คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [ The Romantic Drop ] Act.7 - Etoil
[ The Romantic Drop ] Act.6 - Etoil [ดวงดาว]
คิดถึง...เจ้าของนัยน์ตาสีสดใสราวท้องทะเลยามต้องประกายแสงอาทิตย์
“ทำไมตาเจ้าเป็นสีฟ้า” ยามนั้นไม่เข้าใจสักนิดว่าถามออกไปด้วยความอยากรู้จริงๆ หรือถามออกไปเพราะอยากหาเรื่องชวนคุย...ก็เจ้าของนัยน์ตาคู่นั้นช่างงดงามจนไม่อาจปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆ เส้นผมสีทองอ่อนระเรื่อคลอเคลียใบหน้าหวานราวเด็กผู้หญิง ขนตายาวกระพริบปริบหันมามองเขาแล้วย้อนคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
“แล้วทำไมต้องเป็นสีอื่นล่ะ”
“เพราะของคนอื่นเป็นสีที่ไม่เหมือนกับเจ้า”
“แล้วทำไมข้าต้องเหมือนใคร”
เมื่อถูกถามแบบนั้นแล้ว เอทวาลในตอนนั้นได้แต่นิ่งเงียบ ฝ่ายตรงข้ามทำท่าจะเดินจากไป เอทวาลจึงคว้าชายเสื้อสกปรกมอมแมมนั้นไว้
“ข้าชอบ ดวงตาของเจ้าสวยเหมือนน้ำทะเล”
มาถึงวันนี้ แทบไม่อยากคิดถึงเลยว่าตอนนั้นตัวเขาเองจะพูดอะไรชวนคลื่นเหียนแบบนั้นออกไปได้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา ทำให้เขาได้รู้สึกถึงความอบอุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ครั้งแรกที่ได้รับการยอมรับจากใคร ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลก ไม่ใช่ในฐานะ ‘ปิศาจเดนตาย’ ที่คนอื่นเรียกขาน
เซมิออนแตะใบหน้าของเขาด้วยนิ้วมือที่อบอุ่นยิ่งสิ่งใดในโลก
“ไม่จริงหรอก เอทวาล ดวงตาของเจ้าต่างหากที่งดงามกว่าใคร ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าเหมือนกับความหมายในชื่อของเจ้า”
ดวงดาวหลายล้านดวงในจักรวาล...จะเย็นชาไร้ความรู้สึกเช่นดวงตาของข้าทุกดวงเลยหรือ...เซมิออน
ถึงรู้ว่าไม่เป็นเรื่องจริง แต่เขาก็พอใจจะเชื่อ...เซมิออนเป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับให้เขาชำระจิตใจยามทุกข์ทรมานเกินจะทน เป็นดวงดาวที่ไม่เคยแปดเปื้อนบนฟากฟ้า...พราวพร่างสว่างไสวเป็นที่หนึ่งไม่มีสอง
ไม่อาจบรรยาย...ความรู้สึกรักที่มีอยู่ในใจให้ออกมาได้ภายในคำเดียว
อยู่ที่ไหนกันนะ...เซมิออน เจ้าไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ถ้าขอร้องได้ก็อยากให้อยู่เคียงข้างคอยชี้นำหนทางและแสงสว่าง...ประกายอันงดงามนั้น อย่าให้สูญสลายหายไปเลย
แสงแดดอ่อนระเรื่อกระทบนัยน์ตา กลิ่นหอมไม่คุ้นจมูกลอยอวลเรียกให้นัยน์ตาสีเขียวเข้มข้างหนึ่งเปิดปรือขึ้นอย่างไม่เต็มใจ สัมผัสนุ่มๆยังตรึงอยู่ข้างสันกรามราวกับเจ้าของมือในความฝันนั้นเพิ่งจากไปเมื่อครู่ เอทวาลดึงตัวขึ้นนั่งแล้วเสยเส้นผมสีดำขลับขึ้น
ความอบอุ่นแปลกไปกว่าทุกทีดึงโจรสลัดหนุ่มให้หันกลับมาครองสติแล้วสำรวจรอบกายเป็นครั้งแรก ผ้าม่านสีเข้มโยงอยู่บนหัวเสามุมเตียงสี่ด้าน ห่างออกไปเป็นพรมขนสัตว์นุ่มๆหน้าเตาผิงหินอ่อน ผนังที่บุผ้ากำมะหยี่ประดับด้วยลวดลายวิจิตร เชิงเทียนสีทองอร่ามดูหรูหราเสียจนไม่กล้าขยับตัว
“ไอ้เรเวน...” เอทวาลพึมพำรอดไรฟันถึงตัวการสำคัญ...จำได้ลางๆว่าสั่งให้หาที่พักดีๆไว้ให้ ไม่นึกเลยว่าจะปฏิบัติตามได้ดีเกินคาด คำนวนถึงเม็ดเงินที่เอามาละลายบนเมืองนี้แล้ว เอทวาลได้แต่ถอนใจ ร่างสูงทิ้งปลายเท้าสองข้างเหยียบลงบนพื้นพรมแล้วลุกขึ้นยืน
ความปวดแล่นจากแผลบนลำคอขึ้นมาจนถึงกับหน้ามืด เอทวาลส่งเสียงรอดไรฟันอย่างลืมตัว...ยืนนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งโสตประสาทก็เริ่มเปิดรับเสียงน้ำกระทบกันดังอยู่ด้านหลังประตูอีกบาน คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีเขียวขมวดยุ่ง ลากเท้าเข้าไปใกล้แล้วแนบหูลงกับบานประตู
อาการลับๆล่อๆแบบที่เจ้าตัวเกลียดหนักหนา เพราะชอบทำอะไรแบบโจ่งแจ้งชัดเจนมากกว่าเกือบจะทำให้เอทวาลเผลอยกปลายเท้าถีบประตูให้พังโครมลงมา แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงแว่วหวานที่คุ้นเคยดังรอดออกมาเป็นท่วงทำนองแผ่วเบา...เขาก็เปลี่ยนใจ
เอทวาลแง้มบานประตูออกเพียงพอให้นัยน์ตาข้างหนึ่งมองลอดผ่าน...ที่มาของกลิ่นหอมอบอวลยามตื่นนอนได้กระจ่างแจ้งก็ตอนนี้ ไออุ่นโลมผิวกาย เห็นแผ่นหลังขาวซีดติดรอยบาดแผลสดใหม่เด่นชัดอยู่หลังม่านน้ำ เส้นผมสีทองอ่อนเปียกชุ่มยาวระลำคอ
สรีระที่ไม่เคยสังเกตให้ชัดเจนแต่ก็รู้ได้ด้วยการสัมผัสว่าเย้ายวนแค่ไหน ร่างเล็กเอื้อมมือไปปิดน้ำแล้วสาวเท้าเชื่องช้าไปที่อ่างกระเบื้อง ค่อยๆจุ่มตัวลง หมอกควันบดบังร่างเล็กที่จมหายลงไปในน้ำอุ่นๆ นัยน์ตาสีแดงกลมโตยามนี้งดงามระคนน่าเอ็นดู
เอทวาลเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นปิดริมฝีปาก ความทรงจำเริ่มไหลเวียนเข้ามาในหัว...เมื่อคืนกะว่าจะเป็นฝ่ายทารุณเจ้าตัวสั้นให้หมดเรี่ยวแรงแล้วหิ้วมันออกมาลงอ่าง แต่ตัวเองกลับเป็นฝ่ายสลบเหมือดไปก่อน แถมต่อจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย เรียกว่าเสียศักดิ์ศรีสุดแสนจะให้อภัย
คงถึงเวลาแก้แค้นอย่างสาสมแล้ว
คิดได้ดังนั้นเอทวาลก็วาดปลายเท้าถีบบานประตูใหญ่ดังโครม! อัลฟาเรลสะดุ้งเฮือกนัยน์ตาสีเข้มตวัดกลับมามองร่างสูงใหญ่ที่ก้าวอาดๆเข้ามา เสื้อคลุมหนังสีดำถูกปลดกระดุมออกจนหมด เผยให้เห็นมัดกล้ามสมส่วนเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
อัลฟาเรลกลืนน้ำลายลงคอ เรียกสติและสายตาให้เบือนจากหน้าท้องชวนละลายกลับมาสบนัยน์ตาสีเขียวข้างซ้ายของชายหนุ่มตรงหน้า จับจ้องอยู่ได้ครู่เดียวเจ้าชายแวมไพร์ก็เป็นฝ่ายละสายตาไปด้วยใบหน้าที่ร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
“ข้าใช้ห้องน้ำอยู่ ช่วยออกไปด้วย”
ถ้อยคำห้วนกระด้างกว่าที่ตั้งใจ แต่ก็นับว่าดีมากแล้ว เมื่อเทียบกับบทสนทนาของเมื่อวานที่พบกันครั้งแรก เอทวาลดูท่าทางจะพอใจอยู่ไม่น้อยแต่ไม่ได้แสดงออก เพราะมือใหญ่คว้าข้อแขนเล็กไว้ จับบิดไพล่หลัง แล้วโยนเจ้าตัวเล็กลงในอ่างจนน้ำสาดกระจายไปทั่ว
อัลฟาเรลโผล่หน้าขึ้นมาแล้วสำลักน้ำอุ่นๆออกทางปาก นัยน์ตาแข็งกร้าวตวัดขึ้นมองร่างสูงใหญ่อย่างดุร้าย มือเล็กทุบกระแทกลงกับขอบอ่าง กำลังจะผุดตัวขึ้นยืน แต่กลับโดนปลายเท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนหัวกดเขาจมลงไปในน้ำอีกรอบ
“อย่ามาทำเป็นได้ใจ ไอ้หนู เรื่องเมื่อวานข้ายังไม่ได้คิดบัญชี”
อัลฟาเรลดิ้นพล่านด่าทอไม่เป็นภาษาอยู่ใต้อ่างอาบน้ำ เอทวาลยกเท้าขึ้นแล้วควานหาถุงผ้าใบเล็กจากกระเป๋าเสื้อคลุมขึ้นมา อัลฟาเรลได้ทีรีบดึงหัวตัวเองขึ้นจากน้ำแล้วสูดอากาศเฮือกใหญ่ ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร วัตถุละเอียดคล้ายกรวดขนาดเล็กก็ถูกเทราดลงมาใส่
ใบหน้าหวานขาวซีดเบือนหลบ กรวดเม็ดเล็ดบาดปากแผลจนรู้สึกแสบไปทั้งตัว ผ่านไปครู่หนึ่งเอทวาลก็โยนถุงผ้าทิ้งแล้วใช้ปลายเท้าดันร่างบางลงจุ่มกับน้ำในอ่างอีกรอบ คราวนี้มือเล็กปัดป่ายขาข้างนั้นออกไปได้ทัน
“อย่ามาทำแบบนี้กับข้า!” น้ำเสียงตวาดเกรี้ยวทรงอำนาจ ดวงหน้าหวานขึงขังระบายความโกรธเคือง เอทวาลหัวเราะลงลำคอแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างขอบอ่าง ใช้นิ้วทั้งห้ากดเส้นผมสีทองอ่อนจุ่มลงในน้ำอย่างรุนแรง
“ป...ปล่อยนะ ไอ้สถุลเอ๊ย!”
“จะโวยวายหาอะไรนักหนา ไม่เจ็บตัวแล้วสงบไม่ลงหรือไง” เอทวาลกัดฟันพูดด้วยความขุ่นเคือง กดศีรษะเล็กลงกับอ่างอาบน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า จนแน่ใจว่าผิวขาวเนียนได้ผ่านการชโลมน้ำจนชุ่มแล้วจึงปล่อยมือออก
อัลฟาเรลตวัดใบหน้าขึ้น นิ้วเล็กๆแตะกรวดสีใสขึ้นมามองดูด้วยความสงสัย เอทวาลไม่รอให้เอ่ยปากถามเพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องตอบ
“มันออกฤทธิ์คล้ายๆกำแพงเพรเต้ที่กั้นนอร์เมกัสของเจ้าออกจากแสงแดดนั่นล่ะ ข้าเอามาจากองค์รักษ์ของเจ้า ทีนี้จะเปลือยเดินกลางแดดรอบเมืองก็แล้วแต่เจ้า ตามสบาย” เอทวาลพูดรัวเร็วอย่างไม่ใส่ใจ แต่อีกฝ่ายที่กำลังนึกภาพตามถึงกับควันออกหู
“สถุลที่สุด” อัลฟาเรลสบถแผ่วเบา
“หืม?”
“เปล่า ข้าบอกว่าขอบใจมาก” เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อใบหน้าคมเข้มยื่นเข้ามาคลออยู่ข้างซอกคอ จึงได้แต่ตอบปัดๆไปด้วยเสียงเบาที่สุด แต่ก็สะท้อนก้องอยู่ในห้องน้ำกระทบหูคนฟังเข้าอย่างจัง เอทวาลนิ่งไปครู่ แล้วแสยะรอยยิ้มเชือดเฉือน
“ไม่ให้เปล่าๆหรอกนะ ขอของตอบแทนด้วยซิ เจ้าชาย”
อัลฟาเรลเบือนใบหน้าหลบแล้วขยับหมุนตัวหันหลังให้ พลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่นึกเลยว่าโจรสลัดอสูรเพลิงผู้ยิ่งใหญ่อย่างเจ้า ยังต้องการอะไรจากคนต่ำต้อยอย่างข้าด้วย” สิ่งที่เกลียดที่สุด...คือการกดตัวเองให้ต่ำกว่าสายตาผู้อื่นออกมาตรงๆ แต่ครั้งนี้อัลฟาเรลกลับยอมรับมันออกมาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
ยามอยู่ต่อหน้าเอทวาลแล้ว...เขามันช่างต่ำต้อย
“รู้ตัวก็ดีแล้วนี่ เจ้าไม่มีอะไรให้ข้าได้หรอก นอกจากสิ่งนี้” น้ำเสียงทุ้มกระซิบข้างหูลมหายใจร้อนผ่าวคลอข้างซอกคอรู้สึกซ่านจนเส้นขนลุกเกลียว ริมฝีปากอุ่นจูบลงบนแผ่นหลังขาวแล้วสอดมือไปดันดวงหน้าหวานให้แหงนเงยพลางยกตัวขึ้นจูบลงที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างแผ่วเบา
“อืม...” อัลฟาเรลหันใบหน้ามาจนสุด เพื่อให้คนข้างหลังเบียดชิดได้แนบแน่นมากขึ้น มือเล็กเอื้อมไปด้านหลัง ดันเส้นผมสีดำขลับเข้ามาใกล้ แล้วเป็นฝ่ายสอดปลายลิ้นลงรุกไล่ เอทวาลฉีกยิ้มน้อยๆอย่างขบขัน แล้วเลื่อนมือลงลูบไล้ผิวขาวเนียนอย่างแผ่วเบา
“...ย...อย่าจับ...แบบนั้น...” อัลฟาเรลส่งเสียงครางห้ามปรามแผ่วเบา มือหยาบกร้านเคล้าคลึงส่วนอ่อนไหวแล้วลากนิ้ววนรอบส่วนปลายอย่างชำนาญ เอนหลังพิงแผ่นอกกว้างใบหน้าหันซบมัดกล้ามสมส่วนชวนหลงใหล
“ชอบแบบไหนล่ะ...” เอทวาลกระซิบ ปายลิ้นโลมเลียใบหูเบาๆ ทำเอาร่างบอบบางสั่นสะท้านครางรอดลำคอ เอทวาลฉีกยิ้ม ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วโดนความเย้ายวนของผิวขาวระเรื่อลากลงอ่านอางน้ำในสภาพแทบจะไร้สติ
“แบบนี้หรือเปล่า” เอทวาลใช้มือข้างหนึ่งรวบลำคอเล็กแล้วดันร่างบางกระแทกขอบอ่างเต็มแรง
“อา!” อัลฟาเรลหลุดน้ำเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดที่กลืนกินทั่วทั้งร่าง ความร้อนรุ่มโลมผิวกายจนอ่อนแรงยามริมฝีปากสัมผัสกันแทบจะไม่เห็นภาพอะไรอยู่ในหัวนอกจากสีขาวโพลน เอทวาลไล่ริมฝีปากเลื่อนลงมาขบกัดที่ซอกคอ ปลายลิ้นอุ่นลากผ่านยอดอกแข็งขึงสัมผัสบาดแผลลึก ร่างบางสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ
“ยังเจ็บอยู่เหรอ”
น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อหู ทำเอาคนฟังหรี่ปรือนัยน์ตาลงด้วยความเคลิ้ม นิ้วหยาบกร้านแตะลงบนปากแผล แล้วเลื่อนนิ้วคลึงยอดอกเบาๆ ริมฝีปากกดจูบลงบนแผ่นหลังขาวไล่ลงไปถึงสะโพก ร่างบางแอ่นตัวหลบสัมผัสชวนหวาบหวิวที่ไล่ลงไปถึงด้านหลัง
“อะ...อย่า...” ไม่ได้ตั้งใจจะปฏิเสธ...ใจจริงอยากจะบอกว่าอย่ามัวชักช้าอยู่ จัดการให้มันเสร็จๆซะที หากแต่พูดออกมาได้แค่นั้นเพราะรู้สึกสะท้านไปทั้งตัว
“ไม่เจ็บแล้วล่ะมั้ง สูบเลือดไปตั้งเยอะ คนที่ต้องบ่นว่าเจ็บควรจะเป็นข้า” เอทวาลบีบไหล่บอบบางแน่แล้วหมุนร่างเล็กกลับมามองสบตา...ความรู้สึกที่ไม่แน่ชัด ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆในใจของเจ้าชายแห่งนอร์เมกัส หากแต่ที่ชัดเจนยิ่งสิ่งใด...ในใจของโจรสลัดอสูรเพลิงสะท้อนภาพของใครอีกคนเข้ามาแทนที่
อัลฟาเรลเลื่อนมือขึ้นไปที่แผ่นหนังบนดวงตาข้างขวา ใช้ปลายนิ้วนุ่มละมุนลากผ่านสันจมูกโด่งเกี่ยวสายผ้าคาดให้หลุดออกมา แล้วไล่นิ้วแตะลงบนดวงตาสีแดงเข้มประดุจเลือดข้างซ้ายที่เคยเห็นเป็นครั้งแรก เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าตกใจแต่อย่างใด ฝ่ายตรงข้ามมากกว่าที่ตกใจ...
“เจ้า...” เอทวาลเบือนใบหน้าหลบ มือทั้งสองข้างกดแน่นอยู่บนไหล่บางราวกับจะบีบให้แหลกสลาย อัลฟาเรลก้มหน้าลงน้อยๆซ่อนรอยยิ้มแล้วช้อนนัยน์ตากลมโตขึ้นมองใบหน้าคมคาย นิ้วเรียวเอื้อมคว้าลำคอคนตรงหน้าโน้มลงจูบที่เปลือกตาทั้งสองพลางกระซิบ
“งดงาม...ราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า”
มันรวดร้าวราวกับโดนเข็มพันเล่มทิ่มแทงทะลุอก เอทวาลคว้ากระชากเส้นผมสีทองอ่อนแล้วดึงทึ้งผลักไสเต็มแรงดันศีรษะเล็กๆกระแทกขอบอ่าง แผลแตกเกิดขึ้นบนหางคิ้ว เลือดไหลซึมลงสู่น้ำในอ่าง สองมือรวบข้อมือเล็กๆเอาไว้บีบแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น อัลฟาเรลเบิกนัยน์ตาค้างมองดูเลือดที่ฟุ้งกระจายอยู่ในน้ำด้วยท่าทีตื่นตกใจแต่ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา
“อย่าพูดแบบนั้นให้ได้ยินอีก แล้วจงลืมมันซะ”
“ว่าไงนะ...”
“ข้าไม่ชอบพูดอะไรซ้ำซากหลายๆรอบ”
ไม่มีเหตุผล...แต่เขาเกลียดที่จะได้ยินมัน คำพูดคำเดียวกัน...จากคนละคน ภาพที่ทับซ้อนอยู่ในหัว เมื่อพินิจดูแล้วไม่ใช่ความจริงเลยแม้เพียงอย่างเดียว เขาไม่ใช่เอทวาลที่อ่อนแออยู่ในอ้อมแขนซึ่งค่อยประคับประคองและชี้นำของเซมิออนอีกต่อไปแล้ว
“อะ...!” เด็กหนุ่มเบือนใบหน้าหลบ เอทวาลโน้มตัวกดจูบที่แผลบนหน้าผากเลียรอยเลือดลงมาตามดวงแก้มและปลายคางยาวลงไปถึงซอกคอที่ถูกขบเม้มจนช้ำ เรียวลิ้นลากผ่านเรือนร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลสู่ความปรารถนาที่ตื่นตัว
“อือ...อ...” อัลฟาเรลหลุดเสียงคราง รู้สึกร้อนเร่าไปทั้งร่าง ขาสองข้างยกขึ้นพาดบ่ากว้างเปลือยเปล่า เอทวาลลากลิ้นจากแก่นกายลงไปถึงด้านหลัง ลิ้มรสเลือดจางๆที่กระจายอยู่ในน้ำชวนให้คลื่นเหียนอย่างบอกไม่ถูก อัลฟาเรลเบือนใบหน้าพิงกำแพงเย็นๆ กว่าจะรู้ตัวอีกท่างสูงใหญ่ก็ทาบทับลงมาเบื้องหน้า แล้วสอดใส่ของตัวเองเข้ามาทีเดียวจนสุด
“อย่า!...อ...” แขนเล็กยกขึ้นโอบลำคอแข็งแกร่งจิกเล็บลงบนแผ่นหลังกว้าง ได้กลิ่นเลือดคลุ้งจมูก แผลเดิมที่ยังไม่หายคล้ายโดนกรีดจนฉีกขาดอีกครั้ง มันรัดแน่นเสียจนกลัวว่าหากขยับแล้วร่างเล็กๆจะแตกสลายคามือ อัลฟาเรลถอนสะอื้นเสียดใบหน้าลงกับผิวกายคมเข้มคล้ำแดด
“เจ็บ...อือ...” ความอึดอัดรัดแน่นจนบิดเกร็งไปทั้งตัว อารมณ์ครุกรุ่นไม่เจือจางแม้จะเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม เอทวาลหลับตาลงเลื่อนมือมาที่ลำคอขาวแล้วออกแรงบีบด้วยความปรารถนาทั้งหมดที่มีอยู่ ชายหนุ่มดันสะโพกบางกระแทกเข้ามาอย่างไม่ใส่ใจเสียงกรีดร้องครวญครางที่กระจ่างชัดอยู่ข้างหู
มืออีกข้างไล้ท่อนเนื้อที่ตั้งชันกระทบหน้าท้องของเขาแล้วกดส่วนบนเอาไว้ ริมฝีปากจูบลงบนไหล่บอบบางแล้วดันตัวเข้าออกเร่งเร้าทุกสัดส่วนจนเดือดพล่าน
“จ...อะ!...เจ็บ” อัลฟาเรลเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดห้วงแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ลมหายใจค่อยๆถูกบั่นทอนทีละน้อย นิ้วโป้งกดอยู่บนกลางลำคอเบียดแน่นปิดทางเดินหายใจ ริมฝีปากซีดขาวได้แต่ร่ำร้องสะอึกสะอื้นด้วยความเจ็บปวดที่แสนสุขสม
“อา...ปล่อย...” ความปรารถนาที่ตื่นตัวเต็มที่อยากจะให้ทุกอย่างจบลง แต่มือข้างนั้นยังคงบีบแน่นไม่ยอมให้เสร็จ เอทวาลอาจจะลืมตัวไปแล้ว...อัลฟาเรลจิกเล็บลงบนข้อมือที่กดแน่นอยู่บนแก่นกลางของตัวเอง เลือดไหลซึมออกมากระจายฟุ้งอยู่ในน้ำที่ค่อยๆเข้มข้นขึ้น
“อ...อา...อา...” อัลฟาเรลโน้มใบหน้าติดกับไหล่กว้าง ร่างกายบิดเร่าแอ่นรับความร้อนรุ่มที่กำลังจะถึงขีดสุด ความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงผิวหนังฉีกขาด เจ็บปวดราวกับจะขาดเป็นชิ้นๆ เมื่อความตายใกล้มาเยือนเอทวาลก็ปลดมือที่รัดแนบแน่นออกจากลำคอ ปล่อยผลแห่งความปรารถนาลงในร่างกายนั้นพร้อมกับของเหลวขุ่นที่เปรอะเปื้อนมือทันทีที่คลายออก
“อือ...” อัลฟาเรลหอบหายใจเสียงหนักหน่วง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นผ่านแก้วหูที่ปวดร้าวราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงๆไมได้ยินสิ่งใด...หากแต่เมื่อร่างสูงใหญ่ที่กอดก่ายกันอยู่นั้นโน้มใบหน้าลงข้างหูแล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเป็นที่สุด
“เซมิออน...ข้ารักเจ้า”
ถ้อยคำนั้น...กลับดังสะท้อนอยู่ในจิตใจมิอาจลืมเลือนได้จนถึงวันตาย
ความคิดเห็น