คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : [ The Romantic Drop ] Act.5 - เจ้าชายแห่งรัตติกาล - I
[The Romantic Drop] Act.5 - เจ้าชายแห่งรัตติกาล
กว่าที่จะลากเรือลำใหญ่เข้าจอดเทียบท่าเดอิสโมได้ก็เข้าสู่ยามเย็นย่ำคำ แสงแดดแรงเข้มคล้อยไปทางทิศตะวันตกแทบจะจรดกับขอบผืนทะเล
เอทวาลกระชับเสื้อคลุมสีดำตัวยาวให้เข้าที่ ก่อนจะเดินย่ำน้ำทะเลที่สูงท่วมเข่าลากขาขึ้นมายืนอยู่บนชายฝั่ง มองดูเหล่าลูกเรือที่ช่วยกันดึงเชือกเส้นใหญ่ลากลำเรือขึ้นมาแล้วมัดอย่างมั่นคง
นัยน์ตาสีเขียวตวัดมองไปรอบๆ ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวเล็กที่อยากจะเจอ ใบหน้าคมเข้มถึงกับขมวดมุ่นอย่างฉุนเฉียว...อุตส่าห์ไม่เข้าไปฉุดกระชาก หมายจะให้เดินออกมาเองดีๆแท้ๆ แต่เจ้านั่นกลับไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด
“เรเวน” เอทวาลหันไปเรียกชายหนุ่มที่ยืนเจรจาอยู่กับเจ้าของท่าเรือ เรเวนหันมาให้สัญญาณรับรู้นิดหนึ่งก่อนจะยัดถุงเงินใส่มือเจ้าของท่าเรือเพื่อเป็นการจบบทสนทนา ฝ่ายนั้นคาดคะเนน้ำหนักเงินในถุงอยู่ครู่ ก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าแล้วละตัวออกไป
“บอกว่าต้องเก็บค่าเช่าที่ บ้าจริงๆเลย” เรเวนส่ายหน้าไปมาอย่างขุ่นเคือง
“อย่างกนักเลย เงินเก็บไว้มากๆมันหนักเรือรู้ไหม”
“เพราะงั้นถึงมาละลายเงินบนเกาะนี้เหรอไงกัปตัน ถ้าท่านไม่งกก็เอามาแบ่งข้าซิ หวังว่าคงจะเบิกได้ซินะ เมื่อกี้อุตส่าห์ควักเนื้อตัวเองจ่ายแท้ๆ”
เอทวาลกระตุกรอยยิ้มน้อยๆ แล้วล้วงหยิบถุงเงินจากข้างเอวยัดใส่มือคนตรงหน้า เรเวนทำตาโตแล้วร้องอย่างตกใจ
“ล้อเล่นหรอกน่า กัปตัน”
“เปล่า อันนี้ไม่ได้ให้เว้ย” เอทวาลว่าพลางยัดถุงเงินลงในกระเป๋าเสื้อคลุมของราเวนแล้วถอยตัวออก “ขึ้นฝั่งทั้งทีมันก็ต้องเสพเหล้าเคล้านารี ไปจองร้านอาหารดีๆไว้ เดี๋ยวข้าจะตามไป ขอจัดการเจ้าเตี้ยดื้อด้านที่อยู่ในเรือนั่นก่อน”
“เดี๋ยวซิ! จะเอาเจ้านั่นไปด้วยเหรอ เอทวาล!” ราเวนตะโกนไล่หลังร่างสูงที่โบกมือไปมาก่อนจะวิ่งย่ำน้ำทะเลเลียบชายฝั่งปีนกลับขึ้นไปบนเรืออย่างรวดเร็ว ลูกเรือหนุ่มเบือนใบหน้ากลับมาแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เอทวาลชะโงกตัวจากกราบเรือลงมามองเห็นราเวนพากลุ่มลูกเรือกว่ายี่สิบคนเดินออกห่างจากท่าเรือไปพอสมควรแล้ว จึงค่อยๆสืบเท้าไปหยุดลงที่หน้าประตูไม้หลังลำเรืออย่างเชื่องช้า มือหยาบกร้านยกขึ้นเคาะประตูบานใหญ่เบาๆเรียกให้คนข้างในรู้สึกตัว
แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว...เอทวาลแนบใบหูเอนพิงประตูไม้แล้วได้ยินเพียงความเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ ชายหนุ่มตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไปโดยแรง สิ่งที่พบเจอตรงหน้านั้นทำเอานัยน์ตาคู่สีเขียวมรกตเบิกค้าง มือข้างหนึ่งกำแน่นกระแทกเข้ากับบานประตูดังปังใหญ่ระบายความโกรธเคือง
หายไปแล้ว...ไอ้เจ้าชายแวมไพร์นั้นหายไป...ทิ้งรอยเลือดกับเสื้อคลุมชื้นๆไว้กลางห้อง
ยังมีแรงเดินอีกเหรอไง
ยังมีแรงจะหายใจอยู่อีก...
เอทวาลเดินออกไปนอกห้อง แล้วทอดสายตามองเลียบชายฝั่ง ขอบทะเลยาวสุดลูกตาแลเห็นจรดเทียบน้ำทะเลโค้งอ้อมเป็นทางยาว ริมฝีปากบางกระตุกมุมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะไต่บันไดลงจากเรือ เดินย่ำน้ำขึ้นไปบนหาดทราย
เรเวนที่เดินกลับมายืนรออยู่แถวนั้น ลูกเรือหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนที่เอทวาลกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้มาก รอจนเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเดินมาเทียบเคียงบ่า เรเวนไม่เอ่ยถามสาเหตุใดๆให้เสียเวลาด้วยเดาความทั้งหมดได้อยู่แล้ว
“จะไม่กระวนกระวายหน่อยเหรอไงกัปตัน ถ้าท่านเคาน์เตสมาเอสโตรรู้เข้า ท่านโดนบั่นคอแน่”
เอทวาลยิ้มเย็นเยือกไม่ใคร่ใส่ใจ ร่างสูงก้าวเท้ายาวเดินนำหน้าลูกเรือไปแล้วโบกือส่งให้น้อยๆ “หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ทะเลแบบนี้ เจ้าตัวสั้นนั่นจะหนีไปไหนพ้น ปล่อยให้วิ่งไปวิ่งมาเดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกไปเอง เจ้าอย่าลืมซิเรเวน...โลกมันกลมนะ”
เรเวนเห็นทีท่าสงบสบายจนน่าระหลาดใจ แล้วพูดอะไรไม่ออก ยอมรับว่าหากคนตรงหน้าต้องการเก็บงำอะไรไว้ในใจจริง ย่อมไม่เผยแม้เศษเสี้ยวให้ใครรู้ เอทวาลคล้ายกับห้วงทะเลสีดำมืดลึกสุดหยั่งลงถึง...โลกภายนอกจะกลมจะแบนก็ช่างหัวมันเถอะ...
โลกในจิตใจของท่านต่างหากเอทวาล..มันจะพังทลายลงมาเมื่อไหร่...และขึ้นอยู่กับอะไร
“เฮ้ ยืนหาอะไรอยู่เรเวน ข้าสั่งให้ไปจองร้านอาหารไม่ใช่เรอะ”
น้ำเสียงที่ปลุกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์แล้วรีบก้าวเท้าเดินไปด้วยอะไรหลายๆอย่างที่สับสนอยู่ในหัว...เจ้าชายแวมไพร์แห่งนอร์แมกัส ควรจะสงสารหรือสมเพชดีที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจโจรสลัดแห่งอสูรเพลิง
ท้องฟ้ายามย่ำค่ำครอบคลุมลงมาโดยไม่ทันให้รู้ตัว เป็นเวลาเดียวกับที่เอาวาลแหวกผ้าม่านสีสดเข้าไปยังห้องพิเษของร้านอาหารใหญ่โตที่ลูกเรือของตนมาเปิดรอเอาไว้ ริมฝีปากบางเหยียดยกเมื่อพบทั้งอาหาร สุราและหญิงสาวแรกรุ่นนุ่งน้อยห่มน้อยอีกกลุ่มใหญ่
“เวรแล้ว” เรเวนที่มุดลอดผ้าม่านเข้ามาเห็นถึงกับอุทานแล้วพึมพำเสียงแผ่ว “อดเหล้าเย็นอีกหลายวันแน่เลยว่ะ” เอทวาลหลุดเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเบือนนัยน์ตาคมดุหันมามองลูกเรือหนุ่ม
“อย่าบ่นน่า...เงินมันมีไว้ให้ใช้ จริงไหม...” ถ้อยหลังหยอดอ้อนเสียงหวานหันไปเชยคางมนของหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นแล้วรวบรัดเข้าโอบกอด
เสียงเพลงดังคึกครื้นแทบจะมองไม่เห็นซอกมุมที่เงียบเหงา...เอทวาลเดินตามหญิงสาวไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังอยู่ข้างหูชวนให้เคลิบเคลิ้ม เรเวนมองภาพเบื้องหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่น...เขามองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลงไปยิ่งกว่าหน้ากากภายนอกของกัปตัน...
หากเอทวาลยามนิ่งเงียบเย็นยะเยือกเรียกว่าน่าหวาดกลัวแล้ว เอทวาลที่เสแสร้งแกล้งปั้นใบหน้าแย้มยิ้มนั้น น่าพรันพรึงยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า
สองเท้าเปล่าเปลือยย่ำลงกับเม็ดทรายละเอียด ละอองคลื่นเย็นๆสาดซัดกระทบผิวขาวซีด คมดาบที่ยังทิ้งคราบเลือดแดงฉานปักลงกับพื้นทรายอ่อนยวบพยายามพยุงร่างเล็กๆที่สั่นสะท้านให้ก้าวขาเดินต่อไปอย่างหมดสิ้นความหวัง
ราวกับความแตกร้าวมันเกิดขึ้นอยู่ในอก รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นและมากขึ้นทุกย่างก้าว อัลฟาเรลไม่เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน สุดสายตาเป็นเพียงพื้นทรายที่ทอดยาว ด้านข้างเป็นทะเลเวิ้งว้างมืดครึ้ม
สองหูที่อื้ออึงไม่อยากสดับฟังเสียงใดๆ ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาของตัวเอง น้ำตาที่รินไหลอยู่เงียบๆ...หาใช่เพราะความเจ็บแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่เริ่มปะติดปะต่อกันอยู่ในห้วงความคิด...
แม้ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่เขาก็ต้องยอมรับ...ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เคาน์เตสมาเอสโตรแห่งนอร์เมกัสผู้เป็นแม่...ไม่เคยมองเห็นเขาอยู่ในสายตาแม้เพียงเศษเสี้ยว
ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า...เขาไม่ใช่ลูกชายที่พ่อรัก
อัลฟาเรลกัดริมฝีปากถอนสะอื้นอย่างขื่นขม...แม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ว่าพ่อเกลียดเขา รู้ว่าตัวเองเกลียดผู้เป็นสามี หากแต่สิ่งเดียวที่แม่ไม่เคยรู้...
พ่อก็ไม่เคยรักแม่เฉกเช่นเดียวกัน
เจ้าเศษเดนเลือดสกปรกผู้นั้น...เซมิออน เจ้านั่นต่างหาก...ลูกชายของผู้หญิงที่พ่อรัก...ลูกชายของมนุษย์ เจ้าชายผู้แปดเปื้อนที่ตายไปแล้ว...เจ้านั่นตายไปแต่ตัว ไม่ได้นำพาเอาความรักของพ่อให้เจือจางลงไปเลย พ่อยังคงเกลียดเขา ยังคงรักเซมิออน ยังคงเกลียดแม่...และรักผู้หญิงที่ไร้ตัวตนคนนั้นอยู่
ชีวิตที่อยู่คนละซีกโลกกับผู้เป็นพี่ชาย...เซมิออนที่อยู่ตรงกลางโลกอันสว่างไสว ขณะที่เขาต้องจมอยู่กับราตรีกาล ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองแสงตะวันได้ ร่างกายนี้ราวกับจะแห้งเหือดไป...จมลง...จมลง...กับความเจ็บปวดที่ไม่อาจบอกให้ใครรับรู้
จมลงไป...ภายใต้ความเกลียดชัง
“เดินเล่นเป็นเพื่อนไหม”
น้ำเสียงแทะโลมดังคลอเคลียข้างริมหู มือใหญ่หยาบกร้านเอื้อมมาแตะที่บ่า อัลฟาเรลไม่เสียเวลาหันมอง กลิ่นโสมมของมนุษย์มันทำให้เขาอึดอัด ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินมาดักอยู่เบื้องหน้า เอ่ยวาจาเย้าแหย่ โอบกอดไหล่บางอย่างถือวิสาสะพร้อมกับยื่นขวดเหล้าให้
ไม่ว่าใคร...ก็โสโครกไปหมด
อัลฟาเรลกระชับด้ามดาบแน่น โดยไม่พูดจาให้เสียเวลา เด็กหนุ่มกวาดดาบเล่มยาวในแนวนอนปะทะผิวเนื้อตัดร่างกายของคนข้างๆขาดเป็นสองท่อนในพริบตา เลือดสีเข้มพุ่งเป็นสาย เสียงคมดาบฉีกผิวเนื้อดังติดอยู่ในหู เลือดที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้า เจ้าชายแวมไพร์เลียริมฝีปากลิ้มรสเลือดที่ถวิลหาเบาๆ
“เฮ้ย ! ตายแล้ว” เสียงจากเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งไปดูศพของเพื่อน แล้วเบิกตาค้างด้วยความตกใจ มือสั่นเทาชี้ออกมาเบื้องหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด “ป...ปิ...ปิศาจ...”
ปิศาจ...อัลฟาเรลทวนถ้อยคำนั้นซ้ำอยู่ในใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า...ปิศาจน่ะมันพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ปิศาจที่ยื้อแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าไป ไม่ใช่ข้าที่ควรจะถูกเรียกแบบนั้น...เซมิออน เป็นเจ้าไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ฉึก !
ความอบอุ่นที่รับรู้ได้มันหลั่งรินไหลเวียนอยู่ในร่าง นัยน์ตาสีแดงเข้มก้มลงมองแผ่นอกตัวเอง เห็นมีดเล่มยาวราวข้อศอกเสียบทะลุผ่าน...ไร้ความเจ็บปวด หากแต่ทุกข์ทรมาน
หากจะตายได้ด้วยคมมีดนี้ ก็ขอให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้เลย...
นัยน์ตาคู่งามหรี่ปรือลงด้วยสติพร่าเลือน มองเห็นเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกฉีกกระชากออก มือหยาบกร้านลูบไล้อยู่ทั่วร่าง...น่ารังเกียจ โลกใบนี้มันน่ารังกียจ...ทำไมไม่ตายๆไปซะที มนุษย์โสโครก
“ปล่อย...” อัลฟาเรลส่งน้ำเสียงรอดลำคอ น้ำตาหลั่งรินไหลอาบแก้ม ลมหายใจร้อนๆคลอเคลียอยู่บนผิวเนื้อ มันชวนให้นึกถึงสัมผัสรุนแรงของใครบางคนที่เพิ่งพบพาน...เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวคมดุ เย็นเยือกหากแต่ร้อนเร่า ทำให้หลงใหลจนเกือบจะนึกไปเองว่าตนกลายเป็นสมบัติของนัยน์ตาคู่นั้นไปเสียแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมไม่มาช่วยข้าล่ะ...ทำไม ทำไมยังไม่มาช่วยข้าอีก!
อัลฟาเรลไม่อาจรู้ได้ว่าในใจกำลังร่ำร้องหาใคร...หากแต่แสงสีดำที่สาดส่องออกมาอย่างไร้ทิศทางกักขังเขาไว้ในความเงียบงัน เสียงฝีเท้าย่ำผืนน้ำดังสะท้อนโสตประสาท สายลมเย็นยะเยือกที่คุ้นเคยกรีดกราย...ครู่เดียวมือที่ลูบไล้ร่างกายอย่างแทะโลมก็ฉีกขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
สติสุดท้ายที่สั่งให้เจ้าชายเบือนนัยน์ตาขึ้นมอง...ร่างสูงในชุดหนังสีดำ...เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวเข้มคมลึก ซีกหน้าที่อาบด้วยสีเลือดกำลังยืนมองดูสายลมที่พัดฉีกทึ้งร่างกายของมนุษย์ไม่แสดงอาการใดๆราวกับชินชา
ครู่เดียว ร่างสูงนั้นก็ก้มลงมาด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน
“โลกมันกลมจังเลยนะ เจ้าตัวสั้น”
ถูกแล้ว...โลกมันกลม...ไม่ว่าจะก้าวเท้าเดินไปทางใด ข้าก็จะเวียนกลับมาบรรจบพบเจ้าอีกครั้ง
ผ้าคลุมสีเข้มถูกโยนลงมาโอบรอบตัว มือใหญ่แข็งกระด้างดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืนอย่างซวนเซ ยังไม่ทันตั้งหลักได้ เอทวาลก็ปล่อยมือออกก่อนจะควานหาบุหรี่มาจุดสูบ กลิ่นควันฉุนๆนั้นทำเอาเจ้าชายแวมไพร์หน้านิ่วด้วยคามไม่ชอบใจ
“กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แท้ๆ แต่เจ้าเรเวนดันลากข้าออกมาบอกว่าลูกชายข้าจะกลับมาแล้ว พอเอาลูเนดิมาขู่เลยจำยอมนี่ล่ะ”
เอทวาลเอ่ยขึ้นลอยๆไม่มีที่มาที่ไป อัลฟาเรลเงยใบหน้าขึ้นมองคนข้างให้ชัดเจนเป็นครั้งแรก...ใต้แสงจันทรา เห็นเพียงซีกหน้าของดวงตาข้างขวาถูกปิดไว้ด้วยแผ่นหนังสีดำธรรมดา จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นนั้นมันยังมีตราสัญลักษณ์ของอสูรเพลิงติดอยู่
สันกรามคมเข้มกับริมฝีปากบางหยักได้รูปกำลังกัดปลายบุหรี่เล่น สูดลมหายใจลึกก่อนจะพ่นควันออกทางมุมปาก ครู่หนึ่งที่นัยน์ตาสีเขียวจับจ้องไปบนท้องฟ้า แขนข้างขวาก็ยกขึ้นกลางอากาศ อินทรีย์ตัวใหญ่ผงาดปีกกว้างถลาลงมาจากฟากฟ้าสีเข้ม ง้างกรงเล็บจิกลงบนต้นแขนของชายหนุ่มอย่างเคยคุ้น
เอทวาลดึงห่อผ้าที่ผูกติดกับข้อขาของลูเนดิออกมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแล้วตบหลังมันเบาๆ เจ้านกอินทรีย์บินจากไปอีกครั้งในทิศทางที่เรือโจรสลัดอสูรเพลิงเทียบท่าไว้
ความเงียบเข้าครอบคลุมจนน่าอึดอัด...อัลฟาเรลใช้สองมือคว้าชายเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นก่อนที่ร่างกายจะทรุดลง
“มาช่วยข้าใช่หรือเปล่า...” เลือดไหลรินทะลักออกจากปากแผลที่แผ่นอกใบหน้าซีดขาวแลเห็นเส้นเลือดปูดโปนเด่นชัด มือที่เกร็งแน่นจนสั่นสะท้านราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ เอทวาลเพิ่งเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น “เจ้า...มาช่วยข้าใช่ไหม...”
“อืม...ก็ทำนองนั้น”
จบคำ อัลฟาเรลกระตุกรอยยิ้มบางเบาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบ เอทวาลโอบแขนรับร่างบางที่ทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจ เลือดอุ่นๆที่ไหลรินลงมาทำให้โจรสลัดหนุ่มหงายฝ่ามือขึ้นดูรอยเลือดสีแดงฉาน
“อัลฟาเรล...อัลฟาเรล!” ชายหนุ่มเขย่าร่างบางเบาๆ หวังจะให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาร้องโวยวาย แต่ทุกสิ่งกลับนิ่งเงียบ...เอทวาลช้อนร่างบอบช้ำขึ้นแนบอกแล้ววิ่งฝ่าความืดไปยังเรือของเขา
จะทรมานข้าอีกมากแค่ไหน...สูญเสียเซมิออนไปครานั้นข้ายังชดใช้ความผิดบาปได้ไม่หมด...เจ้าจะทำให้ข้าทรมานมากแค่ไหนถึงจะสาแก่ใจ...เจ้าชายแห่งรัตติกาล
[The Romantic Drop] Act.5 - เจ้าชายแห่งรัตติกาล
กว่าที่จะลากเรือลำใหญ่เข้าจอดเทียบท่าเดอิสโมได้ก็เข้าสู่ยามเย็นย่ำคำ แสงแดดแรงเข้มคล้อยไปทางทิศตะวันตกแทบจะจรดกับขอบผืนทะเล
เอทวาลกระชับเสื้อคลุมสีดำตัวยาวให้เข้าที่ ก่อนจะเดินย่ำน้ำทะเลที่สูงท่วมเข่าลากขาขึ้นมายืนอยู่บนชายฝั่ง มองดูเหล่าลูกเรือที่ช่วยกันดึงเชือกเส้นใหญ่ลากลำเรือขึ้นมาแล้วมัดอย่างมั่นคง
นัยน์ตาสีเขียวตวัดมองไปรอบๆ ยังไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัวเล็กที่อยากจะเจอ ใบหน้าคมเข้มถึงกับขมวดมุ่นอย่างฉุนเฉียว...อุตส่าห์ไม่เข้าไปฉุดกระชาก หมายจะให้เดินออกมาเองดีๆแท้ๆ แต่เจ้านั่นกลับไม่ให้ความร่วมมือเลยสักนิด
“เรเวน” เอทวาลหันไปเรียกชายหนุ่มที่ยืนเจรจาอยู่กับเจ้าของท่าเรือ เรเวนหันมาให้สัญญาณรับรู้นิดหนึ่งก่อนจะยัดถุงเงินใส่มือเจ้าของท่าเรือเพื่อเป็นการจบบทสนทนา ฝ่ายนั้นคาดคะเนน้ำหนักเงินในถุงอยู่ครู่ ก่อนจะหย่อนลงกระเป๋าแล้วละตัวออกไป
“บอกว่าต้องเก็บค่าเช่าที่ บ้าจริงๆเลย” เรเวนส่ายหน้าไปมาอย่างขุ่นเคือง
“อย่างกนักเลย เงินเก็บไว้มากๆมันหนักเรือรู้ไหม”
“เพราะงั้นถึงมาละลายเงินบนเกาะนี้เหรอไงกัปตัน ถ้าท่านไม่งกก็เอามาแบ่งข้าซิ หวังว่าคงจะเบิกได้ซินะ เมื่อกี้อุตส่าห์ควักเนื้อตัวเองจ่ายแท้ๆ”
เอทวาลกระตุกรอยยิ้มน้อยๆ แล้วล้วงหยิบถุงเงินจากข้างเอวยัดใส่มือคนตรงหน้า เรเวนทำตาโตแล้วร้องอย่างตกใจ
“ล้อเล่นหรอกน่า กัปตัน”
“เปล่า อันนี้ไม่ได้ให้เว้ย” เอทวาลว่าพลางยัดถุงเงินลงในกระเป๋าเสื้อคลุมของราเวนแล้วถอยตัวออก “ขึ้นฝั่งทั้งทีมันก็ต้องเสพเหล้าเคล้านารี ไปจองร้านอาหารดีๆไว้ เดี๋ยวข้าจะตามไป ขอจัดการเจ้าเตี้ยดื้อด้านที่อยู่ในเรือนั่นก่อน”
“เดี๋ยวซิ! จะเอาเจ้านั่นไปด้วยเหรอ เอทวาล!” ราเวนตะโกนไล่หลังร่างสูงที่โบกมือไปมาก่อนจะวิ่งย่ำน้ำทะเลเลียบชายฝั่งปีนกลับขึ้นไปบนเรืออย่างรวดเร็ว ลูกเรือหนุ่มเบือนใบหน้ากลับมาแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
เอทวาลชะโงกตัวจากกราบเรือลงมามองเห็นราเวนพากลุ่มลูกเรือกว่ายี่สิบคนเดินออกห่างจากท่าเรือไปพอสมควรแล้ว จึงค่อยๆสืบเท้าไปหยุดลงที่หน้าประตูไม้หลังลำเรืออย่างเชื่องช้า มือหยาบกร้านยกขึ้นเคาะประตูบานใหญ่เบาๆเรียกให้คนข้างในรู้สึกตัว
แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว...เอทวาลแนบใบหูเอนพิงประตูไม้แล้วได้ยินเพียงความเงียบสงัดไม่มีแม้แต่เสียงหายใจ ชายหนุ่มตัดสินใจผลักบานประตูเข้าไปโดยแรง สิ่งที่พบเจอตรงหน้านั้นทำเอานัยน์ตาคู่สีเขียวมรกตเบิกค้าง มือข้างหนึ่งกำแน่นกระแทกเข้ากับบานประตูดังปังใหญ่ระบายความโกรธเคือง
หายไปแล้ว...ไอ้เจ้าชายแวมไพร์นั้นหายไป...ทิ้งรอยเลือดกับเสื้อคลุมชื้นๆไว้กลางห้อง
ยังมีแรงเดินอีกเหรอไง
ยังมีแรงจะหายใจอยู่อีก...
เอทวาลเดินออกไปนอกห้อง แล้วทอดสายตามองเลียบชายฝั่ง ขอบทะเลยาวสุดลูกตาแลเห็นจรดเทียบน้ำทะเลโค้งอ้อมเป็นทางยาว ริมฝีปากบางกระตุกมุมยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา ก่อนจะไต่บันไดลงจากเรือ เดินย่ำน้ำขึ้นไปบนหาดทราย
เรเวนที่เดินกลับมายืนรออยู่แถวนั้น ลูกเรือหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนที่เอทวาลกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้มาก รอจนเจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตเดินมาเทียบเคียงบ่า เรเวนไม่เอ่ยถามสาเหตุใดๆให้เสียเวลาด้วยเดาความทั้งหมดได้อยู่แล้ว
“จะไม่กระวนกระวายหน่อยเหรอไงกัปตัน ถ้าท่านเคาน์เตสมาเอสโตรรู้เข้า ท่านโดนบั่นคอแน่”
เอทวาลยิ้มเย็นเยือกไม่ใคร่ใส่ใจ ร่างสูงก้าวเท้ายาวเดินนำหน้าลูกเรือไปแล้วโบกือส่งให้น้อยๆ “หันซ้ายหันขวาก็เจอแต่ทะเลแบบนี้ เจ้าตัวสั้นนั่นจะหนีไปไหนพ้น ปล่อยให้วิ่งไปวิ่งมาเดี๋ยวเหนื่อยก็เลิกไปเอง เจ้าอย่าลืมซิเรเวน...โลกมันกลมนะ”
เรเวนเห็นทีท่าสงบสบายจนน่าระหลาดใจ แล้วพูดอะไรไม่ออก ยอมรับว่าหากคนตรงหน้าต้องการเก็บงำอะไรไว้ในใจจริง ย่อมไม่เผยแม้เศษเสี้ยวให้ใครรู้ เอทวาลคล้ายกับห้วงทะเลสีดำมืดลึกสุดหยั่งลงถึง...โลกภายนอกจะกลมจะแบนก็ช่างหัวมันเถอะ...
โลกในจิตใจของท่านต่างหากเอทวาล..มันจะพังทลายลงมาเมื่อไหร่...และขึ้นอยู่กับอะไร
“เฮ้ ยืนหาอะไรอยู่เรเวน ข้าสั่งให้ไปจองร้านอาหารไม่ใช่เรอะ”
น้ำเสียงที่ปลุกชายหนุ่มตื่นจากภวังค์แล้วรีบก้าวเท้าเดินไปด้วยอะไรหลายๆอย่างที่สับสนอยู่ในหัว...เจ้าชายแวมไพร์แห่งนอร์แมกัส ควรจะสงสารหรือสมเพชดีที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจโจรสลัดแห่งอสูรเพลิง
ท้องฟ้ายามย่ำค่ำครอบคลุมลงมาโดยไม่ทันให้รู้ตัว เป็นเวลาเดียวกับที่เอาวาลแหวกผ้าม่านสีสดเข้าไปยังห้องพิเษของร้านอาหารใหญ่โตที่ลูกเรือของตนมาเปิดรอเอาไว้ ริมฝีปากบางเหยียดยกเมื่อพบทั้งอาหาร สุราและหญิงสาวแรกรุ่นนุ่งน้อยห่มน้อยอีกกลุ่มใหญ่
“เวรแล้ว” เรเวนที่มุดลอดผ้าม่านเข้ามาเห็นถึงกับอุทานแล้วพึมพำเสียงแผ่ว “อดเหล้าเย็นอีกหลายวันแน่เลยว่ะ” เอทวาลหลุดเสียงหัวเราะในลำคอแล้วเบือนนัยน์ตาคมดุหันมามองลูกเรือหนุ่ม
“อย่าบ่นน่า...เงินมันมีไว้ให้ใช้ จริงไหม...” ถ้อยหลังหยอดอ้อนเสียงหวานหันไปเชยคางมนของหญิงสาวรูปร่างอ้อนแอ้นแล้วรวบรัดเข้าโอบกอด
เสียงเพลงดังคึกครื้นแทบจะมองไม่เห็นซอกมุมที่เงียบเหงา...เอทวาลเดินตามหญิงสาวไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่าย เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังอยู่ข้างหูชวนให้เคลิบเคลิ้ม เรเวนมองภาพเบื้องหน้าแล้วขมวดคิ้วมุ่น...เขามองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ลึกลงไปยิ่งกว่าหน้ากากภายนอกของกัปตัน...
หากเอทวาลยามนิ่งเงียบเย็นยะเยือกเรียกว่าน่าหวาดกลัวแล้ว เอทวาลที่เสแสร้งแกล้งปั้นใบหน้าแย้มยิ้มนั้น น่าพรันพรึงยิ่งกว่าหลายร้อยเท่า
สองเท้าเปล่าเปลือยย่ำลงกับเม็ดทรายละเอียด ละอองคลื่นเย็นๆสาดซัดกระทบผิวขาวซีด คมดาบที่ยังทิ้งคราบเลือดแดงฉานปักลงกับพื้นทรายอ่อนยวบพยายามพยุงร่างเล็กๆที่สั่นสะท้านให้ก้าวขาเดินต่อไปอย่างหมดสิ้นความหวัง
ราวกับความแตกร้าวมันเกิดขึ้นอยู่ในอก รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นและมากขึ้นทุกย่างก้าว อัลฟาเรลไม่เหลียวหลังกลับไปมอง ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเองเดินมาไกลแค่ไหน สุดสายตาเป็นเพียงพื้นทรายที่ทอดยาว ด้านข้างเป็นทะเลเวิ้งว้างมืดครึ้ม
สองหูที่อื้ออึงไม่อยากสดับฟังเสียงใดๆ ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นแผ่วเบาของตัวเอง น้ำตาที่รินไหลอยู่เงียบๆ...หาใช่เพราะความเจ็บแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเรื่องราวที่เริ่มปะติดปะต่อกันอยู่ในห้วงความคิด...
แม้ไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นความจริง แต่เขาก็ต้องยอมรับ...ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เคาน์เตสมาเอสโตรแห่งนอร์เมกัสผู้เป็นแม่...ไม่เคยมองเห็นเขาอยู่ในสายตาแม้เพียงเศษเสี้ยว
ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่า...เขาไม่ใช่ลูกชายที่พ่อรัก
อัลฟาเรลกัดริมฝีปากถอนสะอื้นอย่างขื่นขม...แม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ว่าพ่อเกลียดเขา รู้ว่าตัวเองเกลียดผู้เป็นสามี หากแต่สิ่งเดียวที่แม่ไม่เคยรู้...
พ่อก็ไม่เคยรักแม่เฉกเช่นเดียวกัน
เจ้าเศษเดนเลือดสกปรกผู้นั้น...เซมิออน เจ้านั่นต่างหาก...ลูกชายของผู้หญิงที่พ่อรัก...ลูกชายของมนุษย์ เจ้าชายผู้แปดเปื้อนที่ตายไปแล้ว...เจ้านั่นตายไปแต่ตัว ไม่ได้นำพาเอาความรักของพ่อให้เจือจางลงไปเลย พ่อยังคงเกลียดเขา ยังคงรักเซมิออน ยังคงเกลียดแม่...และรักผู้หญิงที่ไร้ตัวตนคนนั้นอยู่
ชีวิตที่อยู่คนละซีกโลกกับผู้เป็นพี่ชาย...เซมิออนที่อยู่ตรงกลางโลกอันสว่างไสว ขณะที่เขาต้องจมอยู่กับราตรีกาล ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองแสงตะวันได้ ร่างกายนี้ราวกับจะแห้งเหือดไป...จมลง...จมลง...กับความเจ็บปวดที่ไม่อาจบอกให้ใครรับรู้
จมลงไป...ภายใต้ความเกลียดชัง
“เดินเล่นเป็นเพื่อนไหม”
น้ำเสียงแทะโลมดังคลอเคลียข้างริมหู มือใหญ่หยาบกร้านเอื้อมมาแตะที่บ่า อัลฟาเรลไม่เสียเวลาหันมอง กลิ่นโสมมของมนุษย์มันทำให้เขาอึดอัด ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่เดินมาดักอยู่เบื้องหน้า เอ่ยวาจาเย้าแหย่ โอบกอดไหล่บางอย่างถือวิสาสะพร้อมกับยื่นขวดเหล้าให้
ไม่ว่าใคร...ก็โสโครกไปหมด
อัลฟาเรลกระชับด้ามดาบแน่น โดยไม่พูดจาให้เสียเวลา เด็กหนุ่มกวาดดาบเล่มยาวในแนวนอนปะทะผิวเนื้อตัดร่างกายของคนข้างๆขาดเป็นสองท่อนในพริบตา เลือดสีเข้มพุ่งเป็นสาย เสียงคมดาบฉีกผิวเนื้อดังติดอยู่ในหู เลือดที่กระเซ็นเปรอะเปื้อนใบหน้า เจ้าชายแวมไพร์เลียริมฝีปากลิ้มรสเลือดที่ถวิลหาเบาๆ
“เฮ้ย ! ตายแล้ว” เสียงจากเจ้าหนุ่มคนหนึ่งที่วิ่งไปดูศพของเพื่อน แล้วเบิกตาค้างด้วยความตกใจ มือสั่นเทาชี้ออกมาเบื้องหน้า แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด “ป...ปิ...ปิศาจ...”
ปิศาจ...อัลฟาเรลทวนถ้อยคำนั้นซ้ำอยู่ในใจ ครั้งแล้วครั้งเล่า...ปิศาจน่ะมันพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ปิศาจที่ยื้อแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากข้าไป ไม่ใช่ข้าที่ควรจะถูกเรียกแบบนั้น...เซมิออน เป็นเจ้าไม่ใช่หรือไง ที่ทำให้ข้าตกอยู่ในสภาพแบบนี้
ฉึก !
ความอบอุ่นที่รับรู้ได้มันหลั่งรินไหลเวียนอยู่ในร่าง นัยน์ตาสีแดงเข้มก้มลงมองแผ่นอกตัวเอง เห็นมีดเล่มยาวราวข้อศอกเสียบทะลุผ่าน...ไร้ความเจ็บปวด หากแต่ทุกข์ทรมาน
หากจะตายได้ด้วยคมมีดนี้ ก็ขอให้ตายไปเสียเดี๋ยวนี้เลย...
นัยน์ตาคู่งามหรี่ปรือลงด้วยสติพร่าเลือน มองเห็นเสื้อผ้าของตัวเองที่ถูกฉีกกระชากออก มือหยาบกร้านลูบไล้อยู่ทั่วร่าง...น่ารังเกียจ โลกใบนี้มันน่ารังกียจ...ทำไมไม่ตายๆไปซะที มนุษย์โสโครก
“ปล่อย...” อัลฟาเรลส่งน้ำเสียงรอดลำคอ น้ำตาหลั่งรินไหลอาบแก้ม ลมหายใจร้อนๆคลอเคลียอยู่บนผิวเนื้อ มันชวนให้นึกถึงสัมผัสรุนแรงของใครบางคนที่เพิ่งพบพาน...เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวคมดุ เย็นเยือกหากแต่ร้อนเร่า ทำให้หลงใหลจนเกือบจะนึกไปเองว่าตนกลายเป็นสมบัติของนัยน์ตาคู่นั้นไปเสียแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมไม่มาช่วยข้าล่ะ...ทำไม ทำไมยังไม่มาช่วยข้าอีก!
อัลฟาเรลไม่อาจรู้ได้ว่าในใจกำลังร่ำร้องหาใคร...หากแต่แสงสีดำที่สาดส่องออกมาอย่างไร้ทิศทางกักขังเขาไว้ในความเงียบงัน เสียงฝีเท้าย่ำผืนน้ำดังสะท้อนโสตประสาท สายลมเย็นยะเยือกที่คุ้นเคยกรีดกราย...ครู่เดียวมือที่ลูบไล้ร่างกายอย่างแทะโลมก็ฉีกขาดสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
สติสุดท้ายที่สั่งให้เจ้าชายเบือนนัยน์ตาขึ้นมอง...ร่างสูงในชุดหนังสีดำ...เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวเข้มคมลึก ซีกหน้าที่อาบด้วยสีเลือดกำลังยืนมองดูสายลมที่พัดฉีกทึ้งร่างกายของมนุษย์ไม่แสดงอาการใดๆราวกับชินชา
ครู่เดียว ร่างสูงนั้นก็ก้มลงมาด้วยสีหน้าที่ไม่แปรเปลี่ยน
“โลกมันกลมจังเลยนะ เจ้าตัวสั้น”
ถูกแล้ว...โลกมันกลม...ไม่ว่าจะก้าวเท้าเดินไปทางใด ข้าก็จะเวียนกลับมาบรรจบพบเจ้าอีกครั้ง
ผ้าคลุมสีเข้มถูกโยนลงมาโอบรอบตัว มือใหญ่แข็งกระด้างดึงแขนเขาให้ลุกขึ้นยืนอย่างซวนเซ ยังไม่ทันตั้งหลักได้ เอทวาลก็ปล่อยมือออกก่อนจะควานหาบุหรี่มาจุดสูบ กลิ่นควันฉุนๆนั้นทำเอาเจ้าชายแวมไพร์หน้านิ่วด้วยคามไม่ชอบใจ
“กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แท้ๆ แต่เจ้าเรเวนดันลากข้าออกมาบอกว่าลูกชายข้าจะกลับมาแล้ว พอเอาลูเนดิมาขู่เลยจำยอมนี่ล่ะ”
เอทวาลเอ่ยขึ้นลอยๆไม่มีที่มาที่ไป อัลฟาเรลเงยใบหน้าขึ้นมองคนข้างให้ชัดเจนเป็นครั้งแรก...ใต้แสงจันทรา เห็นเพียงซีกหน้าของดวงตาข้างขวาถูกปิดไว้ด้วยแผ่นหนังสีดำธรรมดา จำได้ว่าครั้งแรกที่เห็นนั้นมันยังมีตราสัญลักษณ์ของอสูรเพลิงติดอยู่
สันกรามคมเข้มกับริมฝีปากบางหยักได้รูปกำลังกัดปลายบุหรี่เล่น สูดลมหายใจลึกก่อนจะพ่นควันออกทางมุมปาก ครู่หนึ่งที่นัยน์ตาสีเขียวจับจ้องไปบนท้องฟ้า แขนข้างขวาก็ยกขึ้นกลางอากาศ อินทรีย์ตัวใหญ่ผงาดปีกกว้างถลาลงมาจากฟากฟ้าสีเข้ม ง้างกรงเล็บจิกลงบนต้นแขนของชายหนุ่มอย่างเคยคุ้น
เอทวาลดึงห่อผ้าที่ผูกติดกับข้อขาของลูเนดิออกมาเก็บใส่กระเป๋าเสื้อแล้วตบหลังมันเบาๆ เจ้านกอินทรีย์บินจากไปอีกครั้งในทิศทางที่เรือโจรสลัดอสูรเพลิงเทียบท่าไว้
ความเงียบเข้าครอบคลุมจนน่าอึดอัด...อัลฟาเรลใช้สองมือคว้าชายเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่นก่อนที่ร่างกายจะทรุดลง
“มาช่วยข้าใช่หรือเปล่า...” เลือดไหลรินทะลักออกจากปากแผลที่แผ่นอกใบหน้าซีดขาวแลเห็นเส้นเลือดปูดโปนเด่นชัด มือที่เกร็งแน่นจนสั่นสะท้านราวกับกำลังขาดอากาศหายใจ เอทวาลเพิ่งเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกตินั้น “เจ้า...มาช่วยข้าใช่ไหม...”
“อืม...ก็ทำนองนั้น”
จบคำ อัลฟาเรลกระตุกรอยยิ้มบางเบาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบ เอทวาลโอบแขนรับร่างบางที่ทรุดลงกับพื้นด้วยความตกใจ เลือดอุ่นๆที่ไหลรินลงมาทำให้โจรสลัดหนุ่มหงายฝ่ามือขึ้นดูรอยเลือดสีแดงฉาน
“อัลฟาเรล...อัลฟาเรล!” ชายหนุ่มเขย่าร่างบางเบาๆ หวังจะให้เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาร้องโวยวาย แต่ทุกสิ่งกลับนิ่งเงียบ...เอทวาลช้อนร่างบอบช้ำขึ้นแนบอกแล้ววิ่งฝ่าความืดไปยังเรือของเขา
จะทรมานข้าอีกมากแค่ไหน...สูญเสียเซมิออนไปครานั้นข้ายังชดใช้ความผิดบาปได้ไม่หมด...เจ้าจะทำให้ข้าทรมานมากแค่ไหนถึงจะสาแก่ใจ...เจ้าชายแห่งรัตติกาล
ความคิดเห็น