ตอนที่ 26 : Nineteen years later

XXII : Nineteen years later
เช้าแรกของเดือนกันยายนยังคงเป็นเช้าที่สดใสเหมือนที่เคยเป็นมาหลายปี อากาศที่เย็นสบายบวกกับสองข้างทางเต็มไปด้วยกองของใบไม้ที่หลุดออกจากต้น มันคือเดือนแห่งการเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง เช่นเดียวกับการเริ่มต้นของการเข้าสู่ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งของอีกหลายคนที่กำลังจะมาถึง
ครอบครัวเล็กใหญ่ต่างช่วยกันเข็นรถที่บรรทุกสัมภาระที่กองทับกันจนสูง บ้างก็มีกรงนกฮูก กรงหนู หรือกรงของสัตว์หน้าตาประหลาดที่คนปกติทั่วไปไม่นับว่าเป็นสัตว์เลี้ยง ดูไม่ปรกติเอาเสียเลยในสายตาของคนทั่วไป ทุกครอบครัวหักเลี้ยวเข้าไปในบริเวณที่กั้นระหว่างชานชาลาที่เก้าและสิบ และหายไป...
ราวกับมีเวทมนต์
ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน หลายครอบครัวเบียดเสียดกันเพื่อจะหาทางขนสัมภาระขึ้นไปบนตู้โดยสารของรถไฟ ที่ตอนนี้ส่วนหัวรถจักรเริ่มพ่นไอน้ำจนทั้งชานชาลาถูกปกคลุมไปด้วยไอสีขาวเจือจางเต็มไปหมด
มองผ่านกลุ่มควันยังทำให้เห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก แต่อย่างไรก็ดีที่พวกเขายังพอจะมองทัศนวิสัยรอบตัวได้บ้าง ร่างเลือนรางของกลุ่มคนราวสิบชีวิตยืนล้อมวงคุยกันด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ข้าง ๆ นั้นเป็นรถไฟตู้เกือบสุดท้ายที่ค่อนข้างจะห่างจากผู้คน
“ถ้าไม่ได้อยู่บ้านกริฟฟินดอร์ละก็ เราจะตัดหางปล่อยวัดเลย” เสียงของรอนเอ่ยออกมาเสมือนทีเล่นทีจริง “แต่ไม่ได้กดดันหรอกนะลูก”
“รอน!” เฮอร์ไมโอนี่ร้องปรามสามีของเธอ
ลิลี่ ลูกสาวคนเล็กของแฮร์รี่และจินนี่หัวเราะ นั่นทำให้ฮิวโก้ ลูกชายคนเล็กของรอนและเฮอร์ไมโอนี่นึกขำตามไปด้วย พวกเขาอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน และในปีนี้ยังไม่ใช่ปีที่พวกเขาจะได้เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ จึงทำให้เรื่องของการคัดสรรค์บ้านนั้นยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ทั้งคู่เป็นกังวลในตอนนี้
ผิดกับอัลบัสและโรสที่หน้าซีดเผือดไปแล้ว นี่เป็นปีแรกที่ทั้งคู่จะได้เข้าเรียน และความเครียดของนักเรียนปีหนึ่งก็มีเพียงไม่กี่อย่าง ถ้าไม่ใช่เรื่องของอาการตื่นเต้นที่จะต้องเปลี่ยนสถานะเป็นนักเรียนในโรงเรียนเวทมนต์แห่งเดียวของประเทศอังกฤษ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องการคัดเลือกบ้านที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
“เขาไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริง ๆ หรอก”เฮอร์ไมโอนี่และจินนี่พยายามปลอบใจลูกของพวกเธอ แต่คนต้นเรื่องอย่างรอนกลับไม่ได้สนใจทั้งคู่เลยสักนิด ตอนนี้ทั้งเขาทั้งแฮร์รี่ต่างกำลังมองไปยังจุด ๆ หนึ่งที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เป็นจุดที่ครอบครัวที่พวกเขารู้สึกคุ้นหน้ากำลังยืนร่ำลากันท่ามกลางหมอกควันจากหัวรถจักร
“ดูซิว่านั่นใคร นั่นคงเป็นเจ้าหนูสกอร์เปียสละสิ” รอนกระซิบกับแฮร์รี่ ก่อนจะหันไปหาลูกสาวของตน “หนูต้องทำคะแนนให้ชนะเขาทุกครั้งนะโรซี ขอบคุณสวรรค์ที่หนูได้สมองของแม่มา”
“รอน ได้โปรดเถอะ” เฮอร์ไมโอนี่ดุสามีอีกครั้ง แต่สีหน้าที่แสดงออกมาเหมือนคนที่กำลังกลั้นขำ เธอขำที่ในประโยคยุแยงนั้นยังมีคำชมเกี่ยวกับตัวเธอแฝงอยู่ด้วย “อย่าไปยุแหย่ให้เด็กไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่เริ่มเรียนได้ไหม!”
“เธอพูดถูก ขอโทษ” รอนตอบ แต่ยังไม่วายทิ้งท้ายอีกว่า “แต่อย่าไปเป็นมิตรกับเขาเกินไปล่ะ โรซี คุณปู่วีสลีย์ไม่ยอมยกโทษให้แน่ ถ้าหนูแต่งงานกับพวกเลือดบริสุทธิ์”
เสียงหวูดรถไฟดังลั่นขึ้น ใกล้จะถึงเวลาสิบเอ็ดนาฬิกาอันเป็นเวลาออกเดินทางแล้ว เด็ก ๆ เริ่มทะยอยเดินขึ้นไปบนรถไฟ จนผู้คนที่ชานชาลาดูบางตาลงไปมาก พ่อแม่ผู้ปกครองทั้งหมดโบกไม้โบกมือลาลูกหลานของตนที่ขึ้นไปหาที่นั่งอย่างแข็งขัน ก่อนที่จะต้องจากกันไปหลายเดือน
“จวนจะสิบเอ็ดโมงแล้ว รีบไปขึ้นรถไฟดีกว่านะลูก” แฮร์รี่บอกเด็กๆให้รู้ตัว
เจมส์รีบกอดแม่และพ่อของเขา ก่อนจะรีบวิ่งขึ้นรถไฟไป เหลือเพียงอัลบัสที่ยังอ้อยอิ่งอยู่กับพวกเขา ดูเหมือนว่าเด็กชายจะเครียดมากกับการเดินทางไปเรียนที่ฮอกวอตซ์ในปีแรก
“ลาก่อนอัล” แฮร์รี่พูดขณะก้มลงกอดบุตรชาย “อย่าลืมว่าแฮรกริดเชิญไปดื่มน้ำชาด้วยวันศุกร์หน้านะ อย่าไปยุ่งกับเจ้าพีพส์ อย่าท้าประลองกับใครจนกว่าจะรู้วิธี แล้วอย่าไปหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของเจมส์ด้วย”
“แล้วถ้าผมต้องไปอยู่บ้านสลิธีรินล่ะครับ” อัลบัสถามอย่างเป็นกังวล
“อัลบัส เซเวอร์รัส” แฮร์รี่พูดชื่อเต็มของเขาเบาๆ ดวงตาสีเขียวสดของเขามองเข้าไปในตาของลูกชายที่เหมือนตัวเองราวกับโขกพิมพ์เดียวกันมา ก่อนจะบอกอัลบัส “ลูกได้ชื่อตามอาจาย์ใหญ่ของฮอกวอตซ์ถึงสองคน คนหนึ่งนั้นมาจากบ้านสลิธีริน และเขาก็เป็นคนที่กล้าหาญที่สุดที่พ่อเคยรู้จัก”
“แต่ติ๊ต่างว่า--”
“—ถ้าอย่างนั้นบ้านสลิธีรินก็จะได้นักเรียนชั้นยอดเพิ่มขึ้นอีกคนน่ะสิ จริงไหม สำหรับพ่อแม่น่ะไม่เป็นไรเลย อัล แต่ถ้ามันมีความหมายกับลูกมาก ลูกก็จะเลือกได้ระหว่างกริฟฟินดอร์กกับสลิธีริน หมวกคัดสรรจะยอมรับการคัดเลือกของลูกไปพิจารณาด้วย”
“จริงหรือครับ”
“มันทำกับพ่อแบบนั้น”
แฮร์รี่ตอบตามความจริง เขาเห็นสีหน้าของอัลบัสที่เริ่มคลายความกังวลลง จากนั้นจึงยิ้มมุมปาก
“แต่ก็อย่างที่พ่อบอกไปละ ว่าพ่อกับแม่ไม่ได้คิดอะไรถ้าลูกจะได้ไปอยู่บ้านไหน เพราะทุก ๆ บ้านต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป และไม่ใช่ว่าทุกคนในบ้านแต่ละหลังจะต้องเป็นคนจำพวกเดียวกันหมด บางครั้งเจ้าหมวกนั่นก็คัดคนไม่เหมาะกับบ้าน -- ถึงแม้ว่ามันจะไม่ยอมรับก็เถอะ -- บางที ลูกอาจเจอกริฟฟินดอร์ที่ขี้ขลาดตาขาว เรเวนควอที่สอบตกเป็นประจำ ฮัฟเฟิลพัฟสันที่ขี้เกียจสันหลังหลังยาว หรือแม้กระทั่ง -- สลิธีรินที่กล้าหาญและเสียสละ”
“แต่เจมส์บอกว่า...” อัลบัสพูดเสียงแผ่ว
“ถ้าลูกไม่เชื่อว่ามีคนแบบนั้น ก็ลองไปพิสูจน์ด้วยตัวเองก็ได้ แล้วลูกจะรู้ ว่าการคัดเลือกบ้านไม่ใช่ตัวกำหนดทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่โรงเรียนของลูก มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นของการผจญภัยหนึ่งในชีวิตก็เท่านั้น ”
“จริงหรือครับ”
อัลบัสตาวาว ดูเหมือนว่าจะสบายใจขึ้นมาก แฮร์รี่มองลูกชายคนกลางแล้วยิ้ม ดวงตาสีเขียวสองคู่สบกัน ก่อนที่เขาจะมองเลยผ่านกลุ่มไอน้ำและฝูงชนที่แน่นขนัด ตาของเขาสะดุดอยู่กับร่างเลือนรางสองร่างที่เหมือนจะเด่นออกมาจากทุก ๆ คน ซึ่งยืนห่างจากพวกเขาไปราวสิบเมตร ผู้หญิงหน้าตาสะสวยอายุไล่เลี่ยกับเขากำลังยิ้มให้เด็กหนุ่มร่างโปร่งซึ่งยืนอยู่ใกล้กัน และตอนนี้ทั้งคู่ก็มองเห็นเขาแล้ว
อีวานเจลีน... ไม่เปลี่ยนไปเลย
เธอเดินมาหาพวกเขา พร้อมกับเด็กหนุ่มคนนั้นที่ตามเธอมาติด ๆ อีวานเจลีนยิ้มให้แฮร์รี่แม้จะยังเดินมาไม่ถึงด้วยซ้ำ
“ฉันนึกว่าจะไม่เจอพวกคุณเสียแล้ว” เธอกล่าวอย่างเป็นมิตร พร้อมกับจับมือทักทายทุกคน ดูไม่ต่างจากเมื่อหลายสิบปีก่อนเท่าไรนัก เพียงแต่มีชีวิตชีวาและมีความสุขมากขึ้น อีวานเจลีนในวัยสามสิบสี่ปียังดูสวยเกินกว่าที่คนปกติจะเอื้อมถึงอยู่เช่นเคย
“พวกเราก็มองหาเธออยู่เหมือนกัน” แฮร์รี่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“พอดีเรารอส่งสกอร์เปียสขึ้นรถไฟครั้งแรกอยู่น่ะ เขาดูกังวลมากเลย สกอร์เปียสไม่เคยแยกจากพ่อกับแม่มาก่อน เขากอดพ่อของเขาไม่ยอมปล่อย กว่าเดรโกจะพูดให้ยอมขึ้นรถได้ก็นานอยู่ แต่ฉันคิดว่าเขาคงจะไม่เป็นอะไรหรอก” เธอตอบ ก่อนจะเหลือบไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างตัวแล้วอมยิ้ม “ฉันฝากคนที่นั่นช่วยดูแลเขาแล้วล่ะค่ะ”
แฮร์รี่มองตามอีวานเจลีน ก่อนจะเอื้อมมือไปทักทายกับเจ้าของร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างเธอ
“เป็นไงบ้าง”
“ดีครับ” อีกฝ่ายตอบสั้น ๆ
“ว่าแต่ว่าปีนี้... ถ้าฉันจำไม่ผิด... เธอก็อยู่ปีเจ็ดแล้วใช่ไหม...” แฮร์รี่ถามอีกครั้ง
“ครับ” เขาตอบกลับมาอย่างสุภาพ รอยยิ้มของเขาทำเอาเด็กสาวที่เดินสวนทางมาอย่างไม่ได้ตั้งใจถึงกับเก็บอาการเขินอายของตนเองเอาไว้ไม่อยู่
“โอ้ -- ” แฮร์รี่เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ “ -- จริงด้วยสิ เกือบลืมไปเลย ยินดีด้วยนะกับตำแหน่งประธานนักเรียนของปีนี้ ครอบครัวของเธอคงภูมิใจมาก ฉันคิดไว้แล้วเชียวว่าปีนี้ต้องเป็นเธอแน่นอน”
“ไม่ขนาดนั้นหรอก” อีวานเจลีนรีบเอ่ยแก้ เธอเดินมาคล้องแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้ “อีริดานัสยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลยล่ะ ไม่รู้จะร้องไห้ขี้มูกโป่งขอลาออกจากตำแหน่งประธานวันไหน”
“อย่างนั้นเลยเหรออีฟ” เจ้าของชื่อหันหน้ามาหาเธอ ก่อนจะขมวดคิ้ว ทำท่าล้อเลียน “ใครกันล่ะที่กระโดดตัวลอย เพราะดีใจที่เห็นจดหมายการแต่งตั้งประธานน่ะ”
“อีริดานัส เซฟิอัส” อีวานเจเอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายเสียเต็มยศ พยายามทำหน้าตาเคร่งขรึมเต็มที่ “อย่าล้อเลียนคนอื่นอย่างนี้นะ”
แฮร์รี่มองภาพการหยอกล้อกันของคนสองคนตรงหน้าพลางอมยิ้ม อีวานเจลีนในตอนนี้เต็มไปด้วยความสดใจที่แผ่กระจายอยู่รอบตัว จนเขาจดจำใบหน้ารวดร้าวเปื้อนน้ำตาของเธอเมื่อสิบเก้าปีที่ก่อนไม่ได้แล้ว แม้จะมีเรื่องต่าง ๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตอีกมากมายแค่ไหน เรื่องเหล่านั้นก็ไม่อาจส่งผลใด ๆ กับตัวเธออีกต่อไป อีวานเจลีนเป็นคนเข้มแข็งกับทุก ๆ เรื่องเสมอ และยิ่งเข้มแข็งมากขึ้น เมื่อมีเด็กหนุ่มที่ทำให้เธอยิ้มได้ทุกครั้งอย่างอีริดานัสเข้ามามีบทบาทในชีวิต
เขาเกิดในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของอีวานเจลีนและแม่ของเธอ แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็เปรียบเสมือนพลังสำคัญที่ทำให้ทั้งคู่สามารถต่อสู้กับแรงกดดันทางสังคมได้โดยที่ไม่คุ้มคลั่งขึ้นมาเสียก่อน และเพราะมีเขา อะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตของเธอและแม่ก็ดูเหมือนจะลงตัวมากขึ้น
อีริดานัส เซฟิอัส แบล็ก คือชื่อเต็มของเด็กหนุ่มคนนี้ เขาอายุย่างสิบแปดปี เรียนอยู่ชั้นปีที่เจ็ด แต่ที่สำคัญกว่านั้น...
เขาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของอีวานเจลีน
มาถึงตอนนี้แฮร์รี่ก็ยังนึกแปลกใจไม่หาย ใช่... ใครล่ะจะไปนึก ว่าระหว่างที่เกิดสงครามโลกเวทมนต์ที่ดุเดือดขนาดนั้น โวลเดอมอร์จะไปแอบมีลูกเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ซึ่งคนเป็นแม่ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่มีใครรู้ว่าการเจอกันครั้งสุดท้ายที่โรงเรียน ตอนนั้นอีเล็กตราจะตั้งครรภ์อยู่ก่อนแล้ว และน่าแปลกใจยิ่งกว่าที่เธอเลือกจะเก็บเขาไว้แทนที่จะทำแท้งทิ้งไป หลังจากผ่านสงครามฮอกวอตส์ไปได้หลายเดือน เธอก็คลอดอีริดานัสเงียบ ๆ จากนั้นก็เลี้ยงดูเขาและอีวานเจลีนผ่านความกดดันทางสังคมมาเรื่อย ๆ แต่โดยรวมแล้ว เด็กคนนี้ก็เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขดี
อีวานเจลีนทำให้ใครต่อใครต้องมองเหลียวหลัง และอีริดานัสก็ทำให้สาว ๆ ที่มองเขาหน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่ราบสาเหตุได้ง่าย ๆ เช่นกัน เขาเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง หน้าตาหล่อเหลา เป็นที่รักของคนทั่วไป แถมความสามารถยังรอบด้านรอบตัว และที่สำคัญคือเป็นทายาทตระกูลแบล็กที่ร่ำรวยมหาศาลชนิดที่ใช้เงินทั้งชาติก็คงจะใช้ไม่หมด
แฮร์รี่รู้สึกแปลก ๆ ทุกครั้งที่ได้คุยกับอีริดานัส ไม่ใช่เพราะความระแวดระวังภัยของมือปราบมารที่เขามักจะเป็นเมื่อต้องเจอพ่อมดฝ่ายมืดหรอก แต่เป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มต่างหากที่ทำให้ตะหงิดใจ
ก็เขาเล่นถอดแบบหน้าตาของทอม มาร์โวโล่ ริดเดิ้ล หรือพูดให้ถูกก็คือโวลเดอมอร์ในวัยหนุ่ม ชนิดที่ว่าเหมือนจนไม่รู้จะเหมือนอย่างไรได้อีกเลยน่ะสิ ถ้ามีคนบอกว่าเขากินน้ำยาสรรพรสแล้วเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาเหมือนกับพ่อของตัวเองในวัยหนุ่ม ใครได้ยินก็คงเชื่อ ผิดแค่เพียงอย่างเดียวที่ยังทำให้ต่างออกมาก็คงจะเป็นดวงตาสีแดงเหมือนเลือดเช่นเดียวกับพี่สาวเท่านั้น
ใกล้กันกับจุดที่พวกเขายืนอยู่ ปรากฏของเล่นรูปแม่มดบนไม้กวาดที่บินเฉียดผ่านไป จากนั้นไม่นานนักก็ตามด้วยกลุ่มเด็กที่วิ่งตามไปจับมันอย่างตื่นเต้น เด็ก ๆ สนุกกันมากจนบังเอิญไปชนเข้ากับโรสที่กำลังตรวจเช็คหนังสือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายของตนจนเกือบล้ม เธอทำหนังสือที่เตรียมมาเพื่ออ่านฆ่าเวลาหล่นลงพื้น และตอนนี้หนังสือเล่มน้อยนั่นก็กองอยู่แทบเท้าของอีริดานัสพอดิบพอดี
เด็กหนุ่มก้มลงเก็บมัน ก่อนจะยิ้มพร้อมส่งหนังสือคืนให้อย่างมีมารยาท
“เธอทำตกน่ะ”
โรสเอาแต่ยืนนิ่ง มองไปที่ใบหน้าแสนหล่อเหลานั้นเหมือนกับถูกคาถางงงันสะกดเอาไว้ จากนั้นในเสี้ยววินาทีต่อมาก็หน้าแดงเถือก เธอรีบคว้าหนังสือมาจากมือของอีกฝ่าย ก่อนจะวิ่งหนีขึ้นไปบนรถไฟโดยไม่เอ่ยคำขอบคุณสักคำ อัลบัสที่เห็นดังนั้นจึงหันมากอดล่ำลาครอบครัวอีกหนึ่งครั้ง แล้วรีบตามโรสขึ้นรถไฟไปบ้าง
“ผมทำอะไรผิดเหรอ” อีริดานัสหันมาถาม พร้อมกับเสียงหวูดรถไฟที่ดังเตือนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเริ่มออกเดินทาง เขาจึงรีบหันมาหาพี่สาวของตน ก่อนจะยิ้มบาง ๆ “หมดเวลาแล้วสิ”
เด็กหนุ่มเดินมาหาพี่สาว รวบตัวเข้ามาแล้วยกอีกฝ่ายจนเท้าอยู่ไม่ติดพื้น กอดร่ำลาเธอเป็นครั้งสุดท้ายอย่างแนบแน่นทที่สุด ก่อนจะกระโดดขึ้นรถไฟที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากสถานีไป
“เจอกันวันคริสมาสต์นะอีฟ!” อีริดานัสชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง
“อย่าลืมเขียนจดหมายมาล่ะอี” เธอตะโกนไล่หลัง
หัวรถจักรเดินหน้ามุ่งตรงไปยังฮอกวอตส์ เสียงหวูดดังเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะหายไปจากระยะสายตา อีวานเจลีนยังคงโบกมืออยู่ แม้จะรู้ว่าน้องชายของเธอจะกลับเข้าไปนั่งในห้องโดยสารเรียบร้อยแล้วก็ตาม เธอชะโงกหน้าตามเส้นทางของมันอยู่สักพัก จากนั้นจึงหันหน้ากลับมารวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ในที่สุด
เธอเห็นรอนที่ยืนตัวแข็งเหมือนกำลังช็อกกับเรื่องอะไรบางอย่าง จากนั้นสักพักก็มีแฮร์รี่เดินมาตบเบา ๆ ที่บ่า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ยินดีด้วยนะรอน โรซีของนายน่าจะเข้าไปเป็นหนึ่งในแฟนคลับของเขาอีกคนแล้วล่ะ”
สังเกตว่าไรต์จะพยายามดำเนินเรื่องตามหนังสือมาโดยตลอด ซึ่งตอนจบของหนังสือชุดนี้จะเป็นฉากในอีกสิบเก้าปีต่อมาที่แฮร์รี่มาส่งอัลบัสเพื่อไปเข้าเรียนปีแรก ตอนนี้ของไรต์ก็เลยถือว่าดำเนินมาจนถึงจุดจบแล้วเช่นกันค่ะ อาจจะเป็นตอนที่ไม่ยาวมากเหมือนตอนอื่น ๆ แต่หวังว่านี่จะเป็นการเขียนจุดจบที่น่าจะเป็นที่พอใจของใครหลายคนนะคะ เรามารอดูกันเถอะ ว่าสิบเก้าปีต่อมา ชีวิตของอีวานเจลีนจะเป็นอย่างไร
ลืมบอกรี๊ดเดอร์ตั้งแต่ตอนที่ลงตอนที่แล้ว ว่าเหลืออีกแค่ตอนเดียวก็จะจบเรื่อง อาจจะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมกระโดดมาไกลขนาดนี้ ตันหรือเปล่า ไปต่อไม่ได้หรือเปล่า บอกตามตรงว่าที่ผ่าน ๆ มามีท้อกับเรื่องในชีวิตจริงจนส่งผลต่ออารมณ์ในการแต่งนิยายไปบ้าง แต่คำว่าตันหรือไปต่อไม่ได้ไม่เคยเกิดขึ้นค่ะ เพราะก่อนที่จะเอาตอนแรกมาลงให้อ่านกัน ไรต์จะต้องเขียนพลอตเรื่องทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน (แต่ก็ยืดหยุ่นและแก้ไขได้เรื่อย ๆ) ดังนั้นเรื่องนี้ก็จบลงตามเส้นเรื่องที่ไรต์เขียนไว้แล้วค่ะ
ปล. อีวี่เดินมากับใครน้าาาาา ลองทายกันดูเน้
เวิ่นเว้อครั้งสุดท้ายยยยยย
ไรต์ทำเรือทุกคนคว่ำหมดแล้ววววววววว จะโดนตีมั้ยเนี่ยยยยย ฮ่าๆๆ
ก็อย่างที่บอกไปค่ะ ว่าเราพยายามจะคงเนื้อเรื่องตามหนังสือเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่อยากเปลี่ยนอะไร ดังนั้น คนที่จะคู่กับเดรโกก็หนีไม่พ้นแอสโทเรีย เพื่อนของอีวี่นั่นเองจ้า
เล่าคร่าว ๆ (ไรต์ขอไม่เขียนลงเนื้อเรื่องแต่เล่าให้ฟังดีกว่าค่ะ) คือ อีวี่มาส่ง “น้องชาย” ขึ้นรถไฟค่ะ แล้วก็ไปเห็นเดรโก แอสโทเรีย และสกอร์เปียสพอดีก็เลยเดินไปหา ก็อย่างว่าแหละนะ เดรกกับอีวี่เขาก็เป็นญาติกันกลาย ๆ แล้วอีวี่ก็เป็นเพื่อนของแอสโทเรีย ก็เลยได้ตำแหน่ง “แม่ทูนหัว” ของราชาแมงป่องนั่นเองจ้า พอส่งเสร็จก็มาคุยกับพวกแฮร์รี่ต่อ
ส่วนน้องชายสุดหล่อ สุดสวาท สุดขาดใจของอีวี่ก็คือ คนนี้เลยค่า
[Image - Christian Coulson หรือก็คือทอม ริดเดิ้ลจากภาคห้องแห่งความลับนั่นเองค่า]
อีริดานัส เซฟิอัส แบล็ก (Eridanus Cepheus Black) คือว่า Eridanus คือ ชื่อกลุ่มดาวแม่น้ำค่ะ เพราะคนตระกูลนี้เขาจะตั้งชื่อจากดวงดาวกันเกือบหมด ไรต์ก็เลยไปหาชื่อดาวที่ขึ้นชื่อด้วยตัว E แล้วได้ชื่อนี้มา ซึ่งก็มีความหมายดีอีกแบบนะคะ (อีเล็กตราเป็นคนตั้งให้ค่ะ)
คำอธิบายเกี่ยวกับอีริดานัสก็คงจะคล้าย ๆ กับที่เจเคอธิบายสกอร์เปียสค่ะ คือ เหมือนกับพ่อมากๆๆๆๆๆ และเติบโตมาแบบลำบากหน่อยเพราะความผิดที่พ่อทำเอาไว้ แต่ “เขาจะเป็นคนที่ดีกว่าที่พ่อของเขาเป็น” แน่นอนค่ะ
ฉากที่อีริดานัสกอดอีวี่ในตอนจบ ไรต์ได้แรงบันดาลใจมาจากเม้นต์ของตอนก่อน ๆ ค่ะ ที่บอกว่า อยากให้ทวดทอม (พัฒนาจากปู่เป็นทวดแล้ว) เขากอดอีวี่หรือแสดงออกให้เห็นว่ารักลูกหน่อย แต่เนื่องด้วยทวดแกไปสบายแล้ว (มั้ยนะ?) ก็คงจะให้ ‘ภาพสะท้อน’ ของทวดอย่างลูกชายที่หน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะกอดพี่สาวน่าจะดีกว่า แล้วอีกอย่าง มันก็แสดงให้เห็นด้วยว่าตอนนี้ อีวี่มีความสุขแล้วด้วยนะ (แต่กว่าจะมีนี่ก็นานเหลือเกิน)
ส่วนโวลดี้ ทวดนะทวด ยุ่งขนาดนั้นแท้ ๆ (ทำสงครามโลกเวทมนต์ ตามฆ่าแฮร์รี่ หาไม้เอลเดอร์ ควบคุมกระทรวงและโรงเรียน ฯลฯ) ยังแอบมีเวลาไปกุ๊กกิ๊กกะสาวจนมีลูกมาอีกนะเนี่ย ร้ายไม่เบา โด๊ปไปกี่ขนานล่ะคะ ตอบ!!!
ปล. สุดท้าย ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการอ่านนิยายเรื่องนี้ค่ะ นี่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดีที่สุด แต่ไรต์มุ่งมั่นที่จะแต่งมาให้ทุกท่านอ่านมาก ๆ ค่ะ ส่วนเรื่องว่าจะมีโปรเจคต่อจากนี้หรือไม่ ตอบได้คำเดียว ‘ยังอยู่ในขั้นพิจารณา’ ค่า แต่ใครอยากให้ไรต์แต่งต่อก็เสนอมาได้เลยนะคะ อยากอ่านเรื่องของใครหรือลองเสนอแนวคิดไอเดียมาก็ได้ (ไรต์ชอบแต่งนิยายจากเพลงนะ ส่งเพลงมาก็ได้) ดีไม่ดี ด้วยแรงยุ อาจจะเกิดอาการสมองแล่นก็ได้น้า
ขอให้มีความสุขทุกคนค่า
เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์ เม้นต์
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

มันมีเรื่องย่อในเน็ตเยอะเลย คนเขียนช่วยรับคห.นี้ไปพิจารณาหน่อยนะคะ
รับได้ที่ทวดมีลูก แต่ติดตรงเดียวคือคนเป็นแม่ดันเป็นเบลลาทริกซ์เสียได้ เลยแต่งแบบของตัวเองเลย
-ทักมาได้นะค่ะ fd Ara rosa รูปอนิเมะสีชมพูค่ะ
E-mail collanarose@gmail.com
ตรงมากๆเลย ชอบบบบบบบ
ปล. ส่วนเรื่องเกลียดกันแต่มีลูกด้วยกันตั้งสองคนนั้น คงต้องให้จุ่นแม่อธิบายเอง ฮ่าๆ
ทั้งหล่อ ทั้งรวย ทั้งเก่ง ขนาดนั้นนะ