คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ๓ อย่าทิ้งกระผมเลยขอรับ!
๓
อย่าทิ้งกระผมเลยขอรับ!
------------------------------
“สวัสดีจ้ะแม่ปัณณ์”
“โห แม่ปัณณ์จ๊ะ ทำอะไรมาเนี่ย สวยขึ้นเยอะเลยนะ”
“เป็นอย่างไรบ้างแม่ปัณณ์ ท่านขุนพชรไม่อยู่เหงามั้ย?”
“แม่ปัณณ์~คิดถึงเหลือเกิน ไม่ได้เจอกันนาน”
“แม่ปัณณ์จ๋า คิดถึงพี่ไหมจ๊ะ ใจพี่มันร่ำร้องหาแม่ปัณณ์บ่อยเสียเหลือเกิน~”
หลังจากที่เดินมาถึงตลาด เหล่าผู้คนที่จับจ่ายใช้สอยรวมไปถึงแม่ค้าพ่อค้าต่างๆ ก็เอ่ยปากทักทายบุตรีคนโตของท่านขุนพชรไม่ขาดสาย ฝ่ายปัณณ์ก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ท่านขุนพชรเป็นถึงข้าหลวงที่ได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่ง ท่านมักออกตรวจแถวตลาดและคอยช่วยเหลือชาวบ้านเสมอๆ จึงเป็นที่รักใคร่ของเหล่าชาวพระนครไม่แพ้ท่านขุนณัฐวุฒิและท่านขุนกรกฎผู้เป็นสหาย พลอยทำให้ชาวบ้านรู้จักบุตรีคนโตซึ่งมักติดตามท่านพ่อมาเสมอๆ เป็นอย่างดี
ปัณณ์เองก็ใช่ว่าจะเป็นเด็กสาวที่หน้าขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ใบหน้าเรียวที่มักร่าเริงแจ่มใสเสมอ ดวงตาสีน้ำเงินแวววาวสวยงามล้อมกรอบด้วยขนตาที่ยาวกำลังดี จมูกโด่งเชิดรั้นน่ารัก ริมฝีปากสีชมพูเข้ม พวงแก้มนิ่มสีอ่อน เส้นผมสีน้ำตาลเข้มขาวจรดเอว ผิวพรรณอาจไม่ขาวกระจ่างใส แต่ก็เนียนละเอียดสมกับชาติตระกูลที่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดี รูปกายผอมบางน่าทะนุถนอม ส่วนสูงกำลังพอเหมาะน่ารัก ดังนั้นก็ใช่ว่าจะเนื้อหอมน้อยแต่อย่างใด แค่เพียงหนุ่มๆ รู้กิตติศัพท์ท่านขุนพชรดีว่าหวงลูกสาวมากเพียงใด จึงมิกล้าแตะดอกฟ้าดอกนี้นัก บวกกับมีปานตะวันซึ่งมีกริยาเรียบร้อยอ่อนหวานและจีบง่ายกว่านักจึงถูกเมินไปในหลายครา แต่ทว่า เมื่อยามใดที่ออกมาเดินตลาดก็มักถูกจีบเกี้ยวพาราสีบ่อยๆ เช่นเดียวกัน บางครั้งถึงขั้นถูกดักฉุดกันทีเดียว แต่เมื่อนิตกาลตามมาด้วยทำให้ไม่ค่อยเกิดเหตุดังนั้นบ่อยเหมือนก่อน
ปัณณ์เดินมาจนถึงร้านขายเครื่องหอมของลุงเมฆซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของบิดาตั้งแต่สมัยเด็ก เมื่อลุงเมฆเห็นเด็กสาวก็โบกมือทักอย่างอารมณ์ดี
“อรุณสวัสดิ์จ้ะแม่ปัณณ์ เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
“อรุณสวัสดิ์จ้ะลุงเมฆ ระยะนี้ก็ดีจ้ะ ลุงเป็นไงบ้างล่ะจ๊ะ” ปัณณ์ยกมือไหว้สวยงามแล้วกล่าวตอบเสียงใส
“ลุงก็ปกติเหมือนเดิมแหละหนูเอ๊ย แล้วนี่เมื่อไหร่แม่ปัณณ์จะมาเป็นสะใภ้บ้านลุงเสียทีล่ะ ไอ้หมอกมันบ่นทุกวันว่าเมื่อไหร่ลุงจะไปสู่ขอแม่ปัณณ์สักที” ลุงเมฆกล่าวพลางยิ้ม
“โธ่ ลุงเมฆจ๋า ฉันอายุแค่ 15 เองนะจ๊ะ บอกพี่หมอกเถอะว่าฉันไม่พร้อม”
“เออๆ ลุงจะบอกแล้วกันนะ” ลุงเมฆหัวเราะแล้วว่าต่อ “แต่จะสำเร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้นะหนูเอ๊ย เพราะไอ้ลูกคนนี้รักแม่ปัณณ์ยังกับอะไรดี แต่งกอลนจีบแม่ปัณณ์ไว้ซะเกลื่อนบ้าน ลุงละอยากให้มันขยันทำมาหากินแบบนี้จริงจริ๊ง ฮะๆๆ”
“ฮะๆๆ” ปัณณ์พลอยหัวเราะตามไปด้วย “งั้น ข้าขอตัวนะจ๊ะลุง อ้อ ลุงเมฆพอจะทราบทางไปร้านผลไม้เปิดใหม่มั้ยจ๊ะ ที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านนาฬิกาน่ะจ้ะ ข้ามิแน่ใจเท่าไหร่”
“ต้องรู้จักอยู่แล้วอีหนูเอ้ย” ลุงเมฆหัวเราะแล้วชี้ทางให้ “เอ็งเดินตรงไปนะ จากนั้นก็เลี้ยวขวาตรงซอย X แล้วเดินต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเจอเอง แต่ว่า มันไกลพอสมควรนา แถวนั้นมีพวกจิ๊กโก๋อยู่เยอะด้วย ไม่พาพ่อนิตกาลมาแบบนี้จะดีเหรอ?”
“ฉันอยากซื้อของไปให้นิตกาลประหลาดใจน่ะจ้ะ” ร่างเล็กหัวเราะ “ขอบคุณที่เป็นห่วงนะจ๊ะลุงเมฆ ฉันไปก่อนล่ะ”
นางยกมือไหว้สวยงามแล้วเดินไปตามทางที่ลุงเมฆชี้...
...โดนที่มิได้สังเกตด้านหลัง...
“Master คิดจะไปที่ร้านนาฬิกานั่นจริงๆ สินะขอรับ” นิตกาลที่แอบอยู่เอ่ยอย่างคับแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาสีทองเป็นประกายอย่างมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนใจ Master สุดที่รักให้ได้ ขายาวๆ รีบก้าวตามไปทันที
“อ้าว พ่อนิต ตาม...”
“ไว้ก่อน Cloudy ~ I ขอตาม Master ก่อน” นิตกาลโบกมือลาลุงเมฆแบบขอไปทีแล้ววิ่งตามเจ้านายต่อ ทิ้งให้ลุงเมฆนั่งกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะร้องลั่น
“นี่พ่อนิตกาลเป็นพวกชอบแอบตามคนแล้วเรอะ!!!!!”
..............................................................
“อากาศร้อนอบอ้าวเสียจริง...” หลังจากเดินไปได้สักพัก แดดก็เริ่มแรงขึ้นตามเวลา ปัณณ์ยกมือขึ้นบังตาขณะที่แหงนหน้ามองฟ้า อาทิตย์กำลังปล่อยแสงออกมาแรงกล้า แต่ก็ยังมีเหล่าแม่บ้านออกมาจับจ่ายใช้สอยมากมาย ช่างน่านับถือในความอดทนเป็นเลิศของพวกนางจริงๆ
“เฮ้อ...รู้แบบนี้ข้าพกร่มมาก็ดีหรอก...กลัวจะเป็นลมเสียจริง” ปัณณ์เช็ดเหงื่อบ่นหน้าผากพลางบ่นอุบอิบด้วยความเหนื่อยจากแสงแดด หยดเหงื่อไหลจากผากมนลงมาสู่ปลายคาง เส้นผมเริ่มชื้นเหงื่อขึ้นมาเล็กน้อย ภาพที่นิตกาลเห็นแล้วแทบจะวิ่งไปหานายหญิงแล้วถอดเสื้อมาคลุมหัวให้ทันที แต่ทว่าก็ยั้งเท้าไว้
‘ไม่ๆๆๆ เราแอบตาม Master อยู่นะ ถ้าหากวิ่งพรวดออกไปความต้องแตกเป็นแน่ อ๊ะ ไม่นะ Master แข็งใจไว้ขอรับบบบ TOT’
นิตกาลได้แต่กัดผ้า (?) แน่นเมื่อเห็นว่ายิ่งเดินนายหญิงยิ่งเหงื่อออกมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างห่วงสุดชีวิต
(นิตกาล...นายทำตัวได้น่ารักน่าฟัดมากค่ะ)
“โอย ร้อนชะมัด...” ปัณณ์เม้มปากแน่น รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ยาดงยาดมหรือพัดก็ไม่ได้หยิบมาเสียด้วย นัยน์ตาเริ่มจะพร่าเบลอขึ้นมา ขาทั้งสองเซไปมา ก่อนเด็กสาวะล้มลงเพราะเป็นลมจากอากาศร้อน
“Masterrrrrrrr~~~ =[]=!!!!!!!!” นิตกาลกรีดร้องลั่นแล้ววิ่งรับไปรับร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนหัวฟาดพื้น คนผมทองพยุงให้ปัณณ์นั่งพิงกำแพงพลางหยิบผ้ามาซับเหงื่อให้คนตัวเล็กอย่างร้อนใจ “Master! ทำใจดีๆ ไว้ขอรับ!!!”
ว่าแล้วนิตกาลก็หันซ้ายหันขวา ก่อนจะเจอกับคนขายน้ำหาบเร่ที่กำลังนั่งพักเหนื่อย เขาตรงเข้าไปหาพร้อมทั้งเจรจาขอซื้อมาเล็กน้อย เมื่อได้มาแล้ว นิตกาลก็จุ่มมือลงในน้ำแล้วสะบัดพรมบนใบหน้าจิ้มลิ้มและตามซอกคอเพื่อคลายความร้อนให้แก่นายหญิง
“อือ...” ปัณณ์ค่อยๆ ได้สติขึ้นมา เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาช้าๆ ก่อนจะพบว่าตนนั่งพิงกำแพงอยู่ตามลำพัง
“เอ๋...เมื่อกี๊ข้าเป็นลมหรือนี่...แล้วนี่มัน...” มือเล็กหยิบร่มที่ถูกวางไว้ข้างกายเมื่อไรก็ไม่รู้ด้วยสายตาประหลาดใจ เมื่อหันซ้ายหันขวาก็ไม่พบใครนอกจากคนขายน้ำเท่านั้น แถมบนร่มยังแปะกระดาษไว้เสียด้วย
‘ให้ขอรับ ระวังเป็นลมนะขอรับ’
“ใครกันนะ...” นางเอียงคอ ก่อนจะกางร่มแล้วเดินต่อไป
...ด้านหลังมีนิตกาลกำลังหอบแฮ่กๆ หลังกำแพง
“เกือบโดนจับได้แล้วมั้ยเนี่ย” เขาพูดเบาๆ พลางถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะตามปัณณ์ต่อไป...
ต่อค่ะ
การเดินทางไปยังร้านผลไม้ของปัณณ์ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โดยที่คราวนี้เด็กสาวถือร่ม (ที่นิตกาลผู้ติ่ง Master ยิ่งกว่าอะไรให้มา) ร่างเล็กเดินไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่มีสามล้อให้ใช้บริการ
“สวัสดีจ้าแม่ปัณณ์” ลุงสายทักด้วยรอยยิ้ม ลุงสายเองก็รู้จักกับพ่อเธอเช่นกันเพราะเมื่อก่อนเคยทำงานเป็นบ่าวในเรือน แต่ท่านขุนพชรเห็นว่าลุงสายแกคิดถึงลูกหลานที่อยู่ไกลกันจึงไถ่ตัวให้ออกมา “กำลังจะไปไหนเหรอ?”
“สวัสดีจ้ะลุงสาย ฉันกำลังจะไปร้านผลไม้เปิดใหม่น่ะจ้ะ”
“โหย นี่คิดจะเดินทางเท้าเหรอ” ลุงสายทำตาโต “ตายๆๆ ตายแล้วปัณณ์เอ๊ย อีกตั้งไกล แบบนี้ชาติไหนจะถึงเล่า!”
“อะ อ้าวเหรอ...” ปัณณ์ยิ้มแห้ง ยกมือเกาผมแบบเขินๆ “งั้น รบกวนขอให้ลุงช่วยพาไปจะได้มั้ยจ๊ะ?”
“ปั๊ดโธ่ ทำไมจะไม่ได้ละจ๊ะแม่ปัณณ์!” ลุงสายตบหัวเข่าพลางหัวเราะ “ท่านขุนพชรมีคุณกับลุงมาก มีรึจะปฏิเสธแม่ปัณณ์ผู้เป็นลูกสาวของท่านขุนได้ลงคอ!”
“ขอบใจจ้ะลุงสาย” เด็กสาวยิ้มพลางก้าวขึ้นสามล้อถีบของลุงสาย เมื่อเห็นว่าร่างเล็กขึ้นมานั่งดีแล้ว ลุงสายก็ถีบสามล้อออกไปทันที
...โดยไม่เห็นว่านิตกาลเองก็กระโดดขึ้นสามล้อแล้วให้คนปั่นตามมาติดๆ เช่นกัน...
“จะไปไหนหรือจ๊ะนายฝรั่ง”
“I อยากให้ตามสามล้อคันนั้นไปแบบ Very fast~ เอาแบบเร็วจี๋ๆ เลย!” คำพูดไทยปนฝรั่งที่ถูกพ่นใส่รัวๆ ทำเอาคนถีบสามล้อแทบจะพ่นหมากใส่หน้า แต่ก็จับใจความเอาง่ายๆ แล้วถีบสามล้อพรวดตามไปแบบสุดชีวิต
...จนแซงหน้าสามล้อของปัณณ์...
“ไอ้หนุ่มสมัยนี้นี่ จะรีบแซงไปทำไมกันเล่า...” ลุงสายส่ายหน้า
“นั่นสิจ๊ะ...” ปัณณ์ว่าด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ “น่ากลัวจะเกิดอุบัติเหตุณ์เสียนี่กระไร...”
ทางด้านนิตกาล
“เฮ้ยยยย I บอกให้ U ตามรถสามล้อนั่นนะ ไม่ใช่แซง~~~!!” นิตกาลว้ากลั่น
“เอ๊า ก็เอ็งบอกให้เร็วจี๋เอง!” คนขับว้ากกลับ
“แล้วทำไม U ไม่ชะลอเล่า!!!!!!”
“แล้วเอ็งจะเสียงดังหาพ่------”
โครม!!!!!!!!
เนื่องจากมัวแต่เถียงกันไม่ยอมดูทาง ทำให้สามล้อที่นิตกาลนั่งมาชนโครมเข้ากับกำแพงเต็มๆ มิหนำซ้ำข้างๆ ยังมีถังขยะเสียด้วย ทำให้คนขับที่น่าสงสารกระเด็นลงถังไปอย่างสวยงาม (?) ส่วนนิตกาลก็ขาชี้ฟ้าหน้าจมดินแบบน่าสมเพชสุดๆ!
...ส่วนสามล้อของปัณณ์ก็ขับผ่านไปช้าๆ...
“โอย...เจ็บ...นี่ U ทำอะไรของ U เนี่ย!” นิตกาลกุมหัวเบะปาก แล้วโวยวายใส่คนถีบสามล้อที่มุดขึ้นมาจากถังขยะช้าๆ
“อะไรวะ! ก็ขับตามที่สั่งแล้วนี่หว่า!”
“แต่ U ทำ I คลาดกับ Master นะ!!!”
“ชั่งหัวมันสิ! ไม่เอาแล้วงงเงิน! จะบ้าตายกับแกจริงๆ ไอ้ฝรั่งขี้นกเอ๊ย!!!” คนถีบสามล้อหัวเสียสุดๆ มือกร้านดีดเปลือกกล้วยออกจากผมแล้วเดินขึ้นสามล้อปั่นหนีไป ทิ้งให้คนผมทองยืนโวยวายตามลำพัง
“Hey~~~!!! นี่ U ทำแบบนี้กับ I ได้ไง! I ไม่ใช่ฝรั่งขี้นกด้วย!!!” นิตกาลโวยเสียงลั่น ก่อนยีผมตัวเองแรงๆ “ชิ ไม่ Care~ I ตามหา Master เองก็ได้!”
ว่าจบก็วิ่งออกไป...
...แต่นายลืมหรือเปล่า...
...ว่ามันไกลมากน่ะ...
........................................................
“ขอโทษจริงๆ นะจ๊ะแม่ปัณณ์ ลุงมาส่งได้แค่นี้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรจ้ะลุงสาย ลุงรีบกลับไปบ้านไปดูอาการป้างามเถอะ ฉันเดินไปเองได้จ้ะ” ปัณณ์กล่าวกับลุงสายที่ก้มหัวขอโทษขอโพยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อสักครู่ขณะที่ลุงสายแวะพักดื่มน้ำ ก็มีคนรู้จักของลุงสายวิ่งมาแล้วบอกว่าป้างามไม่สบายหนัก ลุงสายจึงต้องส่งเธอตรงนี้แล้วรีบกลับบ้านก่อน
“จะดีรึแม่ปัณณ์” ลุงสายยังกังวล “แถวนี้น่ะ พวกนักเลงเยอะอยู่นา สวยๆ อย่างหนูเดี๋ยวก็โดนฉุดหรอก”
“โธ่ ลุงสายจ๊ะ ฉันน่ะโดนประจำจนจำได้แล้วว่าต้องหนีอย่างไร ลุงสายน่ะรีบกลับไปดูอาการป้างามเถอะจ้ะ” เมื่อเด็กสาวกล่าวอย่างนั้น ลุงสายจึงโบกมือลาอย่างห่วงๆ แล้วรีบกลับบ้านไป
ฝ่ายปัณณ์ที่ยืนอยู่คนเดียวก็หลังกลับไปมองด้านหลัง เป็นทางเดินที่ค่อนข้างเปลี่ยว เพราะผู้คนไม่ค่อยมาแถบนี้นัก ส่วนมากมักจะเดินอ้อมไป แต่นี่ก็นานแล้ว ปัณณ์เกรงว่านิตกาลจะเป็นห่วง จึงรวบรวมความกล้าแล้วเดินทะลุเข้าไปในนั้น...
ด้านในทั้งเปลี่ยวและมืดอย่างที่ปัณณ์คิดไว้ไม่มีผิด ร่างเล็กเดินไปเรื่อยๆ ด้วยใจที่เต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มองซ้ายมองขวารอบๆ อย่างระแวง...
กึก ตุ้บ!
“หวา!” ด้วยความที่มัวระแวงซ้ายขวา เลยไม่ทันสังเกตว่ามีร่างสูงใหญ่อยู่ข้างหน้า ปัณณ์รับรู้ถึงอะไรแข็งๆ เหม็นเปรี้ยวที่กระแทกมาเบาๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นดู ก็พบกับชายฉกรรจ์หน้าตาน่ากลัวตามเนื้อตัวมีรอยสักทั่วร่างกำลังก้มหน้าจ้องเธอด้วยสายตาโลมเลีย
“โอ๊ะโอ๋ แม่นางเป็นใครหรือจ๊ะ ใยจึงหลงเข้ามาที่นี่ได้?” มือหยาบกร้านจับต้นแข้นเล็กไว้แน่นแล้วเอ่ยเสียงพร่า
“อึก...ปล่อย...” ปัณณ์กล่าวเสียงแข็ง
“อย่าใจร้ายนักสิแม่นางจ๊ะ พี่แค่อยากรู้จักแม่นางเท่านั้น” กล่าวพลางแลบลิ้นเลียริมฝปากอย่างน่ารังเกียจ ร่างเล็กยิ่งพยามบิดแขนหนีมันยิ่งบีบแรงขึ้นจนกระดูกแทบร้าว เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีกลุ่มนักเลงน่ากลัวอีกหลายคนค่อยๆ โผล่มา
“เอ๋ ถ้าจิไม่ผิด นี่แม่นางปัณณ์ลูกสาวของท่านขุนพชรนี่” หนึ่งในนั้นร้อง
“แหมๆ ที่แท้ก็แม่ปัณณ์เองเหรอ งามสมคำร่ำลือจังนะจ๊ะ” มือข้างหนึ่งยื่นมาไล้แก้มนิ่มจากข้างหลังจนปัณณ์ต้องสะบัดหนีอย่างรังเกียจ รู้สึกว่าร่างเหม็นสาบสางของชายหลายคนกำลังเข้ามาใกล้จนอึดอัด...
เท้าเล็กๆ ยกขึ้นกระทืบเท้าอีกคนเต็มแรง แต่มันกลับหัวเราะลั่น
“ไม่มีผลหรอกจ้ะแม่ปัณณ์ แรงน้อยๆ ของแม่ปัณณ์น่ะไม่สะกิดผิวหรอกจ้ะ มามะ. ข้าจะทำให้แม่ปัณณ์รู้สึกดีเอง ♥”
“อึก...” ในขณะที่ปัณณ์กำลังเข้าตาจนนั่นเอง...
“Ding!!!!!!! Dingggg!!!!!!! ตำรวจมา!!!!!!!!!!”
“เฮ้ย ตำรวจ!!!!!!!” เสียงดังจากหน้าซอยทำให้พวกนักเลงชุลมุนกันใหญ่โต จากที่พากันสนอกสนใจปัณณ์ก็กลายเป็นว่าเด็กสาวถุกผลักทิ้งลงไปกองที่พื้นอย่างไร้เยื่อใย จนต้องยกแขนขึ้นป้องกันเวลานักเลงวิ่งไม่ดูอีก
...จนเหตุการณ์สงบลง...ก็เหลือเพียงปัณณ์คนเดียวที่นั่งที่พื้น
“เมื่อกี๊เสียงใครกันนะ...” นางพึมพำพลางปัดฝุ่นที่ติดมอมแมมบนเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นมองซ้ายขวา “แปลกจริง ทั้งร่มทั้งเมื่อกี๊อีก...ใครกันนะ...”
ร่างเล็กสั่นศีรษะเบาๆ แล้วเดินจากไป...
...ถามว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร...ทุกคนก็ย่อมรู้ดีเป็นแน่แท้...
“เกือบไปแล้วสินะขอรับ...” นิตกาลที่แอบหลังกำแพงถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อนายหญิงของตนไม่รู้ตัวว่าเขาแอบตามมา และเข้าเองนี่แหละที่เป็นคนตะโกนไล่พวกนักเลงพวกนั้นด้วยตัวเอง ถึงขั้นพูดไทยด้วยสำเนียงที่ชัดจนไม่น่าเชื่ออีกด้วย!
นิตกาลปาดเหงื่อด้วยความโล่งอก สภาพเขาตอนนี้ก็น่าสงสารพอกัน ผมยุ่ง เหงื่อไหลซึมจากการวิ่งมาไกลแสนไกล แต่เพราะความรักที่มีต่อ Master จึงทำให้เขาเดินต่อไป...
ยังไงก็ต้องเปลี่ยนใจ Master ให้ได้ขอรับ!!!
……………………………………………………….
“อา...ในที่สุดก็ถึงเสียที...” ปัณณ์ยิ้มอย่างอ่อนล้า ดวงตากลมจับจ้องไปยังร้านผลไม้ที่มีผลไม้สดๆ น่ากินเต็มแผง...
...ส่วนนิตกาลที่ตามมากลับเข้าใจผิดว่านายหญิงกำลังจ้องไปยังร้านนาฬิกาข้างๆ
นิตกาลหอบแฮ่ก ๆ ขณะที่มองเจ้านายเดินเข้าใกล้ร้านนั้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยนัยน์ตาที่สั่นไหว ในใจกำลังสับสนว่าจะออกไปขัดขวางเจ้านายดีหรือไม่ แต่แบบนั้นปัณณ์ก็คงจะรู้ว่าเขาแอบตาม...
ไม่...จะรู้ไม่รู้ก็ไม่สำคัญ...
เขาอุตส่าห์ตามมาถึงที่นี่เพื่อจะขวาง Master ไม่ใช่เหรอ
นิตกาลค่อยๆ เดินออกไป...
‘ถึงจะรู้จักกับ Master ไม่นานนัก...แต่ว่า...กระผมน่ะ ไม่ยอมนะขอรับ กระผมไม่ยอมให้ความสัมพันธ์ของผมกับ Master ต้องมาพังเพราะนาฬิกาแน่ๆ!!!’
“Master!!!!!!!!!!!” นิตกาลร้องลั่น ปัณณ์ถึงกับสะดุ้งแล้วหันมามองคนผมทองด้านหลังด้วยความตกใจ
“นะ นิตกาล!?”
“Master ได้โปรดอย่าเอานาฬิกาเรือนอื่นมาแทนที่กระผมเลยนะขอรับ!”นิตกาลพุ่งไปกอดเอวปัณณ์แบบไม่แคร์สายตาชาวบ้าน “กระผมขอโทษที่แอบเอานาฬิกาเรือนอื่นของท่าไนปซ่อนนะขอรับ! แต่กระผมทำเพราะกลัวว่า Master จะสนใจคนอื่นมากกว่า ยกโทษให้กระผมด้วยขอรับ!!!”
“...” ปัณณ์เงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด ส่วนคนที่กอดเอวนายเจ้าแน่นก็หลับตาปี๋
ป๊อก
“อ๊ะ” นิตกาลยกมือกุมหน้าผากทันทีที่นิ้วของปัณณ์กระทบเบาๆ ดวงตาสีอำพันกระพริบปริบๆ แล้วมองไปยังเจ้านายของตนอย่างมีคำถาม
“เจ้านี่คิดเองเออเองเก่งจริงๆ นะ นิตกาล” ปัณณ์ยิ้มขำอย่างเอ็นดูแล้วย่อตัวลงมานั่งให้เสมอกัน มือบางยกขึ้นลูบผมนิตกาลอย่างอ่อนโยน “ข้าไม่ได้คิดอยากจะเอาใครมาแทนเจ้าเสียหน่อย”
“แต่ว่า กระผมเห็น Master กำลังจะซื้อนาฬิกา...”
“ใครบอกเจ้ากัน ข้าจะซื้อผลไม้ไปฝากเจ้าต่างหาก”
“ผะ ผลไม้?”
“ใช่ แอปเปิ้ลไง ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบ เห็นว่าร้านนี้มีขายข้าเลยเดินมาซื้อให้เจ้าน่ะ” ปัณณ์ชี้ไปทางร้านผลไม้ด้วยรอยยิ้ม
“อึก...ขะ ขอบพระคุณขอรับ Master!!!!” นิตกาลถึงกับบ่อน้ำตาแตกโผกอดปัณณ์แน่น “กระผมขอโทษที่สงสัยนะขอรับ!!!”
“อาๆ ไม่เป็นหรอก...” ปัณณ์ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วลูบหลังคนขี้แงเบาๆ “ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าหรอกนะนิตกาล ใครจะทิ้งนาฬิกาจอมดื้อ แถมยังเป็นห่วงข้าถึงขั้นแอบตามมาอย่างเจ้าได้ลงกัน”
“M Master รู้?”
“แน่สิ” ปัณณ์ยิ้มกว้างกว่าเดิม “ข้าสอนเจ้าอ่านเขียนไทยเองกับมือ ฉะไหนจะจำไม่ได้ ตอนสามล้อนั่น เสียงเจ้าก็แผดลั่นเสียอย่างนั้น แล้วตอนนักเลงอีก จะมีใครร้อง Ding เหมือนเจ้ากัน”
“Master…(=/////////= กระผมอายจัง...” นิตกาลพึมพำเสียงอ่อยๆ
“ฮะๆ เอาน่าๆ ข้าว่าน่ารักดีนะ” ปัณณ์ว่าพลางจับนิตกาลให้ลุกขึ้น “ปะ ไปเลือกผลไม้กัน ข้าก็มิค่อยแน่ใจแล้วเหมือนกันว่าเจ้าชอบแอปเปิ้ลเนื้อแบบไหน จะได้เลือกไปฝากคนอื่นด้วยไงเล่า”
“ขอรับ...”
.
.
.
.
.
ในวินาทีที่กระผมเห็นรอยยิ้มน่ารักๆ ของ Master ในตอนนั้น...กระผมก็ได้ตะโกนในใจตัวเอง...
Master น่ารักที่สุดเลย!!!!!!!!
ความคิดเห็น