คนที่เปนพี่สาว อย่านําตาไหลน่ะ - คนที่เปนพี่สาว อย่านําตาไหลน่ะ นิยาย คนที่เปนพี่สาว อย่านําตาไหลน่ะ : Dek-D.com - Writer

    คนที่เปนพี่สาว อย่านําตาไหลน่ะ

    น้องชายที่ยอมเสียสละให้พี่สาว

    ผู้เข้าชมรวม

    162

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    162

    ความคิดเห็น


    6

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  11 พ.ค. 49 / 07:43 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      อ่านกี่ครั้งก็................รู้สึก...อยู่เสมอ..........T_T 

      คนที่เป็นพี่สาว อย่าน้ำตาไหลนะ
       
      พี่-น้อง
      >
      >
      ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คน
      >
      แต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุ
      >
      ฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปี
      >
      วันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆ
      >
      ของฉันมีกัน
      >
      >
      จากนั้นพ่อก็รู้เรื่อง
      >
      >
      พ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพง
      >
      โดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน
      > "
      ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาด
      >
      >
      ฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกัน
      >
      พ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า
      > "
      ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพ
      >
      ก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"
      >
      >
      พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้น
      >
      >
      ทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้
      >
      แล้วพูดว่า
      > "
      ผมขโมยเองครับ"
      >
      >
      ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่อง
      >
      พ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุด
      >
      จนพ่อหอบด้วยความเหนื่อย
      >
      พ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน
      > "
      ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีก
      >
      แกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"
      >
      >
      คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้
      >
      หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมด
      >
      แต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อย
      >
      >
      กลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมาก
      >
      >
      น้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า
      > "
      พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"
      >
      >
      ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้
      >
      ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อ
      >
      >
      หลายปีผ่านไป
      >
      แต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง
      >
      >
      ฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลย
      >
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...
      >
      >
      เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้น
      >
      เขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียน
      >
      ม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลาย
      >
      ก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกัน
      >
      >
      คืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้าน
      >
      >
      ฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดี
      >
      เรียนดีมากนะ"
      >
      >
      แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า
      > "
      แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไร
      >
      ในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"
      >
      >
      ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า
      > "
      ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"
      >
      >
      พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่
      > "
      ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้
      >
      ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนน
      >
      พ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"
      >
      >
      คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆ
      >
      ทั่วทั้งหมู่บ้าน
      >
      เพื่อขอยืมเงิน
      >
      >
      ฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า
      > "
      ต้องให้น้องได้เรียนต่อ
      >
      ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"
      >
      >
      แต่ในขณะเดียวกัน
      >
      ฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้
      >
      ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืด
      >
      น้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้น
      >
      และถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิว
      >
      >
      ก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉัน
      >
      ขณะฉันกำลังหลับ
      > "
      พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....
      >
      ผมจะไปหางานทำ
      >
      แล้วจะส่งเงินมาให้พี่"
      >
      >
      ฉันนั่งอยู่บนเตียง
      >
      อ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...
      >
      ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไป
      >
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี .
      >
      >
      ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้าน
      >
      รวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที
      >

      >
      ไซท์ก่อสร้าง ...
      >
      ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3
      >
      >
      วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพัก
      >
      เพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธอ
      >
      อยู่ข้างนอกแน่ะ"
      >
      >
      ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???
      >
      ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่
      >
      ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง
      > ...
      >
      ฉันถามเขาว่า
      > "
      ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"
      >
      >
      น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิ
      >
      สกปรกมอมแมมออกอย่างนี้
      >
      ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆ
      >
      ก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"
      >
      >
      ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้อง
      >
      และพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ
      > "
      พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไง
      >
      เธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"
      >
      >
      จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง
      >
      เป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉัน
      >
      แล้วพูดว่า
      > "
      ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"
      >
      >
      ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใด
      >
      ดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานาน
      >
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี .
      >
      >
      วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรก
      >
      ฉันสังเกตเห็นว่า
      >
      หน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้ว
      >
      >
      เมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมาก
      >
      >
      หลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า
      > "
      แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจก
      >
      เพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"
      >
      >
      แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอก
      >
      น้องชายลูกต่างหาก
      >
      วันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้าน
      >
      ลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอ
      >
      น้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"
      >
      >
      ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขา
      >
      >
      ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือ
      >
      >
      ฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"
      >
      ฉันถาม
      >
      > "
      ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆ
      >
      มีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมด
      >
      แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะ
      >
      และ..."
      >
      >
      น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูด
      >
      เพราะฉันหันหน้าหนีเขา
      >
      น้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้ง
      >
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...
      >
      >
      หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมือง
      >
      หลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน
      > ...
      >
      แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธ
      >
      >
      ท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่ง
      >
      แต่เมื่อออกไปแล้ว
      >
      ท่านไม่รู้จะทำอะไรดี
      >
      จึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิม
      >
      >
      น้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป
      > ...
      >
      เขาบอกกับฉันว่า
      > "
      พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะ
      >
      ผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"
      >
      >
      สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัว
      >
      เราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท
      > ...
      >
      แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้
      >
      เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดา
      >
      >
      วันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิล
      >
      และตกลงมาเพราะโดนไฟดูด
      >
      เขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาล
      >
      >
      ฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล
      >
      น้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา
      > ...
      ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า
      >
      > "
      ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!
      >
      ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้
      >
      ดูตัวเองซิ
      >
      เจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"
      >
      >
      คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียด
      >
      ยังยืนยันความคิดเดิมของเขา
      > "
      พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธาน
      >
      ส่วนผมมันการศึกษาต่ำ
      >
      ถ้าผมได้เป็นผู้จัดการ
      >
      คงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"
      >
      >
      น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย .
      >
      ฉันบอกกับน้องว่า
      > "
      แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่..."
      >
      > "
      ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"
      >
      น้องชายของฉันจับมือฉันไว้
      >
      ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...
      >
      >
      เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปี
      >
      เขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกัน
      >
      >
      ในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า
      > "
      ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"
      >
      >
      น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" .
      >
      และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้
      >
      > "
      ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง
      >
      เราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียน
      >
      และเดินกลับบ้าน
      >
      วันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่ง
      >
      พี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่ง
      >
      และเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกล
      >
      เมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาว
      >
      เธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้น
      >
      >
      ผมสาบานกับตัวเอง
      >
      ว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดี
      >
      และจะทำดีกับเธอ"
      >
      >
      เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว
      >
      สายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉัน
      >
      >
      คำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้
      >
      คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"
      >
      >
      ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้
      >
      น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...
      >
      >
      จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆ
      >
      วันในชีวิตของคุณและเขา
      >
      คุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ
      >
      น้อยๆ
      >
      แต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง
      > ..
      ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือ
      >
      พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อน
      >
      หรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×