คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : [ The Romantic Drop ] Act.1 - โลหิตกรีดกราย - I
[ The Romantic Drop ] Act. - โลหิตกรีดกราย
โลกใบนี้...หากจะพูดถึงมัน ก็ต้อง...สีดำสินะ ไม่ใช่สีดำของท้องฟ้ายามราตรี หรือท้องทะเลเมื่อพลบค่ำหรอก หากแต่เป็นสีดำของจิตใจพวกเราที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ต่างหาก เป็นสีดำที่ไม่ว่าสีขาวบริสุทธิ์ใดๆก็ไม่อาจชะล้างออกได้
แสงสว่างมันเป็นยังไง...จนตอนนี้ก็ลืมเลือนไปแล้ว ไม่อยากจะเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่อาจไขว่คว้าสิ่งนั้นมาได้ให้ค้างคาอีกต่อไป หนทางเดียวที่ทำได้คือลืมมันซะให้หมดสิ้น และมีชีวิตอยู่ในค่ำคืน ท่ามกลางจิตใจอันดำมืดของตัวเอง
“เฮ้ ! ไอ้หนู!”
ไอ้หนู?...หมายถึงเราหรือ รู้ตัวรึเปล่าว่ากำลังเรียกใครอยู่
ได้ยินเสียงของตัวเอง เอ่ยในใจเช่นนั้น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะสั่นสะเทือนคล้ายโดนเขย่า รู้สึกปวดแปลบที่แผ่นหลัง เพราะพื้นที่รองรับอยู่นั้นไม่ได้นุ่มนวลเท่าไหร่นัก ทั้งยังโคลงเครงไม่มั่นคงเหมือนลอยอยู่บนผิวน้ำมากกว่าจะเป็นพื้นดิน
“ไอ้หนูเอ๊ย ! มานอนตรงนี้ได้ไงวะเนี่ย”
ถ้ายังไม่เลิกเรียกแบบนั้นอีกเจ้าตายแน่ ไอ้สวะ...เราคือ เจ้าชายอัลฟาเรล กลอสซารีโอ แห่งนอร์เมกัส เชียวนะ
ซ่า!
ความเย็นวาบสาดเข้าใส่ใบหน้าไหลรินลงตามซอกคอ นัยน์ตากลมโตที่ปิดครึ่งๆอยู่เมื่อครู่เบิกโพลงขึ้นทันทีด้วยสติสัมปชัญญะที่ตีตื้นขึ้นมาเกือบครบ ร่างเล็กโก่งลำคอสำลักเอาน้ำเย็นๆที่ไหลเข้าปากออกมา สิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือมันเค็มจนขนลุก
“เฮ้อ ยังไม่ตายนี่นะ เอาล่ะ ลุกขึ้นซิไอ้หนู”
ไอ้หนูงั้นเหรอ...ได้ยินตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
อัลฟาเรลกระตุกนัยน์ตาสีแดงเข้มขึ้นมองดูชายหนุ่มร่างสูงใหญ่สามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า หนึ่งในสามนั้นขยับรอยยิ้มแล้วนั่งลงพลางยื่นมือออกมาอย่างเป็นมิตร...ผมสีดำแบบนั้น ดวงตาสะท้อนแวว กลิ่นอายแห่งความโสมม มนุษย์!!
“ไอ้พวกสวะ!” อัลฟาเรลดีดตัวขึ้นจากพื้น มือเรียวเอื้อมคว้าหาดาบที่ข้างเอวแต่พานพบเพียงความว่างเปล่า มือเล็กกำแน่นจบเล็บยาวจิกลงกับผิวเนื้อไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากนัก เมื่อชายหนุ่มสามคนแตกฮือออกไปด้วยความตกใจ อัลฟาเรลวาดปลายเท้าเสยเต็มแสกหน้าผู้ที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
“เฮ้ย ! แวมไพร์!” เสียงของหนึ่งในสามคนดังสะท้อนอยู่ในหู ความกราดเกรี้ยวมันคุกกรุ่นขึ้นมาในจิตใจ อัลฟาเรลคว้าท่อนเหล็กที่เห็นอยู่ในระยะสายตาขึ้นมาเหวี่ยงใส่ ชายหนุ่มมนุษย์ไม่ได้ต่อสู้กลับ ร่างสูงเพียงแค่ถอยหลบ
ด้วยพื้นที่ที่จำกัดบนห้องเก็บของท้ายเรือ ปลายท่อนเหล็กเหวี่ยงโครมลงฟาดกับลังไม้และขวดไวน์ที่แตกละเอียด กลิ่นแอลกอฮอลล์ฟุ้งกรุ่นไปทั่ว อัลฟาเรลกระตุกคอเสื้อชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาใกล้แล้วแสยะรอยยิ้มจนเห็นเขี้ยวที่ข้างมุมปาก
“ใช่...แวมไพร์ แล้วจะทำไม” ริมฝีปากบางอ้าออกประทับคมเขียวฝังลงกับซอกคอของร่างที่สั่นระริกด้วยความกระหาย แต่แล้วบานประตูก็ถูกเปิดออก แสงสว่างรุนแรงแผดเผาพุ่งเข้ามาจนรู้สึกแสบร้อนไปทั้งร่าง
“พอแค่นั้นแหล่ะ เจ้าตัวสั้น”
สัมผัสแข็งๆกระแทกเข้ากับท้ายทอย เสียง ‘กริ๊ก’ เบาๆของไกปืนที่เตรียมพร้อมสำหรับลั่นกระสุน ดังสะท้อนอยู่ในหัว ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัว ซ้ำยังกระแทกกระทั้นเข้าสู่ระบบควบคุมสติให้เดือดพล่าน ร่างเล็กตวัดหันไปด้านหลังมองดูผู้มาเยือนอย่างไม่กลัวเกรง
“เจ้าว่าไงนะ!” อัลฟาเรลชะงักน้อยๆ ปากกระบอกปืนที่จ่ออยู่หลังท้ายทอยเมื่อครู่ ตอนนี้มันกดอยู่ตรงหว่างตา กลิ่นดินปืนยังลอยคลุ้งจมูกผสมกับกลิ่นแอลกอฮอลล์ นัยน์ตาสีแดงเข้มเงยขึ้นมองร่างสูงใหญ่ตรงหน้ามองระดับสายตาเห็นเพียงแผ่นอกกว้างในชุดหนังเข้ารูปสีดำ
แม้ว่าเงยหน้าจนสุดก็ยังมองเห็นร่างที่ยืนย้อนแสงแดดนั้นได้ไม่ชัดเจนนัก...แสงแดด...ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ยืนอยู่ตรงนี้ เขาคงมอดไหม้ไปแล้ว ไม่ได้สัมผัสกับแสงแดดมานานจบเกือบจะหลงลืมไปแล้วว่า ควาบอบอุ่นนั้นเป็นเช่นไร
“เจ้าเป็นใครกัน” อัลฟาเรลกระชากเสียงถามออกไปไม่ลดละ เรี่ยวแรงกำลังจะหมดลงเพราะแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาแผดเผา ผิวเนื้อบริเวณไหล่ที่โผล่พ้นเสื้อหนังแขนกุดรู้สึกแสบร้อนคล้ายกับผิวหนังจะถูกลอกออกทีละน้อย
“ทางนี้มากกว่าที่ต้องถามน่ะ”
ท่ามกลางความพร่าเลือนในสายตา อัลฟาเรลมองเห็นใบหน้าคมเข้มใต้เส้นผมยุ่งเหยิงสีดำขลับยาวระต้นคอนั้นอย่างไม่ชัดเจน นัยน์ตาข้างขวางคาดแผ่นหนังสีดำมีลวดลายหัวกระโหลดอยู่บนเปลวเพลิงสีแดง นัยน์ตาอีกข้างเป็นสีเขียวเข้มคล้ายใบไม้ที่ไหวระริกตามสายลมอันสดใส...ไม่ใช่ซิ มันดูเหมือน...คลื่นลึกใต้ท้องทะเลที่พร้อมจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
นัยน์ตาคู่นั้นสะท้อนทั้งอารมณ์ร่าเริง และเย็นชา...ด้านไหนคือหน้ากาก ด้านไหนคือใบหน้าที่แท้จริง
...ไม่อาจหาคำตอบได้
“โซล...ซาร์เซส...” อัลฟาเรลพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตากลมโตหรี่ปรือลงร่างบางเอนเอียงทรงตัวไม่อยู่ พื้นที่ไหวยวบยาวและเสียงคลื่นนั้นทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนพื้นดิน อาจจะเป็นเรือ...แต่ที่ชัดเจนที่สุดตอนนี้คือมันช่างวิงเวียนและปวดไปทั้งตัว
“เป็นอะไรไป ไอ้ตัวสั้น” มือใหญ่เอื้อมออกมาสัมผัสเส้นผมสีทองอ่อนนุ่มเบาๆ อัลฟาเรลตวัดมือปัดออกแล้วกระโดดถอยหนี ปลายเท้าเหยียบลงบนเศษขวดไวท์จนมันทิ่มแทงทะลุพื้นร้องเท้าหนา ร่างเล็กเสียหลักล้มลงไปนอนกองกับลังไม้แตกหัก เศษแก้วกรีดลงบนผิวขาวละเอียดจนเป็นแผลใหญ่
“เฮ้ ! เตี้ยแล้วยังโง่อีกเหรอเนี่ย” ร่างสูงใหญ่ก้มลงยื่อมือออกไปหมายจับดึงตัวเด็กหนุ่มตรงหน้าขึ้นมา แต่กลับได้รับการตอบแทนเป็นส้นรองเท้าหนังสีดำที่กระแทกเข้าใส่กลางลำตัวดังผัวะ! ชายหนุ่มชักฝีเท้าถอยตามแรงกระแทก นัยน์ตาสีเขียวกระพริบปริบอย่างงุนงง
“อย่ามายุ่งกับข้า ไอ้มนุษย์โสโครก! โซล! ซาร์เซส! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” อัลฟาเรลเงยใบหน้ามองตามขื่อหลังคาหวังว่าจะได้เห็นเจ้าของนามทั้งสองยืนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์ ตรงหน้าเขามีเพียงร่างสูงใหญ่และนัยน์ตาสีเขียวล้ำลึกคนนี้...เพียงคนเดียว
“เรียกหาใครตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้ และไม่มีแวมไพร์อยู่ เข้าใจไหม”
“ว่าไงนะ”
“รอบที่สองแล้ว”
“ว่าไงนะ!”
“เอ้า ! สามแล้วซิ” ชายหนุ่มขยับแขนขึ้นกอดอก ดวงหน้าคมเข้มก้มลงต่ำจับจ้องลงในดวงตาสีแดงของคนบนพื้น “เจ้าอายุเท่าไหร่ ดูท่าทางยังเด็กไม่ใช่เหรอไง ตัวกระเปี๊ยกเดียวเอง ทำไมหูตึงแล้วล่ะ” มือใหญ่รวบเส้นผมสีทองอ่อนนุ่มแล้วกระชากขึ้นเบาๆ
“กัปตันครับ เจอนี่ติดอยู่บนเสากระโดงเรือ” นัยน์ตาสีเขียวเบือนกลับไปมองด้านหลัง เห็นลูกเรือหนุ่มร่างสูงใหญ่เปลือยท่อนบน ยื่นแผ่นกระดาษที่ถูกพับเป็นสองส่วนมาให้ ใบหน้าคมคายพยักส่งๆเป็นเชิงรับรู้อย่างไม่ใส่ใจนัก
“อ่าน”
“เอทวาลที่รัก ข้ามีของสิ่งหนึ่งที่อยากมอบให้เจ้า เมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว เชื่อว่าเจ้าคงได้พบกับของสิ่งนั้น ไม่ว่าจะในแบบของซากศพหรือลมหายใจรวยริน นั่นคือ...”
“เดี๋ยว หยุดก่อนซิ” เอทวาลยกมือขึ้นระดับใบหน้า ก่อนจะหยิบฉวยกระดาษแผ่นเล็กมากวาดสายตาอ่านอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ แล้วเบือนใบหน้ามองร่างเล็กที่นอนกองอยู่กับลังไวน์บนพื้น ก่อนจะหันกลับไปอ่านตัวหนังสือที่เขียนด้วยหมึกสีแดงคล้ายเลือดอีกครั้งเป็นรอบที่สอง
“อะไร!” อัลฟาเรลกระชากเสียงถาม แม้จะแผ่วปลายเต็มที การอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานาน แม้จะเป็นเพียงลำแดดที่ลอดผ่านบานประตูเข้ามาแต่มันก็ทำให้เรี่ยวแรงอันน้อยนิดนั้นค่อยเหือดหายลงไปทุกที เอทวาลยกมุมปากยิ้มน้อยๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่ง ก่อนจะถอดเสื้อคลุมโยนใส่ร่างเล็ก
“ค้างคาวตัวน้อยที่เคาน์เตสมาเอสโตรแห่งนอร์เมกัสส่งมาเหรอเนี่ย”
“ว่าไงนะ”
“รอบที่สี่” เอทวาลกระตุกรอยยิ้มกริ่ม อัลฟาเรลกัดริมฝีปากแน่นจนช้ำเลือด มือเล็กที่สั่นสะท้านอยู่ข้างลำตัวด้วยความโกรธเคืองเป็นที่สุด
“เจ้ารู้จักนางได้ยังไง”
“เพื่อนเก่าเพื่อนแก่สมัยเจ้ายังไม่เป็นวุ้นเลยจะบอกให้” เอทวาลวางมือลงบนเส้นผมสีทองอ่อนแล้วตบเบาๆ นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจ เกือบจะหลุดปากคำว่า ‘ว่าไงนะ’ ออกไป แต่กลับโดนมือใหญ่ของคนตรงหน้าประกบปิดไว้ซะก่อน
“อย่าคิดจะเอ่ยอะไรออกมาเชียว เจ้าเศษเดนแห่งนอร์เมกัส” เอทวาลกดน้ำเสียงทุ้มต่ำให้ได้ยินกันเพียงสองคน “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ ไอ้หนู อัลฟาเรล ข้าเคยพบเจ้าตั้งแต่หัวเจ้าเท่ากำปั้นเท่านั้นเอง และแน่นอนว่าถ้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ข้าอาจจะฆ่าเจ้าตายตอนนี้เลยก็ได้”
คิ้วเรียวเหนือนัยน์ตาสีแดงขมวดแน่น จังหวะที่ร่างสูงใหญ่กำลังจะละตัวออกไปอัลฟาเรลคว้าขวดไวน์ในลังไม่ขึ้นมาฟาดลงกับเรือนผมสีดำขลับเต็มแรง
เพล้ง!!
เสียงขวดกระทบกับผิวเนื้อแตกละเอียด เลือดไหลรินหยดลงอาบซีกหน้าข้างหนึ่งจนแดงเถือก เหล่าลูกเรือทำสีหน้าตกใจเตรียมจะเข้าไปจับกุมเด็กหนุ่ม แต่เอทวาลยกมือขึ้นเป็นเชิงห้าม ริมฝีปากบางกระตุกรอยยิ้มน้อยๆท่ากลางใบหน้าที่แดงฉานและกรุ่นกลิ่นคาว
“ถ้าหากยังพูดจาแบบนั้นกับข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!” อัลฟาเรลเหวี่ยงเศษปากขวดที่แตกละเอียดลงกับพื้น แล้วใช้มือเกาะกุมแขนข้างที่บาดเจ็บไว้แน่น สติเริ่พร่าเลือนและเหนื่อยล้า เห็นเพียงนัยน์ตาสีเขียวท่ามกลางสีแดงฉานของเลือดที่เดินเข้ามาใกล้
“ทำได้ก็ลองซิ”
ฉึก !
อัลฟาเรลกรีดเสียงร้องลั่น ความแสบร้อนมันแล่นวาบขึ้นมาจากกลางลำตัว สายลมแผ่วเบาที่พัดกรีดผิวกายเป็นริ้วลึก เลือดสาดกระจายไปทั่วร่าง ราวกับมีใบมีดที่มองไม่เห็นบินอยู่ในอากาศ เอทวาลยังคงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์มองดูร่างเล็กที่ถูกอากาศเชือดเฉือนจนลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยลมหายใจรวยรินแผ่วเบา
“เจ้า...” อัลฟาเรลกำมือแน่นจนร่างกายสั่นสะท้าน ไม่อาจะขยับตัวได้ รู้สึกมึนงงและปวดหัวราวกับกำลังถูกบดละเอียดด้วยอากาศ เลือดที่ไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มองเห็นอยู่ตอนนี้ ก่อนที่สติสุดท้ายจะแผ่วจางไป
“คงต้องสั่งสอนกันอีกยาวเลยนะ สัตว์เลี้ยงของเคาน์เตสน่ะ”
เอทวาลถอนหายใจยาว ก่อนจะใช้ผ้าคลุมสีเข้มห่อร่างบางไว้มิดชิดแล้วอุ้มขึ้นแนบอก ชายหนุ่มสาวเท้าเร็วๆออกไปข้างนอกผ่านเปลวแสงแดดรุนแรง นัยน์ตาสีเขียวชะงักพลางทอดสายตาออกไปมองเส้นขอบฟ้าที่จรดกับขอบทะเล ณ จุดสิ้นสุดแห่งใดแห่งหนึ่ง
“ได้ยินใช่ไหมล่ะเซมิออน สัตว์เลี้ยงที่เจ้าเคยไว้ใจไงล่ะ”
ความคิดเห็น