คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [ The Romantic Drop ] Act.6 - เจ้าชายแห่งรัตติกาล - II
โลกด้านหลังดวงอาทิตย์นั้น ช่างมืดมน ช่วยเป็นแสงสว่างให้แก่ข้าที
เป็นแสงสว่างที่อบอุ่น มิใช่...แสงสว่างที่แผดเผาข้าจนมอดไหม้
เสียงพึมพำแผ่วเบาดังรอดริมฝีปากบาง เอทวาลเหลือบนัยน์ตาลงมองเด็กหนุ่มในอ้อมแขนนิดหนึ่ง แล้วเดินย่ำน้ำไต่บันไดเชือกขึ้นบนลำเรือ เป็นไปตามที่คาดไว้...แสงตะเกียงในห้องใหญ่ถูกเปิดอยู่ เรเวนผลักบานประตูไม้ออกมา มองสภาพของกัปตันแห่งอสูรเพลิงแล้วเลิกคิ้วขึ้น เอทวาลชิงเอ่ยก่อนอีกฝ่ายจะคิดไปไกล
“อย่ามองแบบนั้น ข้าไม่ได้ทำอะไร”
“บาดเจ็บเหรอ” เรเวนบุ้ยหน้าใส่เจ้าชายแวมไพร์ เอทวาลน้ำสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ขณะที่ลูกเรือคนสนิทเดินเข้ามาหา มือกร้านแตะลงบนผิวบอบบางขาวละเอียดที่เต็มไปด้วยริ้วรอยบาดแผลที่ยังสดใหม่ มองดูขอบปากแผลเรียบสนิทนั้นแล้วไม่ต้องเดาเป็นอื่น...เด็กคนนี้เคยโดนพายุใบมีดของเอทวาลมาเป็นแน่
แต่อีกแผลที่ทะลุจากอกถึงแผ่นหลังดูน่าเป็นห่วงกว่าไม่ใช่น้อย
“ห้ามเลือด แล้วหาน้ำจืดมาล้างแผล ถ้าติดเชื้อต้องตาย...”
“เสียเวลา” โจรสลัดหนุ่มดึงร่างเล็กขึ้นพาดบ่า แล้วสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ห้องเก็บของท้ายเรือ ใช้ปลายเท้าถีบประตูเปิดออกดังโครมใหญ่ เรเวนวิ่งตามมาโดยทิ้งมาดนิ่งๆไว้เบื้องหลัง แล้วร้องห้ามอย่างตกใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
“ไม่ได้นะเอทวาล นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!”
เอทวาลว่างร่างเล็กลงข้างๆ แล้วงัดฝากล่องไม้ที่วางกองสุมเป็นตั้งอยู่เบื้องหน้า หยิบขวดเหล้าสีเข้มขึ้นมาหนึ่งขวดโดยไม่ฟังเสียงห้ามปราบจากเรเวน นัยน์ตาสีเขียวเข้มสะท้อนแววแข็งกร้าวให้เห็นเป็นครั้งแรกจากที่เคยนิ่งสงบ สิ่งนั้นทำให้เรเวนเงียบเสียงลงทันที
“ข้าไม่คิดจะล้อเล่น” เอทวาลกดน้ำเสียงเย็นชา แล้วใช้ปากกัดดึงจุกคอร์กจากปากขวด ก่อนจะเทน้ำสีอำพันใสราดลงบนร่างบอบบาง ทันทีที่เหล้าอุ่นๆกระทบเรือนร่างไหลไปตามบาดแผล อัลฟาเรลก็สะดุ้งสุดตัว กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแม้ไร้สติ
“เอทวาล พอแล้ว เสียดายเหล้า” เรเวนตรงเข้าไปดึงขวดเหล้าจากมือของเอทวาล นัยน์ตาสีเข้มมองร่างเล็กที่บิดเร่าอย่างทรมานด้วยความรู้สึกหลายอย่างปะปนกัน
“ได้เวลาตื่นจากฝันหวานแล้ว ไอ้หนู” ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่ง แล้วดึงเส้นผมสีทองขึ้นมองดูดวงหน้าขาวซีด นัยน์ตาสีแดงเข้มขมวดมุ่น นิ้วเรียวเล็กคว้าข้อมือของเขาไว้ จิกเล็บลงลึกจนเลือดซึม เอทวลากระตุกรอยยิ้ม แล้วกระชากเส้นผมบังคับให้ใบหน้านั้นเงยขึ้นสบตา
“ใครอนุญาตให้หนีวะ” เอทวาลเลื่อนมือลงมาที่ลำคอขาว กดปลายนิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ “ฟังคำถามรู้เรื่องไหม ใครอนุญาตให้หนี...อยากตายหรือไง”
ยากเย็นที่จะยอมรับได้...แต่มันคือความจริง อัลฟาเรลพยายามหักห้ามน้ำตาที่กำลังจะรินไหล ก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที เขาเกือบจะคิดไปแล้วว่า ใบหน้าด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนนั้นเป็นของจริง แต่แล้วทุกอย่างมันก็เป็นเพียงเรื่องที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเอง
เอทวาลยังเป็นเอทวาล เป็นอสูรเพลิงที่ไร้ซึ่งทุกสิ่งอย่างสะท้อนในแววตา ความรู้สึกกลัวแล่นขึ้นมาจับขั้วหัวใจ ยิ่งเมื่อเวลาที่มือหยาบกร้านบีบลงบนลำคอ มันรู้สึกคล้ายจวนเจียนจะตายเสียให้ได้...ความเจ็บปวดจากบาดแผลกลายเป็นเรื่องเล็กราวกับฝุ่นผง เมื่อเทียบกับความกลัวที่มีต่อคนตรงหน้า
“พูดมาซิ! หนีทำไม !”
“ข้า...” ริมฝีปากซีดสีอ่อนเรื่องสั่นระริก เล็บที่จิกลงบนข้อมือใหญ่ค่อยๆคลายออกอย่างไร้เรี่ยวแรง อัลฟาเรลกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไปซ่อนไว้เบื้องลึกในจิตใจ แล้วใช้แรงทั้งหมดผลักร่างตรงหน้าออก ก่อนจะพ่นสบถเสียงแผ่ว “อย่ามายุ่งเรื่องของข้า เจ้าสัตว์นรก”
เอทวาลกระตุกยิ้มเย็นเยือก “นี่คือคำที่ข้าควรจะได้รับหลังจากช่วยเจ้ามางั้นเหรอ” เอทวาลกดนิ้วลงกับลำคอขาวแน่นขึ้นราวกับจะบีบให้แหลกสลายคามือ เลือดที่ซึมจากรอยเล็บจิกลึกไหลลงเป็นทาง...แค่แผลเล็กๆที่ฝังลึกลงกับผิวเนื้อไม่ทำให้เจ็บถึงตาย แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกรวดร้าวลงไปถึงจิตใจ
“จะไม่ถามเลยเหรอ ว่าอยากให้ช่วยหรือเปล่า”
ราวกับน้ำมันที่ราดลงบนกองเพลิง เอทวาลคว้าลำคอขาวขึ้นแล้วกดกระแทกกับพื้นดังโครม ใช้เข่าทั้งสองกักขังร่างบางไว้ ก้มลงมองใบหน้าขาวซีดด้วยแววตาเกลียดชังอย่างปิดไม่มิด ความนิ่งเงียบเยือกเย็นน่าหวาดหวั่น มีเพียงนัยน์ตาสองคู่ที่มองสบกัน แม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับส่งผ่านคำพูดมากมาย
“เอทวาล ข้าว่าน่าจะพอแค่นั้น...”
“หุบปากซะ เรเวน” นัยน์ตาสีเขียวเข้มหันมองคนที่ยืนอยู่นอกประตู แล้วแสยะรอยยิ้มที่เรเวนไม่ใคร่ได้เห็นมาเป็นเวลานาน ตั้งแต่เจอกับอัลฟาเรล...รอยยิ้มแบบนั้น เอทวาลชักจะใช้มันบ่อยขึ้น รอยยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวความเจ็บปวด และเกลียดชัง
“ถ้าจะยืนรอดูจนจบข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไปหาที่พักดีๆไว้ให้ด้วย”
“เข้าใจแล้วครับ กัปตัน” เรเวนส่งเสียงตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วผลักบานประตูปิดลงจากไปเงียบๆ เอทวาลเลิกคิดจะสนใจสิ่งอื่นใดนอกจากเรือนร่างยั่วยวนสายตาที่อยู่ตรงหน้า
“ปล่อย!” อัลฟาเรลกระชากเสียงห้วน มือเล็กปัดป่ายหมายจะให้โดนคนตรงหน้าบ้าง แต่เอทวาลกลับรวบข้มมือสองข้างไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
“จำเป็นมากไหม ที่ต้องหาเรื่องน่ะ!” เอทวาลดันแขนบอบบางสองข้างขึ้นให้พ้นทาง แล้วก้มลงประทับริมฝีปากอย่างรุนแรงสอดแทรกเลียวลิ้นบดขยี้ด้วยความปรารถนาลึกล้ำ ร่างกายที่สั่นสะท้านค่อยๆสงบลง นัยน์ตาแข็งกร้าวพริ้มหลับ เกือบจะเคลิ้มไหวไปกับรสจูบอันแสนทรมาน
“อย่า...” อัลฟาเรลครางออกมาเรียกสติตัวเอง แต่กลับเป็นน้ำเสียงที่ตัดสติของฝ่ายตรงข้ามให้ดับวูบ...ฟังกี่ทีก็เหมือนกับเชื้อเชิญ อารมณ์ยามเอ่ยถ้อยคำนั้นไม่ตรงกับความหมายเลยสักนิด มือหยาบเลื่อนลงลูบไล้ผิวเนื้อ ร่างบางแอ่นรับสัมผัส แม้ปากจะบอกให้หยุด
เอทวาลบีบลำคอเล็กอย่างไม่กลัวจะแตกหัก ริมฝีปากร้อนเลื่อนลงมาจูบที่ผิวเนียนละเอียด ฝังแผลลึกประดับบนผิว นึกพึงใจเมื่ออัลฟาเรลส่งเสียงครางเบาๆ
“อา...” ร่างเล็กขยับตัว โอบมือข้างหนึ่งขึ้นรอบคอร่างสูง เมื่อปลายนิ้วร้อนๆไล่ลงไปจนถึงส่วนล่าง เกี่ยวกางเกงหนังของเขาออกไปให้พ้นสายตา ความรู้สึกสับสนมึนงงราวกับลูกนกเพิ่งพลัดตกจากรังมันครอบคลุมอยู่ในห้วงสติ รู้สึกเวิ้งว้างต้องการที่พึ่งพา
เอทวาลไล่ปลายลิ้นเลียซอกคอขาว กลิ่นและรสขมจัดของแอลกอฮอล์ยังหวานขึ้นฉับพลันเมื่อมาอยู่บนเรือนร่างของเจ้าชายหลังบัลลังก์ผู้นี้ ความโกรธเคืองค่อยๆละลายหายไปพร้อมกับความปรารถนาที่เข้ามาแทนที่ ลิ้นร้อนๆลากผ่านยอดอก เสียงแผ่วเบาครางลงลำคออย่างสิ้นสติ
เสียงลมหายใจถี่ระรัวดังชัดเจนภายในห้องแคบๆ จะขยับก็ลำบาก...เอทวาลมองลังใส่ขวดเหล้าที่วางกองอย่างไม่เป็นระเบียบด้วยความหนักใจ ถ้าเจ้าตัวเล็กนี่พลาดพลั้งขยับไปอีกหน่อย มีหวังโดนลังทั้งลังหล่นมาทับแน่ ถ้ารู้ว่าวันใดวันหนึ่งจะได้มาทำอะไรดีๆงามๆในที่แบบนี้ น่าจะสั่งให้จัดของไว้ก่อน
เอทวาลคิดไปเรื่อย ก่อนจะหยุดชะงัก เมื่อมือเล็กๆทั้งสองของคนข้างล่างยกขึ้นมาจับใบหน้าเขาเอาไว้ นัยน์ตาสีแดงเข้มหรี่ปรือ ริมฝีปากซีดอ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นสะท้าน
“...ลงไปอีก...”
ไม่พูดเปล่า แต่ยังดันริมฝีปากเขาไล่ลงไปส่วนล่าง เอทวาลนิ่งอึ้งไปครู่...อันที่จริงอยากจะหยุดอยู่แค่จูบสั่งสอน แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วมันก็อดไม่ได้...แก่นกลางที่ตื่นตัวมันคับแน่นจนน่าสงสารและน่ากลั่นแกล้งไปในเวลาเดียวกัน ลมหายใจร้อนๆรินลงผิวบอบบางบริเวณส่วนอ่อนไหวทำเอาร่างกายถึงกับสั่นสะท้านหลุดเสียงครางแว่วหวานให้ได้ยินไม่หยุด
“อื้อ...” อัลฟาเรลหอบหายใจหนัก ร่างบอบบางเปลือยเปล่าแต่กลับรู้สึกร้อนเร่าจนแทบละลาย เพียงแค่หายใจยังลำบากเจียนตาย แต่เมื่อมือใหญ่ที่รัดรอบลำคอผ่อนแรงลง อัลฟาเรลกลับรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าคล้ายขาดอะไรบางอย่างไป
“อย่าปล่อย...”
ด้วยน้ำเสียงแผ่วจางแต่ทรงอำนาจติดสำเนียงเชิงหยิ่งทระนงเอาแต่ใจอย่างเคยชิน ทำให้เอทวาลกดปลายนิ้วบีบรัดลำคอเล็กแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ริมฝีปากอุ่นกดจูบที่ท่อนเนื้อบอบบางเบาๆ อัลฟาเรลถอยตัวออกจนเบียดชิดผนังมือเล็กขยุ้มเส้นผมสีเข้มไว้แน่น
“อา...อย่า...” ห้ามออกไปทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองก็ต้องการมากแค่ไหน เล็บยาวจิกลงบนแผ่นหลังกว้างลึกถึงเนื้อภายใต้เสื้อคลุมหนังสีเข้ม กลิ่นเลือดจางๆยังอบอวล แม้จะเป็นเลือดของคนอื่นมันก็ยังเย้ายวนจนแทบจะไม่อาจห้ามใจ
เอทวาลกดริมฝีปากเร่งเร้าส่วนล่าง อัลฟาเรลโน้มใบหน้าลงเสียดเส้นผมสีเข้มชื้นกลิ่นเลือด ความรู้สึกซ่านแล่นขึ้นกัดกินทุกส่วนในร่างกายอยากจะกรีดร้องให้มันสุดเสียง แต่ก็จุกอยู่แค่ลำคอ มันร้อนรุ่มและเย็นจัดสลับกันจนนัยน์ตาพร่าเลือน ความอดทนสิ้นสุดลงพร้อมกับของเหลวอุ่นๆที่ถูกปลดปล่อยออกมา
“อือ...” ร่างบางส่งเสียงครางเบาๆแล้วถอนหายใจ เอทวาลไล่ปลายลิ้นจากแก่นกลางขึ้นมาบนหน้าท้องขาวเนียน อัลฟาเรลดึงร่างสูงขึ้นมากดจูบแล้วเลื่อนใบหน้ากดที่ซอกคอร้อนผ่าว เด็กหนุ่มนิ่งไปครู่ราวกับชั่งใจ แต่แล้ว เอทวาลก็เป็นฝ่ายเอ่ยออกมา
“ถ้าทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้น ก็เอาไปได้ตามสบายเลย”
“ถึงตายก็จะยอมปล่อยให้ข้าทำตามใจชอบหรือไง” อัลฟาเรลกระซิบเสียงแผ่ว มือทั้งสองสั่นสะท้านด้วยความหิวกระหาย เมื่อต้องสูญเสียเลือดเป็นปริมาณมาก ร่างกายมันก็เริ่มเรียกร้องหาเลือดทดแทน ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเนิ่นนานเกินกว่านี้
แต่เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเป็นเอทวาล...
“ข้าไม่ยอมตายเพราะเจ้าหรอก...ไอ้หนู” เอทวาลกระตุกรอยยิ้ม ใจจริงอยากจะหัวเราะในน้ำคำยโสโอหังนั้น ฟังดูแล้วชวนให้คิดถึงใครอีกคน...ที่น่าจะอยู่ตรงนี้แทนอัลฟาเรล ทั้งที่คิดว่าน่าจะลืมได้แล้ว แต่ความรู้สึกเดิมๆก็ยังตามมาหลอกหลอน
“อย่าเสียใจทีหลังล่ะ” อัลฟาเรลกระซิบเสียงแผ่ว ร่างบางผลักชายหนุ่มออกไปเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนตัวลงนั่งบนตักอย่างถือวิสาสะ แล้วกระตุกริมฝีปากกดเขี้ยวทั้งสองข้างฝังลงกับเส้นเลือดบนลำคอซ้ำที่แผลเดิม เลือดหลั่งไหลผ่านริมฝีปากกทำให้นัยน์ตาที่พร่าเลือนค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เอทวาลส่งเสียงรอดไรฟันเบาๆเป็นเชิงบอกว่าไม่พอใจในความเจ็บปวดนี้สักเท่าไหร่
อัลฟาเรลเลื่อนมือลงปลดกางเกงหนังของคนตรงหน้าออก ลูบไล้ท่อนเนื้อที่ตื่นตัว เอทวาลขมวดคิ้ว แล้วบีบข้อมือเล็กๆไว้แน่น แล้วเป็นฝ่ายจัดการด้วยตัวเอง อัลฟาเรลนิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด เมื่อนิ้วเรียวยาวสอดแทรกผ่านด้านหลัง ร่างเล็กบิดเกร็งส่งเสียงครางอืออา มือที่เคยพยายาผลักไสยกขึ้นโอบรัดร่างสูงใหญ่ให้เบียดแนบชิดยิ่งขึ้นจนแม้แต่อากาศยังลอดผ่านไปไม่ได้
อัลฟาเรลถอนเขี้ยวออกมองเห็นเลือดสีขุ่นเข้มพุ่งขึ้นเป็นสาย กล้ำกลืนรสเลือดลงลำคออย่างหิวโหย นิ้วที่สอดแทรกดันลึกเข้ามาทำเอาร่างเล็กสั่นสะท้านบิดเร่า ใบหน้าซุกไซ้เส้นผมสีดำขลับแล้วส่งเสียงครางใส่ริมหู ใบหน้าแหงนเงยขึ้นเมื่อจมูกโด่งสันกดลงกับปลายคางแล้วย้ำรอยจูบจนช้ำสีเลือดไปทั่วลำคอ
มือของเอทวาลที่รุกไล้อยู่ตรงกึ่งกลางเล้าโลมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนต้องปลดปล่อยออกมาอีกรอบ เอทวาลไล้ของเหลวสีขุ่นขึ้นมาบนยอดอกสีอ่อนแล้วไล่ปลายลิ้นเลียอย่างแผ่วเบา เลือดจากแผลบนลำคอไหลรินไม่หยุด ชายหนุ่มถอนนิ้วออกจากร่างกายเล็กๆตรงหน้า ความเสียวซ่านสะท้านทำเอาร่างบอบบางจะสั่นไหวระริก
คนมีสติอยู่เต็มเปี่ยมคืออัลฟาเรล กลับกัน คนที่ล้มฟุบลงไปแล้วกลับเป็นโจรสลัดหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวคู่เย็นชาสุดแสน อัลฟาเรลโอบมือขึ้นรับร่างสูงใหญ่ที่เอนตัวลงมาอย่างไร้สติ ใบหน้าใต้ความมืดมิดเห็นเพียงดวงตาที่พริ้มหลับ
เลือดไหลซึมบนลำคอลงไปถึงแผ่นอกกว้างใต้เสื้อคลุมหนังสีเข้ม อัลฟาเรลวางศีรษะของชายหนุ่มลงบนตักเปลือยเปล่าของตัวเองแล้วก้มลงจุมพิตเบาๆ
ความแค้นเคืองในค่ำคืนนี้...ถูกช่วงชิงไปแล้ว ด้วยความรัก
ความคิดเห็น