คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [ The Romantic Drop ] Act.2 - โลหิตกรีดกราย - II
เด็กหนุ่มที่หลงทางอยู่ในกงล้อแห่งโชคชะตา...ดูยังไงก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ก็แค่เด็กเท่านั้นเอง...
เอทวาลใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีทองออกจากใบหน้าขาวที่เปรอะเปื้อนสีแดงฉานของเลือด พินิจดูดวงหน้าได้รูปกับนัยน์ตากลมโตที่พริ้มหลับทิ้งขนตายาวงอนลงแนบแก้ม จมูกเล็กโด่งสันเชิดรั้น ริมฝีปากบางสีอ่อนราวกลีบดอกไม้
ดูยังไงก็เป็นเพียงเด็ก...การถูกทอดทิ้งจากคนที่ไว้ใจนั้น ช่างเป็นเรื่องที่นักหนาเกินจะรับไหว
ร่างสูงเดินไปรูดผ่านสีเข้มปิดแสงสว่างไม่ให้เล็ดลอดเข้ามา ก่อนจะดึงผ้าคลุมสกปรกออกจากร่างกายบอบบาง แล้ววางเด็กหนุ่มลงบนเตียง โดยไม่สนใจหยดเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั่ว
หลับไปแบบนี้ดูไม่มีพิษสงอะไร...หนำซ้ำยังน่าเอ็นดูเสียอีกต่างหาก ถึงจะอยากให้หลับแบบนี้ไปตลอด แต่เขาก็มีเรื่องบางอย่างที่ต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่องเพียงสองคน เอทวาลโน้มใบหน้าลงประทับริมฝีปากบนกลีบปากบางสีอ่อนระเรื่อ มือใหญ่ยกขึ้นดันปลายคางเรียวมนให้เปิดริมฝีปากรับเรียวลิ้นที่แทรกผ่านควานหาไออุ่น
สัมผัสความสั่นสะท้านเบาๆ มือเล็กปัดป่ายพยายามดันร่างสูงใหญ่ออก แม้ดวงตาจะยังลืมไม่ขึ้น เสียงครางอืออาในลำคอดังอย่างสั่นเครือ เร่งเร้าให้เอทวาลดันปลายลิ้นเข้ารุกไล่ มือเล็กๆข้างหนึ่งเอื้อมขึ้นจิกเส้นผมสีดำของร่างสูงไว้อย่างลืมตัว
เอทวาลชะงักริมฝีปากเล็กน้อย อยากจะหัวเราะ...แต่ก็ไม่กล้า เพราะแรงเบียดแนบชิดจนรู้สึกร้อนไปทั้งร่าง หยดน้ำเอ่อล้นลงสองข้ามมุมปาก ร่างเล็กหอบสั่นเพราะหายใจไม่ทัน เอทวาลละใบหน้าออกแล้วไล่ลิ้นอุ่นเลียริมฝีปากสีแดงช้ำเบาๆ
เป็นวินาทีเดียวกับที่นัยน์ตาสีแดงเปิดปรือขึ้น รับรู้ถึงลมหายใจอุ่นๆที่รินรดข้างแก้ม ปลายจมูกโด่งสันที่ชิดเจียนจะแนบผิวเนื้อ นัยน์ตาสีเขียวเข้มเด่นชัดอยู่ตรงหน้า
“ไอ้เจ้าบ้า!” อัลฟาเรลใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดผลักไหล่ร่างสูงใหญ่ให้กระเด็นออกไป เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างไม่รู้ตัว คิ้วเรียวบางขมวดแน่นด้วยความขุ่นเคือง มือสองข้างกำจนขึ้นข้อเล็บยาวจิกลงบนผิวเนื้อ
เอทวาลเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะยกหลังมือขึ้นปาดเช็ดรอยเลือดบนหน้าผาก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างเล็กบนเตียงกระโดดเข้ามาหาเขาด้วยความเร็วสูง มือเล็กกำแน่นจนเล็บยาวจิกทะลุผิวบอบบางหมายจะหวดใส่ใบหน้าเขา
ร่างสูงเอนลงหลบแล้วใช้มือเพียงข้างเดียวรวบหมัดข้างนั้นไว้ ก่อนจะส่งปลายเท้าถีบร่างเล็กกระเด็นไปชนขอบตู้แล้วหล่นกระแทกพื้น วัตถุยาวราวเมตรครึ่งหล่นลงมาจากด้านบนกระแทกเส้นผมสีทองเต็มแรงก่อนจะกลิ่งมาหยุดที่ปลายเท้าของโจรสลัดหนุ่ม
เอทวาลก้มลงเก็บมันขึ้นมา มองเห็นลายสลักสีทองบนปลอกสีดำสนิทแล้วแสยะรอยยิ้มก่อนจะชูมันขึ้นให้ร่างเล็กตรงหน้าดู อัลฟาเรลเบิกนัยน์ตากว้างแล้วหลุดปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“อิลิอาร์”
“หืมม?” เอทวาลเลิกคิ้วขึ้นมองใบหน้าตื่นตกใจนั้นด้วยอาการอยากหัวเราะ “ชื่อของเจ้านี่เหรอ น่ารักดีนี่” เอทวาลควงดาบเล่มยาวในมือเล่น ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ทิ้งข้อศอกสองข้างลงวางกับหัวเข่า นัยน์ตาสีเขียวเข้มพินิจมองดูร่างเล็กที่ค่อยๆลุกขึ้นยืน
“เอาคืนมา”
เอทวาลกระตุกรอยยิ้มรับน้ำเสียงเย็นชาและดวงตาแข็งกร้าว ชายหนุ่มเลื่อนเปิดปลอกดาบสีดำออก ไล่สายตามองดูคมดาบสีเงินแวววาว สลับกับเงยหน้ามองดูผู้เป็นเจ้าของ...แค่สบนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นเขาก็รู้ คมดาบเล่มนี้คงจะอาบเลือดมามาก
“อยากได้ก็เข้ามาซิ” เอทวาลโยนปลอกสีดำทิ้งไปด้านข้าง ก่อนจะกดปลายดาบคมกริบลงกับพื้น นัยน์ตาสีเขียวเงยขึ้นมองร่างเล็กเป็นเชิงท้าทาย อัลฟาเรลกำมือแน่น รับรู้ถึงขอบตาที่ร้อนผะผ่าวราวกับหยดน้ำตากำลังจะรินไหล...ทำอะไรไม่ได้ นอกจากร้องไห้แล้วทำอะรไม่ได้อีกเลย
“มาซิ...ไอ้หนู” เอทวาลกระซิบสียงแผ่ว แล้วฉีกรอยยิ้มกว้าง อัลฟาเรลปาดเช็ดน้ำตาแล้วพุ่งตัวเข้าใส่คนบนเตียงโดยไม่ทันยั้งคิด เอทวาลใช้มือข้างเดียวคว้าลำคอนั้นไว้แล้วกดกระแทกลงกับที่นอนแข็งๆ ร่างสูงโน้มลงทาบทับแล้วกดเสียงกระซิบที่ริมหู “ไง...ทำได้แค่นี้เองเหรอ”
“ไอ้ปีศาจ...” อัลฟาเรลสะกดน้ำเสียงสั่นสะท้าน เอทวาลชะงักไปชั่วครู่ นัยน์ตาสีเขียวเข้มกดมองร่างเล็กตรงหน้าด้วยอารมณ์หลายอย่างปะปนกัน หากแต่ที่เด่นชัดที่สุดในตอนนี้คือความหวาดกลัว...กลัวที่จะยอมรับความเป็นจริง
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์ ! ข้ามีชีวิตอยู่บนโลกเน่าๆใบนี้มาถึงร้อยกว่าปี แต่เจ้ากลับเคยพบข้าสมัยเด็ก เจ้ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ ปีศาจน่ารังเกียจ ผุดขึ้นมาจากนรกเหรอไงกัน...แม้แต่นรกก็ยังไม่รับเจ้างั้นเรอะ!”
“หุบปากซะ เจ้าต่างกับข้าหรือยังไง ไอ้เศษเดนเอ๊ย!” เอทวาลขยุ้มเส้นผมสีทองอ่อนขึ้นแล้วกระแทกใบหน้าอ่อนเยาว์ลงกับที่นอนแข็งเต็มแรง อัลฟาเรลกัดฟันแน่นแล้วสบถเสียงห้วน เพราะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น
“เหอะ ! เศษเดนงั้นเหรอ ข้าคือเจ้าชายอัลฟาเรลแห่งนอร์เมกัส เดนนรกมันเจ้ามากกว่า เจ้าโจรกระจอก!” น้ำเสียงที่ตะโกนออกมาด้วยความอัดอั้นทำให้เอทวาลสูดลมหายใจลึก ไม่คิดจะข่มสติอารมณ์ตัวเองอีกต่อไป มือใหญ่ตวัดร่างเล็กให้นอนหงายขึ้น แล้วกดใบหน้าลงเบียดชิดมองสบนัยน์ตาสีแดงล้ำลึกราวกับจะกลืนกิน
“เจ้าชายงั้นเหรอ...ถ้าเป็นแบบนั้นจริง องค์รักษ์ของเจ้าล่ะ ไอ้สองตัวที่เจ้าเรียกหานั่นน่ะ มันทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ จดหมายจากแม่ของเจ้า บอกให้ข้าพาเจ้าไปทิ้งในน่านน้ำของอูรานอสไงล่ะ เจ้าโดนถีบตกบัลลังก์แล้ว เสียใจด้วยนะเจ้าชาย”
“เจ้าว่าไงนะ!”
“รอบที่ห้า และข้าไม่อยากให้มีรอบที่หก!” เอทวาลกะโกนเสียงกร้าว มือใหญ่ดึงกระชากเสื้อหนังสีดำที่ห่อหุ้มร่างบอบบางออก มือข้างหนึ่งกดลงกับลำคอเล็ก อัลฟาเรลพยายามดิ้นรนให้หลุดอดจากมือทั้งสองของเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีอยู่
“ปล่อย!” เด็กหนุ่มกรีดเสียงลั่น จิกเล็บลงกับข้อมือที่บีบรัดรอบลำคอตัดลมหายใจเขาทีละน้อย นัยน์ตาที่รู้สึกพร่าเลือนเมื่อากาศหายใจจวนเจียนจะหมด เอทวาลกระตุกรอยยิ้มเหี้ยมแล้วกดใบหน้าลงประทับจูบ เรียวลิ้นสอดแทรกลงเกี่ยวรัดอย่างไร้ซึ่งความไยดี
มือใหญ่ค่อยๆปล่อยลำคอเล็กออก เลื่อนขึ้นมาบีบที่ปลายคาง เสียงกรีดร้องอืออาในกล่องเสียงของร่างเล็กตรงหน้ามันช่างยั่วยวนเสียจนคิดว่าเจ้านี่กำลังเชิญชวนเขาอยู่เสียด้วยซ้ำ เอทวาลเลื่อนใบหน้าลงขบกัดที่ซอกคอขาวจนเป็นรอยแผลใหญ่
“อ่า! ปล่อยข้า! เจ้าปีศาจชั่ว!” อัลฟาเรลตะโกนร้องขาสองข้างยกขึ้นเตะถีบพยายามดันร่างสูงใหญ่ออกไป เอทวาลยืดตัวขึ้นนั่งแล้วถอดเสื้อของตัวเองออก อัลฟาเรลใช้จังหวะนั่นยกปลายเท้าเตะเสยแสกใบหน้าคมเข้มจนสะบัดหัน เด็กหนุ่มถลาลงจากเตียงไปได้ไม่เกิดครึ่งก้าว ก็โดนมือหยาบกร้านดึงลากให้กลับมาอยู่ที่เดิม
“อย่าพยายามเลย...เจ้าไม่เคยมีสนมเหรอไงเจ้าชาย” เอทวาลกระซิบเสียงแผ่วแล้วหัวเราะเสียงเจื่อน อัลฟาเรลรู้สึกสั่นสะท้านในน้ำคำนั้น น้ำเสียงนุ่มทุ้มกัดกินโสตประสาทจนยากจะสลัดหลุด
“อย่ามาพูดเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นกับข้า!”
เอทวลาเลิกคิ้วขึ้นแล้วปลดเข็มขัดหนังเส้นเล็กออกจากเอว “พูดแบบนั้นแสดงว่าไม่เคยซินะ อย่างนั้นก็มาเป็นสนมข้าซะซิ มันเล่นไม่ยากหรอก” โจรสลัดหนุ่มเหวี่ยงร่างเล็กให้กดใบหน้าลงกับเตียงแล้วจับแขนสองข้างไพล่หลัง ก่อนจะมัดข้อมือทั้งสองเข้าไว้ด้วยเข็มขัด
“อย่า!” อัลฟาเรลตะโกนสุดเสียง สัมผัสร้อนผ่าวจากริมฝีปากบางที่กดจูบลงบนแผ่นหลังค่อยไล่ลงสู่ด้านล่าง เอทวาลอ้อมมือข้างหนึ่งไปสัมผัสท่อนเนื้อตรงกลางผ่านเนื้อผ้าหนา อัลฟาเรลหลับตาแน่น สะกดกลั้นหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ
ชั่วลมหายใจเดียว เอทวาลก็ดึงรั้งกางเกงตัวยาวของเขาออก อัลฟาเรลเบือนใบหน้าหนีด้วยความขุ่นเคือง ลมหายใจที่ขาดห้วงเมื่อปลายนิ้วร้อนๆไล้ส่วนยอดของเขาเบาๆ น่าโมโหที่เขากำลังหลงใหลไปกับสัมผัสนั้น...กำลังเดินไปตามเกมที่เอทวาลต้องการ
ร่างสูงโน้มตัวลงโอบรัดผิวเนื้อบอบบางไว้แล้วไล้เลียแผ่นหลังขาวเนียนลงไปสุดสะโพก อัลฟาเรลส่งเสียงครางในลำคอ มือเล็กขยับไปมาหวังจะหลุดออกจากเข็มขัดที่รัดแน่น แต่ก็ไม่เป็นผล ท่อนขาขาวถูกเลียวลิ้นอุ่นๆลากผ่าน ขณะที่มืออีกข้างก็ยังคงรูดท่อนเนื้อของเขาอย่างไม่ใส่ใจ...คล้ายกับของเล่นชิ้นหนึ่ง เอทวาลกระตุกรอยยิ้มแล้วกระซิบเสียงแผ่ว
“เจ้ากำลังอยาก...” ชายหนุ่มเลื่อนมือขึ้นมาแตะที่สะโพกโค้งงอนไล่ปลายนิ้วลงไปที่ช่องทางด้านหลังเบาๆ อัลฟาเรลแนบใบหน้าลงกับที่นอนด้วยความโกรธเคือง ความร้อนผ่าวที่แล่นขึ้นบนใบหน้า เลือดทั้งกายมันพร้อมใจกันสูบฉีดขึ้นมา
“เอ้า...ไหนล่ะ ที่อวดเก่งอยู่เมื่อกี้น่ะ” เอทวาลพลิกร่างบางให้หันกลับมานอนหงาย แขนสองข้างยังถูกมัดรัดรึงติดกับแผ่นหลัง ใบหน้าขาวที่ขึ้นสีระเรื่อดวงตาสีแดงเข้มเอ่อคลอหยาดน้ำตา โจรสลัดหนุ่มแสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพนั้น
“ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับเจ้าอีก ไอ้สวะ!” จบคำ เจ้าชายแวมไพร์ก็ถ่มน้ำลายใส่คนตรงหน้า เอทวาลเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แต่แล้วก็เหยียดรอยยิ้ม
“มารยาทไม่ดีเอาซะเลยนะ ไอ้ปากที่จองหองแบบนั้น ควรจะลงโทษยังไงดี” เอทวาลปลดกางเกงตัวเองออก แล้วกดศีรษะเล็กลง มือข้างหนึ่งบีบลงบนลำคอบางๆที่บัดนี้ช้ำไปด้วยรอยนิ้ว บังคับให้ริมฝีปากสีระเรื่อกดลงกับแก่นกายของตัวเอง
อัลฟาเรลปล่อยน้ำตาให้รินไหลลงมาอย่างไม่อาจห้าม เส้นผมสีทองถูกขยุ้มแรงๆแล้วดันให้ขยับขึ้นลง
“เจ้าก็เล่นเป็นสนมได้นี่ เจ้าชาย” เอทวาลกระซิบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ นัยน์ตาคู่สีเขียวหรี่ปรือลง มือข้างหนึ่งยังคงบีบรัดอยู่กับลำคอเล็กๆราวกับจะรัดรึงให้คนตรงหน้าขาดอากาศตายคามือ มืออีกข้างขยุ้มเส้นผมอ่อนนุ่มที่ชื้นเลือดรูดขึ้นลงอย่างรุนแรง ก่อนจะกดใบหน้าเล็กๆค้างไว้ แล้วปลดปล่อยของเหลวสีขุ่นเข้าใส่ริมฝีปากบาง อัลฟาเรลกระตุกใบหน้าขึ้น ไอเสียงหนักสำลักเอาของเหลวอุ่นออกมาจากลำคอ
“ทักษะแย่ชะมัดเลย ไม่มีประสบการณ์เลยจริงๆเหรอเนี่ย” เอทวาลผลักร่างบางลงนอนราบกับเตียง พินิจดูใบหน้าขาวที่เปรอะเปื้อนด้วยคราบสีขาวขุ่น นัยน์ตาสีแดงเข้มยังคงแข็งกร้าว แม้ว่าเสียงหอบหายใจหนักๆนั้นจะเริ่มดังอย่างหักห้ามไม่อยู่
“ปล่อย...” น้ำเสียงแผ่วเบาดังลอดลำคอเล็กๆ เอทวาลโน้มตัวลงทาบทับร่างเล็กไว้แล้วกดจูบอย่างอ่อนโยน จมูกโด่งสันลากผ่านใบหูลงมาที่ซอกคอร้อนลงไปถึงยอดอกสีอ่อน ลิ้นอุ่นเลียส่วนยอดนั้นเบาๆ ร่างบางถึงกับสั่นสะท้านด้วยแรงปรารถนา
“อือ...”
“รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ” โจรสลัดหนุ่มกระซิบเสียงแผ่ว กดเข่าลงกับท่อนเนื้อขาวบอบบางของร่างเล็กที่นอนอยู่ข้างล่าง แล้วขยับเบาๆ อัลฟาเรลเบือนใบหน้าหนี เมื่อชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงจูบที่ข้างแก้ม อัลฟาเรลพยายามเรียกสติอันน้อยนิดให้กลับคืนมา เมื่อเห็นซอกคอร้อนผ่าวที่อยู่แทบปลายจมูก เจ้าชายแวมไพร์ก็ง้างเขี้ยวลงฝังกับผิวเนื้ออ่อนตรงบริเวณเส้นเลือด โลหิตสีแดงเข้มไหลพุ่งเป็นสายเมื่อเขาถอนเขี้ยวออก
“เจ้า!” เอทวาลสะดุ้งเฮือก ถลาตัวออกแล้วกดมือลงกับคอชุ่มโชกเลือดของตัวเอง คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีเขียวขมวดมุ่น แต่แล้วริมฝีปากบางก็แสยะรอยยิ้มอย่างที่เด็กหนุ่มรู้สึกขนลุกซู่ อัลฟาเรลกล้ำกลืนเลือดหอมหวานลงลำคอ ร่างบางขยับถอยหนีจนสุดขอบเตียง
“ชอบแบบรุนแรงอย่างนั้นเหรอ เจ้าลองดีเองนะ อัลฟาเรล มาเลย !” เอทวาลกระชากเสียงใส่ แล้วเหวี่ยงปลายเท้าใส่ร่างบางจนกระเด็นลงไปนอนกองกับพื้น ใบหน้าคมเข้มหันมองดาบเล่มยาวที่หล่นอยู่ข้างเตียง ก่อนจะหยิบมันขึ้นมา
“อย่า!” อัลฟาเรลกรีดเสียงลั่น เมื่อร่างสูงทิ้งตัวตามลงมาแล้วใช้มือข้างหนึ่งกดลำคอเขาไว้...และความโหดร้ายยิ่งกว่านั้นก็ตามมา
“อ๊า!!” ร่างบางบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดที่ชำแรกผ่านช่องทางด้านหลัง ด้ามดาบขนาดเท่ากับกำมือของเขาจับกระชับถูกกระแทกเข้ามาใส่ครั้งเดียวมิดด้าม แทบได้ยินเสียงฉีกขาดของผิวเนื้อ กลิ่นคาวเลือดและของเหลวที่ไหลรินออกมาพร้อมกับความเจ็บปวดลอยคลุ้งแตะจมูก
“เจ็บ...อา...” อัลฟาเรลลากน้ำเสียงแผ่ว เอทวาลดึงรั้งร่างบางที่บิดเร่าให้หงายหน้าขึ้น แล้วกดริมฝีปากลงกับท่อนเนื้อขาว ไรฟันคมขบกัดลงบนแก่นกายบอบบางขึ้นสีช้ำเลือด เสียงครวญครางอย่างทรมานที่ดังอยู่ในโสตประสาทมันให้ความรู้สึกดีจนหยุดไม่ได้
ชายหนุ่มเลื่อนมือลงขยับดาบเล่มยาวเข้าออกอย่างไม่ใส่ใจแม้ว่าเสียงหวานจะครวญครางว่าเจ็บสักเพียงไร
“อ๊า!!” ด้ามดาบถูกดึงกระชากออกไปอย่างรุนแรง ความเจ็บซ้ำสองราวกับคมมีดที่กรีดลงบนผิวเนื้อสดๆ เอทวาลโน้มร่างลงทาบทับหน้าท้องขาวเนียน แล้วสอดใส่ของตัวเองลงกับช่องทางที่อุ่นชื้นไปด้วยเลือด ท่อนเนื้อถูกกระแทกกระทั้นเข้าไปสัมผัสแรงบีบรัดแนบแน่น
“อะ...อย่า...” อัลฟาเรลพยายามส่งเสียงรอดลำคอที่เจ็บปวด ความปวดที่แล่นขึ้นมาจากด้านหลัง คล้ายกับว่ากระดูกกำลังถูกบิดจนปริร้าว เอทวาลใช้มือข้างหนึ่งบีบลำคอเล็กไว้แน่นอย่างลืมตัว แล้วกระแทกสะโพกดันท่อนเนื้อชำแรกผ่านช่องทางแคบๆอย่างรุนแรง
ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของร่างเล็กที่บิดเร่าไปมาด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน...ภายในหัวที่มึนงงสับสน แต่ก็รับรู้ได้ว่า มือเล็กๆนั้นเอื้อมขึ้นโอบกอดแผ่นหลังของเขาเป็นที่ยึดเหนี่ยว สะโพกบางแอ่นรับตอบสนองแรงกระแทกด้วยความปรารถนาไม้แพ้กัน
“อ...อา...อา...” ร่างบางเสียดใบหน้ากับเส้นผมสีดำขลับของคนข้างบนแล้วหลุดน้ำเสียงครางออกมาอย่างไม่อาจะห้าม เล็บยาวจิกลงกับแผ่นหลังกว้างเข้าเนื้อรับรู้ถึงหยดเลือด เสียงจังหวะหัวใจที่เต้นระรัวผ่านแผ่นอกบอบบาง พร้อมกับแรงกระแทกกระทั้นจากส่วนร่างที่เร่งรัดจังหวะขึ้นเรื่อยๆ
“อืม...” เอทวาลเลื่อนใบหน้าลงจูบแลกเรียวลิ้นและหยดน้ำที่ไหลรินจนแทบแยกไม่ออกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อัลฟาเรลหลับตาลง ลิ้นอุ่นถูกดูดเม้นจนรู้สึกเจ็บแต่ก็เป็นความเจ็บที่แสนมีความสุข มือของคนข้างบนที่รัดแน่นอยู่บนลำคอทำให้ลมหายใจของเขาค่อยๆดับลงอย่างช้าๆ นัยน์ตาพร่าเลือนจนมองภาพตรงหน้าไม่เห็น
เหมือนกับจะตาย...กำลังจะตายแล้วจริงๆ...
“อะ...” อัลฟาเรลกดใบหน้าลงกับแผ่นไหล่กว้าง รับแรงกระแทกและท่อนเนื้อที่ชำแรกตัวผ่านเข้ามารัวเร็วเร่งรัดร่างกาย กล้ามเนื้อทุกสัดส่วนให้กระตุกเกร็ง ลมหายใจขาดห้วงในวินาทีสุดท้ายที่คิดว่าตัวเองคงจะไม่รอดชีวิต ความอุ่นจากของเหลวขุ่นที่ถูกปลอดปล่อยใส่ช่องทางที่บีบรัด
เอทวาลหลับตาแน่น แล้วผ่อนลมหายใจช้าๆ ของเหลวจากท่อนเนื้อขาวๆตรงหน้านั้นก็เปรอะเปื้อนไปด้วยของเหลวแบบเดียวกับที่มันพวยพุ่งออกมาเปื้อนถึงขอบกางเกงของเขา
“อือ...” อัลฟาเรลครางเสียงแผ่ว ร่างสูงถอนลำตัวออกไปพร้อมกับปลดมือที่รัดรึงรอบลำคอเล็กออก รอยแดงที่เด่นชัดขึ้นมา สร้างความตกใจให้เขาอยู่ไม่น้อย ร่างบางนอนหอบหายใจสูดอากาศอย่างโหยหาสองมือวางลงบนรอบลำคอตัวเองเพื่อยืนยันว่ามันยังไม่หักสลายไปไหน
ท่อนเนื้อขาวที่เปรอะเปื้อนด้วยสีเลือด รวมทั้งช่องทางด้านหลัง เอทวาลเสยเส้นผมขึ้น รู้สึกปวดหนึบที่ลำคอบิรเวณที่ถูกกัดทั้งยังแสบไปทั่วแผ่นหลังและรู้สึกเหมือนเลือดจะออก นัยน์ตาสีเขียวก้มลงมองร่างเล็กที่นอนหอบตัวโยนอยู่บนพื้นแล้วโยนเสื้อคลุมสีเข้มส่งให้
ชายหนุ่มสวมกางเกงตัวเองให้เข้าที่แล้วควานหาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ก่อนจะเดินเปลือยท่อนบนออกไปนอกห้อง ทิ้งร่างเล็กจมอยู่กับกองเลือดและของเหลวที่เปอระเปื้อนอยู่บนพื้น
เอทวาลเท้าศอกสองข้างลงกับกราบเรือ นัยน์ตาสีเขียวทอดมองออกไปเบื้องหน้า กลิ่นลมทะเลที่เขาคุ้นจมูก บัดนี้มันกลับทำให้เขานึกถึงใครบางคน...ใคร ที่มีเส้นผมสีทองอ่อนระเรือเช่นเดียวกับร่างบางที่กอดก่ายกับเขาอยู่เมื่อครู่
เอทวาลดึงมวนบุหรี่ออกจากปากแล้วพ่นควันสีเทาขึ้นสู่อากาศ...ท้องทะเลสีคราม เขาได้เห็นมันมากี่ร้อยปีแล้ว...มองเห็นมันอยู่แบบนี้ ไม่เคยแปรเปลี่ยน ยามค่ำมันยังคงดำมืด ยามมีพายุก็ยังคงน่าหวาดกลัว หากแต่เมื่อใดที่ได้มองผืนน้ำระยิบระยับนั้นเคียงข้างกับใครคนนั้นแล้ว...
...มันมีเพียงความรักที่เอ่อล้นขึ้นมาทดแทนทุกสิ่งทุกอย่าง
ความลับที่มีผู้ล่วงรู้มากกว่าสองคน...ก็ไม่เรียกว่าเป็นความลับได้อีกต่อไปแล้วใช่ไหม...เซมิออน
ความคิดเห็น