คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : (SF) 1987 ::Lumin:: [100%!]
1987
-Lumin-
Writer: AHLS
ฤดูร้อน ปี1987
ตู้ด------ตู้ด-------ตู้ด---
"สวัสดีครับ หอพักชายD-76ครับ"
"มินซอก นี่ฉันเอง"
"ห้ะ ใคร?"
"ฉันเองลู่หาน"
"อ้อ.. ลู่หาน" ซู่ ซ่า
"ฉันโทรจากตู้โทรศัพท์หนัาซอยหอพักของนาย"
"อ่า.. ซ่า ซ่า"
"สัญญาณไม่ค่อยดีเลย นายออกมาหาฉันหน่อยได้ไหม?"
"กริ๊ก ซ่า ซ่า ซ่า"
ตู้ด-- ตู้ด--ตู้ด--ตู้ด
----
ผมเป็นแบบนี้มาเดือนเศษแล้ว
มันเป็นการกระทำที่ค่อนไปในทางที่ผิด แต่เหมือนจิตสำนึกของผมปฏิเสธข้อกล่าวหานั้น
แต่ที่น่าแปลกคือเมื่อผมตื่นนอนขึ้นมา นอกจากอาการแฮงค์และปวดหัวจนสมองจะแตกเป็นเสี่ยง ก็ไม่มีความทรงจำของรายละเอียดจากการกระทำของผมในคืนนั้นอยู่เลย ผมจำได้ว่าโทรหามินซอก แต่ผมไม่รู้ว่าผมพูดอะไรออกไปบ้าง จำความรู้สึกในตอนนั้นไม่ได้เลย ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่าในห้วงเวลาเหล่านั้น ในขณะที่ผมกดเบอร์โทรศัพท์หามินซอกผมกำลังรู้สึกอย่างไร
เหมือนหมายเลขโทรศัพท์หอของมินซอกฝังตัวอยู่ในสมองของผม หลงทางอยู่ในเขาวงกตที่ผมคงหาทางออกไม่ได้
อี้ชิงบอกว่าผมอาจจะเป็นโรคประสาท เขามองผมดัวยสีหน้ากังวล มันจะตลกมากทีเดียวถ้าหากเขาไม่ได้นัดจิตแพทย์ให้ผมในสัปดาห์ต่อมา ทำเอาผมขำไม่ออก
แต่ความจริงแล้วจิตแพทย์คนนั้นก็ช่วยอะไรผมไม่ได้มาก ไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดนักสำหรับอาการของผม
น่าจะอย่างนั้นนะ
--
คนไข้:ลู่หาน อายุ22ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยxxx
อาการ: "โรคซึมเศร้า(อาจจะ)" มันเป็นซับเซตของอาการเปลี่ยวทางใจเนื่องจากโดนแฟนทิ้งไปแล้ว
แต่ไม่สามารถทำใจยอมรับได้ จึงทำให้เกิดActionที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง
วิธีรักษา:"หาแฟนใหม่"
ยารักษา: - (ต้องใช้ใจเท่านั้น)
ลงชื่อ
หมอxxx
--
"ลู่หาน นี่มึงยังไม่เลิกโทรหามินซอกตอนเมาอีกหรอ?" อี้ชิงพูดโพล่งขึ้นมากลางหัวข้อสนทนา ทำเอาหัวข้อมื้อเย็นที่ผมกำลังคิดจะปรึกษาถูกดูดกลืนหายไปกับความเงียบ
"....."
"จริงๆกูก็ไม่อยากให้มึงไม่สบายใจนะ แต่ว่าอี้ฟานมาพูดเรื่องนี้กับกูเมื่อวาน กูน่าจะนัดจิตแพทย์คนใหม่ให้มึง เผื่ออะไรๆมันจะดีขึ้น"
"มันไม่ช่วยอะไรหรอก มึง จริงๆแล้ว...ไม่เลย"
ใบหน้าผิดหวังของอี้ชิงทำให้ผมลำบากใจ
แต่ผมพูดออกไปตามความจริง การพบจิตแพทย์ในครั้งที่แล้วเป็นหนึ่งชั่วโมงที่ว่างเปล่า กลวงโบ๋ เหมือนผีเสื้อไม่เคยกระพือปีก ไม่มีผลที่ตามมาหลังจากการกระทำ มันคล้ายกับว่าผมนั่งเล่าเรื่องตัวเองให้เครื่องจักรฟัง จากนั้นก็รอมันประมวลผลคำตอบที่ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ ซึ่งมันไม่มีอะไรดีขึ้นเลย
...
ผมแยกกับอี้ชิงตรงหน้ามหาวิทยาลัย อี้ชิงย้ำผมเป็นครั้งที่สิบแปดว่าห้ามไม่ให้ผมดื่มของมึนเมาแล้วทำพฤติกรรมประสาทแบบนั้นอีก
เรื่องแค่นี้เอง ง่ายๆ ทำไมคนอย่างลู่หานจะทำไม่ได้ ??
ติ๊ด ติ๊ด
"ทั้งหมดสองร้อยบาทค่ะ"
สิบเก้านาฬิกาสี่สิบสี่นาที
ผมก้มลงมองถุงกระป๋องเบียร์ในมือ
----
"ลู่หาน"
"มินซอก"
"ลู่หานชอบฉันที่ตรงไหนหรอ?"
"ชอบที่ตรงไหนหรอ?"
"อือ ฉันอยากรู้"
"ฉัน....ลืมไปแล้วว่าชอบมินซอกที่ตรงไหน จำอะไรแบบนั้นไม่ได้เลย"
"โกหก"
"ไม่นะ ฉันลืมความรู้สึกนั้นไปแล้วจริงๆ จำไม่ได้เลยว่าเคยรู้สึกชอบมินซอกมาก่อน มันเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย"
".... ลู่หานกำลังพูดอะไรอยู่รู้ตัวไหม?"
"รู้ตัวสิ ฉันรู้ตัวว่ากำลังพูดแทนความรู้สึกของมินซอกอยู่ จริงๆนะ มินซอกไม่เคยเลยจริงๆใช่ไหม? หัวใจนายรู้สึกยังไงเรื่องนี้นายรู้อยู่แก่ใจ"
"....."
"เราควรจะจบมันลงตรงนี้รึเปล่า?"
----
บ่ายแก่ๆของวันพฤหัสบดี แบคฮยอนแฟนใหม่ของมินซอก(เหมือนจะได้ยินมาอย่างนั้น) เดินเข้ามาทักผมด้วยสีหน้ากังวล คิ้วของเขาขมวดเป็นปมขณะที่พยายามเรียบเรียงคำพูดต่างๆออกมาให้ผมฟัง ผมมัวแต่จ้องคิ้วของเขาจนจับใจความในสิ่งที่เขาพูดไม่ได้
"นี่นายฟังที่ฉันพูดอยู่รึเปล่า?"
"อืม ฟังอยู่ .... ฉันมีร้านกันคิ้วเจ๋งๆแนะนำ นายสนใจมั้ย?"
"ห้ะ? นี่นายไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยใช่มั้ย?" แบคฮยอนถามผมเสียงแข็ง โอเค เขาเริ่มจะก้าวร้าวแล้วนะ
“กิริยาวาจาก้าวร้าวแบบนี้ มินซอกคบนายลงไปได้ยังไง? ดูเหมือนรสนิยมของมินซอกจะต่ำลงนะ”
“พูดบ้าอะไรของนายวะ!?”
พลั้ก!
หมัดของแบคฮยอนกระแทกหน้าผมเต็มๆ
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องของอี้ชิงถือถุงน้ำแข็งประกบข้างแก้มด้านซ้ายที่โดนแบคฮยอนต่อยมาเต็มแรง(ผมคิดว่างั้นนะ) ไปพร้อมกับฟังเสียงบ่นของอี้ชิงประกอบฉาก
“มึงมันประสาทลู่หาน”
“มึงพูดประโยคนี้มากี่ครั้งแล้วได้นับมั้ย?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายใส่เขา ให้ตายเถอะ นอกจากโดนแฟนใหม่ของแฟนเก่าต่อยแล้วยังต้องมานั่งฟังอะไรบั่นทอนจิตใจแบบนี้อีก ผมควรจะไปกระโดดฆ่าตัวตายที่ตึกเอมไพร์เสตทรึเปล่า?
เขาถอนหายใจ
“โอเค กูรู้ว่าตอนนี้มึงกำลังมีปัญหา แต่ต้นตอของปัญหามันก็อยู่ที่ตัวมึงไม่ใช่หรอ? มึงโทรหามินซอกเฉพาะตอนมึงเมา พอมึงรู้แบบนั้นมึงก็ยิ่งพาตัวเองให้เมา เพราะอะไร? คำตอบพวกนั้นมึงน่าจะรู้ดีอยู่แล้ว"
เขาสูดลมหายใจลึกๆแล้วพูดต่อ
“ฟังนะ หอพักนั่นไม่ได้มีมินซอกอยู่คนเดียวมึงรู้ใช่ไหม การที่มึงโทรไปหาเขาตอนดึกๆดื่นๆแบบนั้นมันสร้างความรำคาญในวงกว้าง เสียงโทรศัพท์อันน่ารำคาญของมึงมันไปทำลายความฝันของคนหลายๆคน แล้วบางคนอาจจะกำลังฝันว่านั่งมองมาลิลีน มอนโรใส่กางเกงในสีแดงเต้นเบรกแด๊นซ์อยู่ก็ได้ แต่มึงกับเสียงโทรศัพท์ของมึงทำลายมันลง แล้วกูก็ไม่อยากให้ใครๆต่างมองมึงเป็นคนประสาทอีกแล้วถึงแม้ว่ามึงจะคล้ายๆเป็นคนประสาทจริงๆก็เถอะ มึงเข้าใจที่กูพูดนะ”
ผมไม่ได้พูดตอบอะไรอี้ชิงไป ความจริงแล้วผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ได้แต่นั่งมองมือตัวเองแบบไม่มีสาเหตุ ผมนั่งมองมันอยู่แบบนั้น ฟังเสียงถอนหายใจของอี้ชิงครั้งแล้วครั้งเล่า ในหัวมีภาพมาลิลีน มอนโรใส่กางเกงในสีแดงเต้นเบรกแด๊นซ์อยู่ที่ไหนซักที่ บางทีอาจจะเป็นห้องของมินซอก
--
D-76 | 799 |
“เมื่อคืนฉันฝันด้วยล่ะ” มิกซอกพูดขึ้นมาขณะที่เรากำลังนอนก่ายกันบนเตียงนอนเล็กๆในหอของมินซอก อากาศร้อนแทบบ้า ตัวเหนียวเหนอะหนะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องมานอนเบียดกันในตอนบ่ายแก่ๆของฤดูร้อน แต่ก็ไม่มีใครทักท้วงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งผม และมินซอก
“อือ ฝันว่าไงล่ะ?”
“ฝันเห็นผู้ชายคนนึง เขายืนอยู่ตรงหน้าผาสูงลึกมองตรงมาที่ฉัน ฉากหลังไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด เขายื่นมือมา เหมือนกับว่ากำลังเรียกให้ฉันไปหา” มินซอกยกแขนขึ้นมาทำท่าเหมือนคว้าอากาศ ผมมองดูการกระทำนั้นเงียบๆ “แล้วฉันก็ยืนมองเขาอยู่แบบนั้น” เขาพลิกตัวตะแคงหันมามองผม
“เขาเป็นใคร? หล่อมั้ย? หรือว่าคนคนนั้นคือฉัน?” ผมยิ้ม เขายิ้ม
“ไม่ใช่หรอก... ไม่ใช่ลู่หาน”
“อ้อ...”
“นี่ฉันยังเล่าไม่จบเลยนะ” มินซอกขมวดคิ้ว ผมยิ้มค้าง
“......เล่าต่อสิ”
“อือ...ตอนที่ฉันตัดสินใจจะก้าวไปหาเขา ลู่หานก็โผล่ขึ้นมา ดึงรั้งฉันไว้ แล้วอยู่ดีๆ นายก็ปล่อยฉัน ปล่อยไปเฉยๆ”
มินซอกปล่อยให้ประโยคทิ้งค้างอยู่แบบนั้น
ผมไม่รู้สึกว่าอยากพูดอะไรต่อมินซอกก็คงจะเหมือนกัน เราปล่อยให้ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
ผมจ้องมองมือทั้งสองข้างของตัวเองแบบไร้เหตุผล จนกระทั่งแว่วเสียงโทรศัพท์จากตรงเคาท์เตอร์ด้านนอก เสียงดังขึ้นแล้วดับไป ดูเหมือนว่าจะมีคนรับสายไปแล้ว ผมหันไปมองมินซอก เขายังคงนอนนิ่งอยู่แบบนั้น
“เขาจ้างคนมาดูแลตรงเคาท์เตอร์น่ะ แต่ก็แค่เฉพาะตอนกลางวันเท่านั้นแหละ” มินซอกพูดขึ้นมา เหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยเรื่องนี้อยู่
ปกติมินซอกจะเป็นคนรับสายโทรศัพท์ถ้าไม่มีใครอยู่ในละแวกนั้น เพราะห้องของเขาอยู่ใกล้โทรศัพท์ที่สุด มันเหมือนเป็นจันยาบรรณของคนที่นอนห้องนี้พึงปฏิบัติ
“หมายความว่าตอนกลางคืนนายก็ยังต้องคอยรับสายโทรศัพท์?”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้”
“หรอ...แย่หน่อยนะ”
มินซอกยักไหล่ เขาขยับเบียดตัวผม มือของผมชื้นเหงื่อ
เราทั้งคู่เอียงคอ รอฟังเสียงโทรศัพท์...
--
เย็นวันอาทิตย์ ผมเจอมินซอกที่ร้านกาแฟหลังมหาวิทยาลัย มันเป็นการพบโดยบังเอิญซึ่งผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นสักเท่าไรนัก แต่กว่าที่ผมจะรู้ตัว สายตาเราก็ประสานกัน.. ผมอยากจะเลี่ยงการเผชิญหน้าเพราะผมไม่พร้อมที่จะพบเขาตอนนี้ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้มินซอกเดินตรงมาที่ผม
"ลู่หาน" ผมนิ่งค้าง
ผมไม่แม้แต่จะหันไปมอง ไม่ตอบรับอะไรกลับไป ผมยืนนิ่งอยู่แบบนั้น แข็งทื่อเหมือนขนมปังฝรั่งเศสค้างคืน
ความจริงแล้วผมไม่รู้เลยว่าต้องทำตัวยังไงต่อหน้ามินซอกหลังจากทำพฤติกรรมประสาทแบบนั้นใส่เขามาเดือนเศษ มินซอกน่าจะเกลียดหน้าผมไปแล้วด้วยซ้ำ
"ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ"
ผมหันไปสบตาเขาแวบนึง
เป็นจังหวะเดียวกับที่พนักงานเรียกผมเพื่อรับกาแฟ ผมยื่นเงินที่กำอยู่ในมือให้พนักงาน ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้มือของผมกำลังสั่นและชื้นเหงื่อ
"โทษนะ พอดีฉันรีบ" ผมหันไปพูดกับมินซอกผ่านๆโดยไม่มองหน้า ก่อนจะรีบพาตัวเองออกจากร้านนั้น
ผมไม่อยากอยู่ในบรรยากาศที่มีมินซอกปรากฎตัวอยู่... มันอาจจะเป็นเพราะความละอายแก่ใจหรือความรู้สึกผิด หรืออะไรก็แล้วแต่ มันทำให้ผมอึดอัดแล้วไม่อยากจะอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นเลย
"เดี๋ยวสิ ลู่หาน!"เสียงเรียกของมินซอกดังตามหลังผมมา ก่อนที่ผมจะรู้สึกถึงแรงดึงตรงข้อมือ
"หยุดหนีฉันได้แล้ว!" มินซอกดึงให้ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับเขา...
ผมรู้ตัวว่าคงจะหนีไปไม่พ้นแล้วในครั้งนี้ …..
ผมไม่เคยหนีมินซอกพ้น ผมแพ้ราบคาบให้กับสายตาของมินซอกที่มองตรงมาที่ผม แพ้ใบหน้าน่ารักนั่น แพ้น้ำเสียงที่เขาใช้เรียกชื่อของผม แพ้สัมผัสทุกสัมผัสที่เขาเคยมอบให้ มันยังคงตรึงอยู่ในใจของผม
มันเหมือนกับเวลาที่คุณกำลังจ้องมองภาพวาดสีน้ำมันภาพหนึ่งที่คุณบังเอิญพบมันในซอกหลืบของพิพิธภัณฑ์ มันงดงามดึงดูดและตราตรึงใจคุณ คุณจ้องมองดูมันและคุณก็เริ่มซึมซับความงดงามนั้นไปทีละน้อย แต่คุณไม่สามารถจะสัมผัสมันได้ แม้คุณจะต้องการมันเพียงไหนก็ตาม
คุณทำได้เพียงแค่มองดูมันอยู่แบบนั้น แล้วเก็บมันไว้ในความทรงจำที่สวยงาม แต่ในความสวยงามนั้นคุณกลับรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องเดินจากมันมา ทิ้งมันไว้เบื้องหลัง คุณโหยหามันทุกค่ำคืน เป็นเหมือนภาพหลอนที่วนกลับมาซ้ำเติมคุณ ความเจ็บปวดนั้นกัดกินใจของคุณจนเหวอะหวะ
สายเกินไปแล้ว สายเกินกว่าที่จะรักษาให้หายดี...
--
"...."
"ทำแบบนี้ทำไม?"
เสียงของผมแหบแห้ง ผมก้มลงดูดกาแฟในมือ รสชาติของมันจืดชืด
"ทำแบบนี้หมายความว่าไง? คำถามนี้ฉันควรจะถามนายมากกว่าไม่ใช่หรอ?" ผมรู้ว่ามินซอกกำลังโกรธ เวลาที่เขาโกรธปากทางด้านขวาของเขาจะเอียงขึ้น45องศา ผมสังเกตมานานแล้ว
"นายจะมาเคลียเรื่องนั้นสินะ? ฉันรู้.. ฉันรู้...
เอาเป็นว่าฉันขอโทษ จะพยายามไม่โทรไปรบกวนที่หอนายอีก เข้าใจนะ ขอโทษจริงๆ ... อ้อ แล้วก็อีกอย่าง ฝากขอโทษแฟนใหม่นายด้วย แล้วก็ฝากไปบอกเขาด้วยนะว่าไม่ต้องมาให้เห็นหน้าอีก ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาแม้แต่วินาทีเดียว รวมไปถึงแฟนของหมอนั่นด้วย ชื่ออะไรนะ? แบคๆอะไรเนี่ยแหละ จบนะ ฉันไปล่ะ"
ผมพูดเร็วรัว ไม่แน่ใจว่ามินซอกจะฟังภาษาเกาหลีของผมรู้เรื่องมั้ย ผมรู้สึกว่าการเรียงประโยคของผมกำลังมีปัญหา แต่ผมขอแค่พาตัวเองออกไปจากสถาณการณ์นี้ให้เร็วที่สุดเท่านั้น
".... นายนี่มัน ห้ามขยับนะ! ห้ามเดินหนีไปเฉยๆแบบนี้นะ!!"เขาตะโกนตามหลังมาขณะที่ผมกลับตัวหันหลังกำลังจะเดินจากไปอีกครั้ง
"นายนี่มันซื่อบื้อโง่เง่าที่สุดเลยไอบ้าลู่หาน!"ผมยังคงไม่หยุดเดิน พยายามใจแข็งทั้งๆที่ข้างในเหลวเป๋ว อย่าหยุดเดินนะลู่หาน อย่าให้เขาเห็นนายเป็นไอไก่อ่อนไร้สมรรถภาพ
"ฉันไม่โกรธหรอกนะ เรื่องที่นายโทรมาหาฉันตอนเมาเกือบทุกคืน" ขาของผมหยุดกึก โดยที่ผมไม่ทันยั้งคิด
“ฉัน… ฉันแค่อยากให้เราเป็นเพื่อนกันได้”
เสียงของมินซอกเบาหวิวเหมือนกับสายลมในฤดูร้อนที่พัดผ่านตัวผมไป บางเบาแต่ความรู้สึกกลับชัดเจน ความร้อนที่พัดผ่านผิวหนังมันแทรกซึมบีบรัดไปถึงหัวใจ
โอเคผมควรจะทำใจยอมรับเรื่องนี้ได้นานแล้ว แต่เพื่อนกันมันจะไปยากตรงไหน?
ยากตรงไหน?
…
ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับมินซอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย นิ่งไว้ลู่หาน ก็แค่เพื่อนกันมันจะไปยากตรงไหน? ไม่เห็นจะยากเลย เขี่ยผักชีออกจากจานข้าวผัดยังยากกว่าเลย
“ฉันว่า..เราไม่ต้องมาเจอกันอีกเลยคงจะดีกว่า”
“จริงๆนะ เขี่ยผักชีออกจากข้าวผัดยังง่ายกว่าการกลับไปเป็นเพื่อนกับนายเลยมินซอก”
“หลังจากนี้ช่วยทำเป็นไม่รู้จักกันด้วยก็แล้วกัน”
“ลาก่อนนะ”
ลาก่อนนะงั้นหรอ?
--
ผมขอลากลับมาพักผ่อนที่บ้านสองอาทิตย์
ใช้เวลาเพียงสี่สิบห้านาทีคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษารออาจารย์ทำเรื่องอีกครึ่งชั่วโมง ทันทีที่ทำเรื่องเสร็จผมก็เก็บของที่จำเป็นและออกเดินทาง
ผมไม่ได้บอกเหตุผลอะไรกับอาจารย์ที่ปรึกษามากนักมากนักเพียงแค่ยื่นประวัติการพบจิตแพทย์ที่อี้ชิงเคยนัดไว้ให้เท่านั้น แล้วบอกกับเขาว่าผมต้องการเวลาพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจให้กลับไปเป็นปกติ ซึ้งเหมือนอาจารย์จะเห็นด้วยกับความเห็นนั้น
ผมกลับมาถึงบ้านของญาติห่างๆที่ต่างจังหวัด
ตัวบ้านเงียบสงัดตั้งตระหง่านเหงาหงอยเดียวดายอยู่เพียงลำพัง รอบข้างไม่มีบ้านหลังอื่นมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า เพราะเป็นที่ดินของญาติห่างๆชาวเกาหลีของผมทั้งหมด บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่ทุกคนย้ายออกไปเพราะหน้าที่การงานในเมืองหลวงแต่จะมีแม่บ้านมาคอยดูแลบ้านในทุกวันศุกร์ ผมได้รับอนุญาตให้พักที่บ้านหลังนี้ได้
ผมไขกุญแกเข้าไปในตัวบ้าน วางสัมภาระไว้ตรงบริเวรห้องนั่งเล่น
หยิบมีดในห้องครัวไปตัดสายโทรศัพท์ทิ้งซะ แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง…
ไว้ผมจะแก้ตัวกับญาติทีหลังว่ามันโดนหนูแทะจนขาด
ผมตัดสินใจแล้วว่าผมจะตัดขาดจากมินซอกทุกอย่างให้ได้ภายในเวลาสองอาทิตย์ ผมจะได้เลิกทำพฤติกรรมแบบนั้นสักที
..
ผมพบแฟนเก่าของมินซอกในคืนที่สามขณะที่ผมกำลังนั่งดื่มน้ำผลไม้ในคลับเล็กๆในเมือง(หลีกเลี่ยงสภาวะเมาปริ้นของตัวเองแต่ก็ไม่อยากนอนฟุ้งซ่านอยู่ที่บ้านคนเดียว) เขานั่งดื่มเบียร์อยู่ข้างๆผม มองตรงมาที่ผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เขามาทำอะไรในเมืองนี้?
“คนประเภทไหนกันที่มานั่งดื่มน้ำผลไม้ในคลับ” ผมสะดุ้ง คิดไม่ทันว่าจู่ๆเขาจะทักผมขึ้นมา
“.....”
“ฉันจำนายได้ ฉันอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับนาย” เขายื่นแก้วเบียร์ในมือมาให้ผม แต่ผมปฏิเสธไป
“คิม จงอิน ฉันรู้จักนายน่า” ผมกระดกน้ำผลไม้ต่อไปโดยที่ไม่หันไปมองหน้าเขา ความจริงแล้วผมไม่ค่อยชอบหน้าจงอินเท่าไหร่นัก
“....นายเคยคบกันมินซอกสินะ”ผมหันไปสบตาเขา จงอินกำลังยิ้มให้ผม มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
“เรื่องที่จบไปแล้วฉันไม่อยากพูดถึงมันอีก”ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป
“หึ... ดูก็รู้ว่านายยังลืมไม่ลง”
“อย่าเอาตัวเองมาตัดสินคนอื่น ทั้งๆที่นายไม่รู้เรื่องอะไรเลยจะดีกว่า”
“แล้วฉันจำเป็นต้องรู้อะไรงั้นเหรอ?”
ผมวางเงินลงบนเคาท์เตอร์ก่อนจะลุกขึ้น
“ไม่จำเป็น รู้ไปก็ไร้ประโยขน์”
“ฉันว่านายนั่นแหละ ที่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย”
“…”
ผมเดินออกมาจากร้านด้วยอารมณ์ขุนมัว จงอินมาทำบ้าอะไรในเมืองนี้ ความบังเอิญนี่มันไม่น่าพิสมัยจริงๆ
ลืมไม่ลงงั้นหรอ? เหอะ อยากลืมแทบบ้าแต่ลืมไม่เคยได้เลยต่างหาก
วูบนึง..ความรู้สึกสงสารพุ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
ผมรู้สึกสงสารมินซอกพอๆกับที่สมเพชตัวเอง...
มินซอกไม่เคยลืมจงอิน
...
ผมกลับมาที่บ้านดื่มเบียร์ไปสามกระป๋อง สิ่งที่เคยตั้งใจไว้เหลวเป๋ว ผมปล่อยให้ตัวเองจมดิ่ง
ผมยืนมองภาพตัวเองที่สะท้อนในกระจกบานใหญ่ ในนั้นผมเห็นมินซอกยืนอยู่ข้างหลังผม มองตรงมาด้วยสายตาเรียบเฉย สายตาที่ผมเกลียด ช่วงเวลาที่ผมคบกันมินซอก บ่อยครั้งที่เขามองผมด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่มีความรู้สึกใดๆปรากฏอยู่นอกจากใบหน้าบิดเบี้ยวของผมที่สะท้อนชัดเจนอยู่ในนั้น เขาโอบกอดผมไว้ อ้อมกอดของเขามันเย็นชืดไร้ความรู้สึก ผมยิ้มสมเพชให้กับตัวเอง
ผมมองเห็นใบหน้าของจงอินปรากฏแทนที่ผม และรอยยิ้มอบอุ่นไปทั้งหัวใจของมินซอกที่ผมไม่เคยได้รับ พวกเขาเริ่มจูบกันอย่างดูดดื่มร้อนแรง ภาพนั้นฉายซ้ำวนไปมาเหมือนม้วนวีดีโอที่มีปัญหา
ผมทนไม่ไหวแล้ว
ผมทนไม่ได้
ผมต้องพบมินซอก
ผมต้องคุยกับเขา
ผมคว้ากระเป๋าใบเดียวที่เอาติดตัวมาด้วยแล้ววิ่งออกจากบ้าน จับรถไฟเที่ยวสุดท้ายไปเมืองหลวง นั่งเหม่อมองนอกหน้าต่างสี่ชั่วโมงเต็ม ในสมองมีแต่ภาพมินซอกที่เรียงประติดประต่อกันไม่ได้ เหมือนผมพยายามจะเล่าหนังคนละเรื่อง
เมื่อมาถึงหอของมินซอกฟ้าก็เริ่มจะสว่างแล้ว ผมเดินผ่านป้อมยามมาง่ายๆเพราะลุงยามยังคงจำผมได้
ผมเดินไปหยุดหน้าห้องมินซอกก่อนจะเคาะประตูเรียก
ได้ยินเสียงปึงปังจากข้างในและประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับใบหน้างัวเงียของมินซอก
"มินซอก"
ผมคว้าคอเขามาจูบ มันเป็นจูบที่ดูดดื่ม รุนแรง และโหยหา ความเปียกชื้นทำให้ลืมความสับสนที่เคยมี ภาพบ้าบอทุกอย่างในสมองผมหายไปหมด มีเพียงภาพของมินซอกเท่านั้นที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า
ผมคิดถึงเขาจนแทบบ้า
ผมดันตัวอีกคนกลับเข้าไปในห้องพลิกตัวดันมินซอกพิงประตูปิด ผมถอนจูบออกมาแล้วจ้องลึกเข้าไปในดวงตาวูบไหวของมินซอก
"เลิกกับแบคฮยอนซะ! ฉันจะกลับมาคบกับนาย"
"ถึงนายจะลืมไอหอกจงอินไม่ได้ฉันก็จะไม่สน ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว
กลับมาคบกับฉันเถอะมินซอก
ฉันรักนาย"
ผมดึงมินซอกเข้ามากอดซุกหน้าลงรับความอบอุ่นที่โหยหา ได้ยินเสียงมินซอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่เขาจะผละตัวออกจากอ้อมกอด และจูงมือผมไปนั่งบนเตียง
"กว่าจะมาขอคืนดีได้นะ"
ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน"
มินซอกกำลังยิ้มให้ผม
มันเป็นยิ้มที่มาจากหัวใจ
"ความประสาทของลู่หานน่ะ มีแต่ฉันคนเดียวแหละที่รับมือได้"
END
สับสนวุ่นวายอะไรก็ไม่รู้มาก
ตอนแรกกะว่าจะไม่เอามาลงแล้วแต่ว่าดันไปสปอยไว้แล้ว555
เลยต้องลง ลงแบบงงๆงี้แหละ
อ่านไม่เข้าใจด่าได้ค่ะไม่ว่ากัน5555
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ!
AHLS.
@SQWEEZ
ความคิดเห็น