ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [[ChangMinHo's Love Fiction Library]]

    ลำดับตอนที่ #16 : [SF] A day to die (Complete 100%)

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ย. 54


    Title: [SF] A Day to die

    Writer: korazy_minnie

    Pairing: Changmin x …

    Genre: Fantasy, Psychiatry

    Rate: PG-13

    Note: “ถ้าเหลืออยู่อีกวันนึงคุณจะตาย...คุณจะทำอย่างไร?” // ฟิคชั่นสิ้นคิด ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป และจะทำให้คุณต้องตกใจ หึหึ

     

     

    ยามสายของวันทำงานที่เหมือนๆ กับทุกๆ วันของผมที่ต้องนั่งแหงกฟังประชุมอันแสนน่าเบื่อหน่ายทุกวี่ทุกวัน บางเรื่องก็เกี่ยวกับผม บางเรื่องก็ไม่เกี่ยวอะไรเลย แต่ด้วยหน้าที่ของผม จะให้หนีงานแล้วไปนั่งๆ นอนๆ เล่น บริษัทเขาก็คงไม่จ้างผมเอาไว้หรอก...

    “ท่านรองประธานมีความเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ”

    ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินผู้จัดการคิมขานตำแหน่งของผมด้วยน้ำเสียงติดจะไม่พอใจเล็กน้อย คิมซอกฮยอนถือว่าเป็นคนของบริษัทมานาน เขาก็ชอบเล่นผมแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้ว แต่จะให้นั่งฟังตลอดเวลาผมก็ไม่ไหวจะง่วงกับความน่าเบื่อในการนำเสนอแผนงานด้วยน้ำเสียงโมโนโทนของเขา ผมก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างแหละ แต่ส่วนใหญ่ผมก็ใช้เวลากับตัวเลขของตลาดหุ้นในอเมริกาที่อัพเดตแบบ real time บนไอแพดของผม...ทางรอดทางเดียวของผมคงไม่พ้นเลขาฯ คู่ใจที่นั่งอยู่ข้างๆ คอยพิมพ์บันทึกการประชุมอย่างขะมักเขม้นเสมอ

    “คิมจงฮยอน” ผมกระซิบเรียกเลขาฯ ของผมเบาๆ เขาก็รู้งานดีทีเดียว กระดาษใบเล็กเขียนสรุปทุกอย่างเอาไว้ด้วยลายมืออ่านง่ายจนเกินกว่าจะเป็นลายมือของผู้ชาย

    “ผมว่าโครงการของผู้จัดการคิม...”

     

     

    กว่าจะได้ข้อสรุปต่างๆ จนเรียบร้อยก็ทำให้การประชุมยืดยาวไปจนเกือบถึงสิบโมงครึ่ง ดีที่ว่าวันนี้ผมไม่มีนัดออกไปข้างนอก ผมเลยตั้งใจจะปลีกตัวออกมาหาที่นั่งเล่นแก้เบื่อแถวๆ ที่ทำงานสักพัก

    “ผมไปเป็นเพื่อนมั้ยครับท่าน...เอ่อ คุณชางมิน” คิมจงฮยอนถามผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

    “ผมไปหากาแฟแถวนี้ดื่มสักแป๊บนึง นายเคลียร์งานต่อที่นี่เถอะ” ผมตบไหล่จงฮยอนที่อายุอานามก็ไล่เลี่ยกับผม จริงๆ ก็เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยสักสามปี แต่เพื่อนสนิทผมฝากมาทำงานที่นี่ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว

    “ครับ คุณชางมินระวังตัวด้วยนะครับ” จงฮยอนมองผมด้วยความกังวลใจแบบนี้อีกแล้ว แต่เขาก็รู้ว่าห้ามผมไม่ได้ ผมกับเขาจึงแยกทางกันที่โถงกลางซึ่งมีลิฟท์อยู่

    ผมรอไม่นานนักที่ลิฟท์ส่วนตัวของผู้บริหารก็มาถึง ผมเอ่ยปากชวนพนักงานคนอื่นที่อยู่แถวนั้นที่อยากลงไปด้านล่างด้วยกัน แต่ทุกคนก็มีปฏิกิริยาที่ผมคาดเดาได้อยู่แล้วคือตอบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ

    ประตูสีทองท่าทางหนักอึ้งค่อยๆ เคลื่อนปิดอย่างเชื่องช้า ห้องโดยสารค่อยๆ เคลื่อนตัวลงตามคำสั่ง ผมพิงผนังด้านหนึ่งแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับการประชุมอันแสนน่าเบื่อ ก็มันไม่ค่อยสนุกนี่นากับการเป็นผู้บริหารบริษัททั้งๆ ที่ผมอายุเพิ่งจะยี่สิบแปดไปเมื่อไม่นานมานี้ แล้วงานที่ผมชอบก็ไม่ใช่งานด้านบริหารด้วย

    สาเหตุที่สำคัญสาเหตุเดียวคือ...ผมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล

    ผมหลับตาเพื่อพักสายตาระหว่างลิฟท์กำลังลง แต่อยู่ดีๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น...

    “คุณชิมชางมิน...” เสียงหวานปนห้าวเล็กน้อยแบบผู้ชายที่อยู่ดีๆ ก็ดังขึ้นมาทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมาแทบจะทันที

    ใบหน้าอ่อนโยนดูคุ้นตาพรายยิ้มบางๆ ให้ผม ดวงตากลมโตดำขลับกำลังจ้องมาที่ผมอย่างแน่นอน เขา...หน้าตาดีทีเดียว ไม่ได้หล่อเหลาแบบชายหนุ่มทั่วไป แต่ผมว่ารอยยิ้มของเขาดูคล้ายกับใครสักคนที่ผมรู้จักและมันก็ทำให้เขาดูน่ารักและบริสุทธิ์ไม่ต่างจากชุดยาวสีขาวที่เขากำลังสวมใส่อยู่เลยสักนิด

    “แปลกจังที่คุณไม่กลัวผมเลย” เขาเอ่ยอย่างตื่นเต้นพร้อมทั้งใบหน้าก็แสดงความแปลกใจจริงๆ เสียด้วย

    “คุณ...ไม่ใช่คนเหรอ” ผมถามออกไปตรงๆ ก็แหงล่ะ เมื่อกี้ผมอยู่คนเดียวในลิฟท์นี่ จะตลกไปหน่อยถ้ามีคนล่องหนเข้ามา แต่ก็ตลกมากถ้าผมเห็นอะไรที่ไม่ใช่คนด้วยตาตัวเอง

    เขาพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำตอบ ก่อนจะหยิบสมุดเล่มเล็กสีทองออกมาจากบางอย่างที่เหมือนกระเป๋า พลิกดูสองสามทีพร้อมกับมองหน้าผมเทียบกับอะไรบางอย่างในสมุดเล่มนั้น

    “อะไรน่ะ ผมดูได้รึเปล่า” ผมนึกสนใจจึงพยายามชะโงกหน้าเข้าไปดูแต่พอเข้าใกล้ผมกับรู้สึกรังสีความร้อนแผ่ออกมาจากตัวของเขาทันที

    “คุณเข้าใกล้ผมไม่ได้หรอก...เอาล่ะ ผมคงต้องรีบบอกคุณก่อนที่เวลาของคุณจะเหลือน้อยเต็มที”

    พอพูดถึงเรื่องเวลาผมก็นึกได้ว่านี่ก็นานเกินกว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางจากชั้นบนสุดของตึกลงมายังชั้นล่าง ผมจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก็พบว่าเข็มวินาทีกลับหยุดนิ่ง รวมทั้งตัวเลขดิจิตอลที่แสดงชั้นก็หยุดนิ่ง ผมจึงมองหน้าเขาด้วยความสงสัย

    “ผมหยุดเวลาไว้น่ะ ไม่ต้องแปลกใจหรอกฮะ รีบๆ คุยเรื่องของคุณดีกว่า”

    “เรื่องของผม...?”

    “ผมแค่มีหน้าที่มองบอกคุณว่าคุณมีเวลามีชีวิตบนโลกใบนี้อีกหนึ่งวันเท่านั้น”

    “คุณบอกว่าผมจะตายวันพรุ่งนี้งั้นเหรอ” ผมสรุปคำพูดของเขาเท่าที่ผมเข้าใจแม้จะรู้สึกไม่เชื่อเลยสักนิด “แล้วคุณเป็นใครกันแน่?”

    “ผมรับหน้าที่จากสวรรค์มาบอกคุณ แต่คุณไม่ต้องรู้หรอกฮะว่าผมเป็นใคร”

    “...แล้วจะให้ผมเชื่อคุณ?”

    “ผมคงบังคับคุณไม่ได้หรอกครับ” เขาส่ายหน้าเบาๆ แล้วยิ้มอีกครั้ง...ทำไมผมจึงคุ้นกับรอยยิ้มนี้เหลือเกิน

    “เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า?”

    “ผมตายมาหลายปีแล้ว ผมจำเรื่องก่อนตายไม่ได้หรอกครับ” เสียงหวานอธิบายอย่างใจเย็น...เสียงนี้ผมก็คุ้นอีกนั่นแหละ แต่นึกไม่ออกเลยว่าใคร “เราอาจจะเคยรู้จักกัน...ผมก็รู้สึกแบบนั้นนะ”

    “แล้วผมจะตายจริงๆ เหรอ ตายยังไง ตายกี่โมงล่ะ ถ้าคุณบอกผมได้ผมจะเชื่อคุณ”

    จะให้ผมเชื่อว่าเขาเป็นตัวแทนจากสวรรค์แล้วมาบอกว่าพรุ่งนี้ผมจะตาย...โคตรตลกเลย คือถ้าผมเชื่อก็บ้าแล้วล่ะครับ

    “คุณไม่มีโอกาสได้เชื่อคำพูดผมหรอก จนกว่าคุณจะตายในวันพรุ่งนี้...แล้วเจอกันนะครับ” เขาพูดเรื่องตายเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมไม่อาจเข้าใจและไม่อาจเชื่อได้

    “...” ผมกำลังจะเอ่ยปากถามเขาอีกครั้ง แต่ผมก็รู้สึกเวียนหัว รอบๆ ตัวดูโคลงเคลงไปหมด ก่อนที่แสงสว่างจ้าจะปรากฎขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มสุดท้ายของเขา กว่าที่ผมจะลืมตาขึ้นมาได้อีกครั้งก็พบว่าลิฟท์เคลื่อนลงมาถึงชั้นล่างสุดเรียบร้อยแล้ว

    ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก เบื้องหน้าของผมก็เห็นคนเดินไปมาจนขวักไขว่ไม่ต่างไปจากทุกวันเลยแม้แต่น้อย ผมเดินออกมาจากลิฟท์ด้วยความสงสัยที่ติดอยู่ในใจว่าเขาจะตายจริงๆ น่ะเหรอ แล้วที่เขาเห็นเมื่อครู่คือความฝัน ภาพหลอน หรือว่าเป็นเทพที่มาจากสวรรค์จริงๆ แต่ผมว่าอันหลังนี่เป็นไปได้น้อยสุดจริงๆ นะ

    เพื่อนคนแรกที่ผมนึกถึงคือไอ้คยูฮยอนเพื่อนสนิทผม นอกจากนั้นมันยังเป็นจิตแพทย์เสียด้วย มันคงให้คำตอบผมได้บ้างแหละ ผมเลยหยิบไอโฟนของผมขึ้นมากดหาคยูฮยอนทันที และไม่เกินอึดใจมันก็รับสายผมแล้ว

    “ว่าไงวะ” คยูฮยอนรับสายแล้วกระซิบเบาๆ กลับมาเหมือนกำลังทำงานอยู่

    “เออ กูขอโทษ แต่กูมีเรื่องปรึกษา พูดกะเพื่อนดีๆ หน่อยดิวะ คุณหมอโจ”

    “อย่าลีลา มึงรีบพูดมากูประชุมอยู่”

    “พรุ่งนี้กูจะตาย” ผมบอกคยูฮยอนไปตรงๆ

    “ไม่ใช่เวลาล้อเล่นนะชิมชางมิน” คยูฮยอนขึ้นเสียงใส่ผมด้วยน้ำเสียงจริงจัง คงเพราะปกติผมล้อเล่นกับมันมากเกินไป

    “กูก็ไม่ได้ล้อเล่นไง...”

    “แล้วมึงรู้ได้ไง” น้ำเสียงมันดูเบื่อหน่ายผมอยู่ไม่น้อย มันคงนึกว่าผมล้อเล่นอยู่

    “มีคนที่บอกว่ามาจากสวรรค์บอกกูมาว่าพรุ่งนี้กูจะตาย”

    “อะไรนะ” คยูฮยอนถามย้ำอีกครั้งเหมือนไม่เชื่อหู “หมายถึงมึงได้ยินเสียงหูแว่ว คือ เสียงที่มึงไม่เห็นตัวน่ะ”

    “ไม่ว่ะ กูเห็นตัวคนพูดด้วย ไม่รู้ว่าผีหรือว่าอะไร แต่มันไม่ใช่ความฝันแน่ๆ”

    “แล้วนี่มึงตอบสนอง เอ่อ คุยอะไรกับไอ้ที่มึงเห็นบ้าง” สมกับเป็นจิตแพทย์...นี่มันเริ่มซักประวัติผมแล้วสินะ “รอแป๊บนึง รอกูเดินออกนอกห้องก่อน...”

    ผมได้ยินเสียงมันเงียบหายไปครู่นึง ผมเองก็เดินไปเรื่อยเพื่อไปยังร้านกาแฟเจ้าโปรดอย่างสตาร์บัคส์ที่ตั้งอยู่ตึกข้างๆ ครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็เรียกผม

    “มึงเล่าให้กูฟังสิว่าเจออะไร”

    “ก็แบบที่บอก คือตอนที่กูลงลิฟท์มาเมื่อกี้ คนในชุดขาวนั่นบอกกูว่าพรุ่งนี้กูจะตาย แล้วอยู่ดีๆ เขาก็หายไป”

    “แล้วคนนั้นคือคนที่มึงรู้จักรึเปล่า”

    “กูไม่แน่ใจว่ะ เหมือนจะเคยเจอกันมาก่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก”

    “กูว่า...” คยูฮยอนพูดแล้วหยุดคิดสักครู่หนึ่ง “แล้วเขาสั่งให้มึงฆ่าตัวตายอะไรรึเปล่า”

    “ไม่นะ คือกูถามไปด้วยนะว่ากูจะตายที่ไหน ยังไง เขาก็ไม่ตอบ แถมยังท้าทายอีกว่าไม่ต้องเชื่อเขาหรอก แต่ถ้าตายเมื่อไหร่กูก็จะต้องเชื่อเขาเอง”

    “คือกูก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มันอาจจะเป็นภาพหลอนก็ได้ว่ะ เมื่อสามปีก่อนที่มึงขับรถไปชนน่ะ มึงก็ความจำเสื่อมไปสามเดือน มันก็อาจจะเกิดจากความผิดปกติของสมองก็ได้นะ กูว่า”

    “แล้วกูควรทำยังไงดีล่ะ” ผมถามมัน

    “แล้วมึงเชื่อมั้ยล่ะ” คยูฮยอนถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่ห้ามทำอะไรหุนหันพลันแล่นนะเว้ย”

    “มึงก็รู้ว่ากูเลิกเรื่องแบบนั้นมาตั้งแต่อุบัติเหตุคราวนั้นแล้วไง” ผมบ่นที่เพื่อนผมทำราวกับว่าผมเป็นเด็กๆ ไปได้ “แต่กูก็เชื่อครึ่งๆ ว่ะ ไม่รู้สิ มันดูเป็นจริงมากๆ”

    “เที่ยงนี้มึงรอกูที่บริษัทมึง ห้ามออกไปไหนนะ กูจะเอายาไปให้” คยูฮยอนกำชับผมด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “กูต้องไปทำงานก่อนนะ เดี๋ยวเจอกัน”

    หลังจากวางสายจากคยูฮยอนไปแล้ว ผมก็คิดอยู่ว่า...ถ้าผมต้องตายจริงๆ ผมควรจะทำอะไรก่อนตายบ้างนะ?




    ผมนั่งอยู่ด้านนอกของสตาร์บัคส์พร้อมจิบเอสเปรสโซ่ดับเบิ้ลชอตของผมไปเรื่อยๆ พลางมองผู้คนรอบกายที่เดินเข้าออกร้านรวมทั้งเดินกันมากมายบนถนนในย่านธุรกิจแห่งนี้ วันนี้แสงแดดอ่อนๆ กับสายลมเบาที่โชยผ่านเป็นระยะทำให้คนที่ใจร้อน ขี้รำคาญอย่างผมกลับอารมณ์เย็นได้อย่างผิดปกติ นอกจากนี้ผมยังนึกถึงใบหน้าน่ารักนั่นอยู่แทบจะตลอดเวลา ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งรู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกเสียที...

    อุบัติเหตุเมื่อสามปีก่อนตอนที่ผมเรียนอยู่ปีสาม จำได้ว่าคยูฮยอนเคยเล่าให้ผมฟังว่าตอนนั้นผมชอบแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็เกิดพลาดแล้วรถคว่ำหล่นลงจากภูเขา ผมสลบไปเกือบครึ่งเดือนจนครอบครัวผมคิดว่าผมคงไม่รอดแล้ว แต่พอฟื้นมาผมก็สูญเสียความทรงจำไปชั่วคราวเกือบสามเดือนอีกเช่นกัน แม้ตอนนี้ความจำผมจะกลับมาเกือบสมบูรณ์แล้ว ผมเองก็ยังรู้สึกว่า...มีบางอย่างที่ขาดหายไป

    หลายครั้งเหลือเกินที่ผมพยายามถามจากทั้งคยูฮยอนและเพื่อนสนิทของผมอีกหลายๆ คน แต่ทุกคนต่างก็บอกว่าผมปกติดีแล้ว จนกระทั่งผมรักษาตัวนานเกือบครึ่งปีในโรงพยาบาลโดยไม่ได้ออกไปไหน ผมก็ค่อยๆ ยอมรับได้ว่าแค่การที่ผมรอดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์สำหรับผมและครอบครัวมากแล้ว

    หากเป็นไปได้ก่อนตาย ผมก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าความทรงจำส่วนนั้นของผมมันคืออะไรกันแน่

    ว่าแต่...นี่ผมกำลังคิดว่าผมจะตายจริงๆ แล้วเหรอ?

    ระหว่างที่ผมนั่งคิดอะไรไปเพลินๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น จะใครเสียอีกนอกจากคุณหมอคยูฮยอน ที่แค่ผมรับสายมันก็ด่าเสียชุดใหญ่ว่าทำไมไม่ยอมรออยู่ที่ทำงาน...ผมอยากจะด่าอยู่เหมือนกัน แต่ก็เข้าใจว่ามันเป็นห่วงผมมาก เพราะเพื่อนผมอุตส่าห์จะเดินมาหาถึงที่นี่เลยนะครับ

    หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น พ่อกับแม่ผมเลิกให้ผมขับรถเอง ต้องมีใครสักคนคอยดูแลผมตลอดเวลาก็เลยกลายเป็นคิมจงฮยอนที่พ่วงฐานะเลขาฯ ของผมเข้าไปด้วย รวมถึงคยูฮยอนและเพื่อนในกลุ่มผมอีกหลายคนอย่างพี่ยุนโฮ พี่ซีวอน และพี่ฮีชอลที่คอยเป็นห่วงผมอยู่เสมอ

    “นี่ถ้ากูเอามีดมาแทง มึงตายไปแล้วนะครับ ท่านรองฯ ชางมิน” ดูคำทักทายมันสิครับ นี่มันห่วงผมจริงๆ นะครับ “กูเรียกมึงสามรอบแล้ว จนเดินกลับไปสั่งกาแฟแล้วเดินกลับมามึงก็ยังนั่งเหม่ออยู่ได้”

    “ก็คิดอะไรเพลินๆ อยู่นี่หว่า” ผมตอบไปตามตรง “นี่มึงมาเร็วนะ ยังไม่เที่ยงเลย”

    “ก็กลัวมึงจะตายก่อนได้กินยา เลยรีบเอามาให้” คยูฮยอนลากเก้าอี้ข้างๆ ผมแล้วนั่งลง หน้าตามันกวนตีนผมมาก ผมไม่เข้าใจเลยว่าคนไข้ยอมรักษากับมันจริงๆ เหรอ

    “คือกูตายพรุ่งนี้ ไม่ใช่วันนี้”

    “โอเค สรุปว่ามึงกลับบ้านนอนแล้วกินยานี่ไปซะ” คยูฮยอนยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลติดตราโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่มันทำงานอยู่ ข้างในมียาในถุงพลาสติกใสๆ อยู่หลายถุง

    “แล้วตกลงกูเป็นอะไร ทำไมต้องกินยา”

    คยูฮยอนทำหน้าตาลำบากใจ แต่ยกแก้วมอคค่าแฟรปปูชิโน่ขึ้นมาดูด ความขลังลดลงไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะผมว่า

    “ถ้ากูพูดตรงๆ นะ...มึงกำลังจะเป็นบ้า” คยูฮยอนพูดพลางสบตาผมอย่างจริงจัง “เท่าที่มึงเล่า มันเหมือนภาพหลอนเลย”

    “แต่กูว่ากูมีสติดี แล้วกูก็...” ผมแค่จะอธิบาย แต่มันก็ยกมือขึ้นมาห้ามผมไว้ก่อน

    “เฮ้ย ของพวกนี้มันไม่ได้มาตอนมึงหลับอยู่นะ มันเหมือนจริงมากๆ จนคิดว่าเป็นเรื่องจริง” คยูฮยอนอธิบายผมอย่างมีหลักการ “ช่วงนี้งานหนักหรือว่าเครียดอะไรรึเปล่าวะ”

    “เบื่องานนิดหน่อย แต่ก็โอเคอยู่นะ”

    “ถ้าเหนื่อยๆ ก็ลาหยุดไปพักผ่อนบ้างก็ได้ ป๊ามึงไม่ว่าอะไรหรอก” คยูฮยอนแนะนำ “ไม่ได้กินเหล้าอะไรใช่มั้ยวะ”

    “เออ ไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วมึงก็รู้” ผมบ่น เอะอะไรมันก็ห้ามผมอย่างกับแม่

    “มึงไม่ต้องคิดมากเรื่องนี้แล้วกัน ใช้ชีวิตตามปกติของมึง แล้วกินยา พักผ่อน เข้าใจนะ”

    “กูไม่กลัวความตายหรอก ที่ผ่านมาได้ขนาดนั้นแล้วจะตายไปจริงๆ ก็คงไม่น่ากลัวแล้วมั้ง” ผมรู้สึกจริงๆ นะครับว่าการที่ผมมีชีวิตรอดนี่เหมือนจะโชคดีกว่าใครๆ บนโลกใบนี้ แต่ถ้าเกิดจะปุบปับตายก็ไม่รู้สึกแปลกอะไร ผมรู้สึกว่าความตายอยู่ใกล้ตัวมากกว่าที่คิด

    “แล้วถ้ามึงตายจริงๆ จะทำไงวะ” อยู่ดีๆ คยูฮยอนก็ถามผมขึ้นมาด้วยท่าทางสบายๆ พลางหยิบนิตยสารแฟชั่นที่ผมหยิบมาอ่านเล่นฆ่าเวลาแล้วพลิกไปมาด้วยความสนอกสนใจ “พอมึงพูดเรื่องนี้กูก็เริ่มคิดนะ ว่าอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิต แล้วอะไรที่อยากจะทำ”

    “กูอยากรู้ว่า...ตกลงความจำของกู มันกลับมาครบแล้วจริงๆ รึเปล่า?”

    คยูฮยอนมีสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด แล้วมันก็คงรู้ว่าผมจับพิรุธมันได้ หลังจากชั่งใจอยู่สักครู่ใหญ่ เพื่อนผมก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะถามคำถามบางอย่าง...

    “แน่ใจนะว่าอยากรู้จริงๆ...”

    ผมพยักหน้าอย่างไม่ลังเล จังหวะการเต้นของหัวใจถี่รัวขึ้นอย่างชัดเจนจนผมรู้สึกถึงแรงกระแทกเป็นจังหวะที่หน้าอกด้านซ้าย รู้สึกตื่นเต้นเหมือนความหวังที่ซ่อนตัวอยู่ลึกๆ ในจิตใจของผมกำลังจะกลายเป็นจริง  

     

     

     

    ผมไม่รู้ว่าผมกลับมาถึงบ้านตั้งแต่เมื่อไหร่ จำได้ว่าหลังจากที่คยูฮยอนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟัง ผมก็อยากจะตายไปให้ได้ซะเดี๋ยวนั้น ผมรู้สึกโกรธตัวเองที่ทำให้ความทรงจำของคนรักของผมหายไป...

    ผมรีบวิ่งไปยังห้องเก็บของที่อาจจะพอมีรูปหรือบางอย่างของชเวมินโฮหลงเหลืออยู่บ้าง ผมแทบจะบ้าตายที่จำไม่ได้แม้กระทั่งหน้าของคนรักตัวเอง

    วันนั้น...นายไปแข่งรถพร้อมกับพามินโฮไปด้วย นายยังบ่นกับชั้นว่ามินโฮตื๊อแล้วตื๊ออีกที่อยากจะลองไปดูนายแข่งสักครั้ง จนสุดท้ายนายก็พาไป แต่วันนั้นฝนตกหนักมากตอนที่กำลังขึ้นเขา รถนายก็เสียหลักหลุดโค้งลงมาตกพื้นด้านล่าง ใครๆ ก็คิดว่าคงไม่รอดแน่ๆ แต่ก็กลายเป็นนายที่ยังรอดแม้กระดูกจะหักหลายท่อน หัวกระแทกอย่างรุนแรง แต่มินโฮ...เขาจากไปแล้วตั้งแต่วันนั้น หลังจากนั้นพอนายฟื้นก็ยังจำใครไม่ค่อยได้จนกระทั่งความจำนายกลับมาเรื่อยๆ แต่ก็ยังจำวันที่เกิดเหตุกับเรื่องทั้งหมดของมินโฮไม่ได้เลย ทุกคนเลยตัดสินใจว่าไม่เล่าให้นายฟังเพราะมันอาจจะเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่นายอยากจะลืมก็ได้...

    กล่องเก็บของมากมายเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบภายในห้องเก็บของชั้นใต้ดิน ฝุ่นมากมายทำให้ผมหายใจไม่ค่อยออก รวมทั้งไม่รู้จะเริ่มต้นหาจากตรงไหนดี แต่ผมก็เลือกบริเวณที่มีผ้าสีขาวคลุมอยู่ตรงมุมห้องนั้น

    แค่เปิดกล่องออกมาหัวใจผมก็แทบหยุดเต้นเมื่อเห็นรูปถ่ายในกรอบไม้สีโอ๊ควางคว่ำอยู่บนสุด ผมกลั้นหายใจแล้วค่อยๆ พลิกดูอีกฝั่งก็ผมว่าเป็นรูปของผมและ...เด็กหนุ่มที่ใบหน้าเหมือนกับคนในชุดขาวที่เขาเห็นเมื่อเช้าไม่มีผิด

    เขากำลังยิ้มอย่างสดใสอยู่ข้างๆ ตัวผมในสมัยก่อนที่ดูท่าทางร้ายกาจพอสมควร เขาช่างบริสุทธิ์และไร้เดียงสาเหมือนวันนี้ที่เราได้พบกัน รอยยิ้มที่ผมรู้สึกคุ้นเคยและหายไปจากความทรงจำของผมมากว่าสามปี

    ...มินโฮของพี่...

    ภาพของเราสองคนเริ่มพร่าเลือนจากน้ำอุ่นๆ ที่ไหลลงกระทบแผ่นกระจกใสบนกรอบรูปจนเป็นหยดๆ ผมปาดน้ำตาลวกๆ แล้วเริ่มรื้อค้นสิ่งของต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ก็พบความทรงจำหลายอย่างเกี่ยวกับเราสองคน

    การ์ดมากมายถูกเก็บไว้อย่างดีในกล่องใบย่อมๆ ที่วางอยู่ด้านล่างสุด ทั้งการ์ดวันเกิด วันครอบรอบการคบกัน วันวาเลนไทน์ วันปีใหม่ และอีกมากมายสำหรับโอกาสพิเศษของเราสองคน ผมพยายามไม่ให้น้ำตาไหลลงมาขณะเปิดอ่านอย่างทะนุถนอม

    พี่ชางมิน...วันนี้ครบรอบสามปีของเราแล้วนะฮะ

    ขอบคุณมากที่คอยดูแลผมเป็นอย่างดีมาตลอด

    ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำเดิมๆ ที่ผมยังอยากจะบอกให้พี่ฟังอยู่เสมอ

    ผมรักพี่ชางมินมากๆ นะฮะ จากมินโฮของพี่ชางมิน

     

    ผมได้แต่สะกดกลั้นความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาภายในเวลาอันสั้น ทั้งความรู้สึกเสียใจ โกรธ และความคิดถึงที่พรั่งพรูเข้ามาราวกับกระแสน้ำอันรุนแรง

    ผมคิดว่า อย่างน้อยถ้าผมจะตายก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว ความทรงจำส่วนที่หายไปของผมได้ถูกเติมเต็มแล้ว ชเวมินโฮที่รักของผม ผมคิดถึงคุณเต็มทีแล้วนะ...

     



     

     

    “พี่ชางมิน เป็นอะไรรึเปล่าฮะ?” เสียงนี้อีกแล้ว เสียงของมินโฮของผม

    ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากก็พบใบหน้าอันแสนคุ้นเคยที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ไม่ห่าง แสงไฟบนหัวเตียงสีส้มอ่อนสะท้อนแววตาเป็นห่วงจากดวงตาสีดำขลับคู่โตที่กำลังจ้องมาทางผมอยู่

    “มินโฮ...” ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของคนรักอย่างแผ่วเบาเพื่อยืนยันว่าผมกำลังอยู่ในโลกความจริงอยู่แน่ๆ 

    “มีอะไรฮะ ผมเห็นพี่นอนดิ้นมากๆ เลยตกใจตื่นขึ้นมาดูก็เห็นพี่เหงื่อท่วมตัวไปหมดเลย ฝันร้ายเหรอครับ” มินโฮถามผมด้วยท่าทีเป็นห่วงเป็นใย มือเล็กทาบทับบนหลังมือของผมที่กอบกุมใบหน้าของเขาอยู่อย่างแผ่วเบา

    “พี่ชางมินคงเครียดเรื่องงานมากไปหน่อยสินะครับ แต่นี่เรามาฮันนีมูนที่ปารีสกันแล้ว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันให้สบายใจเถอะนะฮะ” มือเล็กๆ อีกข้างลูบไล้ใบหน้าของผมอย่างอ่อนโยนพอๆ กับรอยยิ้มของเขา

    สัมผัสอันอบอุ่นของมินโฮทำให้ผมค่อยๆ ใจเย็นลงกับฝันร้ายเมื่อครู่นี้ที่ดูสมจริงจนน่ากลัว ผมค่อยๆ โน้มคอของมินโฮลงมารับจูบของผม ผมแค่อยากยืนยันว่าเรายังอยู่ด้วยกันตรงนี้เพราะความอบอุ่นที่มอบให้กันผ่านริมฝีปากอิ่มของเขา แต่ทำไปทำมาผมเองกลับเป็นคนอดใจไม่ไหวที่จะขอเข้าไปชิมความหวานเบื้องหลังริมฝีปากสีกุหลาบอวบอิ่มนั่นจนได้ จนมินโฮทุบไหล่ผมเบาๆ ผมจึงค่อยๆ ผละออกจากเขาด้วยความเสียดาย

    “ผมแค่จะปลอบพี่เองนะ ไหงพี่ฉวยโอกาสยังงี้ล่ะฮะ” มินโฮล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมพร้อมอมลมไว้เต็มแก้มที่ขึ้นสีทั้งสองข้าง “พี่ชางมินแย่ชะมัด...”

    “อะไรแย่...จูบเมื่อกี้น่ะเหรอ”

    “บ้า...ผมไม่คุยกับพี่แล้ว” มินโฮถลึงตาใส่ผมหนึ่งทีก่อนจะกลิ้งตัวไปดับไฟสีส้มอ่อนบนหัวเตียงแล้วขยับตัวออกห่างจากผมมากกว่าปกติ “ผมนอนแล้วนะ”

    “มานอนใกล้ๆ พี่หน่อยสิ อยากกอดนะ เมื่อกี้พี่ฝันร้ายจะแย่ ปลอบหน่อยสิ” ผมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้แล้วสวมกอดเอวบางจากด้านหลัง ผมรู้ว่าเขาชอบ...

    “ไม่เชื่อหรอก เชอะ คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง ผมไม่อยากฟัง อยากนอนแล้ว” นั่นไง เสียงอู้อี้แบบนี้ยังเขินผมอยู่แน่นอนที่ฉวยโอกาสไปจูบเมื่อครู่นี้

    “ขอบคุณครับที่เป็นห่วงพี่ ไว้พรุ่งนี้พี่จะเล่าให้ฟังนะ” ผมค่อยๆ พลิกให้มินโฮหันมาผมแล้วโอบเอวของมินโฮไว้อย่างหลวมๆ “อย่าเพิ่งหลับสิ ฟังพี่ก่อน”

    “อะไรฮะ” ท่าทางจะเริ่มง่วงจริงๆ เริ่มงอแงหน้าบึ้งใส่ผมแล้ว

    “พี่รักมินโฮนะครับ...”

    คนตัวเล็กกว่าในอ้อมกอดกระเถิบตัวเข้าหาผมก่อนจะกระซิบประโยคที่มีความหมายที่สุดสำหรับผมและเราสองคน

    “มินโฮก็รักพี่ชางมินฮะ”

     

    ::ChangMinHo...NeverEnding Story::





    <<Talk with Writer>>

    ขอทอร์คสั้นๆ สำหรับฟิคชั่ววูบ 555+
    อ่านแล้วเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตกใจจริงๆ กันบ้างมั้ยคะ 
    แต่สุดท้ายทั้งหมดคือความฝันซะงั้น เอิ๊กกกก 

    พลอตเรื่องนี้กระเด้งใส่หัวตอนกำลังเรียนคาบจิตเวชในตอนบ่ายๆ 
    ถ้าเวลาเราจะตายแล้วเรารู้ล่วงหน้าก็คงจะดี อย่างน้อยก็คงได้ทำภารกิจบางอย่างในเสร็จสิ้น
    แต่ความจริงมันไม่เป็นแบบนั้น ก็เหมือนมินโฮในช่วงของความฝันที่จากชางมินไปโดยไม่ทันได้บอกลา
    จริงๆ อยากเขียนให้ยาวกว่านี้ อยากให้ตายจริงๆ แต่กลัวคนอ่านรับไม่ได้ เลยหักมุมแบบนี้ซะเลย

    เรื่องนี้แอบดูจิตๆ หน่อยสำหรับชางมินในช่วงที่อยู่ในความฝัน
    แบบว่าเรากำลังเรียนอยู่ อินมาก ก็เลยกลายเป็นฟิคเรื่องนี้ในที่สุด 

    ขอบคุณเหมือนทุกครั้งสำหรับคอมเม้น และขอบคุณมากๆ ค่ะที่อ่านจนถึงบรรทัดนี้ 555+


    สำหรับคนที่ยังติดตาม Hate you, Love you คงได้เจอกันต้นๆ เดือนตุลาหลังเราสอบเสร็จนะคะ



    With love,
    korazy_minnie


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×