คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [SF] I don't know...I love you Part 1/4
Author: korazy_minnie
Couple: Changmin x
Genre: Romantic, Sensual, Drama
Rating (for this part): PG-17
Note: เนื้อหาในเรื่องนี้มีคำหยาบคายอยู่บ้างเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
ท่ามกลางฝูงชนมากมายที่เดินกันขวักไขว่บริเวณหน้าตึกสูงระฟ้าของบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ พาหนะคันหรูรุ่น Limited Edition อย่าง Lamborghini Gallardo Valentino Balboni สีดำขลับส่องประกายท้าทายแสงอาทิตย์ยามสายค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าท่ามกลางสายตาของทั้งพนักงานบริษัทที่ทราบดีว่าพาหนะคันงามคันนี้จะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากรองประธานบริษัทคนใหม่อย่างชิมชางมิน ทายาทผู้สืบทอดบริษัทนี้เพียงหนึ่งเดียว รถค่อยๆ ชะลอความเร็วลงจนหยุดลงพอดีที่หน้าประตูใหญ่ของบริษัทพร้อมรปภ.ที่ยืนค้อมศีรษะทำความเคารพกันอย่างพร้อมเพียง
ร่างสูงโปร่งในสูทสีดำสนิทตัดกับเสื้อเชิ้ตขาวสะอาดและเนคไทด์เส้นเล็กสีฟ้าเข้มเดินลงจากรถตามปกติและโยนกุญแจรถให้กับชายสูงวัยในสูทสีดำสนิทที่รับหน้าที่ขับรถคันโปรดของรองประธานไปยังลานจอดรถส่วนตัวของผู้บริหารด้านหลังตึก ชายหนุ่มเดินผ่านพนักงานบริษัทที่ต่างค้อมศีรษะทำความเคารพตลอดทาง แม้ช่วงแรกเขาก็รู้สึกขัดเขินกับท่าทีนอบน้อมซึ่งเขาไม่คุ้นเคยขณะอาศัยอยู่ในอเมริกา หากสักพักชายหนุ่มก็เริ่มเข้าใจวัฒนธรรมนี้ขึ้นมาบ้างแต่ก็ยังอดรู้สึกแปลกๆ เมื่อมีพนักงานอาวุโสค้อมศีรษะให้ไม่ได้อยู่ดี
ดวงตาจากพนักงานหญิงสาวต่างก็จับจ้องยังรองประธานที่เรียกได้ว่าหล่อคมเข้มต่างจากคนเกาหลีทั่วไปนัก นัยน์ตาเป็นประกายรับกับใบหน้าได้รูป ดวงตาคมที่จดจ้องไปเบื้องหน้าอย่างมุ่งมั่นเป็นที่หลงใหลของพนักงานสาวๆ ในบริษัทนี้เป็นอย่างมาก ทั้งความหล่อที่หาตัวจับยาก โปรไฟล์การศึกษาระดับดีเยี่ยมติดท็อปเทนของอเมริกา รวมทั้งเป็นทายาทหนึ่งเดียวเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในเกาหลียิ่งทำให้ชิมชางมินเป็นชายหนุ่มที่หญิงสาวต้องการแต่งงานด้วยมากที่สุดในขณะนี้
...แต่ใครๆ ต่างก็รู้ว่าชิมชางมินคนนี้เนี่ยแหละ เพลย์บอยตัวพ่อของวงการไฮโซของจริง Work hard, Play Harder คือคติประจำใจของเขา ทำงานหนักเท่าไหร่ เรื่องเที่ยวก็ไม่เคยแพ้กันเลยทีเดียว
ไอโฟนสั่นเป็นจังหวะในกระเป๋ากางเกงสองสามครั้งติดกันระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังรอลิฟท์เพื่อขึ้นไปยังห้องทำงานชั้นสูงสุดของตึกแห่งนี้ มือหนาหยิบขึ้นมาดูอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นข้อความทาง Whatapps จากกลุ่มเพื่อนซี้ก็จุดยิ้มร้ายที่มุมปากอย่างไม่ได้ตั้งใจ
‘ทีเดิมนะเว้ย...สาวๆ จัดเต็มคืนนี้แน่นอน :)’
คนส่งข้อความพวกนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเพื่อนในกลุ่มของเขาอย่างคิมคิบอม นายแบบหนุ่มชื่อดังในเกาหลีที่ชางมินรู้จักตั้งแต่เรียนอยู่ที่อเมริกา ด้วยไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน พวกเขาจึงเป็นเพื่อนสนิทกันได้ไม่ยาก
ไม่กี่อึดใจนัก เพื่อนในกลุ่มของเขาอีกคนอย่างชองยุนโฮก็ส่งข้อความโอดครวญประหนึ่งจะตายหากไม่ได้เที่ยวคืนนี้กับเหล่าเพื่อนซี้เนื่องจากติดประชุมใหญ่ประจำปีของบริษัท
‘เชี่ยยยย วันนี้กูไม่ว่างว้อย คืนนี้พวกเมิงห้ามเที่ยว เพราะกูไม่ว่าง’
ลิฟท์ส่วนตัวของผู้บริหารระดับสูงเดินทางมาถึงชั้น G พอดี ชางมินคุ้นเคยกับการใช้ลิฟท์คนเดียวในบริษัท เพราะเป็นสถานที่นึงที่เขาจะปล่อยตัวตามสบายได้อย่างใจ ร่างสูงเอนพิงกับผนังลิฟท์ดีไซน์ modern อย่างผ่อนคลาย ดวงตาคมมองกระจกบานใหญ่ฝั่งตรงข้ามภายในลิฟท์เล็กน้อย มือที่ว่างอยู่ข้างหนึ่งจัดแต่งทรงผมที่ผ่านการเซตมาอย่างดีให้เข้าที่เข้าทาง นิ้วเรียวอีกข้างก็พิมพ์ข้อความตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
‘เรื่องของเมิงสิวะ ไม่ต้องห่วง กู บอม คยู จะทำหน้าที่แทนเมิงเองนะครับ ตั้งใจประชุมด้วย หุ้นตกมากูไม่รับผิดชอบนะครับ’
‘เชี่ยยยยชางมิน กูขอให้เมียเมิงเป็นผู้ชายยยยย ไอ้เลวววว T-T ’
แค่พิมพ์จบคำสบถด่าไม่ยั้งจากชองยุนโฮก็พรั่งพรูผ่านตัวอักษรกลับมาอย่างรวดเร็วจนชางมินตกใจ คำแช่งมันน่ากลัวมากสำหรับผู้ชายแท้ๆ แมนเกินร้อยแบบเขา แต่ก็อดขำไม่ได้กับคำสาปแช่งไร้สาระที่ชาตินี้คงไม่มีทางเป็นจริง...อย่างชิมชางมิน อย่างน้อยก็ต้องสวยระดับดาราพ่วงด้วยสัดส่วน 36-24-35
‘ระวังแช่งแล้วจะเข้าตัวนะครับคุณชอง จากเพื่อนคยูผู้หวังดี ^^’
คำตอบของโจคยูฮยอนเพื่อนซี้ตั้งแต่สมัยเด็กของชางมินอีกคนช่างโดนใจชายหนุ่มยิ่งนัก ขณะที่กำลังจะพิมพ์ข้อความตอบกลับ ลิฟท์ก็เคลื่อนที่มาถึงชั้นบนสุดของตึกพอดีพร้อมกับเลขานุการคนสวยลูกครึ่งจีนยืนค้อมศีรษะให้อย่างเคารพ
“อ้าว คุณ
“ท่านประธานเรียกให้คุณชางมินเข้าพบค่ะ” เสียงหวานเอ่ย ดวงตากลมโตแต่งแต้มสีอย่างบรรจงจดจ้องไปที่ชายหนุ่มด้วยท่าทางหลงใหล
“เหรอ?” ชางมินอดแปลกใจไม่ได้ที่อยู่ดีๆ ประธานบริษัทหรือพูดง่ายๆ ก็คือบิดาแท้ของเขาเรียกเข้าพบทั้งๆ ที่ช่วงนี้เขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรให้ปวดหัวเสียหน่อย และปกติถ้าเป็นเรื่องงานชิมยูซองจะให้ผู้ช่วยฯ เป็นคนมาเจรจาแทนอยู่แล้ว
“งั้นก็ขอบคุณนะ” ชางมินยิ้มเล็กน้อยแต่ทำให้คนแอบมองถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำเสียแล้ว ชายหนุ่มเดินไปทางห้องประธานบริษัทที่อยู่บริเวณปีกด้านเหนือของตึก ปกติชั้นบนสุดเป็นส่วนของผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น จึงมีเพียงแค่ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นไม่กี่คนที่ได้ย่างกรายขึ้นมาบนชั้นนี้ ภาวะปกติจึงเป็นชั้นที่เงียบสงบมาก
ชายหนุ่มค้อมศีรษะอย่างเคารพให้ผู้ช่วยอาวุโสของประธานที่นั่งอยู่หน้าห้อง ชายสูงวัยผายมือให้รองประธานเดินเข้าไปได้ทันที เป็นสัญญาณว่าคนด้านในคงรออยู่สักพักแล้ว
“ท่านมีอะไรเหรอครับ” ชางมินใช้ประโยคเป็นทางการเสมอหากอยู่ในบริษัทเพื่อไม่ให้เป็นการเคยชินต่อหน้าพนักงานคนอื่น
“นั่งก่อนสิ พ่ออยากคุยด้วยน่ะ” ชิมยูซองเอ่ยขึ้นอย่างมีอำนาจ แม้ชางมินจะดูมั่นใจกับทุกเรื่อง แต่พออยู่ต่อหน้าบิดาผู้น่าเกรงขาม ชางมินรู้สึกเหมือนเป็นเด็กตัวเล็กๆ เสมอ
“ครับ” ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาสีดำขลับราคาแพง พลางกวาดสายตามองไปทั่วห้องทำงานขนาดใหญ่ที่ปกติเขาไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยนัก เพราะมักจะพบกับบิดาในห้องประชุมเป็นส่วนมาก “มีเรื่องอะไรเหรอครับถึงให้คุณวิคตอเรียไปดักรอผมแต่เช้า” ชางมินยิ้มอย่างอารมณ์ดีพลางยกนาฬิกาข้อมือเรือนหรูขึ้นมาดูเวลาที่ยังไม่ถึงเวลาเริ่มงานจริงๆ ด้วยซ้ำ
“พ่ออยากพูดเรื่องแต่งงานน่ะ”
“...ฮะ?” ชางมินตาโต “แต่งงานใครล่ะครับ”
“อายุลูกก็จะยี่สิบแปดแล้วนะ ควรแต่งงานแต่งการกับคนดีๆ สักคนนึงได้แล้ว”
“พ่อ...ตลกแล้วครับ ผมยังไม่อยากแต่งงานอะไรทั้งนั้นแหละ” ชิมชางมินวัยยี่สิบแปดปีไม่ยอมจบชีวิตหนุ่มโสดง่ายๆ ด้วยคำว่าแต่งงานหรอก ไม่มีทาง!!!
“ถึงตอนนี้ยังไม่แต่งงานก็ควรหาคนที่เหมาะสมแล้วคบกันดูก่อนได้แล้ว” ชิมยูซองเอ่ยแกมบังคับ พลางยิ้มอย่างเยือกเย็นให้ลูกชายคนเดียวที่มีสีหน้าราวกับโลกใบนี้จะถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา “วันนี้พ่อนัดดูตัวกับลูกชายของคุณชเวเจ้าของบริษัทก่อสร้างเอาไว้แล้ว”
“เดี๋ยวนะฮะ...นอกจากผมต้องไปดูตัวแล้ว ยังเป็นผู้ชายอีกเหรอ พ่อบ้าไปแล้ว” ชางมินแทบเสียสติเมื่อได้ยินประโยคบอกเล่าแกมบังคับของผู้เป็นบิดาที่จะให้ไปดูตัวกับลูกชาย...ย้ำว่าผู้ชายเสียด้วย นึกถึงประโยคสาปแช่งของชองยุนโฮเมื่อครู่แล้วก็ขนลุกขึ้นมาไม่ได้
“ถ้าลูกเจอเขาแล้วอาจจะชอบก็ได้นี่” ท่านประธานบริษัทพูดด้วยท่าทีสบายๆ “แต่ถึงลูกไม่ชอบ พ่อก็รู้จักคนที่น่าจะเหมาะสมกับลูกอีกหลายคนอยู่แล้ว”
“สรุปพ่อจะคลุมถุงชนผมใช่มั้ยครับ นี่มันยุคไหนแล้วเนี่ย จะบ้าตาย ผมไม่ไปหรอก” ชางมินยื่นคำขาด
“ตามใจสิ แค่โทรแกร๊กเดียว...บัตรเครดิต บัญชีธนาคาร หุ้น และรถของลูกก็โดนยึดหมดแล้ว จะลองดีมั้ยล่ะ”
ชางมินลุกขึ้นยืนจ้องหน้าบิดาเต็มความสูง...
“แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับที่ผมจะยอมพ่อ” ชางมินเอ่ยอย่างจำนน บ้าสิ สมบัติมหาศาลของเขาจะสูญหายไปกับตาเพราะทิฐิโง่ๆ ของตัวเองไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องหาทางหนีทีไล่ก่อนถ้าจะขัดใจผู้เป็นบิดา วันนี้คงได้แค่ทำตามคำสั่งให้ผู้เป็นพ่อพึงพอใจเสียก่อน
“ฮึ...ได้สิ แต่ถ้าลูกหาคนที่ไม่เหมาะสมมาแต่งงานด้วย พ่อก็จำเป็นต้องบังคับลูกแน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่ตัวลูกคนเดียว แต่หมายถึงธุรกิจของเราทั้งหมด...พ่อว่าลูกคงเข้าใจ”
ชางมินยืนทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะค้อมศีรษะก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ผู้เป็นบิดาได้แต่ยิ้มและเอ่ยคำพูดไล่หลังอันแสนทำร้ายจิตใจ
“เย็นนี้พ่อจองร้านอาหารญี่ปุ่นที่โรงแรมของยุนโฮเพื่อนลูกไว้...ถ้ารู้ว่าไม่ไปตามนัดลูกคงรู้นะว่าพ่อจะทำอะไร”
วันนี้แทบจะทั้งวันรองประธานหนุ่มแทบจะไม่ยิ้มและไม่พูดคุยกับใครถ้าไม่จำเป็น บุหรี่นอกที่ซ่อนตัวอยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานถูกนำมาจุดแทบจะมวนต่อมวน ทั้งๆ ที่ปกติชางมินแทบจะไม่สูบบุหรี่เลยหากไม่มีเรื่องเครียดมากจริงๆ คิ้วเข้มบนใบหน้าคมคายแทบจะผูกกันเป็นโบ เวลาที่เดินไปตามปกติทุกวันแต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกแย่มากขึ้นราวกับกำลังจะโดนนำตัวไปประหาร
นิ้วเรียวพิมพ์ข้อความใส่ whatapps แจ้งเพื่อนฝูงว่าวันนี้เขาอาจไปเที่ยวด้วยไม่ได้หรืออาจไปช้ากว่าเวลาปกติของกลุ่มเขา
‘ชางมิน เมิงติดธุระเหรอ’ คิบอมผู้ว่างงานตอบกลับมาคนแรก
‘ตกลงเมิงจะมาป่ะเนี่ย’ คยูฮยอนถามอีกคน
‘สมน้ำหน้า เมิงไม่ต้องเที่ยวเป็นเพื่อนกูนี่แหละ ชางมิน
‘กูต้องไปดูตัวก่อน เด๋วกูไปแน่’ ชางมินพิมพ์กลับไปอย่างหัวเสีย วันนี้คงได้เมาหัวราน้ำจริงจังนี่แหละ
‘หา...ดูตัวกะใครวะ’ คยูฮยอนรีบพิมพ์กลับมาด้วยความตกใจและข้อความทำนองนี้จากเพื่อนอีกสองคนก็ตามมา
‘ผู้ชายว่ะ เชี่ยมาก ไอ้ยุนแม่งแช่งกูให้ได้เมียเป็นผู้ชาย พ่อกูจัดให้เลย จะบ้าตาย’
‘กร๊ากกกก นี่กูศักดิ์สิทธิ์จริงอะไรจริงว่ะ สะใจเป็นบ้า’ ยุนโฮรีบพิมพ์กลับ ถ้าเห็นใบหน้าของยุนโฮตอนนี้คงเปี่ยมสุขยิ่งกว่าสิ่งใด เพราะกำลังตื่นเต้นกับความแม่นยำของตนเอง
‘เวรแล้วเมิง’ คิบอมและคยูฮยอนส่งข้อความเดียวกันเป๊ะมาพร้อมกัน
‘เออ กูแทบจะโทรไปร้องไห้กับแม่แล้วเนี่ย’ ชางมินที่สนิทกับผู้เป็นมารดามากกว่าได้พยายามติดต่อไปทางมารดาที่ไปคุยธุรกิจที่สวิสเซอร์แลนด์แต่ก็โทรไม่ติด คาดว่าพ่อต้องบังคับไม่ให้แม่ของชางมินที่มักจะตามใจลูกชายคนเดียวในทุกเรื่องไม่ให้รับโทรศัพท์ มิฉะนั้นผู้เป็นมารดาคงต้องยอมตามใจลูกชายอีกแน่นอน
ชางมินโอดครวญกับเพื่อนๆ ผ่านทางโปรแกรมสนทนายอดฮิตสักพัก เลขาสาวก็เดินเข้ามาแจ้งนัดหมายตามปกติที่ไม่ปกติของท่านรองประธานในวันนี้
“คุณชางมินมีนัดที่โรงแรมของคุณยุนโฮตอนหกโมงเย็นนี้นะคะ แต่...เอ่อ ในกำหนดการไม่ได้แจ้งไว้ว่าเรื่องอะไรน่ะค่ะ” วิคตอเรียไล่ตารางนัดหมายอย่างสงสัย แต่ตามที่แจ้งไว้ก็มีรายละเอียดเพียงเท่านี้
“อ่อ ครับ ผมกำลังจะไปพอดี” ชางมินลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ ร่างสูงจัดเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ให้เลขาสาวแทนคำขอบคุณ
“เอ่อ คุณชางมินคะ...ฉันต้องไปด้วยหรือเปล่าคะ” วิคตอเรียถามตามหน้าที่ ถ้าเป็นเรื่องงานหญิงสาวต้องคอยไปเป็นเพื่อนรองประธานหนุ่มอยู่แล้ว
“ไม่ต้องฮะ ผมไปดูตัวน่ะ...”
ชางมินเอ่ยประโยคอันแสนเจ็บปวด ไม่ได้เติมท้ายประโยคอีกต่างหากว่า...คนที่ไปดูตัวด้วยน่ะเป็นผู้ชาย!!! ชิมชางมินที่เป็นผู้ชายแท้ๆ ให้ไปดูตัวกับผู้ชาย ไม่อากาศมันเปลี่ยนแปลงมาก พ่อของเขาก็ต้องใกล้บ้าเต็มทีแล้วล่ะ
โรงแรมระดับห้าดาวธุรกิจในเครือตระกูลชองที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีกับบ้านของชางมินนั้นอยู่ไม่ไกลจากบริษัทของชางมินเท่าใดนัก แต่เจ้าของรถความเร็วสูงกลับเลือกที่จะขับรถสมรรถนะเยี่ยมด้วยความเร็วแทบไม่ต่างจากรถประจำทาง ร่างสูงคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยขณะขับรถผ่านถนนโล่งกว้างแทบปราศจากรถเนื่องจากเป็นทางอ้อมที่มักไม่มีคนใช้นัก ควันสีเทาของบุหรี่นอกพวยพุ่งจากหน้าต่างสีดำสนิทที่เปิดทิ้งไว้ ดวงตาคมภายใต้แว่นกันแดดราคาแพงเหม่อมองไปยังจุดหมายของการนัดดูตัววันนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก สารก่อมะเร็งถูกอัดเข้าปอดอีกครั้งก่อนชายหนุ่มจะทิ้งก้นบุหรี่ลงบนถนนอย่างไม่ไยดี
ในที่สุดชางมินก็มาถึงสถานที่นัดหมายซึ่งเป็นโรงแรมในเครือของตระกูลชอง อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มีชองยุนโฮมากวนอวัยวะเบื้องล่างเนื่องจากไม่ใช่สาขาที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโซลซึ่งเป็นที่ทำงานของเพื่อนรัก แต่พนักงานส่วนใหญ่ที่นี่ต่างก็รู้จักคุณชิมชางมินเป็นอย่างดี เพราะยุนโฮเองก็มาจัดปาร์ตี้ที่สาขานี้กับเพื่อนสนิทค่อนข้างบ่อย
ร่างสูงโปร่งถอดเสื้อสูทสีดำไว้ในรถ คลายเนคไทค์ที่แสนอึดอัดพร้อมปลดกระดุมเม็ดบนออกก่อนจะเดินเข้าสู่ตัวโรงแรมเพื่อไปจัดการพบปะคู่ดูตัวให้เสร็จๆ ไปตามหน้าที่...ให้จบๆ กันไป พ่อของเขาจะได้ไม่มาตอแยอีก
ใบหน้าหล่อเหลากับหุ่นสมชายชาตรีช่างเข้ากับการแต่งตัวที่เนี้ยบทุกกระเบียดนิ้วเรียกสายตาของแขกในโรงแรมและพนักงานให้มองกันตาเป็นมัน พลันผู้จัดการก็เห็นเพื่อนสนิทของคุณชองยุนโฮเดินเข้ามาพอดีจึงรีบไปทักทาย
“คุณชาย...สวัสดีครับ” ชายวัยกลางคนทักทายอย่างนอบน้อม “วันนี้ที่นัดดูตัวไว้ใช่มั้ยครับ”
“ผู้จัดการคิมทราบด้วยเหรอครับ” ชางมินค่อนขอดอย่างอารมณ์เสีย นี่พ่อคงป่าวประกาศไปทั่วแล้วมั้งเรื่องดูตัวของเขาเนี่ย
“ท่านประธานชิมโทรมากำชับกระผมให้เตรียมห้องส่วนตัวที่ดีที่สุดไว้ให้น่ะครับ...เชิญทางนี้เลยดีกว่าครับ” ผู้จัดการคิมเดินนำหน้าชายหนุ่มไปยังโซนห้องอาหารญี่ปุ่นชื่อดังของโรงแรมแห่งนี้ นอกจากมีวัตถุดิบที่ดีที่สุดซึ่งนำเข้าจากญี่ปุ่นโดยตรง ทิวทัศน์ที่สวยงามติดสวนญี่ปุ่นจำลองขนาดใหญ่ก็เป็นไฮไลท์ของโรงแรมแห่งนี้ซึ่งติดอันดับสถานที่ยอดฮิตสำหรับการนัดดูตัวอีกด้วย...พ่อของเขาช่างรอบรู้เสียจริง!!!
ชายหนุ่มถูกพามายังห้องอาหารญี่ปุ่นและส่งต่อให้พนักงานสาวในชุดกิโมโนดูแลต่อ ชางมินอดลอบมองสาวๆ ตามนิสัยไม่ได้ พ่อเขาคงจะบ้าไปแล้วที่ให้มาดูตัวกับผู้ชาย...หาผู้หญิงธรรมดาๆ ให้ซะยังดีกว่า
ห้องส่วนตัวด้านในสุดซึ่งมองเห็นวิวของสวนญี่ปุ่นได้อย่างชัดเจนและสามารถออกไปเดินเล่นได้อย่างใกล้ชิด ชางมินเห็นรองเท้าผ้าใบแสนธรรมดาคู่หนึ่งวางอยู่หน้าห้องก็อดจะขนลุกไม่ได้...
นี่กูต้องมาดูตัวกับผู้ชายจริงๆ เหรอเนี่ย T_____T
พนักงานสาวในชุดกิโมโนค่อยๆ เปิดประตูไม้แบบญี่ปุ่นให้อย่างเบามือก่อนจะค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมและขอตัวออกไป ชางมินค่อยๆ ชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องแบบญี่ปุ่นก็เห็นเด็กผู้ชายที่ใส่แว่นตาหนาเตอะและกำลังนั่งอ่านพ็อคเกตบุ๊คเล่มเล็กอยู่ในมือ และเหมือนคนในห้องจะรู้ตัวจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนที่เพิ่งมาถึงพอดี
ดวงตาดำขลับภายใต้แว่นตากรอบดำสุดเชยมองมาทางชางมินด้วยความตกใจเล็กน้อย ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะประหม่าไม่น้อย เมื่อชางมินเดินเข้ามานั่งฝั่งตรงข้ามเด็กหนุ่มก็ได้แต่ก้มหน้างุดกับหนังสือพ็อคเกตบุ๊คโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
“นายใช่มั้ยที่ต้องมาดูตัวกับฉันน่ะ” ชางมินเอ่ยขึ้นก่อนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหนึ่งคงไม่เริ่มพูดก่อนเป็นแน่ “ชื่อชเวมินโฮใช่มั้ย”
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองคนเพิ่งมาอีกครั้งแล้วพยักหน้าเบาๆ “ใช่ฮะ ผมชเวมินโฮ”
“นี่นายโดนบังคับมาเหมือนกันป่ะ” ชางมินเริ่มใช้คำพูดเป็นกันเองเนื่องจากอีกฝ่ายดูเด็กกว่าเขาหลายปีแน่นอน
“ก็...ประมาณนั้นแหละฮะ” เด็กหนุ่มที่ชื่อว่ามินโฮพูดเสียงอ่อย “พี่คือคุณชิมชางมินใช่มั้ย”
“เรียกว่าพี่เฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องใส่คุณอะไรหรอก” ชางมินอมยิ้มในความเปิ่นของคนตรงหน้าก่อนจะตีหน้าเฉยเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา
“ฮะ...พี่ชางมิน” มินโฮเงยหน้าขึ้นตอบอีกครั้งแล้วก็ก้มหน้ามองจานเซรามิกสีเขียวอ่อนตรงหน้าอีกรอบ
“นี่...ฉันไม่พิศวาสเด็กผู้ชายแบบนายหรอก สบายใจได้” ชางมินพยายามสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายมากที่สุดเพราะคนตรงหน้าเขาดูกังวลยิ่งกว่าเขาสักสิบเท่าได้ ความเครียดเมื่อครู่ของชางมินแทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อคนตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก...ในฐานะน้องชายคนนึงน่ะ
“ครับ”
“นายนี่พูดน้อยเนอะ...อ่ะ กินเข้าไปให้หมดนะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งนายกลับบ้านนอน โอเคป่ะ” ชางมินหักตะเกียบไม้ออกจากกันและคีบปลาดิบสารพัดสีที่วางอยู่เบื้องหน้าใส่จานของมินโฮจนพูนจาน เขาเองก็เริ่มรู้สึกหิวหลังจากมื้อเที่ยงก็กินอะไรไม่ค่อยลงนอกจากกาแฟหนึ่งแก้ว แต่หลังจากได้พบเด็กหนุ่มท่าทางเฉิ่มเชยที่ดูน่าสงสารมากกว่าเขาก็ทำให้ความเครียดบรรเทาลงไปมาก
“ขอบคุณฮะ” ดวงตากลมโตลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายอย่างตื่นเต้น มินโฮเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ได้โมโหใส่แบบที่คิด หรือไม่แม้กระทั่งรังเกียจท่าทางเฉิ่มเชยของเขาแบบที่จินตนาการเอาไว้
“นี่นายอายุเท่าไหร่? ยังเรียนอยู่ใช่มั้ย” ชางมินชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อสร้างความคุ้นเคยเมื่อเห็นเด็กหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตขาวตัวใหญ่กับกางเกงยีนสีเข้มเรียบร้อยเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัย
“ผม...ยี่สิบสอง เรียนวิศวะปีสี่ครับ”
“โห..ก็โตแล้วเหมือนกันเนอะ” ชายหนุ่มเริ่มเจริญอาหารหลังจากได้ลิ้มลองอาหารรสชาติอร่อยก็ค่อยๆ ทำให้เขาอารมณ์ดีมากขึ้น มือหนารินสาเกใส่แก้วของตนเองก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย “ดื่มเหล้าได้รึเปล่า”
“เอ่อ ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยชอบ” มินโฮสะบัดหัวช้าๆ ยกชาเขียวร้อนขึ้นจิบแทน “แย่นะครับที่สมัยนี้ยังต้องคลุมถุงชนกันอีก” เด็กหนุ่มเปรยขึ้น
“พวกเรานี่น่าสงสารเนอะ” ชางมินพยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคเมื่อครู่ของมินโฮ “เราก็มาเจอกันให้จบๆ ไป แค่นี้ก็พอมั้ง”
ทั้งสองคนใช้เวลาทานอาหารด้วยกันไม่นานนักและบทสนทนาแบบถามคำตอบคำของมินโฮก็ทำให้ชางมินรู้สึกอึดอัดไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ไม่รู้จะชวนพูดคุยเรื่องอะไรในการมาพบเจอกันครั้งแรก แถมบุคลิกของคนสองคนที่ดูต่างกันเกือบจะสุดขั้ว ชางมินที่แต่งตัวประหนึ่งนายแบบในแมกกาซีนกับมินโฮที่แต่งตัวสุดแสนจะธรรมดายิ่งกว่าธรรมดาจนดูไม่น่าสนใจเลยสักนิด หลังจากทานของหวานจนหมดชางมินจึงได้อาสาไปส่งมินโฮที่บ้านตามมารยาท
“แล้วนายมายังไง” ระหว่างเดินออกจากห้องอาหารชางมินได้ถามขึ้น
“อ๋อ รถไฟใต้ดินน่ะครับ เดินไปตรงทางแยกนิดเดียวก็ถึงแล้ว” เด็กหนุ่มขยับแว่นเล็กน้อย พลางชี้ไปตามทิศทางที่บอก
“ฉันไปส่งให้มั้ย นายจะไปไหน” ชายหนุ่มแสดงน้ำใจต่อเด็กหนุ่มตรงหน้าเสมือนน้องชายคนหนึ่ง
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับเองได้”
“เวลาปฏิเสธคนอายุมากกว่ามันเสียมารยาทรู้มั้ย มินโฮ”
“ขอโทษครับ” มินโฮค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “งั้นส่งผมที่สถานีรถไฟใต้ดินใกล้ๆ นี่แหละครับ ผมจะไปทำธุระต่อนิดหน่อย”
“เอาสิ...”
ชางมินพาเด็กหนุ่มมายังรถคู่ใจที่ค่อนข้างจะไม่ธรรมดาในสายตาของคนทั่วไปสักนิด แม้ฐานะทางบ้านมินโฮก็เข้าขั้นเศรษฐีของประเทศแต่ท่าทางของมินโฮสุดแสนจะธรรมดาจนชางมินไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลชเวผู้มีชื่อเสียงในวงการวิศวกรรมของประเทศจริงๆ ร่างสูงพาเด็กหนุ่มที่ตื่นเต้นกับการได้นั่งรถคันหรูเป็นครั้งแรกมาส่งที่สถานีรถไฟใต้ดินซึ่งห่างจากโรงแรมนั้นไม่มากและถือโอกาสบอกลา
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ” มินโฮเอ่ยขอบคุณก่อนจะเปิดประตูรถออกไปแต่แขนบอบบางก็ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อนจนเด็กหนุ่มรู้สึกตกใจ
“ขอบคุณเช่นกัน...” ชางมินยิ้มอย่างจริงใจให้กับมินโฮ “เราไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด นายว่ามั้ย พ่อแม่ของนายคงเสียใจถ้าจะได้ฉันไปเป็นลูกเขย”
“ฮะ...ผมจะเรียนท่านให้ทราบเอง พี่ชางมินไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอกครับ” มินโฮยิ้มบางๆ ส่งให้ชางมินเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป...หากจะได้เจอกันอีกครั้งก็คงเป็นเรื่องของโชคชะตาแล้ว
หลังจากที่เห็นชเวมินโฮเดินลับตาไปแล้ว ชางมินก็ออกรถไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปเที่ยวสังสรรค์กับเพื่อนๆ ตามนัดหมายเดิม ชายหนุ่มฮัมเพลงอย่างสบายใจหลังจากที่ได้เจอชเวมินโฮที่คุยกันรู้เรื่องและมีความต้องการตรงกันกับเขา ไอโฟนดังขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นข้อความพร้อมแผนที่จากคยูฮยอนว่าเปลี่ยนที่นัดหมายจากผับเดิมเป็นผับแห่งใหม่แถวอับกุจอง คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยหากก็ไม่ได้โทรกลับไปหา เพราะอีกไม่นานก็คงถึงที่นัดหมาย...ที่นี่อาจจะมีบางอย่างที่พิเศษจึงได้ทำให้คยูฮยอนต้องเปลี่ยนสถานที่ทั้งๆ ที่เมื่อเช้าบอกว่าที่เดิมจะมีสาวๆ มาเยอะแยะอะไรสักอย่าง
รถคันงามพุ่งทะยานไปบนทางหลวงสายเลี่ยงเมืองด้วยความเร็วสูง เพลง Jazz ที่เจ้าตัวชอบดังขับกล่อมผ่านเครื่องเสียงชั้นดี จังหวะเนิบนาบและเสียงโหยหวนของแซ็กโซโฟนช่างขัดแย้งกับตัวเลขบนหน้าปัดชี้แสดงความเร็วอันน่าหวาดเสียวเกือบ 200 กม./ชม. แต่ก็ทำให้ชายหนุ่มสามารถมาถึงย่านอับกุจองได้โดยใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาที
to be continue in 'I don't know...I love you part 2/4'
Talk with writer~~
สวัสดีงามๆ อีกครั้ง *โค้ง 90 องศา* อิไรทเตอร์มันกลับมาอีกแล้ววววววว~
มันกลับมาเร็วมากกกก เพราะมันไม่ยอมอ่านหนังสือเรียน 555+
สำหรับเรื่องนี้ I don't know...I love you ตอนแรกที่ลงให้ยังเป็นแค่ช่วงแรกของเรื่องเลย อาจจะน่าเบื่อ เยิ่นเย้อ เวิ่นเว้อกับความหล่อ รวย เริ่ดอลังการของชางมินไปซะเยอะ แต่อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า ทนอ่านไปก่อน 555+ ไรทเตอร์อยากให้ทุกคนรู้จัก backgroud ของตัวละครก่อนน่ะฮับ ><"
ชางมินในเรื่องนี้ไม่ใช่พี่ชายแสนดีกับน้องมินโฮอย่างเรื่องที่ผ่านๆ มาแน่นอน
แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ได้หวานแหววแบบที่ผ่านมาเท่าไหร่นัก (จะทำได้มั้ย TOT~) รออ่านตอนต่อไปละกันนะค้า ^^
เรื่องนี้ยังไม่คิดด้วยว่ากี่ตอนจะจบ ไม่แน่ตอนหน้าอาจจะจบเลย (อ้าวอินี่ -*-) อาจจะมาลงช้า เพราะช่วงนี้ไรทเตอร์ก็มีมรสุมชีวิตบ้างอะไรบ้าง 555+
ขอบคุณทุกท่านที่เดินผ่านมาอ่านและรักคนคอมเม้นม๊ากกกมากนะคะ ^____^
แอบเอารูปรถของชางมินมาแปะให้ได้รู้จักกันสำหรับ Lamborghini Gallardo Valentino Balboni สีดำ ไรทเตอร์ก็ไม่ทราบราคาหรอกค่ะ แต่ว่าเห็นแล้วปิ๊งเลยอ่ะ ชอบบบบบบ ><~
ความคิดเห็น