ้นมาเล็กน้อย อีวานเจลีนเดาว่ามันคงพึ่งกินอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ตาสีดำกลมโตของมันจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ เชิดหัวสูง หนังส่วนคอแผ่กว้าง ไม่มีความเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น
อีวานเจลีนประหลาดใจ ที่เธอไม่ได้รู้สึกว่าเจ้างูตัวนี้ดูน่ากลัวเลยสักนิด มันแปลกมาก ที่เธอกลับรู้สึกอยากสัมผัสเจ้างูตัวนั้นมากกว่าด้วยซ้ำ มือซีดเซียวเอื้อมไปช้าๆ พร้อมกับหัวของงูที่เลื่อนเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ว้าย!!! งู!” นักเรียนหญิงปีสี่บ้านเรเวนคลอร้องลั่นด้วยความตกใจ ทำให้คนอื่นๆที่เดินอยู่ตามทางเดินหยุดชะงัก และเริ่มสอดส่ายสายตามองหาตำแหน่งของงูกันจ้าละหวั่น “มันกำลังจะกัดเธอ!” เสียงของเธอดังกว่าเดิม
อีวานเจลีนสะดุ้งอย่างแรง ดวงตาสีดำสนิทหันกลับมามองรอบตัว เห็นกลุ่มนักเรียนหลายสิบชีวิตกำลังยืนตัวแข็งมองเธอสลับกับงูตัวนั้น
“...ไล่มันไปสิ บอกให้มันเลื้อยออกไป” เสียงกระซิบที่ดูตื่นกลัวดังขึ้นมาจากนักเรียนคนหนึ่ง เขามีผมสีแดงเพลิง ใบหน้าตกกระ และดูสูงโย่งกว่าเพื่อนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาเล็กน้อย “บอกมันเถอะ ไม่งั้นมันจะกัดเธอนะ...”
อีวานเจลีนแปลกใจ
‘บอกมัน’ อย่างนั้นหรือ ดูจะเป็นคำสั่งที่แปลกประหลาดอยู่ไม่น้อยที่จะให้ใครคนหนึ่ง ‘บอก’ งูให้ไปไกลๆ มากกว่าจะใช้คำว่า ‘ไล่’
เด็กหญิงที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางระหว่างงูกับนักเรียนคนอื่นมองตามเสียงไป และก็เข้าใจในที่สุดว่าทำไมนักเรียนคนนั้นจึงพูดเช่นนั้น
แฮร์รี่ พอตเตอร์กำลังยืนดูเธออยู่ท่ามกลางกลุ่มของนักเรียนบ้านกริฟฟินดอร์นั่นเอง เขาพูดภาษาพาร์เซลได้ อีวานเจลีนได้ยินว่าเขาเคยพูดกับงูต่อหน้านักเรียนอีกหลายสิบคนเมื่อหนึ่งปีก่อน และมีข่าวลือหนาหูว่าเขาเป็นคนเปิดห้องแห่งความลับและสร้างเรื่องวุ่นวายเองด้วย
แฮร์รี่ยืนเฉยอย่างชั่งใจ ว่าควรจะทำตามที่เพื่อนของเขาบอกดีหรือไม่ และอีวานเจลีนพอจะเข้าใจว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนั้น การที่มีความสามารถเรื่องการพูดกับงูไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมสักเท่าไรเพราะภาพลักษณ์ที่ดูเหมือนสัตว์ชั่วร้ายของมัน และคนที่พูดภาษานี้ที่ได้รับการบันทึกไว้ต่างก็มีชื่อเสียงที่ไม่นัก จึงทำให้ไม่มีใครอยากจะเปิดเผยตัวนักหรอกว่าสามารถพูดกับงูได้
“ออกไป” แต่เขาก็พูดมันออกมาในที่สุด อีวานเจลีนคิดว่าไม่ได้ใช้ภาษาพาร์เซลเหมือนที่เพื่อนบอกให้ทำ เจ้างูสีดำมะเมื่อมตัวนั้นมองแฮร์รี่สลับกับเธออยู่พักหนึ่ง มันชูคอสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้พวกนักเรียนที่อยู่รอบๆพากันถอยกรูดออกไปอย่างระวัง “ไป!” เขาพูดอีกครั้ง งูจึงค่อยๆ เลื้อยออกไปอย่างเชื่องช้า และหายเข้าไปในพุ่มไม้เล็กๆ พุ่มหนึ่ง
สถานการณ์ตรึงเครียดคลี่คลายลงไปอย่างรวดเร็ว และกลับสู่ปกติในที่สุด อีวานเจลีนปัดเสื้อคลุมที่เปื้อนเล็กน้อยของเธอให้สะอาดและเข้าที่ ก่อนจะเดินไปหาแฮร์รี่ พอตเตอร์ช้าๆ
เขาไม่ทันสังเกตเห็นเธอ แต่เพื่อนนักเรียนหญิงผมหยิกฟูที่มีฟันหน้าที่ใหญ่กว่าปกตินั้นสะกิดเขาอย่างรวดเร็ว ตาสีเขียวจึงหันมามองในที่สุด
“...ขอบคุณค่ะ...” เธอพูดเสียงเบา หลบตา เหมือนไม่มีความมั่นใจในตัวเองเท่าไร
“...เอ่อ...”แฮร์รี่หันกลับไปมองเพื่อนเพื่อขอความเห็น ปกติเขาไม่ค่อยมีปัญหาในการสื่อสารกับใคร แต่ดูจะยากเหลือเกินที่จะพูดอะไรบางอย่างกับคนที่มีนามสกุลเดียวกับอาจารย์คนหนึ่งที่เขาชอบน้อยที่สุด “อ้อ ไม่เป็นไรหรอก เอ่อ... คราวหน้าระวังหน่อยก็ดีนะ” เขาพูดและเดินจากไปในทันที
คนเริ่มจางลงเรื่อยๆ เพราะใกล้จะถึงเวลาเรียนแล้ว อีวานเจลีนเห็นว่าการยืนอยู่ตรงนี้ดูไม่มีประโยชน์เท่าไร จึงไปที่ห้องเรียนวิชาแปลงร่างของศาสตราจารย์มักกอนนากัลตามแผนเดิมของตนเอง
อีวานเจลีนเดินกลับมาที่หอนอนของนักเรียนบ้านสลิธีรินอย่างเหนื่อยล้า เพราะการเรียนการสอนในวิชาแปลงร่างครั้งนี้ค่อนข้างจะยากพอสมควร – แน่นอน เธอโดนศาสตราจารย์มักกอนนากัลดุนิดหน่อยที่ไม่นำสัตว์เลี้ยงมาใช้เรียนด้วยในวันนี้ – ตอนนี้ในหอนอนว่างเปล่า ไม่มีนักเรียนคนไหนกลับขึ้นมาสักคน เป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่เธอจะเริ่มปฏิบัติการตามหาหนูที่หายไปของตัวเองโดยไม่มีคนรบกวนอีกครั้ง
เธอหามันไปเรื่อยๆ ไม่ได้สังเกตว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
เสียงประตูที่เปิดออกเบาๆทำให้ต้องหันไปมองอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่พื้นจึงเห็นไม่ชัดว่าผู้มาใหม่คือใคร
“เธอทำอะไรน่ะ” เสียงเล็กถามอย่างอยากรู้อยากเห็น อีวานเจลีนมองไป – นั่นคือเพื่อนชั้นปีเดียวกันกับเธอที่ชื่อ แอสโทเรีย กรีนกราสนั่นเอง
“อ้อ...เอ่อ กำลังลังมองหาหนูน่ะ” อีวานเจลีนตอบกลับไป “เธอเห็นมันบ้างไหม สีน้ำตาล ตัวเล็กๆ ”
“อ้อ เจ้าหนูน้อยในกรงของเธอหรือ”
เธอพยักหน้ารับ
“ฉันได้ยินพวกยัยเซลวินหัวเราะกันคิกคัก” แอสโทเรียพูดเหมือนนึกได้ ก่อนจะนั่งลงที่เตียงของอีวานเจลีนอย่างถือวิสาสะ “เธอก็คงจะได้ยินใช่ไหม ในคาบแปลงร่าง ตอนที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลกำลังดุเธอที่ไม่เตรียมหนูมาน่ะ”
“อืม” เธอตอบเบาๆ – อันที่จริงแล้วได้ยินเสียงหัวเราะเยาะจากเพื่อนเกือบทั้งห้องน่าจะถูกกว่า
“ก่อนออกจากหอนอนฉันได้ยินพวกเขาพูดกัน ว่าไปแอบเปิดกรงอะไรสักอย่าง และโยนตัวอะไรทิ้งไปตรงระเบียงทางเดินไปแล้ว—เดาว่ามันคง...”
ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองคู่สนทนานิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ และขึ้นมานั่งบนเตียงข้างอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะ”
อีวานเจลีนคิดว่าพวกเซลวินน่าจะทำเรื่องนี้ ไม่คิดว่าแอสโทเรียจะเป็นคนที่ทำเองแต่ใส่ร้ายคนอื่น เพราะโดยปกติแล้วแอสโทเรียก็เป็นนักเรียนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้แกล้งเธอ (แม้จะไม่ได้แสดงถึงความเป็นมิตรเท่าไรนัก) เธอเป็นเด็กสลิธีรินเลือดบริสุทธิ์จากตระกูลกรีนกราสที่ค่อนข้างจะใจดีกับคนเลือดผสมหรือลูกมักเกิ้ลพอสมควร – เมื่อเทียบกับพวกเลือดบริสุทธิ์ในบ้านสลิธีรินคนอื่นๆ -- เธอไม่ได้คบพวกนั้นเป็นเพื่อนหรอก เพราะถ้าทำอย่างนั้นคงโดนที่บ้านตัดหางปล่อยวัดแน่ แต่แค่ไม่แสดงท่าทีดูถูกเหมือนที่คนอื่นมักจะทำก็ดีมากแล้ว
“ขอบคุณทำไม ฉันไม่ได้ทำอะไรนี่นา” เธอพูดเรียบๆ พร้อมกับเริ่มกวาดมองข้าวของส่วนตัวของอีวานเจลีนอย่างวิเคราะห์ เดาว่ามันคงจะราคาถูกไม่เหมือนกับของชิ้นอื่นๆที่วางในห้อง “เอ้อ! ” เธออุทานออกมาเหมือนนึกได้ “ฉันสงสัยมานานแล้วล่ะ เธอเป็นอะไรกับศาสตราจารย์สเนปหรือ เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม”
“ก็...เอ่อ...จะว่าอย่างนั้นก็ได้” อีวานเจลีนตอบ เสียงที่เปล่งออกไปนั้นมั่นใจขึ้นเล็กน้อย อาจเพราะเริ่มจะชินกับแอสโทเรียแล้ว
“ว่าแล้วเชียว” แอสโทเรียยิ้ม “เขาคงสอนอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับการปรุงยาให้เธอเยอะเลยสินะ”
“...ไม่หรอก... ก็เห็นนี่ เขาวิจารณ์ยาที่ฉันปรุงซะเละเทะขนาดไหน”
แอสโทเรียนึกย้อนไป ก่อนจะอุทานเสียงดัง
“อ้าว!! นั่นเธอหรอกหรือ คนที่ศาสตรารย์ชอบสั่งกักบริเวณด้วยบ่อยๆ น่ะนะ ฉันนึกว่าคนอื่น ไม่ทันสังเกตน่ะ”
อีวานเจลีนยิ้มบาง ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรที่แอสโทเรียไม่ทันสังเกตว่าเธอมีตัวตนในระหว่างสองเดือนมานี้ แต่เธอรู้สึกดีด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่บทสนทนาของเธอกับใครสักคนมีความยาวมากขนาดนี้
“เรื่องหนู... ฉันเดาว่ามันคงหายไปแล้วล่ะ”
“ได้ยินว่าวันนี้มีคนเจองูด้วย มันคงไม่รอด... แต่ถึงรอด ก็คงอีกไม่นานหรอก” แอสโทเรียพูดเรียบๆ ก่อนจะเหลือบเห็นสายตาเศร้าสร้อยของคู่สนทนา จึงรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว“ขอโทษ ฉัน... ขอโทษที ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก เอ่อ บางทีอาจจะหนีไปอยู่ในป่าแล้วก็ได้มั้ง เดี๋ยวก็เจอเองแหละ”
“...คงอย่างนั้น”
เธอตอบเรียบๆ แต่มุมปากกลับยกยิ้มเล็กน้อย การปรากฏตัวของแอสโทเรียทำให้อารมณ์เหงาเศร้าที่สัตว์เลี้ยงน่าจะหายหรือตายคลายลงไปมากอย่างไม่คาดคิด หลังจากเรียนที่ฮอกวอตซ์มาเกือบจะสองเดือน นี่เป็นครั้งแรกที่อีวานเจลีนรู้สึกได้ ว่าวันนี้คงจะเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะสามารถเรียกใครคนหนึ่งว่าเพื่อนได้ในอนาคต
เรายอมรับค่ะว่าหายหน้าไปจริง ด่าได้แต่อย่าแรง เพราะยังไงก็หายหัวไปและก็กลับมาแล้ว
เดี๋ยว ๆ ฮ่า ๆ
เอาเป็นว่าขอโทษรีดเดอร์ทุกคนเลยนะคะ ที่อ่านฟิคของเรา ขอโทษจริงๆที่เว้นค่อนข้างนาน ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างน่ะค่ะ ตั้งแต่19 – 30 ธันวาคม อีเว้นต์เยอะมากจนไม่มีเวลาเลย แต่ก็กลับมาแล้วนะ มีเวลาปิดเทอมที่เหลือ (อีก 7 วันก็เปิดเทอมละ T^T แงๆ) จะพยายามมาอัพให้บ่อยๆค่า
ตอนนี้ก็จะเห็นว่า อีวานเจลีนก็จะเป็นตัวละครสไตล์คนเหงาเดินคนเดียวประมาณนี้ค่ะ มีนามสกุลสเนปคุ้มหัวไว้ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยเนี่ย และจะเห็นว่าเรากระโดดเวลาจากตอนที่แล้วค่อนข้างเยอะ และก็จะเป็นอย่างนี้ไปอีกหลายตอน เพราะฉะนั้นอาจจะมีความสับสนอยู่บ้าง แต่จะพยายามแต่งให้อ่านเข้าใจง่ายที่สุดค่า
สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าค่า
เมนต์เป็นกำลังใจด้วยเน้อ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นเด็กที่เหงาจนชินกับมันไปแล้ว อ่า ถ้าเป็นเรื่องอื่นศาสตราจารย์มักกอนนากัลคงหาทางช่วยไม่ก็ให้ดัมเบิลดอร์ช่วยเบาๆ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่!
เพราะอีวานเจลีนไม่ใช่คนสำคัญในสายตาของทุกคน เลยกลายเป็นว่าเกิดเนื้อเรื่องที่น่าสนใจให้นักอ่านได้แปลกใจ และตื่นเต้นกับความแปลกใหม่!
ชอบที่ไรต์เตอร์เปิดหนังสือไป แต่งไปจังเลยค่ะ ให้ความรู้สึกเหมือนเปิดบทใหม่ของแฮร์รี่ พอตเตอร์เลยทีเดียว---
#เม้นต์ซะยาวเลย ฮา
ปล. เม้นต์สั้นเม้นต์ย่วไรต์กอบค่า เม้นต์มาเลย อิอิ
แอสโทเรียน่ารักก