คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
------------------------------------------------------------------------------------
ณ พระนคร...
ช่วงเวลาอันแสนสงบร่มเย็นกำลังทำให้ผู้คนมากมายที่อาศัย ณ ที่แห่งนี้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรอยยิ้มอันเบิกบาน กล่าวทักทายกันอย่างเป็นมิตร เหล่าคนหลากวัยหลากเพศออกมาจับจ่ายใช้สอยตามตลาด เสียงพูดคุยดังครื้นเครงอย่างเป็นกันเอง จนแลดูเหมือนจะวุ่นวายและโกลาหลเล็กน้อย...
...ผิดกับที่นี่...เรือนหลังงามอันเป็นที่รู้ดีของชาวเมืองในพระนครที่รู้ว่าเป็นที่อยู่ของท่านขุนผู้ร่ำรวยในสมบัติทั้ง 9
เรือนหลังใหญ่ผิดหูผิดตาที่น่าจะมีคนอาศัยจำนวนไม่น้อย บรรยากาศรอบๆ สงบร่มรื่นเป็นอย่างยิ่ง ต้นไม้ที่ปลูกไว้หน้าเรือนคอยให้ร่มเงาน่ารื่นรมย์ ใต้ต้นไม้สูงมีแคร่ไม้ไผ่สำหรับนั่งพักผ่อน ด้านหลังเรือนมีศาลากว้างสำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจเช่นกัน นอกจากนี้ยังใช้ในการปรึกษาหารือกันได้อีกด้วย...
...และตอนนี้...มันถูกจับจองโดยชายวัยกลางคนทั้ง 3...
“ช่วงนี้ช่างสงบดีเสียนี่กระไร คิดอย่างนั้นหรือไม่?” ชายที่สวมเสื้อราชปะแตนสีหม่นกับโจงกระเบนสีแดงกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“อืม...ก็จริงอย่างว่า...” ชายที่สวมเสื้อราชปะแตนขาวกับโจงกระเบนสีเหลืองส้มกล่าวพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ “การทำมาค้าขายในพระนครเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ค้าอะไรก็กำไรงามไปเสียหมดทีเดียวล่ะ”
“แต่ข้าว่านะ...” ชายท่าทางเงียบขรึมกล่าวขึ้นพลางจิบน้ำ “ความสงบที่พวกเอ็งเห็นมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้นแล ยังมีพวกโจรชุกชุม ข่าวฉุดคร่าหญิงสาวก็บ่อยเสียด้วย”
“ท่านนี่ชอบทำบรรยากาศเสียจริงๆ เลยนะ ท่านขุนพชร” ชายคนเดิมว่า “ไอ้พวกเราหมายจะคุยกันเรื่องดีๆ ท่านก็ชอบทำหน้าเครียดเสียจริง”
‘ท่านขุนพชร’ ปรายตามองเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายสิบปีพลางแค่นยิ้ม “เออๆ ข้าขอโทษแล้วกัน ข้าแค่เครียดเรื่องลูกสาวข้ามากไปเท่านั้นแหละ”
“อะไรวะ” ชายสวมโจงกระเบนแดงที่เริ่มบทสนทนาร้องขึ้นมา “นี่ลูกสาวเจ้าโดนฉุดอีกแล้วเรอะ คราวนี้คนไหนกันเล่า?”
“ก็ลูกคนโตข้านั่นท่านณัฐวุฒิ” ท่านขุนพชรถอนหายใจ “อายุจะปาเข้าไป 15 อยู่แล้ว ยังไม่รู้จักโตเลย ซุ่มซ่ามก็ที่หนึ่ง แถมยังตามคนไม่ค่อยจะทันนัก ข้าล่ะห่วงจริง ไหนจะลูกสาวคนรองอีก ทั้งใจร้อน ซุกซน ไม่มีความเรียบร้อยแม้แต่น้อย ลูกคนสามข้าก็อ่อนแอบอบบางปานแก้ว น่ากลัวว่าจะโดนข่มเหงรังแก ส่วนคนสุดท้องก็ชอบเรื่องไสยศาสตร์เสียเหลือเกิน ไม่ค่อยพบปะผู้คนเสียเท่าไหร่ด้วย”
เป็นอันทราบกันว่าท่านขุนพชรเป็นคนที่มีลูกเยอะมาก ลูกชายคนโตก็ไปเรียนต่อยังเมืองนอกได้เดือนกว่า ส่วนลูกสาวอีกสี่คนที่เป็นแฝดกันก็นิสัยต่างกันสุดขั้ว เรียกได้ว่าคนเป็นพ่อแทบจะต้องพึ่งยาแก้ปวดบ่อยๆ
“ลูกข้าก็พอกันแหละ...” ท่านขุนณัฐวุฒิส่ายหน้าเบาๆ “ฉลาดรอบรู้ แถมยังซุกซนและแข็งแรงเยี่ยงบุรุษ หากแต่ไร้ความอ่อนหวานและความเป็นกุลสตรีเสียยังกับอะไรดี...เอาเถอะ อย่างน้อยก็พอตามคนเป็น...”
“ข้าสิต้องกังวล -*-”
“เจ้าจะกังวลอะไรกันเล่า ท่านกรกฎ” ท่านขุนพชรขมวดคิ้ว “ลูกสาวท่านก็งามตั้งแต่หัวจรดเท้า งานบ้านงานเรือนก็เก่ง ผิดกับลูกบางคนของข้า..เปรมหทัยเพิ่งทำไฟไหมครัวเมื่อวันก่อนเอง...”
“เจ้าจะรู้อะไรล่ะพชร” ท่านขุนกรกฎซึ่งเป็นผู้สร่างเรือนงามหลังนี้ขึ้นมากล่าวพลางถอนหายใจแรงๆ “เห็นหน้าตาสะสวยแบบนั้นน่ะ ซนยิงกว่าลิง กระโดกกระเดกเสียจนขาปวดกะบาลยิ่งนัก หนุ่มๆ ก็แวะเวียนมาขายขนมจีบไม่เว้นวัน เยอะเสียจนข้าเสียสากกะเบือสำหรับเขวี้ยงหัวไปหลายสิบอัน”
“แล้วใครสอนให้เจ้าเอาสากกะเบือเขวี้ยงหัวคน =_=”
“จริงด้วย ข้าควรใช้อีโต้สินะ”
“ข้าว่าท่านณัฐวุฒิไม่ได้สื่ออย่างนั้นนะ (=_=;;”
“พูดถึงเรื่องลูกก็นึกขึ้นได้” ท่านขุนกรกฎกระพริบตา “จำได้ใช่หรือไม่ ที่พวกเราจะต้องลงเรือสำเภาไปค้าขายเป็นเวลา 6 เดือนน่ะ”
“ข้าจำได้สิ...” ท่านขุนพชรพยักหน้ารับ “ที่เจ้าบอกว่าตอนไปจะพกภรรยาเจ้าไปด้วยใช่มั้ย?”
“ไม่ต้องนำมาล้อข้าจะเป็นพระคุณมาก -*- แต่เจ้าก็รู้ว่าข้าทนห่างนางไม่ได้ เจ้าก็ด้วยแหละ =_= ทั้งคู่เลย” คำพูดดักทางทำให้เพื่อนรักทั้งสองสะดุ้งแล้วยิ้มแห้งๆ ใส่
ที่จริงการติดเมียก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวหรอกนะ แต่พวกเขาต้องการจะให้ลูกสาวได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองเสียบ้าง
...แต่กระนั้นก็ยังอดห่วงมิได้ ในเขตพระนครก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่ความสงบสุขคดีก็มีมากมาย ทั้งปล้นบ้า ฉุดคร่า ยิ่งพอพวกเขาไม่อยู่ ทั้งเรือนก็จะมีแค่เด็กผู้หญิง บ่าวไพร่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้เสียทุกคน (แต่ส่วนใหญ่ก็ซาบซึ้งในบารมีท่านขุนจนไม่กล้าทั้งนั้น)
“ข้าคิดออกแล้ว” ท่านขุนพชรดีดนิ้วออกมา “เจ้ายังเก็บตะพดคู่ใจไว้หรือไม่?”
“ตะพดคู่ใจใครๆ ก็ต้องเก็บไว้ ถามแปลกๆ -_-;;” ท่านขุนณัฐวุฒิ
“ข้าเก็บไว้อันเดียว อีกสองอันข้ามอบให้ลูกสาวสองคนที่เดินทางไปต่างเมืองน่ะ” ท่านขุนกรกฎกล่าว “ถามทำไม”
“เอาทั้งหมดมารวมกันสิ ข้าคิดอะไรออกแล้ว”
แม้จะสับสนงงงวยกับความคิดของเพื่อนรัก แต่ท่านขุนทั้งสองก็รีบรุดไปสั่งบ่าวให้นำตะพดมาให้
ท่านขุนณัฐวุฒิมีตะพด 1 ด้าม ท่านขุนกรกฎเหลือไว้ที่ตัวแค่ 1 ด้าม ส่วนท่านขุนพชรมีถึง 4 ด้าม
“เจ้าจะมีไว้ทำไมตั้งเยอะ =_=”
“ข้าชอบสะสมน่ะ~อันหนึ่งใช้บอกเวลาได้ด้วยเชียวนะ”
“=__=;;;” หน้าเพื่อนทั้งสอง
“เอาล่ะ” ท่านขุนพชรหยิบหนังสือท่าทางเก่าๆ ออกมาถือไว้ “มันมีวิธีร่ายอาคมทำให้สิ่งของกลายเป็นคนขึ้นมาอยู่...”
“เดี๋ยววววว เจ้าคิดจะเสกตะพดพวกนี้ให้เป็นคนเรอะ!!!!” ท่านขุนณัฐวุฒิแทบว้ากลั่น “คิดอะไรของเจ้าน่ะ!!!”
“ไม่คิดว่าดีหรือไง” คนคิดแผลงๆ ยิ้มกว้าง “พวกนี้เป็นตะพดที่พร้อมจะรับคำสั่งของเรา อีกทั้งยังไม่น่าจะมีอารมณ์หื่นกามเยี่ยงมนุษย์หรือสัตว์ทั่วไปด้วย”
“แต่...”
“หรือเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านี้ -_-”
“ไม่มี...”
“งั้น...ก็ สรุปได้แล้วนะ” เขายิ้มแฉ่ง แล้วเริ่มทำพิธี ร่ายมนต์ตามในหนังสือ แล้วสั่งไว้ชัดเจน...
‘นับแต่บัดนี้ เจ้าคือผู้ปกป้อง จงคอยดูแลบุตรีของพวกข้าให้ปลอดภัย อย่าให้ภัยใดๆ เข้าถึงพวกนางได้...’
…โปรดติดตามตอนต่อไป...
ความคิดเห็น