ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[ChangMinHo's Love Fiction Library]]

    ลำดับตอนที่ #17 : [SF] Shall we...?

    • อัปเดตล่าสุด 17 ต.ค. 54


    [SF] Shall we…?

    Writer: korazy_minnie

    Pairing: Changmin x Minho (ChangMinHo)

    Genre: Romantic

    Rate: PG-13

    Note: Inspiration from ‘Love Time’ – Lee Seung Ki >> ขอร้องให้คลิกฟังไปก่อนสักรอบเพื่อความอินนะคะ!!!


     

     

     

     

    언제나 거침없던 내가 조금씩 눈치를 보고 있어

    겉으론 관심 없는 차가운 도시의 남자인

    ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจะลังเลอะไร แต่พักนี้ผมค่อยๆ สังเกตอะไรบางอย่างที่แปลกไป

    ภายนอกที่จะดูเหมือนไม่ได้สนใจอะไร ก็ผมน่ะแสร้งทำตัวเป็นผู้ชายเย็นชาอยู่

     

    ลมแรงชะมัด...

    ผมบ่นอยู่ในใจคนเดียวขณะเดินเลาะเลียบริมสนามหญ้าสีเขียวขจีกลางมหาวิทยาลัย ผมกระชับเสื้อโค้ทตัวยาวที่เป็นของขวัญวันเกิดจากน้องสาวเมื่อปีกลายให้แนบตัวยิ่งขึ้นเพื่อปกป้องตัวเองจากอุณหภูมิของอากาศที่ลดลงเรื่อยๆ ทุกวัน ในช่วงนี้

    ผมถูกมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ส่งมาเรียนต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยติดอันดับท็อปเท็นของอเมริกาเพื่อให้กลับไปเป็นอาจารย์ เหลืออีกสองปีกว่าผมจะสำเร็จการศึกษาตามเป้าหมายที่วางไว้ ผมเองก็ใช้ชีวิตในต่างแดนมานานเกือบสองปีแล้วเช่นกัน ที่นี่ไม่ค่อยมีชาวเอเชียพลุกพล่านเหมือนมหาวิทยาลัยอื่นในนิวยอร์ค หากครั้งใดได้มีโอกาสเจอคนเอเชียเข้ามาเหยียบย่างมหาวิทยาลัยแห่งนี้ผมจะรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งอย่างไม่มีสาเหตุ

    วันนี้ผมตั้งใจจะไปขลุกตัวอยู่ที่ร้านกาแฟเงียบๆ แล้วอ่านหนังสือสักหน่อย เพราะเบื่อการนั่งอ่านในห้องสมุดอันแสนอับทึมของมหาวิทยาลัยมาหลายวัน หากเพื่อนๆ ในกลุ่มผมกลับเป็นผู้ที่หลงใหลการอ่านในบรรยากาศเงียบสงบเหล่านั้น ผมจึงขอปลีกตัวมาเปลี่ยนบรรยากาศบ้างเพื่อไม่ให้รู้สึกเครียดจนเกินไป

    ...Er, excuse me?” เสียงภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ดังขึ้นขณะที่ผมกำลังเดินอยู่ แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอื่นแล้วนอกจากผม...และเด็กหนุ่มผมสีดำหน้าตาเอเชียที่ยืนยิ้มด้วยท่าทีประหม่าพร้อมกับถือกระดาษไว้ในมือสองสามแผ่นและกำลังจ้องผมอยู่

    “Me..?” ผมถามเขาเพื่อความแน่ใจอีกทีว่าเขากำลังพูดกับผมอยู่แน่ๆ เขาพยักหน้าหงึกหงักพร้อมทั้งยื่นกระดาษในมือมาให้ผมดูแผ่นหนึ่ง

    “Please tell me how to go to this department?” เขาถามผมต่อพร้อมทั้งเอานิ้วจิ้มข้อความที่วงเอาไว้ด้วยปากกาสีส้มอ่อนๆ ให้ผมดู

    “A registry office…? ผมมองหน้าเขาแล้วถามอีกครั้ง

    “Yes. I try to find it by myself but I can’t…” เขายิ้มพร้อมเกาศีรษะอย่างเก้อเขิน

    สาบานได้...ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขามันสว่างจ้าเหมือนแสงอาทิตย์ในฤดูร้อนที่ขาดหายไปของผมในช่วงสองปีที่ผ่านมา มันดูอบอุ่นและเป็นมิตรกับคนแปลกหน้าเช่นผม

    ขณะที่ผมกำลังนึกอยู่ว่าจะบอกทางไปสำนักทะเบียนยังไงให้เข้าใจง่ายๆ ดี เพราะผมมันก็เดินอยู่ในนี้ทุกวัน แต่จะอธิบายให้ฟังเป็นภาษาอังกฤษให้เข้าใจง่ายๆ นี่ลำบากเหมือนกันแฮะ แต่...ผมดันบังเอิญไปเห็นลายมือขยุกขยิกอยู่บนกระดาษใบนั้นเป็นภาษาเกาหลีเสียด้วยสิ

    คุณเป็นคนเกาหลีเหรอ? ผมถามออกไปเป็นภาษาบ้านเกิดที่ไม่ค่อยได้ใช้บ่อยนักในประเทศนี้ ดวงตากลมโตสีดำขลับของเขาเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมด้วยความตกใจ พร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างยินดี

    ใช่ฮะ ผมเพิ่งมาจากเกาหลี อ้าว...คุณก็เป็นคนเกาหลีเหรอครับเนี่ย น้ำเสียงของเขาบ่งบอกที่ความตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนจากชาติเดียวกัน ผมเกร็งแทบแย่ ภาษาอังกฤษของผมก็ห่วยชะมัด เขาถอนหายใจแล้วหัวเราะแห้งๆ อย่างอายๆ

    มันก็ไม่เลวนี่นา ผมตอบแบบกลางๆ แต่จะให้ชมเชยอะไรก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอก เขาเลยยิ้มออกมาอีกรอบราวกับเด็กๆ มือเล็กๆ ของเขากระชับผ้าพันคอไหมพรมสีขาวให้เข้าที่ระหว่างที่กำลังยืนคุยกับผมไปด้วย

    ที่นี่เริ่มหนาวเร็วเหมือนกันนะครับ เขาเปรยเรื่องทั่วๆ ไปที่ก็ดูน่าจะลำบากกับตัวเองไม่ใช่น้อย เขาตัวสูงไม่ต่างจากผมเท่าไหร่นัก แต่ตัวเล็ก...อืม จะเรียกว่ายังไงดี มันดูผอมบางจนน่ากลัวว่าลมแรงๆ ที่นี่จะพัดปลิวไปได้

    ขอโทษฮะ ผมนอกเรื่องไปหน่อย ยังไงก็ช่วยบอกทางให้ผมหน่อยนะครับ ผมเดินหลงมาสามรอบแล้วเนี่ยเขาบ่นไปแต่ก็ยังมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับบนใบหน้าที่จัดได้ว่าดูดีมากๆ คนหนึ่ง

    สงสัยภาษาอังกฤษผมจะยังไม่เข้มแข็งพอ ฟังเค้าพูดมาแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลยเขาเอียงคอเล็กน้อยขณะกำลังเม้มปากแน่นเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

    ...จะดูประหลาดมั้ยถ้าผมว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดู น่ารัก

    มันไปยากหน่อย ไม่แปลกหรอกที่มาครั้งแรกแล้วจะหลง ผมอธิบายให้เขาเข้าใจ...ไม่หรอก เรียกว่าปลอบใจเขาที่ดูเซ็งๆ ไม่น้อย

    เดินตามมาสิ ผมกำลังจะผ่านไปทางนั้นพอดี

    วันนี้ผมใจดีเป็นพิเศษที่อุตส่าห์ลงทุนเดินอ้อมเพื่อพาเด็กหลงทางชาวเกาหลีไปส่งยังที่หมายด้วยตัวเอง...แม้อีกนิดเดียวผมก็จะออกไปถึงร้านกาแฟที่เป็นจุดหมายปลายทางของผมแต่เริ่มแรก

    ขอบคุณนะครับ... เค้าค้อมศีรษะให้ผมพร้อมกับเอ่ยคำขอบคุณ ผมชเวมินโฮ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ มือเล็กยื่นมาเบื้องหน้าในการทำความรู้จักกันตามมารยาทแล้วยิ้มให้จนตาคู่โตหรี่เล็กลง

    อืมม์ ผมพยักหน้ารับคำขอบคุณจากเขาก่อนจะยื่นมือไปสัมผัสฝ่ามือเล็กกว่าที่นุ่มนิ่มเกินกว่าจะเป็นของผู้ชาย  ผมชื่อชิมชางมิน ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน

    หวังว่าเราคงได้เจอกันอีกนะครับ

     

    เราจากกันหลังจากการพบกันครั้งแรกไว้เพียงแค่นั้น ผมไม่รู้ว่าจะได้เจอเขาอีกครั้งที่ไหนและเมื่อไหร่ แต่วันนี้เขาทำให้อากาศที่เย็นลงกลับดูอบอุ่นและมีชีวิตชีวาขึ้นมา คงจะจริงที่ว่าการได้เจอคนบ้านเดียวกันในต่างแดนมักจะทำให้รู้สึกดี แต่จริงๆ แล้ว...ผมก็ไม่แน่ใจนักว่ามันใช่สาเหตุนี้จริงๆ หรือเปล่า

     

     

     

    애써 외면하고 낯설은 말투로 만나왔어

    영화가 아니잖아 드라마의 남자가 아니잖아

    เวลาพบกัน ผมก็พยายามจะเลี่ยงๆ แถมยังพูดจาประหลาดๆ ออกไปอีก

    นี่ไม่ใช่ในหนัง ผมก็ไม่ใช่พระเอกในเรื่องนั้นหรอก

     

    กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นในร้านกาแฟบรรยากาศอบอุ่นที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยของผมนัก กว่าจะรู้ตัวอีกทีผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่นานกว่าสี่ห้าชั่วโมงแล้ว เพียงละสายตาขึ้นมาจากหนังสือเล่มโต ท้องฟ้าภายนอกก็เริ่มฉาบด้วยสีส้มจัดและดวงอาทิตย์ที่ปริ่มๆ จะลับไปจากสายแต่เสียแล้ว ผมเหลือบมองที่นาฬิกาข้อมือเพื่อดูเวลาให้แน่ใจ เห็นทีผมควรจะหาอะไรกลับไปกินที่หอแล้วไปนอนพักสักงีบก่อนจะอ่านหนังสือต่อ

    ขณะที่ผมกำลังเก็บของบนโต๊ะเพื่อเตรียมตัวจะลุกออกไป ก็มีคนมายืนรอเหมือนจะขอใช้โต๊ะต่อจากผม ช่วงหลังหกโมงไปแล้วร้านกาแฟแถวนี้ค่อนข้างจะพลุกพล่านไปด้วยนักศึกษาที่มาใช้สถานที่ในการพบปะสังสรรค์ นี่ก็อีกสาเหตุหนึงที่ทำให้ผมเลือกที่จะกลับไปนั่งอ่านที่บ้านต่อ

    คุณชิมชางมิน...

    เสียงภาษาเกาหลีเรียกผมดังขึ้นตอนที่ผมกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บของใส่กระเป๋า พอเงยหน้าขึ้นมาก็กลายเป็นเขาที่ผมเจอเมื่อตอนบ่ายๆ ที่ผ่านมา...แต่น่าแปลก ทำไมผมรู้สึกเหมือนผมกำลังยิ้มออกมา

    อ้าว ทำไมคุณยังอยู่แถวนี้อีกล่ะ ผมถามบ้าอะไรออกไปนะ แย่ชะมัด...ผมเห็นว่าสีหน้าเขาดูตกใจกับประโยคแปลกๆ ของผมนิดหน่อย

    ผมเดินเล่นแล้วก็ถ่ายรูปในยูไปเรื่อยเปื่อยนะฮะ รู้ตัวอีกทีก็เกือบจะมืดแล้ว เขาพูดพร้อมทั้งชูกล้องถ่ายรูปตัวใหญ่ขึ้นมาให้ดูเป็นหลักฐาน ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณชิมชางมินแถวนี้

    ผมกำลังจะกลับพอดี ใช้โต๊ะต่อจากผมก็ได้นะ

    เขายืนถือแก้วกาแฟร้อนอยู่นิ่งๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ จังหวะที่ผมกำลังจะลุกขึ้นก็บังเอิญสบตากับดวงตาคู่โตเป็นประกายของเขาพอดี

    ผมไปด้วยได้มั้ยฮะ เขาเอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ

    ...

    ผมไม่รู้จะไปไหนดี ผมเพิ่งมาถึงที่นี่วันแรก...แต่ผมยังไม่อยากกลับที่พักน่ะฮะ

    ผมกำลังจะกลับบ้าน

    เอ่อ...งั้นก็ขอโทษทีฮะ ใบหน้าของชเวมินโฮดูหงอยลงแทบจะทันที ผมรู้สึกผิดจังที่พูดแบบนี้ออกไป...

    แต่ผมกำลังจะไปกินมื้อเย็นก่อน จะไปด้วยกันมั้ยล่ะ

    ชเวมินโฮยิ้มกว้างราวกับเด็กๆ ที่เพิ่งได้ขนมเป็นของรางวัล เขายื่นมือมาหาผมเหมือนจะช่วยถือหนังสือในมือ แต่ผมก็เบี่ยงตัวหนีได้ ผมเลยรีบเดินนำหน้าเขาออกมาจากร้านทำให้เขาต้องก้าวยาวๆ เพื่อเดินตามผมมาให้ทัน

    ไม่ต้องหรอก คุณน่ะผอมจะตาย เดี๋ยวหนังสือหล่นทับคุณตายได้นะ ผมพูดจาประหลาดๆ ไปอีกแล้วรึเปล่าครับ เขาเหมือนจะพยายามกลั้นขำอยู่ภายใต้ผ้าพันคอผืนใหญ่ที่พันเอาไว้สูงจนเกือบปิดปากของเขา

    คุณชิมชางมินพูดจาตลกดีจัง เหมือนเขาจะพยายามสำเร็จ แต่เขาก็ยังอมยิ้มอยู่น้อยๆ ผมเป็นผู้ชายนะครับ ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอก

    นั่นแหละ แต่ผมถือเองได้ ผมพลั้งปากปฎิเสธเขาไปแบบห้วนๆ อีกแล้ว โอ๊ย ทำไมผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้เลยนะ แล้วก็เรียกผมว่าชางมินเฉยๆ ก็ได้ ผมน่าจะโตกว่าคุณอยู่หลายปีนะ

    ผมเรียนจบปริญญาตรีแล้วนะครับ ถึงหน้าผมจะดูเด็กๆ ก็เถอะชเวมินโฮดูโกรธหน่อยๆ ที่ผมหาว่าเขาดูเด็กกว่าผม มันควรจะดีใจสิ แต่ผมก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน เพราะจากท่าทางและการแต่งตัวของเขาบอกว่าเป็นเด็กม.ปลายก็น่าเชื่ออยู่นะ

    เราเดินคุยกันไปเรื่อยๆ ท่ามกลางอุณหภูมิที่ลดระดับลงยิ่งกว่าช่วงกลางวัน ผมตั้งใจจะพาเขาไปทานอาหารง่ายๆ อย่างข้าวแกงกะหรี่เจ้าอร่อยของเมืองนี้ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากย่านมหาวิทยาลัยนัก ผมรู้จักมินโฮมากขึ้นนิดหน่อย เขาเรียนจบอะไรสักอย่างแนวอาร์ตๆ ที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก เขายังอวดรูปถ่ายในกล้องในผมดูอย่างภาคภูมิใจ เขาบอกว่าการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรกของเขาด้วย แต่ผมว่าฝีมือของเขาเข้าขั้นมืออาชีพแล้วล่ะ ขนาดรูปต่างๆ ในมหาวิทยาลัยที่ผมเห็นจนชินตาทุกวัน พอมองผ่านกล้องของเขา...มันดูพิเศษ

    แสงไฟจากหลอดสีส้มริมทางเดินเป็นแนวยาวริมถนนเล็กๆ ในตรอกย่านมหาวิทยาลัยที่ปกติมีคนเดินน้อยๆ ในเวลาหัวค่ำ อิฐสีแดงก่ำที่เรียงตัวเป็นระเบียบบนทางเดินที่ผมว่ามันทำให้แถวนี้ดูลึกลับและเศร้าสร้อยเวลาเดินคนเดียว แต่พอมีใครสักคนให้เดินด้วย...ผมว่ามันก็ไม่เลวนะ

     

     

     

    이제 이상 맘과 다르게 대할 없어

    네가 좋아 솔직한 들어봐 줄래

    ตอนนี้ผมทำตัวตรงกันข้ามกับหัวใจของตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

    ผมชอบคุณนะ คุณจะช่วยรับฟังเสียงของหัวใจที่ซื่อตรงของผมได้มั้ย?

     

    หลังจากวันแรกที่เราได้เจอกัน ผมก็ยังเจอเขาเรื่อยๆ ในมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่มินโฮก็มาดำเนินการเรื่องเรียนต่อของเขา ถ้าเราว่างตรงกันเราก็จะไปนั่งดื่มกาแฟด้วยกันที่ร้านนั้นที่เราเจอกันในวันแรก...

    บางครั้งผมก็เดินสวนกับเขาที่ถนนตอนเช้าๆ มินโฮชอบที่จะไปถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ ในเมือง ที่นิวยอร์คมีเรื่องน่าสนใจมาก เขาบอกผมแบบนั้น แต่ผมคงอยู่มานานจนรู้สึกเฉยๆ จนบางครั้งก็รำคาญความวุ่นวายในเมือง ผมเลยมักจะวนเวียนอยู่แถวมหาวิทยาลัย ไม่ก็ไปเที่ยวรัฐอื่นๆ เวลาว่างๆ เสียมากกว่า

    ผมรู้สึกว่าพักนี้ผมยิ้มบ่อยขึ้นเวลาอยู่กับมินโฮในเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา บางวันที่ผมว่างหรือเบื่อๆ จากการอ่านตำรา ตอนเย็นๆ ผมก็จะพาเขาไปหาอาหารอร่อยทานเสมอ

    วันนี้พี่ชางมินจะพาผมไปกินอะไรอีกฮะ แค่เห็นหน้าผม มินโฮก็ถามผมเสียงสดใสทันทีหลังจากที่ผมเพิ่งเดินออกมาจากห้องเลคเชอร์ก็เจอเขานั่งรออยู่ที่หน้าคณะนิติศาสตร์ตามนัดของเราพร้อมกับเล่นไอแพดของเขาไปเรื่อยๆ

    มานานหรือยัง... ผมถามเขาที่นั่งตากลมบนม้านั่งหน้าคณะจนแก้มแดงปลั่งเพราะความหนาว ผมค่อยๆ ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเขาเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง ตัวเย็นหมดแล้วนะ

    เขาช้อนตาขึ้นมองผมพร้อมกับยิ้มบางๆ ไม่นานหรอกฮะ...แล้วก็เริ่มชินแล้วด้วย ผมชอบอากาศที่นี่นะ

    เดี๋ยวไม่สบายแล้วจะหาว่าไม่เตือน ผมดุเขาที่ชอบดื้อเงียบๆ ใส่ผม แต่จริงๆ แล้วเขาก็น่ารักทีเดียว ถึงจะพูดยังงั้นยังงี้ แต่สุดท้ายเขาก็ทำตามที่ผมพูดนะ

    พี่ชอบดุผมจัง ทำตัวอย่างกับเป็นคุณลุงแก่ๆ ไปได้

    นายก็ทำตัวให้มันไม่ต้องเป็นห่วงหน่อยได้มั้ย ชเวมินโฮ

    ผมบ่นไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เรากำลังเดินออกไปจากมหาวิทยาลัย ผมเพิ่งสังเกตว่ามินโฮเป็นเป้าสายตาของฝรั่งในมหาวิทยาลัยไม่น้อย อาจเป็นเพราะการที่เป็นชาวเอเชียในสังคมส่วนใหญ่ที่มีแต่ชาวอเมริกัน แต่ผมว่าหลายคนก็ส่งสายตาหวานเยิ้มมาให้ แต่ดูมินโฮก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก แต่บางทีมินโฮก็ยิ้มตอบกลับไปบ้างตามมารยาท

    ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้าเวลามินโฮมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นที่ดูท่าทางจะมาจีบ...

    ผมหวงเขานี่นา...

    นี่พี่ยังไม่ตอบผมเลยนะว่าจะพาผมไปกินอะไรอ่ะ เขาเซ้าซี้ผมเหมือนเด็กๆ นี่มินโฮโตแล้วจริงๆ ใช่มั้ยเนี่ย แล้วสายตาของเขาที่มองมาที่ผมมันเป็นประกาย...ผมเข้าข้างตัวเองเกินไปรึเปล่านะ

    ผมอยากรู้จักเขามากกว่านี้...

    วันนี้อยากกินอะไรล่ะ ให้เลือกเลย

    ผมให้พี่ชางมินเลือกแล้วกัน ผมนึกไม่ออกแล้วอ่ะ เรากินอาหารญี่ปุ่น อาหารเกาหลี อาหารจีน อาหารอิตาเลียน สเต็ก โอ้ย เยอะอ่ะ ผมไม่รู้แล้วล่ะ เขาทำท่าเหมือนจะคิดแต่สุดท้ายก็หันมาทำตาแป๋วใส่ผมอีก แต่ที่พี่ชางมินพาไป อร่อยทุกร้านเลยนะ กินจนเริ่มอ้วนแล้วเนี่ย

    ผมว่า..ผมชอบเขานะ

    พี่ทำให้กินมั้ย...?

    ไม่บ่อยนักที่ผมจะเสนอตัวเองทำอาหารให้ใครสักคนทานด้วยตัวเอง นอกจากครอบครัวของผมและเพื่อนสนิทบางคน

    แล้วมันจะอร่อยเหรอฮะ มินโฮทำหน้าลังเล ผมเสียเซลฟ์ไปเหมือนกันนะ แต่สงสัยผมจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปจนมินโฮจับได้ เขาเลยระเบิดหัวเราะออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล

    นี่ไม่เห็นตลกเลยนะ ชเวมินโฮ

    ผมนี่ท่าทางจะบ้า ผู้ชายอายุเกือบขึ้นเลขสามอีกแค่สองสามปีกำลังงอนเด็กอายุยี่สิบสองอยู่...แต่ผมโกรธนะที่มาหัวเราะความตั้งใจของผมน่ะ

    พี่งอนผมเหรอ หายโกรธเถอะ...นะๆๆๆ อยู่ดีๆ เขาก็จับมือผมขึ้นมาเอานิ้วก้อยของเขาเกี่ยวนิ้วก้อยของผมเอาไว้

    นี่นายโตแล้วนะมินโฮ ผมพูดพร้อมถอนหายใจ...ผมแค่เหนื่อยที่จะทำตัวยังไงกับมินโฮดี ผมควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้แย่ลงทุกวันๆ

    แต่มินโฮดูจะคิดมากเกินไปแล้ว เขาค่อยๆ ปล่อยมือผมออกพร้อมกับสีหน้าเศร้าๆ ของเขา ผมขอโทษฮะ

    ช่างเถอะ ถึงนายไม่กินฉันก็จะทำให้... ผมตัดบท แต่ถ้าอร่อยติดใจแล้วอย่ามาขอให้ทำให้กินบ่อยๆ แล้วกัน ช่วงนี้พี่ใกล้สอบแล้วคงต้องมีนัดติวกัน เดี๋ยวพี่คงพานายไปกินของอร่อยไม่ได้ไปสักพักนึงเลยนะ

    เขาพยักหน้าหงึกหงักแล้วยิ้มบางๆ กลับมา ระหว่างที่เราตัดสินใจเดินไปซุปเปอร์มาร์เกตเล็กๆ แถวนั้นเพื่อไปหาอุปกรณ์ทำอาหาร ผมสังเกตเห็นมือเล็กๆ ของเขาถูไปมาเหมือนเพื่อแก้หนาว ผมแอบควานหาถุงมือในกระเป๋าสะพายดู แต่ก็เพิ่งนึกออกว่าผมส่งซักไปอาทิตย์ที่แล้ว ยังไม่ได้เอากลับมาเลย

    หนาวเหรอ ผมถามมินโฮตรงๆ

    อือ นิดหน่อยฮะ เขาหันมาตอบผม พวงแก้มทั้งสองข้างของมินโฮกลายเป็นสีแดงระเรื่อจนน่าสงสาร

    หยุดเดินซิผมออกคำสั่ง เขาหันหน้ามามองผมอย่างงๆ เล็กน้อย ก่อนที่ผมจะแกะผ้าพันคอผืนบางของเขาออก แล้วเปลี่ยนเป็นผ้าพันคอไหมพรมผืนโปรดของผมที่ดูน่าจะอบอุ่นกว่าไม่น้อย ผมพยายามพันให้กระชับที่สุดเพื่อให้มินโฮไม่หนาว เราสบตากันหลายครั้งจนผมเองเป็นฝ่ายต้องหลบตามินโฮไปเสียเอง

    ดีขึ้นมั้ย 

    อุ่นมากเลยฮะ มินโฮยิ้มพร้อมกับค้อมศีรษะให้ผมเพื่อขอบคุณ ขอบคุณนะครับ

    มือล่ะหนาวมั้ย

    เอ๋...? มินโฮทำหน้างงๆ แต่ก็พยักหน้าตอบรับ แต่การกระทำของผมมันไวกว่าความคิด ผมคว้ามือข้างนึงของมินโฮที่อยู่ติดกับผมมากุมเอาไว้หลวมๆ แล้วคว้ามาไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวใหญ่ของผมทันที

    พี่ชางมิน... มินโฮครางเบาๆ แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาแทบจะทันที ผมว่าผมก็คงไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ แต่ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วก็เดินต่อไปเรื่อยๆ...

    หัวใจผมพองฟูอย่างบอกไม่ถูก...เราหันมามองหน้ากันเป็นระยะๆ แล้วส่งยิ้มให้กัน

    ผมรู้สึกอบอุ่นมากจริงๆ ครับ

     

     

     

    우리 연애할까?

    오랫동안 솔로여서 연애가 서툴지 모르지만

    남자친구보다 네가 만난 모든 남자보다

    가장 사랑할게

    เรามาคบกันดูมั้ย?

    ผมเองก็โสดมานาน อาจจะทำตัวไม่ค่อยถูกเท่าไหร่

    มากกว่าแฟนเก่าของคุณ หรือคนอื่นที่คุณเคยเจอมา

    ผมจะรักคุณให้มากที่สุด

     

    เขาบอกผมว่าอยากกินคาโบนาร่า ดูสิ ผมว่าเขาเริ่มอ้วนแล้วจริงๆ นะนับจากที่เจอกันวันแรก แต่ผมว่ามันโอเคกว่าที่จะปล่อยให้ตัวบางๆ แบบนั้นอยู่ในอากาศหนาวๆ เช่นนี้

    หลังจากกลับมาแล้ว ผมก็ขลุกอยู่ในครัวทันที ส่วนมินโฮตอนแรกก็พยายามจะเข้ามาช่วย แต่หอพักธรรมดาๆ ของผมมีที่จำกัดนะครับ ครัวก็เล็กนิดเดียว ผมเลยไล่ให้เขาออกไปนั่งเล่นข้างนอกดีกว่า มินโฮก็ทำตามที่ผมบอกนะ แต่เขาเดินออกไปหยิบกล้องถ่ายรูปของเขามาแล้วก็เล็งมาที่ผมอย่างตั้งใจ

    เฮ้ย อย่าถ่ายรูปนะ อุบาทว์ชะมัด ผมร้องห้าม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกำลังเทน้ำลวกเส้นสปาเกตตี้ทิ้งอยู่

    พี่ชางมินรู้ตัวมั้ยว่าตัวเองหล่อจะตายน่ะ เขาดูภาพในกล้องแล้วเอ่ยขึ้นมา ใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ก็น่ารักดีด้วย

    อย่าให้พี่ทำเสร็จนะ เดี๋ยวจะออกไปลบเลย ผมขู่เขา มันแย่ออกนะ ภาพผู้ชายตัวโตๆ ในผ้ากันเปื้อนสีชมพูของคุณแม่ที่มาเยี่ยมผมเมื่อปีที่แล้วเอามาทิ้งไว้ให้ ปกติผมก็ไม่ค่อยได้ใช้หรอกยกเว้นนึกอยากจะทำอาหารมื้อใหญ่ๆ กินแบบวันนี้

    พี่ทำได้ก็ลองดูสิ มินโฮท้าทายเขาด้วยการเล็งกล้องและรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งมือ ผมเลยเลิกสนใจเขาไปสักพักหนึ่ง แล้วก็ได้ผล พอเขาถ่ายจนพอใจแล้วก็ยิ้มร่าเริงออกไปเองจริงๆ

    ผมคงหลงรักเขาไปแล้วจริงๆ มินโฮที่น่ารักของผม เขาดูเป็นธรรมชาติมากกว่าผู้หญิงที่ผมเคยคบมา มินโฮยิ้มและหัวเราะแบบที่เขาอยากจะทำ เขาดูอ่อนโยนและบริสุทธิ์มากจริงๆ

     ไม่นานนักคาโบนาร่ากลิ่นหอมฝีมือของผมก็เสร็จเรียบร้อย มินโฮเองก็ทำความสะอาดโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างของผมไว้เป็นอย่างดี

    หอมจัง เขานั่งรอผมอยู่ที่โต๊ะนั้นแล้ววางไอแพดลงทันทีเมื่อจานอาหารมาอยู่ตรงหน้า เขายื่นมือมารับอย่างตื่นเต้น สงสัยไม่ได้ขี้อวดจริงๆ ด้วย

    ใครบอกว่าอวด มันอร่อยมากๆ เลยล่ะ ผมลองชิมจานของตัวเองดู...อืมม์ อร่อยชัวร์ กินสิ

    พี่ชางมิน...ผมต้องบอกพี่อย่างนึงฮะ มินโฮทำท่าว่าจะกินแล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็วางช้อนลงแล้วสบตาผมด้วยแววตาเศร้าๆ พรุ่งนี้....พรุ่งนี้ผมจะกลับเกาหลีแล้วนะฮะ

    พูดเป็นเล่นน่ะบอกทีว่าผมหูฝาดไป...

    ผมทำเรื่องเรียนเสร็จแล้ว คงบินกลับไปฝึกงานก่อนแล้วค่อยมาเริ่มเรียนปีหน้า มินโฮอธิบายอย่างใจเย็น ผมหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกฝนตอนนั้น

    แล้วนายเพิ่งมาบอกพี่วันนี้งั้นเหรอ? นายใจร้ายไปรึเปล่า ชเวมินโฮ ผมอยากจะบ้า นี่ผมควรจะทำยังไงดี

    ผมคิดว่าผมไม่ได้มีความสำคัญกับพี่ชางมินขนาดนั้น... มินโฮก้มหน้าก้มตา ผมว่ามินโฮเองน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าผมทำตัวกับเขา พิเศษกว่าใครๆ

    หรือว่าผมคงไม่ได้ให้ความมั่นใจเขาสินะ...

    เราลองคบกันมั้ย มินโฮ? ผมไม่อยากรอโอกาสพิเศษหรือวันไหนอีกต่อไป ผมคิดว่าผมไม่สามารถปล่อยมือของมินโฮไปได้อีกแล้ว

    พี่ไม่ได้คบกับใครมานาน พี่อาจจะทำตัวไม่ชัดเจนกับมินโฮ...แต่พี่ชอบนายมากจริงๆ

    ...

    มินโฮนิ่งไปพักหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ผมรอคำตอบจากปากของเขา แต่ผมเห็นว่าขอบตาของเขาค่อยๆ มีน้ำใสๆ รื้นออกมา

    ผมขอคิดดูก่อนได้มั้ยฮะ

    ...เอาสิ แต่เมื่อไหร่พี่จะรู้คำตอบจากปากมินโฮล่ะ

    ผม...ไม่รู้ ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ในวันพรุ่งนี้ที่ผมต้องไป...พี่ก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเหมือนจะขาดใจตาย ผมคิดไม่ออกว่าเวลาผมคิดถึงพี่ แล้วผมควรจะทำยังไง น้ำเสียงของมินโฮสั่นมาก ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว เราไม่ได้คิดอะไรแตกต่างกันเลยสักนิด ผมลำบากใจมากที่จะบอกว่าพรุ่งนี้ผมต้องกลับไปแล้ว

    มินโฮครับ... ผมลุกขึ้นไปหาเด็กขี้แยแล้วกอดเขาเบาๆ พี่จะรอคำตอบจากมินโฮ แล้วก็จะรอวันที่นายจะมาที่นี่อีกครั้ง ยังไงเราก็ต้องเจอกัน

    เรากอดกันอยู่ตรงนั้นตั้งแต่มินโฮเริ่มร้องไห้หนักจนหยุดร้องเพราะผมแหย่ให้เขาหัวเราะ กว่าจะได้กลับมาเริ่มกินมื้อเย็นอีกครั้ง คาโบนาร่าร้อนๆ ก็เหลือแค่อุ่นเล็กน้อยจนเกือบเย็นชืด แต่เราก็ยังนั่งกินต่อไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า ผมอยากให้เวลาหยุดเดินไว้แค่ตอนนี้จริงๆ

     

     

     

    우리 키스할까?

    I love you 이런 달콤한

    매일 해주고 싶은데 용기 있는 남자 되어.

    너를 가지고 싶은데 곁에 있어줄래

    เรามาจูบกันมั้ย?

    ผมอยากจะบอกคุณว่า ‘I love you’ ทุกๆ วัน

    ผมต้องการเป็นผู้ชายที่มีความกล้าหาญ แล้วผมก็ต้องการคุณเหลือเกิน

    ช่วยมาอยู่ข้างกายผมได้มั้ยครับ?

     

    มินโฮกลับไปเกาหลีได้เกือบครึ่งปีแล้ว และอีกแค่ไม่กี่วันเขาจะกลับมาอเมริกาแล้ว ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้ผมกับมินโฮได้คุยกันได้บ่อยๆ แต่ช่วงหลังๆ ผมต้องนั่งทำวิทยานิพนธ์และเป็น TA ให้กับ professor ไปด้วย ค่อนข้างเป็นงานที่หนักทีเดียว แต่ถ้ามินโฮมาเมื่อไหร่ผมจะขอท่านศาสตราจารย์หยุดไปสวีตกับมินโฮอย่างแน่นอน

    พูดตรงๆ ผมตื่นเต้นมากที่จะได้เจอมินโฮอีกครั้ง คราวนี้เราจะได้ทำตัวเป็นแฟนกันจริงๆ สักที

    *ก๊อก ก๊อก ก๊อก*

    อยู่ดีๆ ประตูทำงานผมก็ถูกเคาะขึ้น ผมเงยหน้าดูนาฬิกาแขวนผนัง นี่มันเกือบทุ่มแล้วนะ ปกติไม่มีนักศึกษามาหา TA แบบผมบ่อยๆ นักหรอก แล้วยิ่งเป็นเวลานี้ด้วย

    “Who’s that?”

    ...

    เงียบ ไม่มีเสียงสัญญาณตอบรับ หรือว่าผมจะโดนอาถรรพณ์อะไรหรือเปล่า แต่ที่นี่ก็ตึกสร้างใหม่ในมหาวิทยาลัย ไม่น่ามีอะไรมั้ง แต่สักพักเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมชักรำคาญจริงๆ เลยเดินออกไปเปิดประตูดูเสียเอง

    ใครวะ... ผมสบถเป็นภาษาเกาหลี แต่พอเปิดประตูออกมาก็แทบจะช็อค…ชเวมินโฮ!!!

    “Hi! Mr.Shim. I’m back” เขาทักทายผมเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มที่ผมรัก ผมของมินโฮเริ่มยาวประบ่ายิ่งทำให้หน้าตาน่ารักของเขาดูสวยยิ่งกว่าที่ผมเคยเห็น วันนี้เขาแต่งตัวแบบสบายๆ ด้วยเสื้อยืดพิมพ์ลายสีขาวกับกางเกงสกินนี่สีดำที่ถูกทำให้ขาดเป็นริ้วๆ แบบเด็กวัยรุ่น

    ทำไมจะมาไม่ยอมบอกผมมองหน้าเขาแล้วก็...รอยขาดบนกางเกงที่เผยให้เห็นผิวขาวๆ ของเขา โอ๊ย ผมหวงนะ อยากจะจับตีให้ตายเลยจริงๆ

    บอกแล้วจะเซอร์ไพร์สเหรอฮะ...

    วันหลังห้ามใส่กางเกงแบบนี้ด้วยนะผมดุเขาที่ทำหน้าทำตาไม่รู้เรื่องรู้ราว

    ทำไมอ่ะฮะ

    มันเซ็กซี่เกินไป พี่หวงนายนะ ชเวมินโฮ ผมจะบ้าตาย...มินโฮฉลาดขึ้นทุกวันที่คอยต้อนให้ผมต้องพูดจาน่าอายแบบนี้อยู่เรื่อย แต่ผมว่าเหมือนเขาจะชอบฟังนะ...ก็โอเค ผมยอมเขาเรื่องนี้ก็ได้

    มาให้กอดลงโทษเดี๋ยวนี้เลย ผมแกล้งเขาคืนด้วยการลากเขาเข้ามาในห้องทำงานของผม ถึงมันจะไม่น่ามีคนอยู่ แต่ผมว่ามันคงไม่ดีหรอกมั้งที่จะให้ใครเห็นฉากสวีตของเราต่อไป...

    ผมดึงมินโฮเข้ามากอดด้วยควาคิดถึง การได้สัมผัสไออุ่นจากกันและกันนี่มันให้ความรู้สึกดีสุดๆ ไปเลยนะ ต่อจากนี้ผมจะได้ใช้ฐานะแฟนของมินโฮให้เต็มทีเสียที...หึหึ

    “Baby…” ผมกระซิบข้างๆ หูมินโฮในอ้อมกอดของผมที่ตอนนี้เขินจนหน้าแดงไปหมดแล้ว “Shall we…kiss?

    มินโฮยิ่งหน้าแดงหนักแถมยังระบายความเขินด้วยการทุบผมอีกแน่ะ โหดจริงๆ เด็กคนนี้...

    มินโฮหลบสายตาผมแล้วกระซิบตอบผมเบาๆ ด้วยเสียงหวานๆ ของเขาว่า... “Of course, we shall.”

    I think…our love time has just begun.

     

     

    :: Never-ending story of ChangMinHo::






    <<Writer's Talk>>

    คลานเข้ามาปัดฝุ่นในนี้...สวัสดีค่าาาาา ><~
    หายไปทำโน่นทำนี่เกือบเดือนเรยเนอะ วันนี้ก็ยังมาด้วยฟิคชั่ววูบอีกแล้ว
    เพลงนี้เพิ่งออกตอนช่วงเราสอบ แล้วแบบ...เฮ้ยยยยย อยากได้ฟิึคแบบนี้
    สอบเสร็จแล้วเลยกลายมาเป็นเรื่อง Shall we นี่แหละค่ะ
    ฟิคเรื่องนี้ขอแนะนำให้ฟังเพลงก่อนสักรอบนึงจะดีมากกกกกค่ะ 555+

    เรื่อง hate you, love you ก็ยังจะอัพนะฮับ แต่แต่งได้แบบเรื่อยๆ อ่ะ
    ฟิคยาวนี่มันอาศัยอารมณ์และจังหวะเวลาที่ต่อเนื่องนิดนุงอ่า (อินี่อาร์ตจริงๆ) 
    แต่ช่วงนี้งานเยอะมากกกกก (อัพฟิคเสร็จก้อต้องไปทำงานต่อ TT)
    เอาฟิคเรื่องนี้อ่านไปก่อนน้า~~~

    มีบ้านใครน้ำท่วมหรือน้ำใกล้ท่วมก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ 
    บ้านเราก็ปริ่มๆ จะท่วมแล้ว >____<

    คนไทยสู้ๆ นะคะ


    เจอกันตอนหน้าจ้า จะพยายามมาให้ถี่ขึ้นแล้วกันเน้ :) 





    With Love,
    korazy_minnie


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×