คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : [SF] I don't know...I love you Part 4/4 (End) จบแล้วจ้า
[SF] I don’t know I love you Part 4/4 (End)
Author: korazy_minnie
Couple: Changmin x Minho (ChangMinHo)
Genre: Romantic, Sensual, Drama
Rating (for this part): NC-17
Note: มันยาวมากอะไรมาก ระวังตาแฉะนะค้า ด้วยความปรารถนาดีจากไรทเตอร์ 555+
นาฬิกาข้อมือเรือนหรูบนข้อมือแกร่งถูกยกขึ้นมาดูเวลาหลายต่อหลายครั้ง หากไม่ดูเข็มนาฬิกาที่ค่อยๆ เคลื่อนอย่างช้าๆ ตามปกติแล้ว ดวงตาคมก็เอาแต่จ้องมองหน้าฟลอร์เต้นที่มีแผงคอนโทรลขนาดใหญ่และอุปกรณ์ดนตรีอีกหลากหลายชนิดซึ่งเป็นที่ยืนของคนที่เขากำลังเฝ้ารอในคืนนี้เช่นเดียวกับชายหนุ่มอีกหลายร้อยคนที่แออัดยัดเยียดมากยิ่งกว่าวันก่อนๆ เนื่องจากสืบทราบกันมาว่าคืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้พบดีเจคนสวยที่ไม่มีใครเคยล่วงรู้ความลับว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร และมาจากที่ไหน...
ช่างขัดกับจังหวะเพลง electronic dance ที่ทำให้นักเที่ยวในผับสุดหรูสนุกสนานแบบไม่ลืมหูลืมตา ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลากลับนั่งนิ่งๆ และยกไวน์แดงในแก้วคริสตัลใบสวยขึ้นมาจิบเป็นระยะๆ จนเพื่อนในกลุ่มที่กำลังนัวเนียกับสาวสวยข้างกายต้องคอยเหล่มองเพื่อนรักด้วยความเป็นห่วง
“นี่เมิงเป็นไรมากป่ะ ทำหน้าอย่างกับบริษัทเมิงจะล้มละลาย” ยุนโฮเอ่ยถามขณะกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงเด็กหนุ่มหน้าหวานที่อายุยังไม่น่าจะบรรลุนิติภาวะอย่างไม่อายสายตาใคร
ดวงตาคมปราดมองเพื่อนรักชองยุนโฮที่ชอบเอ่ยคำพูดกวนอวัยวะเบื้องล่าง สายตาดุดันจนทำให้เด็กหนุ่มหน้าหวานที่เผลอแอบมองใบหน้าหล่อเหลาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคนที่กำลังนัวเนียอยู่ถึงกับต้องซุกลงในอ้อมแขนล่ำๆ ของยุนโฮ
“ไหนเมิงบอกไม่ชอบผู้ชายไง นี่เมิงตกลงใจเป็นเกย์แล้วเหรอวะ” ชางมินเอ่ยวาจาร้ายกาจเสียดสีเพื่อนรักจนยุนโฮเกือบจะสำลักวิสกี้ที่เพิ่งถูกเด็กหนุ่มหน้าหวานป้อนเมื่อครู่ออกมา
“ไอ้เพื่อนเวรเอ้ย” ยุนโฮไอค่อกแค่กเล็กน้อยเพราะคำพูดช่างกระแทกใจอย่างแรงจนเถียงไม่ออก ดวงตาเรียวได้แต่มองขวางๆ เพื่อนรักที่ยิ้มร้ายที่มุมปากอย่างสะใจ
“กูไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ เพื่อนชองยุนโฮ” ชางมินแค่นหัวเราะ เหลือบมองเด็กหนุ่มหน้าหวานตัวเล็กๆ ที่นั่งเบียดกับยุนโฮ อดปฏิเสธไม่ได้ว่าหน้าตาน่ารักเสียยิ่งกว่าเด็กผู้หญิงเสียอีก ไม่แปลกนักที่เพื่อนรักของเขาจะชอบเพราะนี่มันสเปคของคนรักเด็กชัดๆ
“กูแค่ห่วงว่าเมิงจะติดคุกข้อหาพรากผู้เยาว์ไง” จบประโยคแสดงความเป็นห่วงของเพื่อนรัก ทั้งคยูฮยอนและคิบอมก็ถึงกับหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ชิมชางมินปากร้ายได้โล่ตลอดกาลจริงๆ
แล้วเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นจากฟลอร์เต้นด้านล่างเช่นดียวกับเมื่อวาน เป็นสัญญาณว่าดีเจคนสวยที่ทุกคนกำลังรอคอยได้มาถึงแล้ว ชางมินจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโซน VIP โดยไม่บอกกล่าวใครๆ ร่างสูงแทรกตัวผ่านกลุ่มนักเที่ยวที่ยืนกำลังตกตะลึงเมื่อดีเจคนสวยเดินผ่านกลางฟลอร์เต้นเข้ามา ส่วนชายหนุ่มต่างก็แหวกทางเดินให้คนสวยอย่างรู้งาน
ร่างสูงเพรียวของดีเจคนสวยยิ่งดูบอบบางในเสื้อสเวตเตอร์ไหมพรมคอกว้างตัวโคร่งลายขวางสีน้ำเงินสลับขาวกับกางเกงยีนสกินนี่สีน้ำเงินเข้มและรองเท้าบูทดำยาวครึ่งแข้ง ดวงตากลมดำขลับสะท้อนกับไฟดาวน์ไลท์สีขาวที่สาดส่องมาทางคนสวยอย่างจงใจ อายไลเนอร์สีดำเส้นบางที่ขอบตาล่างยิ่งขับให้ดวงตาสวยคมโดดเด่นบนใบหน้าเรียวได้รูป ริมฝีปากบางเคลือบลิปกรอสสีชมพูเผยยิ้มเล็กน้อยจนคนมองแทบลืมหายใจ เส้นผมดำขลับยาวระต้นคอระหงและไหล่ลาดขาวเนียนที่โผล่พ้นเสื้อคอกว้างที่มีเพียงผ้าพันคอเนื้อดีสีขาวพันไว้หลวมๆ เพียงเท่านั้น ดีเจคนสวยแจกยิ้มแล้วกวาดมองไปรอบๆ อย่างจงใจยั่วยวนเล็กน้อย แต่พลันก็เผลอสบตาเข้ากับคนอันตรายหมายเลขหนึ่งของเขาที่ยืนอยู่ในกลุ่มนักเที่ยวมากมาย ร่างสูงโปร่งกับใบหน้าหล่อเหลาช่างโดดเด่นมากกว่าใครๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้
ชเวมินโฮชะงักเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายสบตากลับมาอย่างจงใจ ดวงตาคมดูร้อนแรงราวกลับจะกลืนกินจนคนมองใจสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขาเพรียวจึงรีบเดินหนีร่างสูงที่แค่ยืนยิ้มบางๆ อย่างอารมณ์ดีกับปฏิกิริยาเขินอายแบบไร้เดียงสาที่เผลอแสดงออกมาเพียงเสี้ยววินาที...แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยคนสวยก็จำเขาได้
มือเรียวยกขึ้นทาบอกด้านซ้ายจนสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกเป็นจังหวะของหัวใจไม่รักดีที่ชอบทรยศเจ้าของ ใบหน้าหวานที่ขึ้นสีระเรื่อเล็กน้อยยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่จ้องคนสวยตาเป็นมันแทบอยากจะฉุดคนสวยกลับบ้านเมื่อเดินผ่านหน้าไป ดีเจคนสวยที่เดินผ่านบริเวณที่คนร้ายกาจยืนอยู่เมื่อครู่แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงสายตาที่คอยจ้องมองเขาอยู่เกือบตลอดเวลา มินโฮจำต้องฉีกยิ้มให้บรรดาลูกค้าของผับต่อไปอย่างจำใจแม้จริงๆ แล้วอย่างจะวิ่งหนีกลับไปนอนพักให้หัวใจกลับมาเต้นในจังหวะที่ปกติเสียก่อน
ระหว่างที่ดีเจคนสวยก้มหน้าก้มตาเซตระบบก่อนจะรับช่วงต่อจากดีเจรุ่นพี่ก็เผลอถอนหายใจยาวๆ หลายครั้งจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกฝ่ายใส่หูฟังอันใหญ่อยู่ รุ่นพี่จึงต้องสะกิดแขนบอบบางเบาๆ จนดีเจคนสวยที่แอบใจลอยเผลอสะดุ้งเฮือก
“เฮ้ นายโอเคดีนะ เห็นนายถอนหายใจซะถี่ ไม่สบายอะไรหรือเปล่า”
“ผมโอเคดีฮะรุ่นพี่ เผลอใจลอยนิดหน่อยน่ะ” มินโฮยิ้มจนตาหยีเพื่อให้อีกฝ่ายเลิกเป็นห่วง แต่การกระทำเกินจริงยิ่งทำให้รุ่นพี่ดีเจสังเกตความผิดปกติได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“งั้นตั้งใจทำงานนะ...โชคดีล่ะ พี่หวังว่าจะได้เจอนายอีกนะ อย่าทิ้งงานที่นายรักไปล่ะ” รุ่นพี่ดีเจไม่อยากเซ้าซี้มากนักจึงตบไหล่เล็กเบาๆ เพื่อให้กำลังใจก่อนจะยกหน้าที่ให้มินโฮที่ส่งสัญญาว่าเซตระบบเรียบร้อยแล้วพอดี
ชางมินแทรกตัวผ่านนักเที่ยวจำนวนมากที่แออัดยัดเยียดกันอยู่ในฟลอร์เต้นที่ใหญ่มากแต่กลับดูแคบไปถนัดตาในวันนี้เพื่อไปยังมุมเงียบๆ มุมหนึ่ง ดีเจคนสวยยังคงทำหน้าที่เปิดเพลงตามปกติโดยรับรีเควสจากนักเที่ยวผ่านกระดาษโน้ตใบเล็กที่มีพนักงานของร้านคอยเอาไปส่งให้จำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ข้อความบนนั้นกลับไม่ได้ขอเพลง หากเป็นเบอร์โทรศัพท์ พินบีบี อีเมล์ หรือข้อความแซวคนสวยให้แอบยิ้มเล็กๆ เป็นระยะๆ
ยิ่งคนสวยยิ้มซะน่ารักมากเท่าไหร่ ชางมินยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเขาอยากจะเก็บรอยยิ้มนั้นไว้ดูเพียงคนเดียว อยากจะครอบครองคนสวยไว้เพียงคนเดียว แต่เอาเข้าจริงเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่ารู้สึกจริงจังกับคนสวยแค่ไหน ถึงต้องการมากแค่ไหนแต่เขากลับไม่อยากบังคับเพื่อให้ได้มา...สำหรับคนๆ นี้
ชางมินเอ่ยขอกระดาษใบเล็กจากพนักงานของผับที่เดินผ่านมาพอดี ชายหนุ่มเขียนบางอย่างลงไปแล้วส่งให้พนักงานหนุ่มพลางมองไปทางดีเจคนสวยที่ดูสนุกกับงานของตัวเอง ร่างบางขยับเล็กน้อยตามจังหวะเพลงอย่างมีความสุข มือเรียวเคลื่อนไปมายังอุปกรณ์เบื้องหน้าอย่างคล่องแคล่วพร้อมทั้งยังมีเวลายิ้มเล็กยิ้มน้อยกับข้อความน่ารักๆ เป็นบางช่วงจนชายหนุ่มที่สถาปนาตนเองเป็นแฟนคลับของดีเจคนสวยต่างกลืนน้ำลายกันอย่างหื่นกระหายแถมยังเอ่ยคำหยาบจาบจ้วงคนสวย จนเขาอดเป็นห่วงร่างบางนั้นไม่ได้
ดีเจคนสวยรับกระดาษโน้ตสารพัดสีมาอีกครั้งแล้วค่อยๆ แกะอ่านแต่ละข้อความอย่างมีความสุข แต่หนึ่งในข้อความนั้นทำให้ใบหน้าสวยต้องหันมองหาคนที่ส่งมา ดวงตากลมโตกลอกไปมาเพื่อมองหาร่างสูงเจ้าของข้อความ หากก็ไม่เห็นใครคนนั้นอีก...
วันนี้กลับด้วยกันนะ ผมอยากไปส่งคุณ
ถึงรู้ว่าคุณไม่ไว้ใจผมก็เถอะ แต่ผมจะรอแล้วกันนะครับ...ชางมิน ^^
มินโฮเก็บกระดาษโน้ตใบเล็กไว้ในกระเป๋ากางเกงอย่างเงียบๆ เขากำลังกลัวกับความรู้สึกตัวเองว่าอาจจะไม่สามารถข่มความรู้สึกหวั่นไหวกับการกระทำอันแสนอ่อนโยนของชางมินได้อีกต่อไป...
ด้านร่างสูงกลับเลือกที่จะออกมาเดินเล่นด้านนอกแทนที่จะรอดูคนสวยต่อไป ชางมินอาจจะทนไม่ได้แล้วขึ้นไปลากตัวดีเจคนสวยออกมาหากยังได้ยินชายหนุ่มคนอื่นพูดถึงดีเจคนสวยแบบสองแง่สองง่ามอีก แม้รู้ดีว่าทางร้านคงไม่ปล่อยให้ใครมายุ่มยามคนดีเจคนสวยของร้านอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็แอบเห็นบอดี้การ์ดร่างยักษ์ยืนอยู่ไม่ห่างจากคนสวยเพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ไม่ห่าง...แต่ก็นั่นแหละ หากไม่ได้ยินแล้วคงจะปล่อยให้คนสวยได้ทำงานอย่างสบายอกสบายใจมากกว่า เขาจึงเลือกมานั่งเล่นด้านหลังผับพร้อมจุดบุหรี่นอกมวนเล็กที่บังเอิญอยู่ในกระเป๋ากางเกงพอดี ควันสีเทาจางๆ ลอยขึ้นจากปลายสีส้มสดท่ามกลางความมืดมิดที่มีเพียงแสงเลือนลางจากด้านหลังอาคารเพียงเท่านั้น
มือหนาล้วงไอโฟนสีดำขลับขึ้นมาเล่นตามความเคยชินเมื่อมีเวลาว่าง นิ้วเรียวลากไปมาเพื่อหาเกมบางอย่างเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอ แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนใจแล้วกดโทรออกเพื่อหาเบอร์ๆ หนึ่งที่ตั้งแต่ได้มายังไม่เคยโทรกลับไปหาเลยสักครั้ง เสียงรอสายดังขึ้นไม่นานนัก อีกฝ่ายหนึ่งก็กดรับสาย ชางมินสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“นายนอนรึยังน่ะ มินโฮ” เขาก็นึกประโยคอื่นไม่ออก...นี่มันก็เที่ยงคืนกว่าแล้วนี่ แถมไม่ได้มีธุระอะไรเสียด้วย
“เอ่อ...ขอโทษนะคะ พี่มินโฮไม่ได้อยู่ตรงนี้น่ะค่ะ” เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้นทำให้ชางมินอดแปลกใจไม่ได้
“แล้วมินโฮไปไหนล่ะครับ” ชางมินถามอย่างใจเย็น แม้ลึกๆ แล้วอยากจะรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นใครใจจะขาด
“พี่มินโฮ...เอ่อ แล้วคุณเป็นใครล่ะคะ” เสียงใสถามอย่างลังเลก่อนจะตอบคำถามอีกฝ่าย
“...ผมชื่อชิมชางมินครับ”
“คุณชิมชางมิน!!!” คนในสายตะโกนกลับมาเสียงดังลั่นจนชางมินหูแทบชา “คือหนูเป็นน้องสาวของพี่มินโฮค่ะ ชื่อมินจี ชเวมินจีค่ะ” เสียงใสแนะนำตัวอย่างตื่นเต้น ก็อีกฝ่ายเป็นหนุ่มหล่อในฝันของเธอเชียวนะ แต่ป๊าของกลับเลือกพี่ชางมินให้พี่มินโฮ แม้เธอจะเสียใจบ้างแต่ถ้าได้เป็นน้องสะใภ้ของตระกูลชิมก็ได้ใกล้ชิดกับพี่ชางมินเช่นกัน มินจีเลยเริ่มทำใจได้ แม้เมื่อเช้ามินโฮบอกเธอว่าไม่ชอบชางมินก็เถอะ แต่มินจีก็ดูออกว่า...พี่ชายต้องชอบพี่ชางมินแน่นอน ก็พูดถึงชื่อนี้แล้วก็ทำเป็นเขินและหน้าแดงตลอดนี่นา
“อ่า ครับ” ชางมินดูจะแปลกใจอยู่บ้าง เขายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชเวมินโฮมากนัก แม้กระทั่งตอนนี้ก็เพิ่งได้รู้ว่ามินโฮมีน้องสาวด้วย “แล้วมินโฮไปไหนล่ะครับ”
“พี่มินโฮลืมมือถือทิ้งไว้ที่บ้านเมื่อเช้าค่ะ มินจีเลยเก็บไว้ให้” เด็กสาวอธิบายอย่างคล่องแคล่ว ช่างต่างจากพี่ชายที่ดูเงียบๆ และมีโลกส่วนตัวบางอย่างที่คนทั่วไปคงยากที่จะเข้าถึง “พี่ชางมินมีอะไรจะฝากมั้ยคะ พรุ่งนี้มินจีจะเอามือถือไปคืนให้พี่มินโฮพอดีค่ะ”
“เอ่อ...แล้วมินโฮยังไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ”
“พี่มินโฮคงไปทำงานที่...อุ๊บบบ“ เด็กสาวเกือบเผลอหลุดบอกว่ามินโฮมาทำงานเป็นดีเจเสียแล้ว แต่ถึงไม่หลุดออกมาก็ทำให้อีกฝ่ายนึกสงสัยอยู่ดี “น่าจะไปทำงานที่คอนโดของเพื่อนอ่ะค่ะ แต่ก็คงไม่กลับบ้าน”
เด็กสาวเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอกโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายแอบสังเกตว่ามินโฮและน้องสาวคงมีบางอย่างปิดบังเขาอยู่แน่ๆ หากแต่เขาเลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้ก่อนแล้วค่อยไปซักเจ้าเด็กมินโฮอีกทีดีกว่า
“งั้นก็ไม่เป็นไรครับ แค่จะโทรมาคุยเล่นเฉยๆ น่ะครับ งั้นราตรีสวัสดิ์น้องมินจีด้วยนะครับ”
ชางมินกดวางสายไปพร้อมกับความสงสัยเรื่องบางอย่างที่มินโฮปิดบังไว้ ชายหนุ่มอดแปลกใจกับตัวเองไม่ได้อีกครั้งที่เลือกที่จะโทรไปหาชเวมินโฮอย่างไม่มีเหตุผล...ก็ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว ยังต้องมีเหตุผลให้อ้างเวลาโทรหากันด้วยหรือ ชางมินเลือกที่จะตอบตัวเองแบบนั้น โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปเป็นเพราะความคิดถึงต่างหาก
ร่างสูงสูดสารก่อมะเร็งเข้าร่างกายอีกครั้งก่อนจะขยี้มวนบุหรี่กับถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้งในรอบวัน ทั้งๆ ที่เป็นคนตั้งกติกาในการคบหากับชเวมินโฮเสียเอง แต่เขากลับรู้สึกผิดอยู่ในใจลึกๆ ที่กำลังหลงใหลกับดีเจคนสวยเสียขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ต่างฝ่ายก็มีอิสระที่จะคบหาใครก็ได้...หากแต่เขากลับอยากให้อีกฝ่ายเอ่ยปากเพื่อผูกมัดเขามากกว่านี้ หรือแสดงอาการไม่พอใจบ้างตอนที่เขาเอ่ยเรื่องกติกานี้ขึ้นมา
ฝนเม็ดเล็กจากท้องฟ้าเริ่มโปรยปรายเบาๆ โดยที่ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ชางมินเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดสนิทที่มีเมฆสีเข้มกลุ่มใหญ่ลอยเอื่อยบนท้องฟ้าที่แสนเงียบเหงา ชายหนุ่มเผลอมองนาฬิกาอีกครั้งหากยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคนสวยที่นัดเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไว้ไม่ไกลเพื่อหยิบร่มคันใหญ่แล้วเดินกลับมารอยังทางออกที่คาดว่าคนสวยน่าจะใช้เป็นทางออก นอกจากเขาแล้วยังมีชายหนุ่มอีกหลายคนที่น่าจะมีเป้าหมายเป็นคนสวยไม่ต่างกันยืนจับกลุ่มรอแทบจะไม่ต่างกับแฟนคลับศิลปินที่อดทนยืนรอคนที่ตนเองประทับใจ...คนเหล่านี้ก็แทบไม่ต่างกัน
สักพักใหญ่ประตูบานเล็กค่อยๆ เปิดออกพร้อมทั้งร่างบอบบางที่คุ้นตาเดินสะพายเป้ใบใหญ่ออกมา ใบหน้าหวานดูตกใจเล็กน้อยที่เห็นว่ามีคนมารอเขาอยู่ด้านนอกอีกด้วย ชายหนุ่มหลายคนพยายามยื่นของขวัญให้คนสวยหากโชคดีที่บอดี้การ์ดร่างยักษ์ที่ติดตามออกมาช่วยคุ้มกันให้ คนตัวเล็กตื่นกลัวเล็กน้อยกับจลาจลย่อยๆ บริเวณทางออก ดวงตากลมโตกวาดมองไปในกลุ่มคนที่แออัดกันอยู่หน้าประตู มือเล็กล้วงไปกำกระดาษใบเล็กในกระเป๋ากางเกงเสียแน่น แม้บอกตัวเองว่าไม่ได้คาดหวังอะไร แต่กลับรู้สึกโหวงๆ เมื่อไม่พบคนที่ให้สัญญาว่าจะรอเขา...
“มองหาอะไรอยู่ครับ” ร่างสูงโปร่งของชางมินภายใต้ร่มคันใหญ่ยืนยิ้มบางๆ ให้อยู่ตรงหน้าเรียกให้คนสวยหันมามองได้แทบจะทันที ชางมินยกยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นท่าทางคนสวยเมื่อครู่ที่มองเลิ่กลั่กเหมือนเด็กน้อยหลงทางกับพ่อแม่ หากเพียงได้สบตากันดวงตากลมโตก็กลับเป็นประกายอีกครั้ง...อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าคนสวยกำลังมองหาเขาอยู่
บอดี้การ์ดในชุดดำหันมาสบตาคนสวยที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ร่างบางให้สัญญาณว่าเขารู้จักคนตรงหน้า บอดี้การ์ดหนุ่มจึงพาคนสวยเดินมาส่งจนถึงร่มคันใหญ่ที่ยื่นมาด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อรอรับคนที่เพิ่งมาถึง เพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่ายมินโฮก็ควบคุมหัวใจตัวเองไม่ได้เสียแล้ว เขาช่างอ่อนแอและไม่ใช่พวกที่เก็บความรู้สึกได้ดีนัก...ขาเรียวก้าวช้าๆ เข้ามาอยู่ในร่มสีดำคันใหญ่อย่างขัดเขินท่ามกลางสายตาของชายหนุ่มที่หมายปองคนสวยจำนวนมาก ชางมินอดรู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่แผ่เข้าครอบคลุมรอบตัวเขาไม่ได้
“ผมจะโดนแฟนคลับคุณฆ่าทิ้งมั้ยที่คนสวยแบบคุณเลือกมากับผมเนี่ย”
“ก็รีบเดินสิฮะ จะยืนอยู่ทำไมล่ะ” คนสวยแอ๊บโหดแก้เขินคนตรงหน้าที่มองมาทางเขาอย่างอ่อนโยน คนสวยรีบเดินหนีชางมินที่มัวแต่ตกตะลึงในความน่ารักของเจ้าตัวจนต้องก้าวถี่ๆ เพื่อเดินตามไปกางร่มให้คนน่ารัก...ของเขา
“เขินเหรอ”
“ไม่ได้เขิน แต่ฝนมันตกนี่ คุณจะยืนตากฝนอีกนานมั้ยล่ะฮะ” ไม่ได้เขินเลยสักนิด...แค่ใบหน้าหวานก้มงุดจนแทบไม่ได้มองทางแล้ว
“แล้วนี่จะเดินไปไหนรู้แล้วเหรอ” เสียงทุ้มทักขึ้นเสียงสั่น เพราะพยายามกลั้นหัวเราะให้กับความเปิ่นของคนสวยที่ดูงดงามจนไร้ที่ติตรงหน้า หากก็เป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มน่ารักธรรมดาคนหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา...ร่างบางดูผ่อนคลายเวลาพูดคุยกับเขาราวกับเป็นคนรู้จักกันมานาน
“เอ่อ...” ชเวมินโฮแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนี หากพื้นถนนไม่ใช่คอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี เขาคงมุดลงไปแล้ว
“นี่...ทางนี้ต่างหาก” ชางมินถือวิสาสะคว้าข้อมือเล็กไว้แล้วกึ่งลากกึ่งจูงคนสวยไปยัง Lamborghini สีดำขลับคันโปรดของเจ้าตัวที่จอดโดดเด่นท่ามกลางความมืด
ชางมินอ้อมมากางร่มให้คนสวยพร้อมเปิดประตูไว้รอ สมแล้วที่ใครๆ ก็บอกว่าชิมชางมินเป็นเพลย์บอยติดอันดับของเกาหลี เพราะความเป็นสุภาพบุรุษที่รู้จักเอาอกเอาใจคนอื่นขนาดนี้ไม่แปลกที่สาวๆ ที่ไหนจะกล้าปฏิเสธผู้ชายที่หล่อ รวย เท่ขนาดนี้ได้ ชเวมินโฮเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเล่นเกมอะไรอยู่...ทั้งพี่ชางมินที่ดูแลเขาอย่างอ่อนโยนและคนที่ร้ายกาจขนาดที่เจอหน้ากันครั้งแรกก็ขโมยจูบจากเขาไปได้โดยที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรได้ทั้งสิ้น เขากำลังหัวใจเต้นแรงกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักได้แค่สองวัน...จะใจง่ายไปหน่อยแล้ว ชเวมินโฮ
“มองผมทำไม หืมม์” ชางมินแปลกใจที่อยู่ดีๆ คนสวยก็ยืนเหม่อจ้องเขาอยู่ข้างๆ รถจนเขาต้องกระตุกข้อมือเล็กเบาๆ “เวลาคุณใจลอยน่ะ น่าจับจูบชะมัดเลย” ไม่พูดอย่างเดียว ใบหน้าหล่อเหลาก็เคลื่อนมาใกล้จนลมหายใจรินรดแก้มแดงปลั่งเป็นจังหวะ ดีที่เด็กหนุ่มไหวตัวทันรีบมุดลงไปนั่งในรถแทบจะทันที จนชายหนุ่มอดระเบิดหัวเราะออกไม่ได้กับความใสซื่อของคนสวยที่ชักจะทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
(อ่านต่อตรงนี้เรยจ้า ><)
รถคันงามวิ่งบนถนนใหญ่ใจกลางกรุงโซลในเวลาเกือบตีหนึ่งที่แทบไม่มีรถวิ่งแล้ว หากคนขับกลับใช้ความเร็วระดับรถประจำทางประหนึ่งจะขับรถกินลมชมวิวจนคนนั่งรู้สึกรำคาญ เขาง่วงจะตายอยู่แล้ว แต่ถ้าหลับไปแล้วเกิดถูกพาไปทำมิดีมิร้ายก็คงแย่ เด็กหนุ่มเลยต้องพยายามถ่างตาไว้ให้มากที่สุด
“ง่วงก็หลับไปสิครับ” ชางมินเห็นคนสวยขยี้ตาปรือๆ หลายครั้งอย่างน่าสงสาร “บ้านคุณอยู่ตรงไหนก็บอกมาสิ ไม่ต้องนั่งชี้ให้ผมเลี้ยวทางนั้นทางนี้ก็ได้นะ ผมขับรถมาจนทั่วโซลแล้ว ไม่หลงหรอกน่า”
“ไม่เป็นไรครับ อ่า...เลยแยกนี้ก็เลี้ยวขวานะฮะ” ว่าแล้วคนสวยก็ออกคำสั่งดื้อดึงกับประโยคเมื่อครู่ของชางมิน
“กลัวพาไปทำอย่างอื่นใช่มั้ยล่ะ” ชางมินพูดอย่างรู้ทัน
“แล้วที่คุณทำเมื่อวานมันน่าให้ผมไว้ใจคุณรึเปล่าล่ะ”
“...แต่คุณก็ยังกลับมากับผมนี่” ชางมินเถียงกลับทันควัน “จริงๆ แล้วคุณเผลอชอบผมเข้าแล้วล่ะสิ”
“หลงตัวเอง” คนสวยเริ่มต่อปากต่อคำ “แค่ฝนมันตกแล้วก็คุณบอกว่าจะมาส่ง ประหยัดค่าแท็กซี่ได้ตั้งเยอะ”
“เหรอครับ...” ชางมินลากเสียงยาวแบบกวนๆ จนคนสวยเบ้หน้าด้วยความหมั่นไส้ “นี่ไว้ใจผมจริงเหรอ ผมไม่ใช่คนดีนักหรอกนะ”
“ก็รู้สึกว่า...คุณไม่ได้เลวขนาดนั้นซะหน่อย เพราะถ้าเมื่อวานคุณตั้งใจจะทำอะไรผม ผมรู้ว่าคุณก็ทำได้” เด็กหนุ่มพูดตามที่ตนเองรู้สึกจากใจจนอีกฝ่ายเผลอยิ้มออกมา ดวงตากลมเหม่อมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงโซล มือเล็กเกาะกระจกบานใสที่เย็นเฉียบและชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำฝนที่เกาะบนอยู่ภายนอก แพขนตายาวกระพริบถี่ๆ เนื่องจากเริ่มต้านทานความง่วงไม่ค่อยไหว วันนี้เขาทำงานดึกกว่าทุกวันเนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้มาทำงาน อีกทั้งอากาศเย็นและเบาะนุ่มๆ ก็ยิ่งชวนให้หลับเสียเหลือเกิน
“บอกให้หลับไปไง ดื้อจริงๆ เหมือนคนๆ นึงที่ผมรู้จักชะมัด” อยู่ดีๆ ชางมินก็นึกถึงมินโฮขึ้นมา คนสวยกับมินโฮดูใสซื่อพอๆ กัน แถมยังดูดื้อเงียบเหมือนกันอีก หากคนได้ฟังถึงกับสะดุ้งเพราะรู้ดีว่าชางมินกำลังหมายถึงตัวเอง ก็เมื่อเช้าเพิ่งโดนว่ามาหยกๆ นี่นา
“ไม่เอา อีกแป๊บนึงก็ถึงแล้ว จริงๆ มันน่าจะถึงนานแล้วถ้าคุณไม่ขับรถช้าอย่างกับเต่าคลานแบบนี้” คนสวยยังคงดื้อต่อไปแล้วไม่วายจิกกัดให้อีกต่างหาก
“ก็ผมอยากอยู่กับคุณนานๆ นี่” ใบหน้าหล่อเหลาหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้หนึ่งที จนหัวใจคนฟังกระตุกวาบ “นี่ตกลงจะไม่บอกหน่อยรึไงว่าคุณชื่ออะไร เป็นใครมาจากไหนน่ะ”
“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ เราคงได้เจอกันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“พูดจริงๆ เหรอ” ชางมินเหลือบมองใบหน้าหวานที่ดูเศร้าลงไปถนัดตาเหมือนมีเรื่องบางอย่างในใจ “ทำไมคุณถึงไม่ทำงานต่อล่ะ ดูคุณออกจะมีความสุขนะเวลาทำงาน”
“คุณดูออกด้วยเหรอ ผมนึกว่ามัวแต่นั่งหลีสาวๆ ซะอีก”
“สองวันที่ผ่านมาผมมองแต่คุณนะครับ คนสวย” เจอคำหวานหยอดเข้าไปอีกดอกคนสวยถึงกับหน้าแดงจนเถียงไม่ออก “เราดูสนิทกันง่ายกว่าที่คิดนะ คุณว่ามั้ย”
“คิดไปเองสิ ใครไปสนิทกับคุณ” คนสวยยังปากแข็ง ทั้งๆ ที่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน...แค่สองวันที่ได้เจอกันกลับรู้สึกเหมือนได้รู้จักกันมานาน ทั้งๆ ที่มินโฮก็ไม่ได้สนิทกะใครได้ง่ายขนาดนั้น หากการได้ต่อปากต่อคำกับชางมินกลับเรียกรอยยิ้มบนใบหน้าได้เรื่อยๆ “อ๊ะๆ เลี้ยวเข้าถนนข้างหน้านี่แหละครับ จะถึงแล้ว”
“อยู่คอนโดแถวนี้เหรอ” ชางมินเลี้ยวรถตามคำสั่งคนสวยเข้าไปย่านดังของกรุงโซล แม้จะอยู่ไกลจากใจกลางเมืองแต่ที่อยู่อาศัยแถวนี้ก็ราคาไม่ใช่ถูกๆ ทีเดียว “ท่าทางคุณคงรวยน่าดูนะ อยู่แถวนี้น่ะ” ดวงตาคมมองคอนโดสูงตกแต่งอย่างหรูหราที่ผ่านไปแต่ละที่อย่างสนใจ
“ส่งผมแถวนี้ก็ได้ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง” มินโฮรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ตลกแล้ว ผมอุตส่าห์มาส่งคุณถึงบ้านใจคอจะไม่พาผมขึ้นไปเลี้ยงน้ำชากาแฟหน่อยเหรอครับ”
“จะตีสองแล้วยังจะกินของพวกนี้ เดี๋ยวก็นอนไม่หลับหรอก...เฮ้ย จอดได้แล้วฮะ ถึงแล้วๆ” คนสวยโวยวายเสียงดังจนชางมินตกใจเหยียบเบรกกะทันหันซะจนหัวกลมๆ กระแทกกับกระจกหน้ารถดังป๊อกจนน้ำตาเม็ดเล็กออกมาปริ่มดวงตาคู่สวย
“โอ๊ยยยยย...”
“เป็นอะไรรึป่าว เจ็บตรงไหนมั้ยเนี่ย” ชางมินรีบดึงร่างบอบบางเข้ามากอดปลอบแล้วลูบหัวเบาๆ มินโฮที่ทั้งเจ็บและตกใจจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ในอ้อมแขนอบอุ่นของชางมิน “ขอโทษนะครับ ขอโทษจริงๆ”
“ผมไม่ได้เจ็บขนาดนั้นหรอก” ดวงตากลมช้อนขึ้นมองคนที่ดูห่วงเขาจนโอเว่อร์ แม้ตอนแรกจะแอบคิดอคติกับชางมินไปเสียเยอะว่าคงเป็นพวกชอบฉวยโอกาสอยู่ไม่น้อย แต่ใบหน้าคมดูรู้สึกผิดจริงๆ ทั้งที่คนผิดคือเขาเองที่เผลอตะโกนเสียงดังใส่ “ผมไม่เป็นไรหรอก...”
ใบหน้าน่ารักที่อยู่ในอ้อมกอดกับดวงตากลมโตกับแพขนตายาวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมทำให้ชางมินไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้อีก ริมฝีปากอุ่นกดลงบนหน้าผากมนของคนสวยในอ้อมกอดเบาๆ หมายจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้ มือหนาลูบเส้นผมอ่อนนุ่มสีดำขลับอย่างทะนุถนอมราวกับคนในอ้อมกอดเป็นของล้ำค่า
“ขอโทษนะ...แต่คุณน่ารักเกินไปแล้วนี่”
“คนฉวยโอกาส...”
พูดไม่ทันขาดคำก็โดนคนเจ้าเล่ห์รุกล้ำ คนสวยยู่ปากน้อยๆ แต่ยิ่งทำให้ชางมินแทบคลั่งในความน่ารักของคนสวย จึงเผลอแตะริมฝีปากลงไปอีกครั้งบนกลีบปากนุ่มเคลือบลิปมันกลิ่นหอมหวาน กดย้ำๆ อยู่สองสามรอบอย่างแผ่วเบาจนเด็กไร้เดียงสาในอ้อมกอดเริ่มเคลิบเคลิ้มกับสัมผัส ริมฝีปากอิ่มเผยอเล็กน้อยอย่างไม่ตั้งใจ สองคนเผลอจดจ้องกันและกันด้วยความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูด...สับสน หวั่นไหว หรืออะไรก็ตามแต่ หากคนทั้งคู่กลับเลือกที่จะทิ้งโลกแห่งความจริงไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้ความรู้สึกควบคุมความต้องการในจิตใจเบื้องลึกของกันและกัน
มือแกร่งกระชับเอวคนสวยไว้ในอ้อมกอด มือขวาลูบไล้โครงหน้าได้รูปของอีกฝ่ายอย่างโหยหา กลีบปากร้อนของฝ่ายรุกล้ำจุมพิตเบาๆ ตั้งแต่หน้าผากเนียน จมูกโด่งรั้น แวะหอมแก้มนิ่มเสียฟอดใหญ่ทั้งสองข้างจนคนสวยในอ้อมกอดเริ่มไร้เรี่ยวแรง มือบอบบางเกี่ยวกระหวัดรอบต้นคอของชางมินไว้ขณะที่ชายหนุ่มเชยคางมนขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้รับสัมผัสได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ริมฝีปากร้อนไล่แทะเล็มกลีบปากนุ่มราวกับของหวานเลิศรส ดูดดึงจนเกิดเสียงน่าอายดังไม่หยุดหย่อน คนอ่อนประสบการณ์ครางเสียงหวานในลำคอยิ่งกระตุ้นให้ชายหนุ่มส่งเรียวลิ้นร้อนไปสำรวจโพรงปากนุ่มของอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงใจ คราวนี้คนสวยเริ่มตอบสนองกับสัมผัสของชางมินได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักลิ้นร้อนต่างไล่เกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มีใครยอมใคร กลีบปากร้อนถูกบดขยี้อย่างร้อนแรงและแนบชิดเสียจนไม่มีอากาศแทรกผ่าน ความรู้สึกวาบหวามเสียวซ่านที่ไม่คนสวยไม่เคยรู้สึกมาก่อนสร้างความอึดอัดและทรมานบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ มือเล็กขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่จัดทรงอย่างดีของอีกฝ่ายเพื่อระบายความรู้สึกประหลาดที่ชวนอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
ริมฝีปากซุกซนของชางมินเริ่มไล่ซุกไซร้ต้นคอระหงที่มีผ้าพันคอสีขาวผืนบางพันไว้อย่างไม่แน่นหนา มือหนาจึงดึงออกอย่างง่ายดายจนเผยให้เห็นลาดไหล่ขาวเนียนตัดกับสีน้ำเงินเข้มของเสื้อสเวตเตอร์คอกว้าง กลิ่นหอมกรุ่นจางๆ ของน้ำหอมบริเวณต้นคอยิ่งกระตุ้นให้ชางมินขบเม้มสร้างรอยรักสีกุหลาบไว้บนผิวเนียนอย่างต้องการเป็นเจ้าของจำนวนนับไม่ถ้วน มือที่รั้งเอวบางไว้แน่นค่อยๆ สอดผ่านสเวตเตอร์สีเข้มเข้าไปสัมผัสผิวเนียนนุ่มมือ มือหนาลูบไล้แผ่นหลังก่อนจะค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นมาทางด้านหน้าจนสะกิดตุ่มเนื้อนุ่มหยุ่นบนแผ่นอกบอบบาง
“อื๊อ...อย่า...ตรงนั้น” เสียงหวานวิงวอนขอร้องเสียงกระเส่า ติ่งไตที่อ่อนนุ่มถูกปลุกให้ชูชันขึ้นด้วยฝีมือร่างสูง มือหนาเคล้นคลึงบริเวณที่ไวต่อสัมผัสอย่างแผ่วเบาสลับกับหนักหน่วงเป็นระยะๆ
“ร่างกายคุณ...มันไม่ได้ปฏิเสธผมเลยสักนิด” เสียงทุ้มกระซิบข้างหูคนสวยปากแข็ง ขบเม้มเบาๆ ที่ติ่งหูอย่างจงใจแกล้ง มือหนาก็เลิกเสื้อตัวโคร่งขึ้นไปด้วย “บอกแล้วไงว่าคุณต้องการผม”
“อา...” แม้พยายามสะกดกลั้นเสียงครางอันเกิดจากแรงอารมณ์ไว้ได้ หากอีกฝ่ายกลับยิ่งสนุกที่จะแกล้งคนสวยมากยิ่งขึ้น ลิ้นร้อนเริ่มละเลงไปทั่วติ่งไตชูชันสีชมพูเข้มพร้อมทั้งดูดดึงจนร่างบอบบางกระตุกเป็นจังหวะตามสัมผัสอันเร่าร้อน ส่วนร่างกายท่อนล่างเริ่มถูกปลุกเร้าอย่างเชี่ยวชาญจากมือที่ว่างอยู่อีกข้างลูบไล้ต้นขาด้านในไปพร้อมๆ กัน คนสวยไร้เดียงสาที่ถูกกระตุ้นอารมณ์ไปพร้อมๆ กันทั้งด้านบนและล่างรู้สึกทรมานแทบขาดใจ อยากปลดปล่อยความอึดอัดที่เพิ่มทวีบริเวณส่วนกลางของลำตัว หากแต่ก็อับอายเกินกว่าจะขอร้องร่างสูง...
“อา...ไปต่อบนห้องคุณได้มั้ย” เสียงทุ้มครางต่ำตามแรงอารมณ์ คนสวยของเขาพยายามบิดร่างหนีเมื่อมือหนาสัมผัสโดนส่วนกลางของลำตัวที่พองขึ้นผ่านผ้าเนื้อหนาจนเห็นได้ชัด
“มะ...ไม่ไหว...อา...ผมไม่ไหวแล้ว” ร่างบอบบางโผเข้าหาชางมินพร้อมส่งสายตาวิงวอน “ชะ...ช่วยผมนะฮะ...ตอนนี้เลย”
“ไม่ต้องบอก ผมก็เต็มใจช่วยคุณอยู่แล้วครับ” ชางมินจูบหน้าผากคนสวยที่หลับตาสนิทอย่างหวาดกลัวเมื่อมือหนาเริ่มปลดตะขอสกินนี่สีเข้มแล้วดึงลงอย่างรวดเร็วจนเห็นแกนกายร้อนที่ขยายตัวเต็มที่แล้วในชั้นในสีขาวซึ่งเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำรักสีขาวขุ่นเป็นวง
“คงอึดอัดน่าดูสินะ” ชายหนุ่มลูบมือผ่านเนื้อผ้าบางเป็นการแกล้งคนสวยจนเกร็งกายต้านอย่างทรมาน “บอกชื่อคุณหน่อยสิ...ผมอยากรู้จักคุณมากกว่านี้”
มินโฮที่ทรมานแทบขาดใจกัดริมฝีปากด้วยความลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำตอบรับหรือปฏิเสธ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งกลับกำลังสนุกกับการปลุกเร้าอารมณ์ร่างบางด้วยการสร้างขบเม้มสร้างรอยรักสีชมพูไว้แถวต้นขาขาว รวมทั้งมือหนาก็กำลังบดขยี้ติ่งไตสีสวยด้านบนอย่างสนุกมือ ดวงตาคมเหลือบมองคนน่ารักที่กำลังกลั้นน้ำตาแห่งความทรมานอย่างน่าสงสาร...เขาช่างใจร้ายกับคนสวยเกินไปแล้ว
“ผมจะไม่บังคับคุณ...แต่เรียกชื่อผมนะครับ” นิ้วเรียวเกี่ยวชั้นในสีขาวให้พ้นทางเพื่อให้คนน่ารักไม่ต้องรู้สึกอึดอัดอีก ริมฝีปากอุ่นสัมผัสเบาๆ ที่ส่วนปลายเพื่อต้องการหยอกล้อก่อนจะช่วยคนสวยปลดปล่อยอย่างจริงจัง “เรียกผมว่าชางมินสิครับ คนเก่ง”
“ชาง...มิน พี่ชางมิน” ดวงตาดำขลับหวานฉ่ำกับริมฝีปากอิ่มที่เผยอรับอากาศเข้าไปในร่างกายยิ่งทำให้ร่างบอบบางดูยั่วยวนมากขึ้นในสายตาของเขา ชายหนุ่มใช้มือหนากอบกุมแกนกายของคนสวยแล้วรูดขึ้นลงเป็นจังหวะเนิบนาบ หากค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคนสวยเริ่มครางจนไม่เป็นภาษา
“อ๊า...” ใบหน้าหวานเริ่ดขึ้นอย่างเสียวซ่านเมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดจากการช่วยเหลือของร่างสูง ในสมองขาวโพลนจนไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อีก มือบอบบางขยุ้มกลุ่มผมสีน้ำตาลเข้มไว้แน่นพร้อมกับน้ำรักสีขาวขุ่นพุ่งเป็นสายจากส่วนปลายจนเฉอะแฉะต้นขาขาวทั้งสองข้าง ลิ้นร้อนเปียกชุ่มของร่างสูงค่อยๆ ไล่ทำความสะอาดแกนกายอย่างทะนุถนอม หัวใจของเด็กหนุ่มเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาเพราะบทรักอันร้อนแรง...ที่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของค่ำคืนนี้เท่านั้น
ดวงตาคู่คมประสานกับดวงตาคู่สวยหวานฉ่ำอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างจ้องมองกันและกัน อยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านี้ เวลาที่มีกันและกันเพียงสองคน เวลาที่เป็นอิสระจากพันธนาการทั้งหลาย ยิ่งมองลึกลงไปในดวงตาของกันและกันยิ่งปลุกเร้าความต้องการจนไม่มีจุดสิ้นสุด...ใบหน้าหล่อคมเคลื่อนเข้าหากลีบปากอ่อนนุ่มที่กำลังสั่นระริกอย่างเย้ายวน
“ผมต้องการคุณ...” เสียงทุ้มครางแหบพร่าข้างใบหูเล็กจนใบหน้าหวานแดงซ่านและร้อนผ่าว จมูกโด่งคลอเคลียแก้มใสที่ขึ้นสีแดงจัดด้วยความหลงใหล
“อือ...” คนสวยพยักหน้ารับรู้อย่างเขินอาย ใบหน้าสวยเบี่ยงไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการสบกับสายตาอันร้อนแรงของชางมิน แต่มือหนาก็ประคองใบหน้าสวยให้หันมาสบตากันอีก
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ต่อจากนี้ผมไม่ปล่อยคุณแล้วนะ”
มือหนาลากผ่านแผงคอนโทรลเพื่อปรับเบาะนั่งด้านข้างให้เอนลงก่อนจะเคลื่อนกายมาคร่อมร่างบอบบางที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอน แถมเสื้อผ้าก็เริ่มหลุดลุ่ยหมิ่นเหม่ต่อสวัสดิภาพตนเองที่โดนดวงตาคมโลมเลียอย่างไม่เกรงใจ มือเล็กที่พยายามดึงเสื้อผ้าให้กลับเข้าที่ๆ ควรจะเป็น หากแต่มือใหญ่สัมผัสเบาๆ ที่ข้อมือก่อนจะเอ่ยคำพูดอันแสนจาบจ้วง
“ไม่ต้องใส่หรอก เดี๋ยวคุณก็โดนผมถอดอีกอยู่ดี”
“คุณนี่มัน...” คนสวยถลึงตาโตเหมือนแมวตัวเล็กกำลังขู่ฟ่อๆ แต่คนขี้แกล้งกลับคว้ามือเล็กมาทาบไว้บนแผ่นอกหนาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นผ่านเนื้อผ้าชั้นดี
“จะให้ดีคุณช่วยถอดเสื้อผมดีกว่ามั้ย คนสวย”
“นึกว่าผมไม่กล้ารึไง...” มือบอบบางค่อยๆ แกะกระดุมเม็ดเล็กบนเสื้อเชิ้ตทำงานสีดำสนิทของอีกฝ่ายด้วยท่าทางเงอะงะ ผิดกับอีกฝ่ายที่กำลังหยอกล้อกับติ่งไตสีชมพูบนแผ่นอกบอบบางอย่างเชี่ยวชาญจนเรียกเสียงครางได้เป็นระยะ โพรงปากร้อนครอบครองติ่งไตสีสวยเข้าไปให้ลิ้นอุ่นละเลงอย่างเมามัน ไม่นานนักเสื้อเชิ้ตเนื้อดีก็หลุดออกเผยให้เห็นผิวสีแทนสุขภาพดีและมัดกล้ามสวยงามจนมินโฮยังนึกอิจฉา มือเล็กลูบไล้ร่างกายสมบูรณ์แบบอย่างหลงใหลโดยที่ไม่รู้เลยว่ายิ่งปลุกเร้าอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายในของร่างสูงให้อยากปลดปล่อยมากขึ้นทุกที
“นี่ยั่วผมอยู่ใช่มั้ยคนสวย” ชางมินอดยิ้มอย่างพอใจไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าหวานแสดงความรู้สึกตกใจที่เผลอสัมผัสร่างกายของอีกฝ่ายไปเมื่อครู่โดยไม่รู้ตัว “เดี๋ยวถ้ามันเจ็บก็กอดผมไว้นะ”
ชางมินไม่รอให้คนสวยที่อยู่ด้านล่างตั้งตัว ริมฝีปากอุ่นก็เริ่มบทรักร้อนแรงด้วยจูบอันดูดดื่มอีกครั้งที่คนสวยเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นจนเป็นฝ่ายเริ่มแลกลิ้นกับคนที่เข้ามารุกล้ำก่อนเสียเอง มือเล็กเผลอลูบไล้แผ่นหลังเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายอย่างไร้การควบคุมเมื่ออีกฝ่ายเริ่มปลุกปั่นอารมณ์ที่ด้านล่างของร่างกายให้ร้อนรุ่มขึ้นอีกครั้งทั้งๆ ที่ริมฝีปากของคนทั้งคู่แทบไม่ได้ผละจากกันแม้เพียงเสี้ยววินาที ชางมินอาศัยเวลาที่ร่างบางกำลังเคลิบเคลิ้มกับรสจูบหวานล้ำค่อยๆ แยกต้นขาขาวออกจากกันจนเห็นช่องทางรักทางด้านหลังอย่างเลือนลางด้วยแสงไฟสลัวจากถนนและพระจันทร์เต็มดวงที่ลอยแทรกอยู่ในกลุ่มเมฆหนาทึบ...อากาศด้านนอกที่กำลังเย็นจัดเพราะฝนที่ตกปรอยๆ มาหลายชั่วโมงติดกัน หากคนสวยกำลังรู้สึกร้อนไปทั้งร่างกายรวมทั้งความปวดหนึบที่แล่นริ้วเมื่อนิ้วเรียวแทรกผ่านช่องทางลับ แม้ชางมินจะอ่อนโยนกับคนสวยมากกว่าใครๆ แต่ครั้งแรกที่ไม่คุ้นเคยกำลังสร้างความทรมานเจียนตายให้คนด้านล่าง
“ฮือ...เจ็บ ผมเจ็บ...” มินโฮครางอย่างทรมานจนร่างสูงต้องค่อยๆ ขยับทีละนิดเพื่อขยายช่องทางด้วยความอดกลั้นทั้งที่ร่างกายของเขาแทบระเบิดออกมาเมื่อช่องทางเล็กบีบรัดแน่นเป็นจังหวะอย่างเชิญชวน
“อย่าเกร็งครับคนดี ผ่อนคลายนิดนึงจะได้ไม่เจ็บนะครับ” ชางมินปลอบขวัญด้วยจูบเบาๆ บนหน้าผากเนียนที่ผุดพรายไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ อย่างหวาดกลัว ร่างบางจึงค่อยคลายความกลัวลงได้บ้าง ช่องทางเล็กชุ่มฉ่ำค่อยๆ คลายตัวรองรับนิ้วเรียวอีกสองสามนิ้วที่ตามมาขยายช่องทางเล็กเพื่อให้ร่างเล็กคุ้นเคย
“มะ...ไม่ไหว...ละ...แล้ว” ความรู้สึกเจ็บที่ระคนกับความต้องการคนตรงหน้ามีไม่น้อยไปกว่ากัน แต่เขาก็เลือกที่จะรับความเจ็บปวดที่แสนหวานมากกว่า “พี่ชางมิน...ฮือออ ไม่ไหวอีกแล้ว”
ร่างบอบบางด้านล่างร้องครางอย่างทรมานเมื่อแกนกายที่ขยายตัวเต็มของร่างสูงค่อยๆ แทรกเข้าไปในช่องทางรักอันชุ่มชื้นจนสุด ความรู้สึกปวดหนึบแล่นริ้วไปทั่วท้องน้อยจนเผลอจิกเล็บลงบนใหญ่กว้างของอีกฝ่าย ชางมินช้อนสะโพกขาวขึ้นเล็กน้อยเพื่อคลายความเกร็ง ชายหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนกายเข้าออกอย่างเชื่องช้าแล้วเพิ่มความเร็วมากขึ้นตามแรงอารมณ์พร้อมทั้งไม่ลืมปรนเปรอให้คนสวยอย่างถึงใจอีกรอบจนใกล้ถึงฝั่งฝันเต็มที
คนสวยรู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองหน้าชางมินอีกแล้ว ใบหน้าหวานผันหนีไปอีกด้านเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับแววตาอันร้อนแรง ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานเมื่อครู่ยังคงอยู่ หากความสุขสมที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนทำให้เขาเริ่มผ่อนคลายและช่วยขยับสะโพกมนไปตามจังหวะของคนด้านบน ร่างกายที่เชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียวเคลื่อนไหวไปพร้อมกันอย่างเร่าร้อน...จนถึงความสุขสุดยอดที่ทำให้ทั้งคู่ครางออกมาอย่างเสียวซ่าน ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ เอ่ยออกมาให้กันอีก มีเพียงสัมผัสรักทีมอบให้กันครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งสัมผัสยิ่งต้องการกันมากขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล หากจะเรียกว่าลุ่มหลงก็คงไม่อาจปฏิเสธได้...
แต่เบื้องหลังยังมีสิ่งที่เรียกว่า “โชคชะตา” ที่ไม่มีใครฝืนได้คอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างเงียบเชียบ...อนาคตจะเป็นอย่างไรคงมีเพียงคนสองคนเท่านั้นที่สามารถให้คำตอบได้
ช่วงดึกสงัดย่านนี้แทบไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมาแม้เป็นย่านที่อยู่อาศัย อากาศเย็นสบายเช่นนี้คงมีความสุขนักที่ได้ซุกตัวลงใต้ผ้าห่มอุ่นในห้องนอนอันแสนคุ้นเคย หากชเวมินโฮกำลังนอนกอดกับผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันได้แค่สองสามวันในที่แคบๆ แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและมีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ สองร่างที่แนบชิดกันจนแทบไม่มีอากาศแทรกผ่านกระเถิบตัวเข้าหากันเพื่อมอบความไออุ่นให้แก่กัน หัวเล็กๆ ซุกแผ่นอกกว้างของร่างสูงอย่างออดอ้อนจนชายหนุ่มเผลอหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขแล้วกระชับร่างเล็กที่มีเพียงเสื้อผ้าคลุมไว้ลวกๆ เข้าสู่อ้อมกอด
“คืนนี้ผมมีความสุขมาก...เพราะคุณ” ชางมินลูบศีรษะคนน่ารักอย่างเอ็นดู “แล้วคุณจะทิ้งผมไปจริงๆ เหรอ...”
“พี่พูดซะน่าสงสารเชียวนะครับ” คนสวยหัวเราะคิกคักอารมณ์ดี “เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้พี่ชางมินก็หาคนอื่นมาแทนที่ผมได้...ไม่ใช่เหรอฮะ” ดวงตาคู่สวยช้อนมองอย่างตัดพ้อ
“ใช่...ผมหาได้อยู่แล้วแหละ” ชางมินแกล้งยั่วโมโหคนสวยโดยการไม่ปฏิเสธแม้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังประชดอยู่ก็ตาม
“นั่นสิฮะ พี่ชางมินก็คงพูดแบบนี้กับทุกคน” คนสวยพูดเสียงอ่อย ขอบตาร้อนผ่าวเหมือนน้ำตาจะไหลเสียให้ได้
“ที่ผ่านมาผมจะเป็นยังไง แต่ผมอยากให้คุณ...เป็นคนสุดท้ายของผม”
คำพูดธรรมดาที่ไม่เคยได้ตระเตรียมไว้ก่อนกลับเอ่ยออกมาอย่างง่ายดายกับคนตรงหน้าโดยไม่ลังเล บางอย่างบอกว่าคนตรงหน้าคือโชคชะตาของเขา...คือพรหมลิขิตของเขา
“ประโยคที่คุณพูด...รู้รึเปล่าฮะว่าหมายความว่าอะไร” คนสวยอยากร้องไห้ออกมา คงดีกว่านี้ถ้าประโยคนี้เขาจะได้ฟังในฐานะชเวมินโฮ ไม่ใช่ดีเจคนสวยที่เมื่อผ่านพ้นคืนนี้ก็จะหายไปอย่างไม่มีตัวตน เขาเองก็ไม่กล้าพอที่จะเปิดเผยความจริงในตอนนี้ อาจจะโกรธกันจนเข้าหน้ากันไม่ติด หรือชางมินอาจจะนึกรังเกียจชเวมินโฮที่สุดแสนจะธรรมดาซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา...คนตรงหน้าจะรับมันได้จริงๆ เหรอ
“ผมแค่อยากกอดคุณไว้แบบนี้เพราะมันทำให้ผมมีความสุข ผมอยากตื่นขึ้นมาทุกเช้าแล้วบอกว่า...ผมชอบคุณมากแค่ไหน”
“...”
น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่มีเหตุผลคั่งคลอปริ่มขอบของดวงตาคู่สวย หัวใจดวงเล็กพองโตและเต้นระรัวเพราะคำบอกรักกลายๆ ของชางมิน หากคำพูดคงไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่ส่งผ่านดวงตาคู่คมที่มินโฮรู้สัมผัสได้ถึงความจริงใจ นิ้วยาวค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้คนสวยตรงหน้าอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
“คนสวยขี้แย เจอหน้าผมทีไรคุณก็ร้องไห้ทุกที”
“...ผมแค่สงสัยว่าผมดีพอที่จะเป็นคนสุดท้ายในชีวิตพี่จริงๆ เหรอครับ” คนสวยถามเสียงสั่นเครือ “เรารู้จักกันแค่ชั่วข้ามคืน ทำไมพี่ชางมินถึงชอบผมล่ะครับ”
“นั่นสิ...” ชางมินครุ่นคิดนิดหนึ่งแต่ก็หาเหตุผลเพื่อเป็นคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่เขานึกออกในตอนนี้ “คุณอาจเป็นพรหมลิขิตของผมก็ได้”
“น้ำเน่าชะมัด...แต่รู้มั้ยฮะ ผมอยากให้มันเป็นความจริงชะมัดเลย” คนน่ารักยิ้มเศร้าๆ ไม่กล้าสบตาชางมิน กลัวจะเผลอสารภาพความจริงออกไปเพราะความรู้สึกผิดที่อัดอั้นอยู่ในใจ เขาแค่รู้สึกว่าควรยุติบทบาทคนสวยนิรนามได้แล้ว...เพราะเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกเมื่อได้พบกับผู้ชายตรงหน้า
“แต่...ผมว่าเราควรหยุดเอาไว้แค่นี้เถอะครับ พี่อาจจะผิดหวังถ้าได้รู้จักผมจริงๆ”
“ แล้วถ้าเราไม่ลองทำความรู้จักกัน คุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะผิดหวังในตัวคุณ” มือหนาเชยคางมนขึ้นเพื่อสบตา “คุณรู้มั้ย...นับจากรักครั้งแรกของผม ผมไม่เคยคิดจริงจังกับใครมากเท่านี้มาก่อน”
“ฮึก...” มินโฮเริ่มสะอึกสะอื้น หัวใจที่เข้มแข็งของเขากำลังอ่อนยวบลงเพราะคำพูดและสายตาที่จริงใจคู่นั้น
“คุณอาจจะลังเลในตัวผมอยู่ใช่มั้ย” ชางมินลูบศีรษะคนน่ารักในอ้อมกอดเอาไว้อย่างอ่อนโยน “ผมจะรอเวลาที่คุณพร้อม แต่ผมจะไม่ตัดใจจากคุณง่ายๆ หรอกนะ”
“คุณอาจไม่เจอผมอีกแล้วก็ได้...”
“เพราะผมเชื่อว่าคุณคือพรหมลิขิตของผม...ไม่มีทางที่เราจะไม่ได้เจอกันอีกหรอก” ชางมินยิ้มบางๆ ให้คนตรงหน้า เขาไม่เคยอ่อนข้อให้ใครมากเท่านี้มาก่อน นิสัยชอบเอาชนะของเขาเอามาใช้ไม่ได้เลยกับคนสวยที่แสนเปราะบางตรงหน้า แม้ต้องการคนตรงหน้ามากแค่ไหน หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมเขาก็คงไม่สามารถบังคับใจได้ อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรเป็นต้นเหตุให้คนสวยต้องร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก
“ถึงเราจะไม่ได้เจอกันอีก...ผมก็อยากให้พี่รู้ว่า ผมไม่เสียใจกับเรื่องวันนี้เลยสักนิด” ริมฝีปากอวบอิ่มเผยยิ้มบางเบาหากแต่งแต้มดวงหน้าหวานให้สวยหวานราวกับนางฟ้าตัวน้อยจนชายหนุ่มเกือบจะเปลี่ยนความตั้งใจเมื่อครู่นี้...อยากเหนี่ยวรั้งคนสวยตรงหน้าเอาไว้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
มินโฮจัดเครื่องแต่งกายจนเรียบร้อยก่อนอีกฝ่าย ดวงตากลมโตเหลือบมองอีกฝ่ายที่กำลังจัดการกับตนเองอย่างไม่ค่อยถนัด มือเล็กจึงเอื้อมไปช่วยร่างสูงติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอย่างขัดเขิน ดวงตาคมจ้องมองคนน่ารักที่แก้มแดงปลั่งด้วยความเอ็นดู
“คุณจะน่ารักเกินไปแล้วนะ” ริมฝีปากอุ่นแตะหน้าผากมนอีกครั้งอย่างแผ่วเบา
“พี่ทำอะไรเป็นอีกบ้างมั้ยนอกจากเอาแต่กอดกับจูบผมน่ะ” คนสวยค้อนขวับหลังจากติดกระดุมเสร็จ มือบอบบางสองข้างผลักร่างสูงออกให้ห่างตัว
“ลาก่อนนะฮะ...”
คนสวยเอ่ยคำอำลาพร้อมดวงตาคู่สวยที่รื้นด้วยน้ำตา ขาเรียวยาวก้าวออกไปอย่างไม่มั่นคงนักเพราะร่างกายช่วงล่างยังรู้สึกปวดหน่วงอยู่บ้าง หากไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากของชิมชางมิน ดวงตาคมเพียงแต่มองตามร่างบางที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนลับสายตา หัวใจที่เคยเข้มแข็งกลับบีบรัดแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชางมินหลับตาแน่นเพื่อข่มความรู้สึกโหยหาที่พุ่งพล่านอยู่ในใจ หากยังอยู่ตรงนี้ต่อไปเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเผลอทำตามความต้องการเบื้องลึกในใจอีกหรือไม่ ขายาวจึงเหยียบคันเร่งอย่างแรงจนรถคันหรูพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิดยามรัตติกาล
หลังจากเสียงเครื่องยนต์ชั้นดีที่ดังกระหึ่มค่อยๆ แผ่วเบาลง มินโฮอดหันกลับไปมองบริเวณที่เขาใช้เวลาอยู่กับชางมินเมื่อครู่ก็พบเพียงความว่างเปล่า ร่างบางทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งที่เปียกชื้นด้วยน้ำฝนที่สวนเล็กๆ หน้าคอนโด น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ในใจลึกๆ ยังอยากให้ชางมินเหนี่ยวรั้งเขาไว้...
ดวงตากลมโตเหม่อมองท้องฟ้ามืดสนิทที่ปกคลุมไปด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ เอ่ยขอพรจากพระเจ้าอย่างเงียบๆ ในใจ
“พระเจ้าครับ...ผมขอให้เขาเป็นพรหมลิขิตของผมได้มั้ยฮะ”
ร่างสูงในสูทสีเข้มแบรนด์เนมเข้ารูปตัดกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินลงมาจากชั้นสองของคฤหาสน์หลังงามด้วยอาการง่วงเหงาหาวนอน เพราะกว่าจะถึงบ้านก็เกือบตีสี่แถมกว่าจะข่มตาหลับลงได้ก็ปาเข้าไปเกือบหกโมงเช้า ซวยเข้าไปยิ่งขึ้นเมื่อวันนี้มีประชุมที่เขาจะเบี้ยวไม่ได้ในเวลาแปดโมงครึ่ง สิริรวมเวลานอนน่าจะได้สัก...ครึ่งชั่วโมง
คุณชายสุดหล่อของบ้านจึงมีสภาพอ่อนเพลียอย่างน่าเป็นห่วง มือหนาหยิบหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก ดวงตาคมแทบจะปิดมิปิดแหล่ จนต้องเอ่ยปากขอเอสเปรสโซ่เข้มข้นจากสาวใช้ภายในบ้านหวังให้ฤทธิ์คาเฟอีนช่วยยกเปลืองตาอันหนักอึ้งขึ้นได้บ้าง
“เอ่อ คุณชายครับ” พ่อบ้านใหญ่เอ่ยขึ้น หากชางมินกำลังเผลองีบอยู่หลังหนังสือพิมพ์ที่เปิดกางทิ้งไว้อยู่ ชายสูงวัยจึงถือวิสาสะสะกิดไหล่กว้างของคุณชายเบาๆ แต่คนถูกเรียกกลับสะดุ้งตื่นจนปล่อยหนังสือพิมพ์ให้หลุดมือจนเห็นใบหน้าเหวอๆ ซึ่งทำให้เหล่าสาวใช้ที่ลอบมองอยู่ถึงกับหัวเราะกับความน่ารักของคุณชายที่ปกติไม่ค่อยเผยให้เห็น สักเท่าไหร่
“พ่อบ้านจางมีอะไรครับ” คุณชายเล็กของบ้านถามเสียงเข้ม ขายขี้หน้าชะมัดชิมชางมิน...หลับบนโต๊ะกินข้าวเนี่ย!!
“เมื่อเช้าที่คนงานเข้าไปทำความสะอาดรถคุณชายพบสิ่งนี้ที่เบาะข้างๆ น่ะครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นของคุณชายเองหรือของเพื่อนคุณชาย ผมเลยยังไม่ส่งให้แม่บ้านน่ะครับ” ชายสูงวัยยื่นผ้าเช็ดหน้าสีเข้มให้ชางมิน อดอมยิ้มกับท่าทางน่ารักของคุณชายที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่โตขึ้นจนเข้ารับตำแหน่งบริหารเต็มตัว
ชางมินรับมาดูก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผ้าเช็ดหน้าของเขาที่ให้มินโฮไปเมื่อวานนี้ หากมันไม่น่าตกอยู่บนรถเขาเพราะเห็นเจ้าเด็กนั่นยัดใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ไว้แล้ว แต่เมื่อวานนี้รถของเขาก็ไม่ได้รับใครแปลกหน้าขึ้นมานอกจากชเวมินโฮและ...คนสวย
ใบหน้าหล่อเหลาผุดยิ้มร้ายๆ ขึ้นมาแทบจะทันที อยากจะระเบิดหัวเราะให้ดังลั่นให้กับความโง่งี่เง่าของตัวเองที่ไม่คิดเลยว่าคนสวยคือชเวมินโฮ ทั้งๆ ที่รูปร่างสูงโปร่งก็คล้ายกัน ดวงตาคู่สวยของชเวมินโฮที่คล้ายคนสวยเสียขนาดนั้น...ทำไมเขาจึงโง่ได้ขนาดนี้นะ
“พ่อบ้านจางให้คนไปเช็คตารางเรียนของชเวมินโฮให้ผมหน่อย แล้วโทรบอกผมด้วยนะครับ”
เขาเริ่มเชื่อในโชคชะตาขึ้นมาจริงๆ เสียแล้วสิ...ชเวมินโฮ
หากอีกฝ่ายกลับกระวนกระวายจนเรียนหนังสือแทบไม่รู้เรื่องตั้งแต่เช้า คาบเลคเชอร์ก็นั่งใจลอย ตอนบ่ายที่ต้องมาทำโปรเจกต์กับเพื่อนสนิทก็นั่งเหม่อลอย เดี๋ยวทำโน่นนี่ตกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนจนเพื่อนสนิทอดสังเกตความผิดปกติไม่ได้
“มินโฮ ไม่สบายรึเปล่า เห็นนายนั่งเหม่อแต่เช้าแล้วนะ” คิมคีบอม หรือที่เพื่อนสนิทชอบเรียกว่าคีย์กุนทักขึ้นขณะกำลังเขียนโครงสร้างของหุ่นยนต์ที่เป็นโปรเจกต์ของพวกเขาอย่างขะมักเขม้น แต่อีกฝ่ายกลับนั่งกำดินสอไว้เฉยๆ นานเป็นครึ่งชั่วโมงแล้ว
“เอ่อ โทษที...มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ” มินโฮยิ้มบางๆ แต่หน้าตาไม่สดใสเหมือนทุกวัน เพราะเมื่อคืนเขาเพิ่งพบว่าตัวเองทำผ้าเช็ดหน้าที่พี่ชางมินให้มาหายไป เขารู้สึกแย่นิดหน่อยที่ไม่เก็บผ้าผืนนั้นไว้ในกระเป๋าสะพาย แต่ดันเปลี่ยนมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงแทน ซึ่งไม่รู้ว่าหล่นหายไปตั้งแต่ตอนไหนและเมื่อไหร่ แม้เขาจะสามารถซื้อคืนได้ หากสิ่งที่กลัวที่สุดคือ...ถ้ามันเกิดหล่นเมื่อคืนนี้ ตอนที่เขากลับบ้านกับชางมินล่ะก็...
เสียงเคาะประตูห้องดังเบาๆ สองสามครั้ง คีย์กุนกับมินโฮมองตากันแล้วเกี่ยงว่าใครจะไปเปิด แต่คีย์กุนที่นั่งทำงานอยู่ใกล้ประตูมากกว่าจึงลุกขึ้นไปก่อน มินโฮถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มขีดๆ เขียนๆ ไปบนกระดาษแผ่นใหญ่ต่อ
“โฮ...เค้ามาหานายน่ะ” คีย์กุนเรียกเพื่อนเบาๆ มินโฮช้อนตาขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็ตกใจจนแทบลืมหายใจเมื่อคนที่มาหาคือ...ชิมชางมิน “เอ่อ...ชั้นไปก่อนดีกว่านะ” แม้มินโฮส่งสายตาเว้าวอนให้เพื่อนรักอยู่ด้วยกันก่อน แต่คนตัวเล็กก็ปิดประตูดังปังแล้วเดินจากไป เหลือแค่เขากับแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่ยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าห้อง
“พี่ชางมิน” มินโฮเผลอเรียกชื่อ มือเล็กควานหาแว่นสายตามาสวมใส่เพื่อบดบังใบหน้า หากโต๊ะทำงานของเขาก็รกจนเกินไปจนต้องยอมจำนนต่อโชคชะตา
ร่างสูงเดินตรงเข้ามาหามินโฮอย่างถือดี รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ทำให้มินโฮใจสั่นปรากฎขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา หากมินโฮกำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูกทำได้เพียงแค่นั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม
มือหนาขยี้บนหัวทุยๆ ของมินโฮอย่างเอ็นดูก่อนจะเชยใบหน้าได้รูปขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ ด้วยการทรุดตัวลงนั่งข้างๆ อย่างถือวิสาสะ ดวงตากลมโตจ้องแป๋วกับแพขนตายาวขยับถี่ๆ เมื่อใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างต้องการแกล้งให้คนขวัญอ่อนตกใจ หน้าตาเหมือนกันซะขนาดนี้ เพียงแค่มินโฮตรงหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์แต่ก็น่ารักไม่แพ้ใครที่ไหน
“จ้องหน้าผมทำไมฮะ” มินโฮทำไขสือทั้งๆ ที่พอจะเดาได้แล้วว่าชางมินคงรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว “แล้วมาที่นี่ได้ไงฮะ”
“ถามทีละคำถามก็ได้ คืนนี้เรายังมีเวลาด้วยกันอีกเยอะ”
“...” แก้มป่องขึ้นสีระเรื่อเมื่อสายตาเจ้าชู้ของชางมินมองมา ริมฝีปากเม้มแน่นด้วยความกลัว
“นายสนุกมั้ยที่ได้ปั่นหัวพี่น่ะ...” ชางมินทำหน้าขรึมเสียงเข้มจนมินโฮกระเถิบกายหนี “ทำให้พี่คิดถึงนายทั้งวันจนไม่ได้ทำการทำงานแบบนี้ พี่ต้องโดดงานมาหานายเชียวนะ”
“ผมไปปั่นหัวพี่เรื่องอะไรตอนไหน” มินโฮยังแกล้งทำไม่รู้เรื่องก้มหน้าก้มตาขีดโน่นเขียนนี่อย่างไม่ใส่ใจ หากมือหนาก็คว้าข้อมือเล็กที่เบี่ยงเบนความสนใจไปจากเขามาไว้ในมือ
“คนสวยของพี่นอกจากจะดื้อแล้วยังปากแข็งอีก” สรรพนามที่ชางมินใช้เรียกมินโฮตอนนี้ทำให้มินโฮยิ่งทำตัวไม่ถูก ความลับคงเปิดเผยแล้วสินะ...
“พี่ชางมินรู้ตั้งแต่เมื่อไหร่...?” มินโฮถามอย่างจำนน
“นายทำไอ่นี้หล่นไว้” ชางมินยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนเดียวกับที่ให้มินโฮเมื่อวานมาให้ดู “พี่ก็ไม่รู้ว่ามันกลับมาอยู่ในรถพี่ตอนไหน เพราะก็เห็นว่านายเก็บใส่กระเป๋าไว้กับตา แต่...ดีเจคนสวยคนนั้นแหละมั้งที่ทำหล่น”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะฮะ...”
“แล้วทำไมนายไม่บอกพี่ตั้งแต่เมื่อคืนว่านายคือชเวมินโฮ”
“ก็...ผมจะรู้ได้ยังไงว่าถ้าพี่รู้ว่าดีเจคนนั้นคือผมพี่จะไม่โกรธผม ผมจะรู้ได้ไงว่าพี่จะไม่เกลียดผม...”
“ทำไมนายคิดว่าพี่จะเกลียดนาย?”
“ชเวมินโฮที่อยู่ตรงนี้คือตัวจริงของผม ผมเป็นคนธรรมดาๆ คงจะน่าเบื่อในสายตาพี่ แล้วก็...”
ชางมินไม่ปล่อยให้มินโฮพูดจนจบ ริมฝีปากหนาก็ประกบลงเพื่อหยุดคำพูดทำร้ายตัวเองไว้แค่นั้น มินโฮดิ้นขลุกขลักในอ้อมกอดของชางมิน หากร่างบอบบางก็ต้องยอมจำนนต่อรสจูบเร่าร้อนของคนตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า...
“ชิมชางมินคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีที่ไหน เป็นผู้ชายธรรมดาๆ ใจร้อน เอาแต่ใจ แล้วก็ชอบฉวยโอกาสด้วย โดยเฉพาะจากนาย”
“...”
“ไม่ว่าจะเป็นฐานะชเวมินโฮหรือดีเจคนสวย...มันทำให้พี่คิดไม่ตกมาตลอดว่าพี่รู้สึกยังไงกับคนสองคนนี้” ชางมินเล่าความรู้สึกที่อยู่ในใจอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าพี่จะโกรธก็คงโกรธที่นายปั่นหัวพี่ได้ เพราะชเวมินโฮคนธรรมดาๆ คนนั้นทำให้พี่ยิ้มไปทั้งวันตอนที่นายยอมคบกับพี่...พี่ก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงได้รู้สึกดีๆ กับคนที่ไม่ใช่สเปคพี่สักนิด”
“พี่ชางมิน...” มินโฮแทบไม่เชื่อหูว่าชางมินมีใจให้เขาจริงๆ
“นายทำให้พี่เหมือนคนหลายใจ นายทำให้พี่ตกหลุมรักดีเจคนสวยและมินโฮคนธรรมดาๆ พร้อมกัน...พอรู้ว่านายคือคนๆ เดียวกันพี่จะโกรธนายลงได้ยังไงล่ะ” ชางมินลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างทะนุถนอม “บางทีพี่ก็ควรจะลงโทษนายบ้าง”
“ไหนพี่บอกไม่โกรธผมไง” มินโฮแหวเสียงดังขึ้นมา...ก็ไอ้บทลงโทษของชิมชางมินน่ะ ทำไมต้องมาพร้อมกับสายตาร้อนแรงที่พร้อมจะกินเขาเข้าไปทั้งตัวแบบนั้นล่ะ “ผมไม่ยอมหรอก”
“เดี๋ยวนายเองนั่นแหละที่จะขอให้พี่ลงโทษ...หลายๆ รอบ” คำพูดล่อแหลมของชางมินยิ่งทำให้เลือดแทบจะทั้งตัวของร่างบางมากองรวมกันที่ใบหน้า แก้มแดงปลั่งโดนสูดดมความหอมด้วยความหมั่นเขี้ยวจนมินโฮต้องหลบซ้ายหลบขวา แต่แล้วร่างเล็กๆ ก็โดนอุ้มให้มานั่งบนตักของร่างสูงแถมล็อคเอวบางจากทางด้านหลังไว้ซะแน่น
“นายหนีพี่ไปไหนไม่ได้หรอก เพราะพี่บอกแล้วไงว่านายคือพรหมลิขิตของพี่...มินโฮ”
::Neverending story of ChangMinHo::
Talk with writer >O<!!!
*ค่อยๆ แอบย่องมาเงียบๆ* สวัสดีค่ะรีดเดอร์ทั้งหลายยยยยย อย่าเพิ่งขว้างขวดน้ำหรืออะไรใส่หัวไรทเตอร์นะคะ (ยกเว้น ชิมชางมิน ขอให้ขว้างมาทันที กร๊ากกกก)
ในที่สุดๆๆๆๆ...เรื่องนี้ก็จบลงแล้ว เย่ๆๆๆ เพิ่งเคยเขียนเรื่องยาวขนาดนี้ โฮกกกก ปาดเหงื่อค่ะ
ท่านผู้อ่านที่รักของเราอ่านแล้วเป็นไงบ้างก็อย่าลืมเม้นกันด้วยน้า จุ๊บๆๆ XOXO
ขอโทษคนที่เข้ามารอจริงๆ ค่ะที่เราอัพช้ามากกกกก ทั้งๆ ที่สัญญาเอาไว้แล้ว T^T
แต่ก็ขอบคุณรีดเดอร์ที่น่ารักจริงๆ ค่ะที่อุตส่าห์รอฟิคป่วงๆ ของเรา *คำนับสวยๆ สามที*
ดีใจจริงๆ ที่มีคนยังรออ่านฟิคเล็กๆ เรื่องนี้ของเรา >___<
นี่แต่งเสร็จสดๆ ร้อนๆ แล้วลงให้เลย คำผิดอะไรยังไม่ได้อ่านไม่ได้แก้เลย
ผิดตรงไหนก็ท้วงๆ กันได้นะคะ แอบรีบด้วยเพราะต้องไปอ่านหนังสือต่อแล้ว แง้ววววว เยอะกองสูงเท่าบ้านแล้ว T__T
เดี๋ยวคงหายไปนานเลยจนกว่าจะเปลี่ยนไปเรียนอีกวิชานึงที่จะว่างมากกว่านี้
จะพยายามหาเวลาเก็บพลอตดีๆ แล้วเขียนอีกนะคะ รักกันชอบกันก็โหวตมาได้ เอ้ย ไม่ใช่แระ
มาตอบคอมเม้นท์ซะหน่อย เหมือนจะยังไม่เคยทำเลยเนอะ 55
(ขอไล่ตอบเป็นคนๆ ไปนะคะ ขาดเหลือคนไหนขอโทษด้วย หลายตอนเกินนนน)
Fom_zt: อ่า ดีใจที่ม่ะอยากให้เรื่องนี้จบค่า แต่เด๋วถ้าไม่จบ ชีวิตไรทเตอร์จะจบเอง กร๊ากกก ลงNCให้แร้วนะค้า ยาวดีมะ 55
Lilly: ขอบคุณคอมเม้นยาวๆ นะคะ ชอบอ่านมากเลย ^^ ท่าทางจะชอบฉากหวานๆ ของชมฮ.ใช่มั้ยค้า จัดไปๆๆ >//<
ChaNomYen: คนสวยค่อดน่ารักใช่มั้ยล่า แต่คนสวยก้อห้ามใจไม่ให้รักคนหล่อม่ะด้าย 55 พี่ชางมินมันแทบจะจุดพลุตอนรู้ความจริง โฮะๆๆ ปล.อย่าลืมปั่นกาแฟเน้อ อิอิ
auwinx: น้องมินโฮไม่ได้ใจง่ายน้า...แค่ห้ามหัวใจตะเองไม่ไหวเท่านั้นเอ๊งงงงง
Night-Rebellion-jung: ขอบคุณที่เข้ามารอนะค้า ตอบไปแล้วว่าน้องไม่ได้ใจง่ายน้า มันเป็นเรื่องของพรหมลิขิตไง 555 สุดท้ายก็ได้แต่งงานกันอยู่ดีแหละ
sachigo: ชางมินเจ้าชู้แต่ม่ะเคยหลายใจน้า มันเลยงงๆ ไงคะ
TVXQ-SHINee: ชางมินเริ่มเหนว่าน้องน่ารักแล้วก็แอบดื้อด้วย คนน่ารักชอบดื้ออออ 555 ชางมินชอบอะไรเร้าจายยยย ฮี่ๆๆ
cmh: ถึงตอนแรกชางมินยังสับสนอยู่ แต่สุดท้ายก้อชอบน้องทั้งสองเวอร์ชั่นแหละ 555 สุดท้ายน้องก้อเสร็จพี่ เง้อออ >//<
STTN: ลงตอนจบให้แร้วนะคะ อิอิ ชมฮ.น่ารักม้ายยย
Donyx: สุดท้ายมินก้อได้เมรียเปนผู้ชายนะค้า แต่ผู้ชายคนนี้น่ารักมว๊ากกกกก...เค้าชื่อมินโฮไง 555
sweet shinee: ขอบคุณที่เข้ามารอนะคะ แอบอ่านอยู่เงียบๆ ชิมะล่า ><
ขอบคุณที่ติดตามฟิคเรื่องนี้...แล้วเจอกันใหม่นะค๊า
With love,
Korazy_minnie
ความคิดเห็น