คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [ The Romantic Drop ] Act.3 - โลหิตกรีดกราย - III
เอทวาลพ่นควันกลิ่นฉุนๆออกจากปากเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะโยนมวนบุหรี่ลงกับท้องทะเลด้านล่าง ปล่อยให้คลื่นน้ำพัดพามันลอยหายไป นัยน์ตาสีเขียวมองตามมันอย่างเลื่อนลอย...กับสิ่งที่ไม่อาจไขว่คว้ากลับมาได้แม้จะพยายามมากมายสักแค่ไหน...เขาควรจะทำอย่างไร
มองแต่วันพรุ่งนี้ โดยไม่หวนย้อนกลับไปอดีตอีก หากมันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตต้องทุกข์ทน ก็ไม่ควรจะเก็บมันไว้...แลกกับการลืมเลือนเรื่องราวเหล่านั้นไปตลอดกาล
เอทวาลเบือนใบหน้าหันหนีจากท้องฟ้าสีคราม ได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากเหล่าลูกเรือและคนงานที่กระจายตัวกันอยู่ทั่วใต้ท้องเรือ ใหน้าคมเข้มหันมองบานประตูไม้ซึ่งกางกั้นเขากับเจ้าชายแวมไพร์ตัวเล็กๆนั้นไว้ มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไปสัมผัสบานประตูแล้วตัดสินใจละมือออก
โจรสลัดหนุ่มหมุนตัวกลับจากหน้าประตู เดินตามพื้นที่ปูด้วยไม้ขัดมันเลาะตามกราบเรือไปจนไปถึงส่วนกลาง นัยน์ตาสีเขียวเข้มขมวดมุ่นมองฝ่าเปลวแดดรุนแรง ก่อนจะโหนตัวปีนขึ้นเหยียบตาข่างข้างเสากระโดงเรืออย่างคล่องแคล่ว
ใช้เวลาพักเดียวร่างสูงก็ขึ้นมาเหยียบยืนอยู่บนรังกายอดเสากระโดง เรเวน ลูกเรือคนสนิทที่กำลังแนบนัยน์ลงกับกล้องส่องทางไกลไม่แม้แต่จะเบือนใบหน้ามองกัปตันหนุ่ม แต่กลับเอ่ยขึ้นด้วยสัญชาตญาณ
“ไปทำอะไรมา ข้าได้กลิ่นเลือดที่ไม่ใช่ของท่านคนเดียวนะ”
“ยุ่ง” เอทวาลตอบกลับสั้นๆ ก่อนจะคว้ากล้องส่องทางไกลในมือของเรเวนมาจ่อลงกับนัยน์ตาข้างที่ไม่ได้คาดผืนผ้าปิด เอทวาลละลูกตาออก แล้วขมวดคิ้วมองออกไปไกลสุดสายตา เห็นเพียงผืนฟ้าสีครามและเปลวแดดรุนแรง “ลูกชายข้าไปไหนแล้วละเนี่ย”
“ก็มันมีพ่อแบบท่านนี่นะ เลยบินหนีไปหาพ่อใหม่แล้วล่ะมั้ง” เรเวนส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะคว้ากล้องส่องทางไกลมาแนบนัยน์ตา เอทวาลขมวดคิ้วยุ่ง สองมือวางลงกับขอบกั้นแล้วตะโกนสุดเสียงใส่ผืนทะเลเวิ้งว้าง
“ลูเนดิ ! อยู่ไหนลูก !”
เรเวนถึงกับกระตุกรอยยิ้มอย่างขบขัน แต่แล้วนัยน์ตาสีเข้มที่แนบอยู่กับลำกล้องตัวยาวก็สะดุดสายตากับนกขนาดใหญ่ที่บินอยู่ไกลลิบเห็นเป็นเพียงเงาสีดำ พักหนึ่งนกตัวใหญ่นั้นก็บินเข้ามาในระยะสายตาธรรมดามองเห็น เรเวนลดกล้องลงแล้วหันมองใบหน้าโจรสลัดหนุ่มที่ยืนยิ้มเจื่อนอย่างเครียดๆ
“มาแบบนั้นโกรธอยู่แหงๆเลย” เรเวนพึมพำเสียงแผ่ว ยังไม่ทันขาดคำดี เจ้านกอินทรีตัวใหญ่สีน้ำตาลไหม้ก็กรีดเสียงร้องกังวาลบินโฉบลงมาใส่ร่างสูงทั้งสองที่ยืนอยู่ในเป้าสายตา เจ้านกใหญ่ บินถลาเลยไปข้างหลังแล้วโฉบกลับมาอีก เอทวาลยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงเรียก
“ลูเนดิ...ลูกรัก เย็นไว้” กรงเล็บแหลมคมจึกลงกับผิวเนื้อบริเวณต้นแขน เจ้าอินทรีสีน้ำตาลไหม้ส่งเสียงร้องราวกับจะต่อว่า ปีกใหญ่โตผงาดสะบัดพรึบพรั่บ เอทวาลจ่อนิ้วชี้ลงกับริมฝีปากตัวเองแล้วส่งเสียงรอดไรฟันเพื่อบอกให้มันเงียบ
นัยน์ตาสีดำคมปลาบมองหน้าผู้เป็นนายอย่างขุ่นเคือง ประสาทรับกลิ่นที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นแปลกปลอมของคนอื่นติดอยู่บนร่างกายสูงใหญ่นั้น จงอยปากแหลมจิกลงกับไหล่กว้างอย่างรุนแรง จะเอทวาลจ้องยกแขนออกห่าง
“เฮ้ๆ ! ลูเนดิ อย่าโกรธเลยนะ พอแล้ว!” ชายหนุ่มยกแขนข้างหนึ่งขึ้นกันใบหน้าตัวเองจากจงอยปากแหลมๆ ผ่านไปครู่ เจ้านกอินทรีตัวใหญ่ก็สงบลง มันโผตัวลงไปเกาะที่ราวกั้นด้านหน้า เอทวาลยื่นมือออกไปลูบขนแข็งๆสีน้ำตาลไหม้อย่างเอ็นดู
“แบบนั้นเรียกหวงหรือหึงกันนะ กัปตัน” เรเวนกระตุกรอยยิ้มบางๆ วางกล้องส่องทางไกลลงกับขาตั้ง ก่อนจะล้วงมือลงหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบ แล้วก้มหน้าลงมองผ่านเลนส์กล้องอีกครั้ง “โอ๊ะ...ท่าเรือหรือไงนั่น”
“ไหน” เอทวาลผลักร่างสูงออก แล้วก้มลงจับจ้องผ่านเลนส์กล้องที่ตั้งเยื้องหันไปทางขวา ชายหนุ่มตีสีหน้าครุ่นคิด ไม่ต้องรอให้เอ่ยถามแต่อย่างใด เรเวนก็เอ่ยขึ้นอย่างรู้หน้าที่
“เดอิสโมครับกัปตัน ปรกติเวลาเราล่องเรือเข้าอูรานอสมักจะไม่ค่อยสังเกตเห็น สงสัยลมทิศตะวันตกจะแรงไปเสียหน่อยนะ เลยเบี่ยงมาไกลถึงนี่ แต่ก็ไม่ได้ถือว่าออกนอกทิศทางหรอก”
“เหรอ...งั้นก็...โอ๊ย! ล...ลูเนดิ” เอทวาลปัดป่ายมือกันปีกใหญ่ที่สะบัดตีใส่ใบหน้าอย่างโกรธเคือง เจ้าอินทรีสีน้ำตาลส่งเสียงตะโกนร้องเพราะถูกละเลยความสนใจ “ลูเนดิ ลูกรัก มานี่มา...อย่าโกรธเลยนะ” เอทวาลยื่นมือออกไปลูกเส้นขนแข็งๆอย่างแผ่วเบา ก่อนจะปลดแผ่นหนังที่มัดติดกับขาคู่แข็งแรงของลูเนดิขึ้นมาเปิดออก
“จะทำอะไรอีกน่ะ เอทวาลพักนี้ใช้งานลูกชายหนักไปแล้วนะ บินจากนอร์เมกัสเอาสาสน์ของท่านเคาน์เตสมาส่งให้ถึงนี่ก็สุดทนแล้ว” เรเวนล้วงมือลงหยิบปากกาขนนกส่งให้คนข้างๆ แล้วหันมองดูโจรสลัดหนุ่มที่ก้มหน้าลงเขียนข้อความลงบนแผ่นหนัง
“ใช้เวลาแค่ไหนถ้าข้าจะสั่งให้เทียบท่าเดอิสโม” เอทวาลเอ่ยถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เรเวนเลิกคิ้วขึ้นน้อยแล้วหรี่นัยน์ตามองคาดคะแนนทิศทางลมอย่างชำนาญ
“สักสี่ชั่วโมงได้มั้ง อย่าบอกนะว่าจะสั่ง”
“ก็ประมาณนั้น” เอทวาลตอบปัดๆไม่สนใจแม้ว่าลูกเรือคนสนิทจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ชายหนุ่มม้วนแผ่นหนังลงกับขาของลูเนดิ แล้วตบเบาๆที่แผ่นหลังของมัน “เอาไปให้ไอ้หนูที่ชื่อโซล หรือซาร์เซส อย่าให้ท่านเคาน์เตสเห็นล่ะ เข้าใจนะ”
เจ้านกอินทรีกรีดนัยน์ตาคมกริบมองใบหน้าของชายหนุ่มเล็กน้อย แล้วผงาดปีกกระพือขึ้นสู่ท้องฟ้า พักเดียวก็บินหายลับไปจากสายตา เอทวาลถอนหายใจเสียงหนัก แล้วลดปลายเท้าเหยียบลงบนตาข่ายที่ขึงอยู่ด้านขางเสากระโดงเรือเพื่อปีนลงจากหอสังเกตการณ์
“เดี๋ยว กัปตัน” เรเวน ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นแล้วก้มหน้าลงมองร่างสูงที่หยุดชะงักค้าง นัยน์ตาสีเขียวเงยหน้าขึ้นมามองสบราวกับจะตั้งคำถาม “ทำไมไม่รีบไปที่อูรานอสตามคำสั่งของท่านเคาน์เตสล่ะ เด็กคนนั้นพาติดตัวไปไหนมาไหนไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่เลยนะ”
เอทวาลกระตุกรอยยิ้มกริ่ม แล้วหลิ่วนัยน์ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์ “น่านน้ำแห่งอูรานอสสำหรับเจ้าหนูนั่นน่ะ มีแต่ทางเข้าที่ไร้ทางออก จะช้าเร็วก็ต้องตาย ข้าแค่อยากจะยืดเวลาไว้สักนิดเท่านั้นเอง”
เรเวนถอนหายใจเฮือก ก้มมองตามร่างสูงโปร่งที่ไต่ลงไปเหยียบยืนบนพื้นแล้วสั่งการให้คนงานใต้ท้องเรือเบนฝีพายเข้าหาฝั่ง ความกลัวมันไหลแล่นเข้ามาในจิตใต้สำนึก...เอทวาลไม่ใช่คนที่ตัดสินใจอะไรชุ่ยๆอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นคนยึดติดกับตัวเองจนไม่ฟังคำคนอื่น
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า คือการกระทำ...ที่จะนำมาก่อนความยั้งคิดเสมอ กลิ่นเลือดแปลกประหลาดที่ยังติดอยู่แทบปลายจมูก...สิ่งที่เอทวาลทำอยู่คืออะไร ยืดเวลาตายของคนอื่น หรือยืดเวลาอันแสนเจ็บปวดของตัวเอง
แสงสว่างแห่งปัจจุบันกาล...ปลดเปลื้องพันธะในอดีต จดจ่ออยู่กับลมหายในปัจจุบัน ลืมเลือนเรื่องราวที่เจ็บช้ำ
น่าเสียดาย...ที่ความตายพรากพาทุกสิ่งนั้นไป
“ปลดผ้าใบลงด้วย เราจะขึ้นฝั่งในฐานะเรือขนส่งสินค้า ไม่ใช่อสูรเพลิง” เอทวาลชี้ขึ้นไปยังผ้าใบสีดำสนิทรูปหัวกระโหลกท่ามกลางเปลวเพลิงสีส้มเข้มที่ลุกโชน คนงานที่ตะโกนรับคำแล้วรีบปีนขึ้นไปทำตามคำสั่งทันที นัยน์ตาสีเขียวเงยขึ้นมองผ้าใบผืนใหม่อยู่ครู่ อย่างไม่ชอบใจนัก
อสูรเพลิงเป็นชื่อกลุ่มโจรสลัดที่ทางการหมายหัวไว้ด้วยค่าตัวที่สูงลิบ จนนักล่าทั้งหลายกระหายจะพบเจอตัวเป็นๆ หากแต่คนที่ได้พบนั้น...ไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้แม้แต่รายเดียว
ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมองยอดเสากระโดงเรือที่คนงานทิ้งผืนผ้าใบอีกผืนลงขึง แรงลมที่โบกพัดผ้าผืนใหญ่ปลิวสยายจนลูกเรือหนุ่มต้องรีบดึงเชือกเส้นใหญ่ยึดไว้ไม่ให้ตัวเองปลิวไปตาม เอทวาลเบือนใบหน้ากลับก่อนจะสาวเท้าไปที่ห้องใหญ่ท้ายเรือ
ชายหนุ่มผลักประตูเปิดเข้าไปไม่แม้แต่จะชะงักมองร่างเล็กๆที่นั่งอยู่บนพื้นให้เสียเวลา เอทวาลสาวเท้ายาวๆก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
อัลฟาเรลเบือนใบหน้าหันมามองนิดหนึ่ง แล้วใช้ชายผ้าคลุมสีดำเช็ดรอยเลือดที่ด้ามดาบออกอย่างตั้งใจ มองจากตรงนี้ เขาเห็นได้เพียงแผ่นหลังเปลือยเปล่าขาวเนียนเปื้อนเลือด และฝ่าเท้าสองข้างที่ขาวซีด ใบหน้าอ่อนเยาว์ก้มลงใต้เส้นผมสีอ่อนคล้ายจะปิดซ่อนอะไรหลายๆอย่าง ครู่หนึ่งน้ำเสียงแผ่วเบาก็ดังรอดริมฝีปากบางแดงช้ำ
“ข้า...เคยแต่เช็ดเลือดของคนอื่นออกจากดาบตัวเอง ไม่เคยเช็ดเลือดตัวเองออกจากดาบตัวเองสักครั้ง” อัลฟาเรลวางดาบเล่มเดิมลงข้างตัว มือบางสองข้างกำแน่นวางอยู่บนตักเปลือยเปล่า
เอทวาลกระตุกรอยยิ้มยั่วเย้า “แล้วเป็นยังไง...ไอ้ความรู้สึกเวลาเช็ดเลือดตัวเองออกจากดาบตัวเองน่ะ” นัยน์ตาสีเขียวเข้มจับจ้องแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยบาดแผลลึก เลือดสีแดงเข้มตัดกับผิวขาวละเอียดบอบบาง มองดูแล้ว อยากจะเอื้อมมือออกไปสัมผัสเบาๆ
ใบหน้าหวานที่หันกลับมาด้านข้าง เรียวจมูกโด่งสันแดงระเรื่อ ริมฝีปากบางแสยะออกจนเห็นเขี้ยวแล้วพ่นคำสบถด้วยน้ำเสียงรอดไรฟัน
“ข้าจะฆ่าเจ้าแน่ๆ ไอ้สัตว์นรก”
เอทวาลหัวเราะลงคำคออย่างไม่ใส่ใจจะตีความหมายในคำพูดนั้น ร่างสูงลดตัวลงนั่งกับพื้น ยื่นมือออกไปแตะที่แผ่นหลังบอบบางเบาๆ นัยน์ตาสีแดงเข้มตวัดกลับมามองทันที ร่างเล็กถลาตัวออกไป แต่ไม่ทัน เพราะมือใหญ่คว้าข้อแขนของเขาไว้แล้วเหวี่ยงลงกับพื้น
อัลฟาเรลกัดริมฝีปากแน่นสะกดกลั้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บจากแรงกระแทก หยาดน้ำตาที่ควรจะแห้งเหือดไปแล้วกลับเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อาจหยุดยั้ง นัยน์ตาคู่แข็งกร้าวไหวระริก ริมฝีปากที่คลายออกแล้วขยับเสียงพูดแผ่วเบาสั่นเครือ
“ฆ่าซิ...ถ้าต้องโดนเหยียบย่ำมากไปกว่านี้ ฆ่าข้าให้ตายตอนนี้ดีกว่า ไม่ต้องไปถึงอูรานอสหรอก” มือบางที่กำแน่นผ่อนแรงลงแม้ว่ามือใหญ่จะยังคงรัดแน่นจนรู้สึกปวดร้าว นัยน์ตาสีเข้มหลุบลงต่ำ เอทวาลผลักร่างของเด็กหนุ่มออก แล้วคว้าเส้นผมสีทองขึ้นบังคับให้เงยมองสบตา
“อูรานอสคือดินแดงแห่งสรวงสวรรค์สีดำ น่านน้ำแห่งอูรานอส คือแม่น้ำของสวรรค์ เคาน์เตสมาเอสโตรแม่ของเจ้าอยากให้ข้าทิ้งศพเจ้าไว้ที่นั่น เพื่อหวังให้สายน้ำศักดิ์สิทธิ์พาวิญญาณเจ้าไปสู่ดินแดนสุขาวดี ไม่ต้องกลัวหรอกนะไอ้หนู จะแวมไพร์ มนุษย์ หรือปีศาจ พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่เลือกที่รักมักที่ชังทั้งนั้นแหล่ะ”
จบคำเจ้าชายแวมไพร์ก็สะบัดใบหน้าหันหนีจากคนพูดแล้วตะโกนสุดเสียง
“ไอ้เรื่องพระเจ้านรกหรือสวรรค์อะไรนั่นข้าไม่สนหรอก จะที่ไหนก็ช่าง ฆ่าข้าซะที! ปีศาจชั่วๆอย่าเจ้า พระเจ้าก็ไม่เอาไว้เหมือนกัน!”
เอทวาลตะปบมือปิดริมฝีปากบางแน่น มืออีกข้างคว้าลำคอเล็กหวี่ยงลงกระแทกกับขอบเตียง นัยน์ตาสีแดงเข้มเบิกกว้าง สัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองในดวงตาของคนตรงหน้าอย่างเด่นชัด กลิ่นและรสของเลือดไหลรินอยู่ในลำคอที่รู้สึกปวดร้าว
“ทั้งๆที่ข้าพยายามจะช่วยชีวิตเจ้าแท้ๆยังมีหน้ามาพูดแบบนี้อีกเหรอ” เอทวาลก้มใบหน้าลงจับจ้องลึกลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์ “ก่อนที่เจ้าจะเหลือเพียงวิญญาณที่ถามหาสรวงสวรรค์อย่างสิ้นหวัง ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความสุขซะก่อนดีไหม” โจรสลัดหนุ่มแตะปลายคางเรียวมนดันขึ้นเบาๆ แล้วกดริมฝีปากลงจูบอย่างแผ่วเบา
ครู่เดียวที่ดูเหมือนความรู้สึกบางอย่างจะแล่นเข้าเกาะกุมจิตใจ เอทวาลละใบหน้าออก แล้วผุดลุกขึ้นจากพื้น นัยน์ตาสีเขียวปรายลงมามองเด็กหนุ่มบนพื้นด้วยอารมณ์ที่แปรเปลี่ยน
“อีกสี่ชั่วโมงจะขึ้นฝั่ง เตรียมตัวให้พร้อมด้วย ข้าจะไปรอลูกชายที่นั่น” เอทวาลเหยียดรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะผลักบานประตูไม้เปิดแล้วเดินออกจากห้องไป อัลฟาเรลใช้หลังมือปาดเช็ดที่ริมฝีปาก ไล่เลยขึ้นไปถึงน้ำตาบนใบหน้า
ร่างเล็กโน้มตัวลงนอนลงบนกองผ้าคลุมสีเข้มชื้นกลิ่นคาวเลือด นัยน์ตากลมโตหลับลงด้วยความเจ็บปวด...หวังเพียงว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะเป็นเพียงความฝัน กลับเสียที...กลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงเสียที
ความฝันที่โหดร้ายแบบนี้...อยากจะลืมตาตื่นโดยไม่หลับอีกชั่วนิรันดร์
ความคิดเห็น