ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[ChangMinHo's Love Fiction Library]]

    ลำดับตอนที่ #6 : [SF] I don’t know…I love you Part 3/4

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 54


    [SF] I don’t know…I love you Part 3/4

    Author: korazy_minnie

    Couple: Changmin x Minho (ChangMinHo)

    Genre: Romantic, Sensual, Drama

    Rating (for this part): PG-13

    Note: ในที่สุดก็พยายามหาจุดจบของเรื่องจนได้ 555+

     

    ร่างบอบบางเดินงัวเงียมาจากชั้นสองของบ้าน ใบหน้าหวานดูหงุดหงิดนิดหน่อยจนเหล่าแม่บ้านไม่กล้าเข้าไปทักทายคุณหนูคนโตของบ้าน มือสองข้างพะรุงพะรังไปด้วยสัมภาระมากมาย เพราะชเวมินโฮตั้งใจจะไปนอนที่คอนโดของเขาที่ใกล้มหาวิทยาลัยสักพักเพื่อสะดวกในการอ่านหนังสือและทำโปรเจกต์ใหญ่เพื่อเรียนจบอีกไม่นานนี้ จนน้องสาวคนรองที่เดินตามมาต้องอาสาเข้าไปช่วย

    พี่มินโฮ หอบของจะไปไหนคะ ชเวมินจี น้องสาวคนที่สองถามขึ้นพลางช่วยพี่ชายคนโตที่หน้าตาเหมือนจะยังไม่ตื่นดีนักแถมยังต้องถือของมากมายจนน้องสาวกลัวพี่ชายจะซุ่มซ่ามตกบันไดไปเสียก่อน

    อือ...จะไปนอนคอนโดน่ะ กลับบ้านมันไกล ช่วงนี้งานก็เยอะด้วย

    ชริ มินจีว่าพี่แอบมีแฟนเก็บไว้ที่คอนโดมากกว่า น้องสาวแซวพี่ชายระหว่างเดินลงมาจากชั้นสองทำให้มินโฮค่อยยิ้มได้บ้าง นี่เมื่อคืนไปทำงานมาใช่มั้ยคะ ถึงได้ง่วงขนาดนี้อ่ะ

    อย่าบอกป๊าแล้วกัน เดี๋ยวพี่โดนกักบริเวณอีก แค่เมื่อวานโดนบังคับให้ไปดูตัวก็แย่จะตายอยู่แล้ว มินโฮบ่นอุบแล้วกองสัมภาระไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่นก่อนจะเดินจูงมือน้องสาวไปยังโต๊ะทานอาหารเช้า

    นี่ป๊าเอาจริงเหรอ ให้พี่มินโฮแต่งงานกับลูกชายเจ้าของบริษัท เอ...ชื่ออะไรนะ ชิมชางมินใช่มั้ย

    อืม แค่ได้ยินชื่อมินโฮก็เริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาแล้ว อย่าพูดชื่อนี้อีกนะ ไม่อยากได้ยินแล้ว

    เค้าทำอะไรพี่มินโฮเหรอคะ เออ ว่าแต่ตัวจริงนี่หล่อมั้ย มินจีเคยเห็นไกลๆ ที่งานฉลองของบริษัทเราเมื่อเดือนที่แล้ว มินจีถามอย่างสนใจ เพราะชิมชางมินเองก็ดังในหมู่ไฮโซไม่แพ้กัน เด็กสาวทั้งหลายมักจะตื่นเต้นเสมอเมื่อเห็นรายชื่อผู้ร่วมงานเป็นเขาแล้วเมื่อวานเป็นไงบ้างที่มินจีแต่งตัวให้อ่ะ เชยได้โล่เลยป่ะล่ะ ฮ่าๆๆ

    เออ เนิร์ดจนหมอนั่นตกใจเลยล่ะ

    แล้วหล่อรึป่าว จะได้มาเป็นพี่เขยของมินจีจริงๆ มั้ย มินจีเขย่าแขนพี่ชายด้วยความอยากรู้

    ก็โอเค...มั้ง แต่ตอนไปดูตัวเขาไม่ได้สนใจพี่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็ถือว่าประสบความสำเร็จดี มินโฮนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของชิมชางมินแล้วก็อดหน้าแดงไม่ได้...ทั้งโกรธทั้งอายแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสจาบจ้วงเมื่อคืนนี้ที่ผับที่เขาไปทำงานเป็นดีเจอยู่ เป็นโชคชะตาอันเลวร้ายที่สุดของมินโฮเลยทีเดียวที่ต้องไปประจันหน้ากับพ่อเพลย์บอยระดับ A-list ของเกาหลี แต่ก็ยังดีที่ชางมินจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อย

    แล้วทำไมพี่ต้องหน้าแดงด้วยคะ? มินจีหยิกแก้มสีชมพูระเรื่อของพี่ชายอย่างหมั่นไส้ อย่างนี้มีแววว่าจะได้คุณชางมินสุดหล่อมาเป็นพี่เขยแหงๆ

    เด็กบ้า...ชาติหน้าก็ไม่ได้หรอก นี่ยัดเยียดพี่ให้อีตานั่นจังนะ มินโฮขยี้ผมมินจีด้วยความหมั่นไส้ บอกป๊าสิว่ามินจีชอบ จะได้เลิกยัดเยียดพี่ให้อีตานั่นน่ะ

    นี่คุยอะไรกันอยู่ ไปทานข้าวกันได้แล้ว ชเวฮยอนอูผู้เป็นบิดาเดินมาเห็นพี่น้องหยอกล้อกันโดยไม่ดูเวลาที่มินจีต้องไปโรงเรียนแล้วจึงได้เอ่ยตักเตือน ไปทานข้าวได้แล้วมินจี ส่วนมินโฮ...เดี๋ยวคุยกับป๊าหน่อยนะ

    หลังจากมินจีเดินไปยังห้องทานอาหารแล้วมินโฮจึงนั่งคุยกับบิดาที่ห้องนั่งเล่น ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานนั่งลงข้างๆ ลูกชายที่นั่งม้วนผมยาวเล่นอย่างเซ็งๆ พลางกดบีบีในมือเล่นอย่างสนุกสนาน

    เมื่อวานไปดูตัวเป็นยังไงบ้างชเวฮยอนอูดึงบีบีในมือลูกชายคนโตมาเก็บไว้ข้างตัว เขารู้ดีว่าลูกชายตัวเองทั้งดื้อและพยศขนาดไหน เมื่อวานกว่าจะบังคับให้ออกไปดูตัวได้ก็แทบจะต้องกราบกรานกันเลยทีเดียว

    ก็ไม่ยังไงนี่ฮะ ผมบอกแล้วว่าผมไม่สนใจหรอกป๊าเอาบีบีผมคืนมา

    ก็ฟังป๊าพูดให้จบก่อนสิ

    ฮะ ผมก็ฟังอยู่ มินโฮขมวดคิ้ว ป๊าจะเอาไงกับผมอีก เมื่อวานผมก็ไปให้แล้วนะ

    ก็จะมาถามว่าอยากจะลองคบกับคุณชิมชางมินดูหรือเปล่าน่ะ ป๊าจะได้บอกกับท่านประธานถูก

    นี่ป๊าอยากให้ผมได้กับหมอนั่นขนาดนี้เลยเหรอฮะ ที่บริษัทป๊ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าถึงต้องบังคับให้ผมแต่งงานกับเค้า... พูดไม่ทันจบประโยค มือใหญ่ของผู้เป็นพ่อก็ฟาดลงที่แก้มของลูกชายที่เขารักมากที่สุดจนสาวใช้ในบ้านต่างก็ตกใจที่คุณชายใหญ่โกรธจนกระทั่งลงไม้ลงมือกับลูกชาย

    หยุดคำพูดดูถูกป๊าได้แล้ว...คนเป็นพ่อน่ะ อยากให้ลูกได้เจอแต่สิ่งที่ดี แล้วป๊าก็เห็นว่าทางโน้นเขาเป็นคนดี

    แต่ป๊าไม่ฟังผมนี่...ไม่ฟังว่าผมรู้สึกยังไง มือบอบบางกุมที่แก้มด้านซ้ายพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ดวงตาคู่สวยสั่นเทาและถูกม่านน้ำตาบังจนมองไม่เห็นอะไรอีกแล้ว ป๊าบังคับผมทุกอย่าง...ป๊าไม่เคยฟังเลยว่าผมรู้สึกอะไร ผมชอบอะไร ป๊าไม่เคยรู้สักอย่าง

    ...

    ผมไม่กลับบ้านสักพัก ไม่ต้องตามหาผมแล้วกันนะ มือเรียวปาดน้ำตาลวกๆ พร้อมทั้งหอบข้าวของกองใหญ่เดินออกจากบ้านไปโดยไม่หันหลังกลับมาอีก คนรับใช้ในบ้านที่กำลังจะพยายามเข้าไปช่วยคุณหนูคนโตถือข้าวของและพาไปส่งที่มหาวิทยาลัยตามปกติแต่คุณชายใหญ่ของบ้านก็ประกาศลั่นไม่ให้ยุ่งกับลูกชายแสนดื้อของตัวเอง

    อย่ายุ่งกับมินโฮ...แล้วเค้าจะรู้เองว่าพ่อหวังดีกับลูกขนาดไหน

    ร่างบอบบางเดินออกจากบ้านพร้อมกับน้ำตาที่ไหลเปรอะเปื้อนใบหน้าหวาน มือทั้งสองข้างที่หอบสัมภาระรุงรังก็ไม่สามารถเช็ดน้ำตาที่ไหลรินด้วยความเสียใจที่บิดาไม่เคยฟังความคิดเห็นของเขา วันๆ ที่พ่อของเขาทำแต่งานจนทำให้ฐานะที่บ้านร่ำรวยจนถึงทุกวันนี้ แต่พ่อแทบไม่เคยให้สิ่งที่เรียกว่าความรักและความอบอุ่นกับเขาและน้องๆ ด้วยเวลาที่แสนจะจำกัดในแต่ละวัน อีกทั้งผู้เป็นมารดาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่มินโฮยังอายุเพียง 10 ปี มินโฮจึงเป็นคนดูแลน้องสาวทั้งสองคนคือมินจีและมินอาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...ทั้งที่ในใจของมินโฮก็รู้ดีว่าพ่อรักพวกเค้ามากและหวังดีกับเขาจริงๆ แต่มินโฮจะไม่ยอมสูญเสียทั้งชีวิตด้วยการแต่งงานกับคนที่เขาไม่ได้รักเด็ดขาด

    มินโฮเดินมาเรื่อยๆ จนถึงป้ายรถประจำทางที่อยู่ห่างจากบ้านไม่ไกลนัก คนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็ตกใจเมื่อเห็นเด็กหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นจนดวงตาบวมเบ่ง มือสองข้างปิดปากไว้แน่นเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงออกมาจนเป็นที่น่าสงสารแก่ผู้พบเห็น ร่างบอบบางสูดหายใจลึกๆ เพื่อสะกดกลั้นน้ำตาที่ดูเหมือนจะไหลออกมาอีก  ดวงตากลมกระพริบถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาออก แพขนตายาวชุ่มน้ำตาจนทำให้เขารู้สึกมองไม่ค่อยชัด...หรือว่าคอนแทคเลนส์ข้างขวาจะกระเด็นหลุดออกไปตอนที่เขาร้องไห้เมื่อครู่เป็นแน่

    มือเรียวเปิดกระเป๋าสะพายข้างคู่ใจ คุ้ยเขี่ยสารพัดสิ่งของในกระเป๋าใบใหญ่จนเจอแว่นสายตากรอบดำหนาเตอะที่ใส่ไปดูตัวเมื่อวานซึ่งยังไม่ได้เอาออกไปจากกระเป๋า เด็กหนุ่มเลยคว้าขึ้นมาใส่พลางถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า...วันนี้มีเรื่องแย่ๆ แต่เช้าเลยนะ ชเวมินโฮ

    อยู่ดีๆ รถหรูสีดำอันแสนคุ้นตาก็ตรงเข้ามาจอดริมถนนตรงหน้ามินโฮพอดิบพอดี กระจกสีดำทึบค่อยๆ ลดระดับลงจนมองเห็นใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดแบรนด์ดังโผล่ออกมา

    นี่นาย... เสียงทุ้มตะโกนเรียกจากในรถจนคนรอบข้างเริ่มหันมองมินโฮอีกครั้ง หากเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น จนร่างสูงโปร่งต้องเปิดประตูแล้วเดินลงมาหาด้วยตัวเอง

    นายจะไปไหน พี่ไปส่งมั้ย ชางมินเอ่ยอย่างใจดีเพราะยังไงก็เป็นคนรู้จักกันแล้ว ถ้าเห็นแล้วจะให้ผ่านไปเฉยๆ ก็ใช่ที่ หากคนตรงหน้ากลับก้มหน้านิ่ง นี่นายเป็นอะไรรึเปล่า

    ...อย่ามายุ่งกับผมได้มั้ย ผมเหนื่อย มินโฮช้อนตาขึ้นมองอย่างวิงวอน ผมจะไปเรียน พี่จะไปไหนก็ไปเถอะครับ

    ทำไมไอ้เด็กคนนี้มันดื้อนักนะ ชายหนุ่มจัดการเปิดประตูรถแล้วโยนสมบัติของมินโฮเข้าไปอย่างง่ายดายจนเด็กหนุ่มได้แต่ยืนอึ้งในความเอาแต่ใจของคนตัวโตกว่า แล้วนายก็มานี่...

    มือแกร่งคว้าข้อมือบอบบางของมินโฮที่หมดแรงที่จะต่อล้อต่อเถียงแล้วเดินตามคนเอาแต่ใจไปอย่างว่าง่ายจนชางมินถึงกับหันมาดูคนตัวเล็กที่ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้อีกรอบทั้งๆ ตาบวมเป่งจนน่าสงสารอยู่แล้ว

    เข้าไปซะ ชางมินสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นน้ำตาของมินโฮรื้นออกมาอีก...ชิมชางมินเป็นโรคแพ้น้ำตาขั้นรุนแรงขนาดที่ว่าเห็นทีไรก็ใจอ่อนยวบไปซะทุกที

    ชางมินรีบเดินกลับไปฝั่งคนขับแล้วรีบออกรถไปโดยเร็วก่อนคนที่รอรถประจำทางจะอารมณ์เสียแล้วเขวี้ยงของใส่รถเขาในชั่วโมงเร่งด่วนในยามเช้า ส่วนมินโฮก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบอยู่ข้างๆ จนชวนอึดอัด ชายหนุ่มจึงเปิดเพลงเบาๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศดูเคร่งเครียดมากเกินไป

    ...จะให้พี่ไปส่งที่ไหน

    มหาลัยโซล...ขอบคุณนะฮะ มินโฮยังคงก้มหน้าก้มตาแล้วตอบกลับด้วยเสียงสะอึกสะอื้นจนน่าสงสาร ชางมินกำลังเดาว่าเป็นเพราะเรื่องที่โดนบังคับให้ไปดูตัวเมื่อวาน

    อ่ะ...เช็ดซะ ผู้ชายร้องไห้มันไม่ได้น่าดูนักหรอกนะ ชางมินโยนผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงให้อย่างขัดเขิน ก็อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ชายที่ปกติเขาไม่ได้ทำตัวใจดีด้วยมากนัก

    ร่างบอบบางหันหน้าหนีไปอีกด้านเพื่อไม่ให้ชางมินเห็น ก่อนจะถอดแว่นวางไว้แล้วเช็ดน้ำตาไปอย่างเงียบๆ ชางมินพยายามเหลือบมองผ่านกระจกด้วยความเป็นห่วง แม้จะเห็นเพียงเงาที่สะท้อนผ่านกระจกหนาทึบไม่ชัดนัก...แต่เขาคุ้นกับดวงตาแสนสวยคู่นี้เหลือเกิน

    มันเลอะแล้ว ผมจะซักแล้วคืนให้วันหลังนะฮะ มินโฮค้อมศีรษะเล็กน้อย มือเล็กกำผ้าเช็ดหน้าสีเข้มชุ่มน้ำตาไว้แน่น อย่างน้อยคนตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายกับเขามากนักในเวลาที่เขาอ่อนแอเช่นนี้ ขอบคุณครับ

    “อืมม์ ไม่เป็นไร” ชางมินหันไปมองคนข้างๆ ที่เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้วพยายามสูดน้ำมูกฟืดฟาดต่ออย่างน่าสงสาร อยากจะเอ่ยถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ก็กลัวจะทำให้มินโฮบ่อน้ำตาแตกอีกรอบ

    หลังจากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมรอบกายอย่างน่าอึดอัด มีเพียงเสียงเพลงแจ๊ซที่เจ้าของพาหนะคันหรูชอบฟังดังคลอกับเสียงเครื่องยนต์ชั้นดีที่เงียบกริบมากยิ่งกว่าในยามปกติ ทำให้บรรยากาศภายในอบอวลไปด้วยความเศร้าหมองที่ชางมินไม่ชอบเลยสักนิดจนเจ้าตัวต้องเปลี่ยนไปฟังเพลงป๊อบทันสมัยแทน แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก

    “นี่นาย” ชางมินเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบทำให้ร่างบางที่นั่งเงียบเหม่อลอยอยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้ง “เอ่อ ขอโทษ...นายตกใจเหรอ”

    “...ผมคิดอะไรเพลินๆ อยู่ พี่ชางมินมีอะไรเหรอฮะ” ร่างบางข้างๆ จ้องตาแป๋วด้วยความอยากรู้ ดวงตาคู่สวยภายใต้แว่นตาเฉิ่มเชยฉายแววแปลกใจ

    “เราคบกันมั้ย?” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ เหมือนเป็นประโยคคำถามง่ายๆ หากทำให้อีกฝั่งที่ถูกตั้งคำถามถึงกับอึ้ง

    “ไม่ได้หมายความว่าเราจะคบกันจริงๆ ก็แค่ทำให้ผู้ใหญ่สบายใจ” ชางมินเริ่มอธิบายความคิดดีๆ ที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบเมื่อครู่

    “แล้ว...มันจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ละฮะ” มินโฮถามด้วยความสงสัย

    “จนกว่าพี่หรือว่านายจะเจอคนที่ชอบและต้องการแต่งงานด้วยจริงๆ การคบกันของเราก็จบลง แล้วก็...ระหว่างนี้เราสองคนก็มีอิสระที่จะคบคนอื่นได้ แค่นัดมากินข้าวด้วยกันอาทิตย์ละครั้งให้ผู้ใหญ่สบายใจก็น่าจะพอ”

    “ผมขอคิดดูก่อนได้มั้ยฮะ”

    ชางมินไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ขับรถไปอย่างเงียบๆ และเหลือบมองคนข้างๆ ที่นั่งมองข้างทางอยู่ไม่นานก็เอียงตัวพิงกระจกรถแล้วหลับสนิทไปเพราะความเหนื่อยล้า ชายหนุ่มยิ้มตามอย่างไม่มีเหตุผล...อย่างน้อยน้ำตาก็ไม่ใช่ของที่คู่ควรกับคนบนโลกนี้สักเท่าไหร่นักอยู่แล้ว ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาดิจิตอลบนรถที่บอกเวลาเกือบแปดโมงครึ่งแล้ว ขายาวจึงกดคันเร่งจนพาหนะคันหรูพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูงเพื่อให้ไปถึงมหาวิทยาลัยโซลที่อยู่ไกลจากในเมืองพอสมควร

    รถคันหรูจอดเทียบหน้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยโซลท่ามกลางสายตาของนักศึกษาซึ่งเดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นที่มองรถซุปเปอร์คาร์รุ่น Limited edition ด้วยความตื่นเต้น เพราะนอกจากราคาจะแพงจนซื้อบ้านได้เป็นหลังแล้ว ยังมีเพียงไม่กี่คนบนโลกที่ได้ครอบครองพาหนะคันงามรุ่นนี้

    ใบหน้าหล่อเหลาจดจ้องคนที่กำลังหลับสบายอย่างเอ็นดู อยากจะปล่อยให้นอนหลับต่อไป แต่เขามีประชุมตอนเก้าโมงครึ่ง หากไม่รีบกลับไปตอนนี้คงต้องไปประชุมสายอย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงเขย่าไหล่บอบบางเบาๆ แต่คนที่กำลังหลับสายก็อิดออดที่จะลืมตาเสียที จนคนปลุกเริ่มอ่อนใจ ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างไม่ถึงคืบ คิ้วเข้มขมวดเป็นปมด้วยความพยายามหาทางออก แต่คงเป็นเพราะลมหายใจร้อนที่รินรดอยู่ไม่ห่าง คนขี้เซาจึงเริ่มรู้สึกตัว แพขนตายาวกระพริบเพื่อปรับสายตากับแสงแดดภายนอก หากสิ่งแรกที่ปรากฎในดวงตาคือจมูกโด่งคมของคนตรงหน้าที่อยู่ใกล้จนแทบจะจิ้มตา มือเล็กของมินโฮจึงผลักร่างหนาให้กลับเข้าไปอยู่ในที่ๆ ควรจะอยู่มากกว่ายื่นหน้ามาหายใจรดหน้าเขา

    “ไม่อยากปลุกหรอกนะ แต่มันถึงคณะนายแล้วน่ะ” ชางมินรีบชิงพูดแก้ตัวเสียก่อน เขาไม่ได้คิดอะไร...จริงๆ นะ

    “...”

    มินโฮเผลออมลมเข้าไปจนแก้มป่องด้วยความโกรธที่ดูน่ารักในสายตาคนมองไม่น้อย ดวงตากลมโตจ้องเขม็งที่คนที่บอกว่าหวังดีเมื่อครู่นี้จนคนถูกมองถึงกับสะดุ้ง

    “ขอบคุณที่มาส่งฮะ...” เด็กหนุ่มเปิดประตูพร้อมทั้งหยิบของมากมายที่ขนมาเมื่อเช้า ชางมินทำท่าจะลงไปช่วยแต่เสียงหวานก็เอ่ยห้ามเสียก่อน “ไม่ต้องลงมาฮะ...ผมไปก่อนนะ” มินโฮปิดประตูแล้วรีบสาวเท้าเดินเข้าคณะทันที เนื่องจากเขากำลังจะไปเรียนสายแล้ว...อีกสามนาทีเท่านั้น

    “เฮ้ย เดี๋ยวๆๆ” พลันชางมินก็นึกถึงคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบจึงรีบลงจากรถแล้ววิ่งตามร่างบอบบางไปจนเป็นที่แตกตื่นของนักศึกษาในคณะแห่งนั้นที่อยู่ดีๆ ก็มีชายหนุ่มรูปงามวิ่งร่างโปร่งอย่างชเวมินโฮที่มีดีกรีเป็นถึงเดือนมหาวิทยาลัยแห่งนี้

    “ชเวมินโฮ” ชางมินตะโกนไล่หลังเสียงดังแข่งกับเสียงพาหนะที่แสนจะวุ่นวายและเสียงจ้อกแจ้กจอแจของนักศึกษาแถวนั้น แต่ก็มีคนใจที่ได้ยินเสียงของเขาและเรียกมินโฮเอาไว้ เด็กหนุ่มหันหลังกลับมาด้วยความแปลกใจ

    “พี่ชางมินมีอะไรเหรอครับ” ร่างบอบบางตะโกนกลับมาเพราะไม่อยากเดินกลับมาแล้วเนื่องจากต้องรีบวิ่งไปเข้าห้องเลคเชอร์ในอีกหนึ่งนาทีที่เหลือ

    “ตกลงเราจะคบกันมั้ย” ชางมินถามเบาๆ ด้วยความกระดากอายที่ต้องมาขอผู้ชายคบท่ามกลางสถานที่สาธารณะเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายกลับโบกไม้โบกมือทำท่าเหมือนไม่ได้ยิน

    “พี่ถามว่าเราจะคบกันมั้ย” ชางมินกลั้นใจตะโกนเสียงดังจนบรรยากาศแถวนั้นเงียบกริบ...คนรอบข้างต่างก็ลุ้นคำตอบของมินโฮที่ยืนนิ่งหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อและยืนกอดถุงสัมภาระที่ขนมาด้วยความประหม่า

    “คนหน้าด้านเอ๊ย” มินโฮสบถเบาๆ คนเดียวแต่ชางมินก็อ่านปากออก ชายหนุ่มจึงยืนยิ้มกวนอวัยวะเบื้องล่างของมินโฮเสียจริง หากเสียงหวานก็ตะโกนแทรกมวลอากาศที่หยุดนิ่งราวกับจะรอคอยคำตอบของเขา

    “คบก็ได้...”

    ถึงรู้อยู่ในใจว่าไม่ใช่การคบกันจริงๆ หากเด็กหนุ่มก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวใจจะต้องเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา ใบหน้าร้อนผ่าวเหมือนแก้มกำลังจะแตก ขาเรียวรีบวิ่งผ่านระเบียงชั้นล่างโดยไม่หันกลับมามองคนหน้าด้านที่กล้าตะโกนขอคบกับเขาอย่างไม่อายฟ้าดิน

    ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกนี้สักเท่าไหร่...หากคำตอบรับของมินโฮก็ทำให้ชางมินหยุดยิ้มไปไม่ได้ตลอดทั้งเช้าวันนี้

     

     

     

    หลังจากรองประธานชิมชางมินเข้าร่วมประชุมประจำเดือนกับผู้บริหารในบริษัทและผู้ถือหุ้นเสร็จ ร่างสูงถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกที่โปรเจกต์ร่วมพัฒนาดาวเทียมดวงใหม่ของเกาหลีกับสหรัฐอเมริกาได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุม เขาทุ่มเทกับงานนี้มากเพื่อลบข้อครหาในการได้มาซึ่งตำแหน่งรองประธานบริษัทนี้ ดวงตาคมพักสายตาโดยการมองผ่านกระจกใสบานใหญ่ที่มองเห็นท้องฟ้ากว้างสีฟ้าสดใสตัดกับเนินเขาสูงต่ำสลับกันอันเป็นเอกลักษณ์ของกรุงโซล

    “เยี่ยมมากเลยนะครับ โปรเจกต์ของคุณ” เลขาอาวุโสตัวแทนผู้เข้าร่วมประชุมของบิดาเอ่ยชื่นชมพร้อมค้อมศีรษะให้อย่างเคารพ “กระผมไม่คิดว่าคุณชายตัวเล็กๆ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนจะเติบโตได้สง่างามถึงเพียงนี้”

    “คุณลุงก็พูดเกินไปครับ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนคุยกับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม “ถ้าผมไม่ทำอะไรเพื่อบริษัทของเราเลย ก็เสียดายเงินของพ่อที่อุตส่าห์ส่งเสียให้ผมไปเรียนไกลถึงอเมริกาสิครับ” ชางมินเอ่ยติดตลก ทั้งๆ ที่ฐานะการเงินของตระกูลสามารถทำให้เขาใช้ชีวิตไร้สาระไปวันๆ โดยไม่ต้องทำงานไปทั้งชาติก็ยังได้

    “ท่านประธานท่านภูมิใจในตัวคุณชายมากนะครับ” เลขาอาวุโสกล่าวอย่างจริงใจ “เหลืออย่างเดียวที่ท่านยังห่วงคือเรื่องคู่ครองของคุณชาย...”

    “ฮ่าๆ ครับๆ เดี๋ยวผมว่าจะไปคุยกับท่านประธานเรื่องนี้สักหน่อยเหมือนกันครับ” ชางมินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาตั้งใจจะไปบอกบิดาเรื่องที่จะคบกับชเวมินโฮอยู่แล้ว อย่างน้อยพ่อก็คงดีใจที่เขาคบใครสักคนเป็นตัวเป็นตนได้เสียทีดังนั้นพ่อก็คงจะเลิกยุ่งกับชีวิตหนุ่มโสดของเขาสักพักหนึ่งล่ะ

    ร่างสูงขึ้นลิฟท์ไปยังชั้นบนสุดอันเป็นห้องทำงานของประธานบริษัท ชายหนุ่มเคาะประตูสองสามครั้งแล้วถือวิสาสะเปิดเข้าไปก็พบชายอาวุโสที่เขาไม่รู้จักนั่งคุยอยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มจึงก้มศีรษะขอโทษแล้วหันหลังจะเดินกลับออกมา หากผู้เป็นบิดาได้เอ่ยห้ามไว้ก่อน

    “ยังไม่ต้องออกไปไหน ชางมิน นี่เป็นเรื่องของลูกนั่นแหละ” ชายอาวุโสรั้งตำแหน่งประธานบริษัทเอ่ยอย่างทรงอำนาจจนชายหนุ่มต้องหันหลังกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง

    “นี่เหรอครับคุณชางมิน...ขอโทษนะครับ หากลูกชายของผมจะทำให้คุณต้องลำบากใจเมื่อวานนี้” ชายแปลกหน้าที่ดูอ่อนอาวุโสกว่าบิดาของตนเองเอ่ยขึ้น

    “ท่านเป็นคุณพ่อของชเวมินโฮเหรอครับ” ชางมินเริ่มประติดประต่อเรื่องราวจากคำพูดเมื่อครู่ ชายอาวุโสพยักหน้าตอบรับ “ยินดีที่ได้พบครับ ผมชิมชางมิน”

    ชายหนุ่มตรงเข้าไปจับมือกับประธานกลุ่มบริษัทวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของเกาหลีด้วยท่าทีนอบน้อมจนชายอาวุโสอดชื่นชมในใจไม่ได้

    “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ผมชเวฮยอนอูครับ” ชายอาวุโสกว่าแนะนำตัว ท่าทางดูเคร่งครัดในทั้งในเรื่องการแต่งกายที่เนี้ยบตั้งแต่หัวจรดเท้ารวมทั้งคำพูดที่เป็นทางการ ชางมินเริ่มเข้าใจว่าทำไมมินโฮจึงได้ร้องไห้เสียขนาดนั้น...เจ้าเด็กนั่นคงต้องทนอยู่ภายในกรอบและกฎระเบียบมากสินะ

    “จริงๆ แล้วผมกับมิน...เอ่อ น้องมินโฮตัดสินใจจะคบกันแล้วน่ะครับ”

    “เอ...เมื่อเช้าผมคุยกับมินโฮแล้ว แต่...” ชเวฮยอนอูแย้งขึ้นด้วยความประหลาดใจ

    “หลังจากนั้น...ผมเจอน้องมินโฮอีกครั้ง แล้วเราก็ตกลงว่าจะลองคบหากันดูก่อน ขอโทษจริงๆ นะครับที่ไม่ได้รีบเรียนให้คุณพ่อและท่านได้ทราบ” ร่างสูงค้อมตัวลงจนขนานกับพื้นเพื่อแสดงความขอโทษ

    “ให้มันได้ยังงี้สิไอ้ลูกรัก ฮ่าๆๆ” ท่านประธานชิมถึงกับดีใจจนตบโต๊ะฉาดใหญ่อย่างอารมณ์ดี ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มด้วยความโล่งอก แต่กลับทำให้ชางมินรู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อยหากคนทั้งคู่รู้ความจริง...ตายไม่ดีแน่ ชิมชางมิน

    “ยังไงก็ฝากมินโฮด้วยนะครับ” ประธานชเวมองว่าที่ลูกเขยด้วยความคาดหวังไม่น้อย...ชิมชางมินเป็นชายหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งในวงการธุรกิจ แล้วก็มีความรับผิดชอบในระดับที่เขาน่าจะฝากลูกชายของเขาไว้ให้ดูแลได้

    “เอ่อ...ครับ” ชายหนุ่มยิ้มแห้งๆ พร้อมเหงื่อเม็ดใหญ่ที่ผุดพรายทั่วใบหน้า ไม่อยากจะคิดถึงปัญหาที่จะตามมาในอนาคตหากความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย

    หลังจากที่ชายหนุ่มขอตัวออกมาจากห้องของประธานบริษัท ชิมชางมินสูดอากาศเย็นยะเยือกจากเครื่องปรับอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่หลังจากต้องเผชิญสภาวะกดดันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ร่างสูงพิงกระจกเบย์วิวบานใหญ่ที่ติดไว้โดยรอบบนชั้นสูงสุดของอาคารจนสามารถเห็นกรุงโซลได้ชัดเจนในแบบพาโนรามาหากแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะมาพิศมัยความสวยงามอะไรในตอนนี้ มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็คสีดำสนิทหมายจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้าแต่ก็พบกับความว่างเปล่าจึงนึกได้ว่าให้เด็กขี้แยยืมไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

    “เฮ้อ...ป่านนี้ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปอีกรึยังนะ” ชางมินบ่นเบาๆ คนเดียวพลางนึกถึงใบหน้าเปื้อนน้ำตาอันแสนเศร้าของเด็กหนุ่มที่ต้องร่วมชะตากรรมเดียวกับเขาไปสักพักใหญ่

    แล้วทำไมเขาจะต้องเป็นห่วงชเวมินโฮด้วยล่ะ ชางมินเผลอถามตัวเองในใจแต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา เขาไม่อาจแยกแยะระหว่างความรู้สึกสงสารกับบางอย่างที่หัวใจกำลังพยายามปฎิเสธอยู่...แต่ระหว่างที่ความว้าวุ่นใจกำลังโจมตีกันวุ่นวายในหัว ไอโฟนในกระเป๋าก็สั่นเป็นจังหวะพร้อมกับข้อความที่เรียกรอยยิ้มร้ายให้ผุดขึ้นบนใบหน้าอีกครั้ง

    น้องดีเจคนสวยจะทำงานคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนพักยาว...เจอกันที่เดิม คิบอม

     

     

     

    ชางมินตามมาสบทบกับคยูฮยอน คิบอม และยุนโฮที่นั่งรออยู่ก่อนในโซน VIP ของผับแห่งเดิมกับเมื่อวานนี้ นักเที่ยวหนาแน่นยิ่งกว่าเดิมในคืนวันศุกร์สุดท้ายของเดือน รวมทั้งเป็นคืนพิเศษที่ใครๆ ต่างก็เฝ้ารอการมาถึงของดีเจคนสวยที่ได้ประกาศว่าจะมาทำงานคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายก่อนพักยาว เหล่าชายหนุ่มที่หมายปองร่างบอบบางแสนสวยต่างแย่งชิงพื้นที่บริเวณหน้าฟลอร์เต้นเพื่อให้ได้เห็นดีเจคนสวยได้ใกล้ที่สุด ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูกถ้าต้องทนเห็นคนสวยที่เขาได้ครอบครองเมื่อคืนต้องตกเป็นเป้าสายตาของชายผู้หื่นกระหายมากหน้าหลายตาถึงขนาดนี้

    “โห...ผับเชี่ยอะไรของพวกเมิงวะ มีแต่ผู้ชาย กูอยากจะบ้า” ชองยุนโฮถึงกับหัวเสียเมื่อเห็นนักเที่ยวส่วนใหญ่ในผับแห่งนี้กลายเป็นเพศเดียวกับตนเอง “นี่มันบาร์เกย์รึไงวะ”

    “ไอ้ยุน เมิงใจเย็น ถ้าเมิงเห็นน้องคนสวยแล้วเมิงจะเข้าใจเหตุผลว่ะ” คยูฮยอนตบบ่าเพื่อนรักพร้อมยื่นวิสกี้สีอำพันในแก้วคริสตัลใบสวยให้เพื่อนแก้กลุ้ม “ไม่ก็เมิงถามไอ้ชางมินดูว่าน้องคนสวยเด็ดแค่ไหน”

    “เฮ้ย...กูยังไม่ได้อะไรกับเค้า” ชางมินขัดขึ้น “แต่คืนนี้กูต้องได้”

    “เพิ่งเห็นไอ้ชางมินมันจริงจังกับใครก็วันนี้แหละว่ะ” คิบอมเห็นแววตาจริงจังในดวงตาคมที่ส่องประกายแข่งกับแสงไฟระยิบระยับแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ “ถามจริงเหอะ...ทำไมเมิงอยากได้เค้านักวะ”

    “เมิงไม่รู้สึกอยากชนะไอ้พวกที่ได้แต่มองพวกนั้นเหรอ” ชางมินผู้มีสัญชาติญาณแห่งการล่าและเอาชนะมากกว่าใครๆ เอ่ยอย่างถือดี “แต่...เค้าไร้เดียงสามากจนคิดว่าเป็นคนละคนกับภาพที่เห็นภายนอก นั่นแหละที่ทำให้กูสนใจเค้า”

    “ก็กูได้ยินมาว่าน้องคนสวยยังจิ้นอยู่เลย” คยูฮยอนว่า

    “นั่นสิ...แล้วจะปล่อยให้คนพวกนั้นได้ไปเหรอวะ” ชางมินแค่นหัวเราะพลางไวน์แดงรสเลิศในมือจนหมดเพียงครั้งเดียว “ถ้าคืนนี้ไม่ได้...กูก็จะปล่อยเค้าไปแล้วกัน”

    “ทำไมเมิงปล่อยเค้าไปง่ายขนาดนั้น ไม่สมกับเป็นเมิงเลยสักนิด ชางมิน”

    คยูฮยอนถามอย่างตรงไปตรงมา เท่าที่เขารู้จักกับชางมินมานาน ชางมินเคยมีแฟนจริงจังแค่ครั้งเดียวในชีวิต เขาจำได้ดีว่าชางมินอ่อนโยนและปฏิบัติต่อแฟนตัวเองราวกับเป็นเจ้าหญิงองค์น้อยๆ หากหลังจากที่ชายหนุ่มโดนหญิงสาวทิ้งอย่างไม่ใยดี ชางมินก็เปลี่ยนเป็นคนละคนแบบหน้ามือเป็นหลังมือ กลายเป็นคาสโนว่าที่สุดแสนจะร้ายกาจคนหนึ่งที่ไม่เคยควงผู้หญิงซ้ำแม้แต่วันเดียว...เรียกว่าไม่เคยมีคำว่าอ่อนโยนในพจนานุกรมของชิมชางมินอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

    คนถูกถามถึงกับอึ้งกับคำถามของเพื่อนรัก ชางมินกำลังสับสนอีกครั้งกับความปรารถนาในร่างกายอันแสนหอมหวานของคนสวยเพียงแค่นั้น...หรือว่าชอบเข้าแล้วจริงๆ พร้อมกับใบหน้าอันแสนเศร้าของเด็กขี้แยคนเมื่อเช้าก็เข้ามาแทรกในพื้นที่บางส่วนของจิตใจที่ว้าวุ่นในตอนนี้

    พอๆ กับเพื่อนซี้อีกสองคนอย่างชองยุนโฮและคิมคิบอมก็นิ่งเพื่อรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจที่ต่างก็สังเกตได้อย่างง่ายดายว่าเพื่อนของเขามีบางสิ่งบางอย่างคับข้องใจอยู่...

    “สำหรับน้องคนสวยกูก็ไม่อยากให้ใครได้เค้าไป...แต่กูก็ไม่แน่ใจ เพราะก็มีอีกคนนึงที่กูคิดถึงหน้าเค้าทั้งวัน แล้วเค้าก็ทำให้กูยิ้มได้อย่างไม่มีสาเหตุ แต่กูก็แยกระหว่างความสงสารกับความชอบไม่ออก...”

     

     

     

    ดีเจคนสวยลอบเข้ามาหลังร้านเช่นทุกครั้งเมื่อมาทำงานอย่างเงียบเชียบด้วยทางลับที่เจ้าของร้านอย่างคิมฮีชอลเปิดเอาไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ มีผู้ชายจำนวนมากที่พยายามดักรอดีเจคนสวยของผับแห่งนี้เพื่อหาโอกาสเข้าถึงตัว แต่เด็กหนุ่มที่มีความรักในเสียงดนตรีและดูร้อนแรงในสายตาคนภายนอกกลับบริสุทธิ์และไร้เดียงสากว่าที่ใครจะคาดคิด ชเวซีวอนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องและพ่วงตำแหน่งคนรักของคิมฮีชอลซึ่งเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยเดียวกันมาก่อนเห็นว่าน้องชายของเขาชอบงานนี้มาก แต่ถูกทางบ้านที่เคร่งครัดในกฎระเบียบกีดกันเรื่องเหล่านี้ จึงได้แนะนำให้ชเวมินโฮมาทำงานที่นี่เพื่อที่จะได้มีคนรู้จักคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย

    “พี่ฮีชอล สวัสดีฮะ” ร่างสูงโปร่งบอบบางในชุดธรรมดาที่เพิ่งกลับมาจากมหาวิทยาลัย รวมทั้งใบหน้าหวานที่ถูกปกปิดด้วยแว่นสายตาอันโตจนคิมฮีชอลเกือบจำหน้าไม่ได้

    “นี่ ทำไมมินโฮของเราแต่งตัวเชยแบบนี้ล่ะ” คิมฮีชอลแทบจะกรี๊ดกับลุคเนิร์ดของมินโฮที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “แต่แบบนี้เจ๊ว่ามินโฮก็น่ารักดีนะ” มือขาวหยิกแก้มของเด็กหนุ่มด้วยความหมั่นเขี้ยวจนคนถูกกระทำถึงกับทำหน้าเหยเก

    “พอดีคอนแทคมันกระเด็นหลุดไปตั้งแต่เช้าน่ะฮะ เลยต้องใส่แว่นมา” มินโฮอธิบาย “แต่ผมไปซื้อมาแล้วฮะ พี่ฮีชอลไม่ต้องเป็นห่วง” เด็กหนุ่มยิ้มจนตาหยีอย่างน่ารักจนคนรอบข้างอดเอ็นดูไม่ได้

    “แล้วถ้าไม่มีมินโฮแล้วใครจะมาเที่ยวผับของเจ๊ล่ะ เฮ้อ...นี่สอบเสร็จแล้วต้องรีบกลับมาทำงานนะ เข้าใจมั้ย” ฮีชอลบ่นกระปอดกระแปด เพราะวันไหนที่มีดีเจคนสวยมาเปิดเพลงยอดขายของร้านพุ่งกระฉูดจนรับไม่หวาดไม่ไหวทุกครั้ง

    “ครับ...งั้นผมไปแต่งตัวก่อนนะครับ”

    มินโฮยิ้มแล้วขอตัวออกไปเตรียมตัวเช่นทุกๆ วัน ร่างบอบบางตรงเข้าห้องแต่งตัวที่ใช้ประจำซึ่งนอกจากจะเป็นที่ใช้สำหรับเตรียมตัวแล้วยังเป็นที่พักผ่อนของเขาด้วย เด็กหนุ่มทรุดลงบนโซฟาหนังสีงาช้างภายในห้อง ดวงตากลมจ้องราวเสื้อผ้าที่คิมฮีชอลเป็นคนจัดหามาให้ แม้เสื้อผ้าส่วนใหญ่จะไม่ได้เป็นแนวเซ็กซี่มากนัก แต่สำหรับมินโฮก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใส่เสื้อผ้าเหล่านี้ด้วยความมั่นใจ แต่สักพักมินโฮก็เริ่มสนุกที่จะได้กลายร่างเป็นคนอีกคนที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงในสถานที่แห่งนี้...แต่วันนี้อาจจะเป็นวันสุดท้ายที่มินโฮได้ทำงานในที่แห่งนี้ในฐานะดีเจ เขาไม่มั่นใจเลยว่าหลังจากเรียนจบแล้วเขาก็ต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับใครสักคนแล้วก็เข้าทำงานในบริษัทของพ่อ

    เมื่อเห็นเสื้อผ้าชุดที่ใส่เมื่อวานแล้วก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนกับชิมชางมินใบหน้าหวานก็ขึ้นสีชมพูระเรื่อเหมือนเหตุการณ์เพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ ตั้งแต่ลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดต้นคอและ...จูบที่หวานและร้อนแรงจนร่างกายแทบหลอมละลายยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึกไม่จางหาย และแม้กระทั่งมือหยาบของอีกฝ่ายที่ลูบไล้ร่างกายที่เขาแสนจะหวงแหนจนมินโฮไม่อาจปฎิเสธได้ว่าเขารู้สึกดีกับสัมผัสนั้น...หากการพบกันอีกครั้งเมื่อเช้า ชิมชางมินคนเมื่อคืนแทบจะเป็นแค่ความฝัน ชายหนุ่มกลายเป็นพี่ชายที่แสนอบอุ่นและใจดีกับชเวมินโฮที่เป็นเด็กมหาวิทยาลัยเฉิ่มๆ คนนั้น หัวใจที่แสนทรยศเจ้าของเต้นด้วยจังหวะถี่รัวราวกับจะหลุดออกมา หากมินโฮก็รู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย...

    นอกจากจะไม่อาจเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองแล้ว ยังรู้สึกผิดที่หลอกลวงอีกฝ่ายแม้เป็นแค่ความบังเอิญ แต่ยิ่งไปกว่านั้น...เขากำลังกลัวว่าถ้าปล่อยตัวเองไปตามความรู้สึก เขาเองจะเป็นคนที่เจ็บปวดเอง เพราะไม่มีแม้แต่ความมั่นใจที่ตนเองจะกลายเป็นคนรักเพียงแค่หนึ่งเดียวของชิมชางมินได้


    to be continue in 'I don't know...I love you last episode' 




    <<Let's Talk with Writer>>

    สวัสดีรีดเดอร์ที่น่ารักทั้งหลายค่ะ สงกรานต์ผ่านไปแล้วไปเล่นที่ไหนกันมาบ้างรึป่าวคะ? 
    ส่วนเราไม่ได้ออกไปไหนเพราะไม่ชอบคนเยอะๆ ได้ออกข้างนอกไปทำงานแค่วันเดียวเอง ผ่านสีลมคนเยอะอย่างมาก >O<
    หมดเทศกาลวันหยุดยาวแล้วเราก็ต้องกลับไปเรียนและทำงาน (แง T_T) น้องๆ ที่ปิดเทอมก็ใช้ให้คุ้มนะค้า 555

    มาถึงฟิคของเรา ตอนนี้ไม่มีกุ๊กกิ๊กหวานแหววสักเท่าไหร่เลย เอาไว้ลุ้นตอนจบแล้วกันนะคะ (ซึ่งก็เป็นตอนหน้าแล้ว)
    ตอนนี้ออกแนวดราม่าเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่แทรกฉากดราม่าลงไป ไม่รู้ว่าจะอ่านแล้วอินกับตัวละครบ้างรึเปล่า
    ขอไม่อธิบายอะไรมากกว่านี้แล้วกัน ไปลุ้นพร้อมกันตอนจบเลยว่าจะเกิดอะไรยังไงกับชางมินและมินโฮของเรา
    สองคนนี้จะรักกันได้ยังไงนะ (นั่นสิ ไรทเตอร์ก็ยังไม่ได้เขียน กร๊ากกกก XD) 

    หลังจากเรื่องนี้อาจจะพักยาวจริงๆ เพราะไรทเตอร์ใกล้สอบอีกแล้วฮับ T..T 
    แต่ก่อนหน้านั้น...เราจะลงตอนพิเศษให้หนึ่งตอนเป็นการสัมภาษณ์คู่ชางมินโฮนะคะ
    ถ้ารีดเดอร์ไม่มีคำถามอะไรสงสัยเกี่ยวกับฟิคเรื่องนี้หรืออะไรก็ได้เกี่ยวกับชางมินโฮ เราก็จะแต่งเองเนี่ยแหละ 555
    ยังไงถ้ายังงงตรงไหน หรืออยากส่งคำถามมาปั่นป่วนชางมินโฮยังไงก็เม้นไว้ได้เรยนะฮับ
    หมดเขตรับคำถามหลังลงตอนจบของเรื่องนี้นะคะ

    แล้วเจอกันตอนหน้า...ในอีกไม่นานนี้นะคะ ><"


    With Love, 
    Korazy_Minnie


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×