คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : [Fiction] Hate You, Love You - Step 3 'Our secret intimacy'
Title: Hate You, Love You - Step 3 'Our secret intimacy'
Writer: korazy_minnie
Pairing: Changmin x Minho (ChangMinHo)
Genre: Romantic, Fantasy
Rate: PG-15
Note: หายไปนานมาก ยังจำเรื่องนี้กันได้อยู่ช่ายม้ายคร๊าาาา~~
ภายในรีสอร์ตกำลังวุ่นวายกันอย่างมากที่อยู่ๆ ประธานนักเรียนอย่างชิมชางมินและนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่สองอย่างชเวมินโฮหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งคืน คนที่เดือดร้อนใจมากที่สุดคงไม่พ้นโจวคยูฮยอนผู้รั้งตำแหน่งรองประธานนักเรียนและเพื่อนรักของชิมชางมิน รวมทั้งหัวหน้ากิจกรรมอย่างจองยงฮวาที่แม้จะออกตามหาภายในบริเวณใกล้เคียงทั้งคืน หากก็ไร้ร่องรอยของคนทั้งคู่ คยูฮยอนจึงสั่งงดกิจกรรมทั้งหมดและให้นักเรียนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเดินทางกลับทันที ส่วนคยูฮยอนและยงฮวากำลังเตรียมตัวเดินทางไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ออกตามหาทั้งสองคนตั้งแต่เช้า
“ไปกันเถอะยงฮวา” คยูฮยอนมองนาฬิกาข้อมืออย่างร้อนรน นับจากเมื่อคืนนี้ก็ร่วมสิบชั่วโมงแล้วที่เขาไม่สามารถติดต่อชางมินได้
“ครับ รุ่นพี่” ยงฮวาเอ่ยอย่างนอบน้อม ทั้งยังต้องเร่งฝีเท้าตามคยูฮยอนที่เดินนำหน้าอยู่หลายช่วงตัวด้วยท่าทีร้อนรนซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก
ขณะที่ยงฮวากำลังจะถึงรถตู้ของรีสอร์ตที่เตรียมเอาไว้เพื่อเดินทางไปแจ้งความ ดวงตาเรียวเล็กก็เห็นร่างสูงที่แสนจะคุ้นเคยกำลังเดินเข้ามาทางล็อบบี้ของรีสอร์ตด้วยท่าทางอิดโรย
“รุ่นพี่คยูฮยอน...นั่นรุ่นพี่ชางมินกับมินโฮนี่ครับ” เสียงทุ้มกล่าวด้วยความตื่นเต้นพร้อมทั้งชี้มือไปยังชางมินและมินโฮที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“เฮ้ ชางมิน...” คยูฮยอนแทบจะวิ่งเข้าไปหาเพื่อนรักแทบจะทันทีด้วยความเป็นห่วง หากสายตาของชางมินที่มองมาทางเขากลับดูห่างเหินและเฉยชาผิดปกติ “นายปลอดภัยดีใช่มั้ย หายไปไหนมาวะ คนที่นี่วุ่นวายกันไปหมดแล้ว”
“...” มินโฮในร่างของชางมินได้แต่นิ่งเงียบไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดี แค่ยืนจ้องตารุ่นพี่คยูฮยอนเฉยๆ ก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวกเสียแล้ว
หากมือเล็กของคนที่ยืนอยู่ด้านข้างแตะเบาๆ ที่ข้อมือของร่างสูงเอาไว้ พร้อมทั้งยิ้มให้กำลังใจอีกฝ่ายเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้นอีก
“รุ่นพี่คยูฮยอน...” เสียงของมินโฮดังขึ้น “ไว้ผมจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นแล้วกันนะ”
“พวกเราตามหารุ่นพี่กับมินโฮกันทั้งคืน โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้เลย” ยงฮวาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนที่กิจกรรมทั้งหมดล้มไม่เป็นท่า แต่ก็ยังดีที่ทั้งสองคนกลับมาได้อย่างปลอดภัย
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง แต่เรา เอ่อ...ฉันกับมินโฮหลงป่าน่ะ กว่าจะหาทางออกได้ก็ต้องรอจนสว่าง”
“เอาเถอะ...ถ้านายสองคนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คยูฮยอนเริ่มรู้สึกถึงความแปลกไปของเพื่อนรักและชเวมินโฮ แต่ชายหนุ่มก็เลือกที่จะเงียบเอาไว้เพื่อไม่ให้ยงฮวาสงสัย “แล้วจะเอาไงชางมิน...เมื่อกี้ฉันเพิ่งสั่งยกเลิกกิจกรรมทั้งหมดไป นายยังประชุมต่อได้มั้ย”
ร่างสูงทำท่าเลิ่กลั่กจนคยูฮยอนเริ่มมั่นใจว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างสองคนนี้อย่างแน่นอน!
“เมื่อคืนเราได้นอนพักกันที่กระท่อมในป่ามาแล้ว ไม่ได้ลำบากอะไรเลยฮะ ผมเลยคิดว่าว่าพี่ชางมินคงอยากประชุมต่อ...ใช่มั้ยฮะ” มินโฮหันไปมองชางมินพร้อมแอบขยิบตาให้เพื่อให้มินโฮในร่างของเขาเนียนตามสถานการณ์ไปก่อน
“อะ...อืมม์” ชางมินพยักหน้าสองสามทีแล้วก็ได้แต่ยืนก้มหน้าหลบสายตาคยูฮยอนอย่างเห็นได้ชัด
“งั้นผมเลื่อนเวลาเริ่มประชุมไปเป็นสิบโมงนะครับ จะได้ให้รุ่นพี่ชางมินกับมินโฮพักผ่อนก่อน” ยงฮวายกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาก่อนจะขอตัวไปประกาศให้นักเรียนทั้งหมดกลับมาทำกิจกรรมได้ตามปกติในเวลาสิบโมงเช้า
“ชเวมินโฮ นายไม่เป็นอะไรใช่มั้ย” คยูฮยอนถามขึ้นเมื่อยงฮวาเดินลับตาไปแล้วพร้อมทั้งสังเกตท่าทางที่แปลกไปของคนทั้งคู่ นอกจากแผลถลอกเล็กน้อยบนใบหน้าของมินโฮแล้ว ทั้งคู่ก็อยู่ในสภาพที่ดูมอมแมมเพราะเศษดินและหญ้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“อืมม์...ฉันโอเคดี” ชางมินในร่างของมินโฮตอบคยูฮยอนด้วยประโยคห้วนๆ เพราะเขามั่นใจอยู่แล้วว่าคยูฮยอนต้องจับพิรุธบางอย่างได้อยู่แล้ว เพียงแต่อีกฝ่ายยังเลือกที่จะดูท่าทีต่อเท่านั้น “เราไปคุยกันต่อบนห้องดีมั้ย คยูฮยอน มินโฮ”
“รุ่นพี่...” มินโฮในร่างของชางมินเบิกตาโตเมื่ออยู่ดีๆ ชางมินก็เรียกชื่อของเขาขึ้นมา แสดงว่าเรื่องราวนี้กำลังจะถูกเปิดเผยเรื่องนี้ให้คยูฮยอนรู้อีกคน
“เชื่อใจพี่เถอะ ถ้าไม่บอกคยูฮยอน ชีวิตเราสองคนจะต้องลำบากกว่านี้แน่นอน”
ทั้งชางมิน มินโฮ และคยูฮยอนแทบจะไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมาเลยระหว่างเดินกลับไปยังห้องพักของชางมินและคยูฮยอน แม้คยูฮยอนยังจับต้นชนปลายเหตุการณ์ได้ไม่แน่ชัด แต่ที่รู้แน่ๆ คือมีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับเพื่อนรักของเขาแน่นอน
“สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เพียงแค่ประตูห้องของคยูฮยอนปิดลง เจ้าของห้องก็เริ่มยิงคำถามที่สงสัยใส่ทันที “ทำไมมินโฮถึงเรียกฉันว่าคยูฮยอนเฉยๆ แล้วท่าทางของนายก็แปลกไป”
“เราสลับร่างกัน” เสียงของมินโฮแต่ลักษณะการพูดแบบชางมินที่เพื่อนรักอย่างคยูฮยอนจำได้ดี “ฉันไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว...”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” คยูฮยอนมองหน้าชางมินและมินโฮสลับกันด้วยความสับสน “มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ นายสองคนถึงได้สลับร่างกัน”
“เมื่อคืนนี้มินโฮเดินสะดุดตุ๊กตาหินแกะสลักโบราณในป่า หลังจากนั้นก็เกิดพายุขึ้นรอบๆ จนพวกเราหมดสติไป กว่าฉันจะรู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว...แถมตุ๊กตาตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย” ชางมินเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้เพื่อนรักฟัง
“ถ้าฉันไม่รู้จักนายมาก่อน ฉันคงนึกว่านายกำลังเล่านิยายหลอกเด็กให้ฟังแน่ๆ” คยูฮยอนมองใบหน้าของชางมินที่บัดนี้เจ้าของร่างกลายเป็นชเวมินโฮที่ได้แต่นั่งหลบตาไม่พูดไม่จาอะไรมานานสองนาน “มินโฮ นายโอเคอยู่รึเปล่า ไม่มีอะไรจะพูดหน่อยเหรอ”
“ผมกลัว...กลัวว่าจะไม่ได้กลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง” มินโฮเอ่ยเสียงแผ่วเบา “จะทำยังไงกันดี”
“ฉันเชื่อว่ามันต้องเกิดจากตุ๊กตาหินตัวนั้นแน่ๆ...คยูฮยอน นายจำได้ใช่มั้ย เรื่องเทพเจ้าแห่งความรักที่ชาวบ้านแถวนี้เคยเล่าให้พวกเราฟังน่ะ”
“รุ่นพี่หมายความว่าทั้งหมดนี้เกิดจากคำสาปของตุ๊กตาเทพเจ้านั่นน่ะเหรอ” มินโฮสรุปใจความทั้งหมดเท่าที่พอจะเข้าใจได้ในเวลานี้ “...แล้วมันมีวิธีแก้คำสาปมั้ยฮะ”
“พี่เองก็ไม่รู้...ทางที่ดีเราควรไปหาชาวบ้านคนที่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง” ชางมินกุมขมับอย่างใช้ความคิด “แต่ตอนนี้คนที่จะช่วยฉันได้คงมีแค่นายแล้วว่ะ คยูฮยอน”
“ได้ ฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับให้ แล้วก็เรื่องงาน ไม่ต้องห่วง...ให้ฉันเคลียร์แทนนายไปก่อนแล้วกัน” คยูฮยอนตบไหล่ของมินโฮเบาๆ “ส่วนนาย...ชเวมินโฮ ทำตัวให้ปกติที่สุดเท่าที่นายจะทำได้ คนนอกจะได้สงสัยนายกับชางมินให้น้อยที่สุด”
“อืมม์ ผมจะพยายามฮะ” มินโฮในร่างของชางมินตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ยังกังวลอยู่ไม่น้อย
“เอาล่ะ...นายสองคนจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เรื่องประชุมกับกิจกรรมไม่ต้องห่วงนะ”
หลังจากคยูฮยอนออกจากห้องไปทำธุระแล้วทิ้งให้ชางมินกับมินโฮนั่งมองตากันอยู่ในห้องพักนานสองนาน ชางมินจึงค่อยๆ ลูบศีรษะของอีกฝ่ายเพื่อปลอบใจ
“คนที่ควรจะทุกข์ไม่ใช่แค่นายหรอก...พี่เองก็กังวลไม่น้อยไปกว่านาย แค่ตอนนี้พี่เองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าควรทำยังไงต่อไป” ชางมินยิ้มพร้อมทั้งดวงตากลมโตสีดำขลับของมินโฮก็ส่องประกายสดใสจนเจ้าของร่างที่อยู่ในร่างกายของชางมินเริ่มรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นกว่าปกติ
...บ้าน่ะ ชเวมินโฮ นายกำลังใจเต้นแรงเพราะร่างกายของตัวเองนี่น่ะเหรอ!?...
“นายไปอาบน้ำก่อนเหอะ เมื่อคืนนอนคลุกดินกันมาทั้งคืน สกปรกไปหมดแล้ว” มือเล็กๆ ที่เจ้าของร่างกายหลายเป็นชางมินกำลังปัดเศษหญ้าและดินที่ติดเสื้อให้อย่างอ่อนโยน “นี่...อย่าเอาหน้าของฉันมาทำหน้าตาน่ารักแบบนั้นนะ ชเวมินโฮ”
“ผมเปล่าซะหน่อยเหอะ...” มินโฮทำเสียงแข็งเพราะกำลังเขินที่ถูกชมซึ่งๆ หน้า “คะ...ใครจะดูใจเย็นได้แบบรุ่นพี่กันล่ะ”
“นายนี่มันชอบเถียงพี่จริงๆ นะ” ชางมินดีดหน้าผากอีกฝ่ายเป็นการลงโทษเด็กดื้อ อีกฝ่ายได้แต่จ้องตาขวางมาด้วยดวงตาคู่คมของเขาเองจนเจ้าตัวเองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหน้าตาเวลาโกรธคงน่ากลัวแบบนี้นี่เอง
“มินโฮ...ไปอาบน้ำไปซะ ส่วนพี่จะกลับไปอาบที่ห้องนาย
อ้อ ถ้าใครมาเคาะห้องที่ไม่ใช่คยูฮยอนหรือว่าพี่ห้ามเปิดให้เด็ดขาดนะ”
“อือ...”
หลังจากชางมินแยกไปยังห้องพักของมินโฮเพื่ออาบน้ำ มินโฮเองก็ลืมตัวไปว่าอยู่ในร่างกายของชางมิน กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ร่างกายเปลือยเปล่าของอีกฝ่ายปรากฏตรงหน้าขณะส่องกระจกในห้องน้ำ...กล้ามเนื้อสมส่วนและผิวสีน้ำผึ้งสุขภาพดีที่ชเวมินโฮที่เป็นนักกีฬาแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้ กว่าจะทำใจให้คุ้นเคยกับร่างใหม่ให้ได้คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ แค่นี้ก็ไม่กล้าจะมองหน้าตัวเองในกระจกแล้ว
ชางมินเองก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกันนักในการยอมรับและทำความรู้จักร่างกายของมินโฮเป็นครั้งแรก มินโฮดูบอบบางกว่าที่เห็นภายนอกพอสมควร เพียงแต่ผิวสีเข้มกว่าคนเกาหลีทั่วไปเล็กน้อยเพราะถูกแดดบ่อยๆ จึงทำให้ดูสุขภาพดี ทั้งที่จริงๆ มินโฮนั้นผอมบาง เอวเล็กคอดและผิวเนียนละเอียดแทบไม่ต่างกับหญิงสาวแรกรุ่น...แค่จ้องผ่านกระจกชางมินก็เผลอรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มใสทั้งสองข้างเสียแล้ว
นี่ฉันคิดบ้าอะไรอยู่วะเนี่ย ชิมชางมิน!!!...
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วมินโฮกับชางมินก็รีบออกไปตามหาคนในหมู่บ้านแถวๆ ชายป่าซึ่งชางมินเคยมาขอความช่วยเหลือในครั้งที่มาสำรวจสถานที่ในคราวแรก
“เอ่อ ขอโทษนะฮะ คุณปู่ผู้ใหญ่บ้านอยู่บ้านหลังไหนนะครับ” ชางมินเดินเข้าไปถามร้านค้าเล็กๆ ในหมู่บ้านแห่งนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“มีธุระอะไรกับคุณปู่คิมเหรอจ๊ะ พ่อหนุ่ม” อาจุมม่าร่างท้วมท่าทางใจดีที่กำลังจัดของในร้านหันยิ้มเศร้าๆ ให้ทั้งชางมินและมินโฮ “คุณปู่เพิ่งเสียไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเองน่ะจ้ะ”
“จะ...จริงเหรอครับ” เหมือนสมองจะขาวโพลนไปหมดจนชางมินเริ่มที่จะเครียดขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว
“อาจุมม่าครับ แล้วมีใครในหมู่บ้านนี้ที่รู้จักเรื่องเทพเจ้าแห่งความรักบ้างมั้ยครับ” มินโฮเริ่มถามด้วยท่าทีร้อนรนไม่แพ้กัน
“คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนี้ก็เหลือแต่คุณปู่คิมคนเดียวนั่นแหละจ้ะ ลูกหลานแกก็ไปเรียนหนังสือที่โซลกันหมดแล้ว ฉันก็อยากจะช่วยพ่อหนุ่มนะ แต่ฉันเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเทพเจ้าอะไรนั่นหรอก”
“ทำไงกันดีล่ะฮะ” มินโฮแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ดวงตาคู่คมหันไปมองชางมินในร่างของตนเองที่กำลังทำท่าครุ่นคิดอย่างหนัก สีหน้าตึงเครียดที่มินโฮเพิ่งจะเห็นนับตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา
“รุ่นพี่...” มินโฮแตะไหล่ของชางมินเบาๆ เรียกสติชายหนุ่มให้กลับมาอีกครั้ง
“อ๊ะ...ขอโทษที พี่คิดอะไรเพลินไปหน่อย เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?”
“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกฮะ งั้นเรากลับกันเถอะ...” มินโฮเอ่ยอย่างสิ้นหวัง ก็ในเมื่อคนที่น่าจะพอช่วยเหลือเรื่องนี้ได้กลับเสียชีวิตไปแล้ว ก็คงไม่มีทางอื่นนอกจากทำใจและรอโชคชะตาเท่านั้น
“งั้นผมสองคนขอตัวนะครับอาจุมม่า” ชางมินเอ่ยอำลาพร้อมค้อมศีรษะเล็กน้อยพร้อมกับมินโฮตามมารยาท
“จ้ะ ฉันเสียใจจริงๆ ที่ช่วยพ่อหนุ่มสองคนไม่ได้ แต่ว่า...”
“แต่อะไรครับ” ชางมินกับมินโฮเอ่ยออกมาแทบจะพร้อมกันอย่างมีความหวัง
“ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดดีมั้ย...” อาจุมม่ามีสีหน้าลังเลและกังวลเล็กน้อย หากเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้ามีท่าทางอยากรู้เสียเหลือเกินราวกับบังคับให้หล่อนต้องพูดออกมากลายๆ “ฉันเห็นเงาสีขาวด้านหลังพวกเธอสองคน ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แล้วก็ที่นิ้วของเธอมีด้ายสีแดงเชื่อมกันอยู่”
“ด้ายสีแดง...?” ชางมินก้มดูที่นิ้วมือของตนเองรวมทั้งมินโฮก็ไม่พบสิ่งที่อาจุมม่าพูดถึงแม้แต่น้อย แต่ท่าทางของอาจุมม่าก็ดูไม่น่าใช่คนที่ไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย “แต่ผมไม่เห็นอะไรเลยนี่ครับ”
“ชาวบ้านที่สืบเชื้อสายจากคนโบราณที่นี่อย่างฉันก็พอจะสัมผัสถึงอำนาจลึกลับบางอย่างได้ แต่ของพ่อหนุ่มสองคนอาจเป็นพลังที่ลึกลับเกินกว่าคนในรุ่นฉันจะรู้สึกได้ แต่อย่างน้อยฉันรู้ว่ามันก็ไม่ใช่พลังด้านมืดไปซะทีเดียว...”
“อาจุมม่าหมายความว่ามีแค่คุณปู่ผู้ใหญ่เท่านั้นใช่มั้ยครับที่พอจะรู้เรื่องทั้งหมดในหมู่บ้านนี้”
“ใช่จ้ะ คนอาวุโสที่สุดในหมู่บ้านก็คือคุณปู่ท่านก็จากไปเสียแล้ว ฉันเสียใจจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็รบกวนอาจุมม่ามากแล้ว พวกเราขอตัวนะครับ”
ชางมินกับมินโฮเอ่ยลาอีกครั้งก่อนจะมาหยุดพักบริเวณสวนสาธารณะเล็กๆ ก่อนทางขึ้นไปสู่ป่าที่พวกเขาใช้เป็นสถานที่ไนท์แรลลี่เมื่อคืนนี้
“ผมอยากจะลองขึ้นไปหารูปปั้นเทพเจ้าบนเขาอีกครั้ง...รุ่นพี่รอผมอยู่ตรงนี้ก่อนได้มั้ย”
“พี่จะปล่อยนายไปคนเดียวได้ยังไง” ชางมินคว้าข้อมือของมินโฮเอาไว้เพราะเด็กดื้อทำท่าจะเดินขึ้นไปบนเขาโดยไม่รอฟังความคิดเห็นของเขาก่อนเลยจริงๆ “อย่างน้อยนายก็ใช้ร่างกายพี่อยู่ ดังนั้นนายต้องเคารพความคิดเห็นของพี่ก่อนจะทำอะไรด้วย”
“ผม...ขอโทษ” มินโฮพูดเสียงเศร้า “แต่ผมอยากจะลองพยายามดูทุกวิถีทางซะก่อน”
“พี่เข้าใจนาย พี่เองก็ร้อนใจไม่แพ้นายหรอก แต่ดูสิ...ขนาดแค่พวกเราคิดที่จะขึ้นไปก็เหมือนกำลังจะเกิดพายุซะแล้ว” ชางมินชี้ให้มินโฮดูกลุ่มเมฆสีดำทึบขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวอยู่ต่ำๆ อย่างน่าเกรงขาม “พลังลึกลับนี้คงไม่ธรรมดาทีเดียว”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์สีดำขลับในกระเป๋าของมินโฮก็ดังขึ้น แน่นอนว่าเป็นโทรศัพท์ของชางมินซึ่งเบอร์เรียกเข้าก็เป็นชื่อของเพื่อนรักของชางมินนั่นเอง
“รุ่นพี่คยูฮยอนน่ะครับ...” มินโฮยื่นโทรศัพท์ให้ชางมิน
“ฮัลโหลชางมิน เป็นไงบ้างวะ ได้เรื่องอะไรมั้ย” น้ำเสียงร้อนรนของคยูฮยอนที่กรอกมาทางโทรศัพท์บ่งบอกว่าเขาเองก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้ไม่น้อย
“คุณปู่ที่พอจะรู้เรื่องนี้ท่านเสียไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่ะ”
“งั้นหมายความว่า...ไม่มีใครอีกแล้วสินะที่พอจะรู้เรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นนี่ได้”
“ฉันว่าอาจจะเป็นแบบนั้น...” ชางมินเอ่ยอย่างสิ้นหวัง
“เฮ้ย เดี๋ยวดิ ฉันว่าฉันพอจะช่วยได้นะ”
“ยังไงวะ”
“นายจำได้มั้ยที่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่าคุณตาของฉันบวชอยู่ที่แดจอนตั้งแต่คุณยายเสียไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนน่ะ”
“จำได้สิ แล้วไงวะ”
“คุณตาของฉันน่ะมีพลังพิเศษเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติดูนะ นายลองไปหาท่านดูมั้ย”
“จริงเหรอ...แล้วฉันจะไปหาได้ไงวะ”
“เอาเถอะ นายกับมินโฮรีบกลับมาเก็บของแล้วขึ้น KTX ไปที่แดจอนก่อน ฉันโทรหาคุณตาไว้ให้แล้ว”
“แล้วงานที่นี่ล่ะวะ”
“เลิกห่วงเถอะ เชื่อมือเพื่อนแกหน่อยดิวะ ชิมชางมิน”
“ขอบคุณว่ะเพื่อน”
หลังจากวางสายจากคยูฮยอน รอยยิ้มบางก็กลับมาประดับใบหน้าหวานอีกครั้ง มินโฮหันไปมองชางมินด้วยความประหลาดใจ
“ไปกันเถอะ” อยู่ดีๆ ชางมินก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจนเด็กหนุ่มถึงกับขมวดคิ้ว “ไปหาความหวังเกือบจะสุดท้ายของเราไง”
“หมายความว่าไง แล้วเราจะไม่ขึ้นไปดูบนเขานี้อีกครั้งจริงๆ เหรอฮะ” มินโฮมีสีหน้าลังเล แม้จะรู้ว่าถ้าขึ้นไปข้างบนภูเขาเมื่อไหร่จะต้องเกิดพายุรุนแรงขึ้นอีกครั้งเป็นแน่ แต่เขาก็อยากลองพยายามดูบ้าง
“เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้พี่ขอร้องให้นายเชื่อพี่อีกสักครั้งเถอะนะ” สายตาอ้อนวอนของชางมินอีกครั้งที่ทำให้มินโฮต้องยอมแพ้และทำตามอย่างว่าง่าย เพราะคงไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่านี้ได้แล้วจริงๆ
ชางมินและมินโฮรีบเก็บข้าวของเสร็จและนัดพบคยูฮยอนในสถานที่ลับตาคนก่อนจะรีบเดินทางออกจากรีสอร์ตด้วยรถที่คยูฮยอนเตรียมไว้อย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้คนในโรงเรียนคนอื่นเห็น ไม่นานนักทั้งคู่ก็เดินทางมาถึงสถานีรถไฟของปูซานและเดินทางด้วย KTX ทันทีซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนักในการเดินทางไปถึงแดจอนซึ่งอยู่ทางใต้ของกรุงโซลประมาณหนึ่งชั่วโมง
วัดที่คุณตาของคยูฮยอนบวชอยู่นั้นอยู่ไม่ห่างจากตัวเมืองมากนัก หากก็เป็นสถานที่เงียบสงบเกือบที่อยู่บริเวณชานเมืองของแดจอนแล้ว ต้นสนสีเขียวอายุอานามไม่ต่ำกว่าสิบปีเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบข้างทางเดินขนาดไม่ใหญ่นักที่ทำด้วยอิฐสีแดงเข้มปูลาดตั้งแต่หน้าวัดไปจนถึงกุฎิแบบโบราณที่อยู่บริเวณเชิงเขา ด้วยความยิ่งใหญ่ของกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่แผ่ขยายปกคลุมตลอดทางเดินทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นผิดกับด้านนอกที่มีแสงแดดร้อนแรงแผดเผาอยู่ตลอดทาง
“ที่นี่สงบดีจังนะครับ” มินโฮอดชื่นชมในความเงียบสงบท่ามกลางธรรมชาตินี้ไม่ได้ ความร่มเย็นภายในวัดโบราณแห่งนี้ช่วยให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบลงได้อย่างประหลาด
“นายดูชอบทำอะไรเงียบๆ คนเดียวนะ ไม่เหงาบ้างเหรอ”
“...ผมก็มีเพื่อนนะ ไม่ได้ชอบอยู่คนเดียวตลอดสักหน่อย” มินโฮทำหน้ามุ่ย “ผมไม่ใช่คนแบบรุ่นพี่ที่ชอบอยู่ท่ามกลางสาวๆ มากรี๊ดใส่ทุกวี่ทุกวันนี่นา”
“นายนี่ชอบประชด หรือว่าอิจฉาพี่กันแน่นะ หึหึ” ชางมินแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เพื่อแกล้งมินโฮจนอีกฝ่ายตกใจแล้วหันหน้ามาจนจมูกโด่งคมเกือบหันมาชนใบหน้าของมินโฮ มินโฮหลับตาปี๋แล้วกลั้นหายใจด้วยความกลัว
“พวกเธอมาทำอะไรประเจิดประเจ้อกันในวัดวาน่ะ” เสียงดุของนักบวชในชุดคลุมสีขาวสะอาดซึ่งกำลังกวาดลานด้านข้างดังขึ้น ก็ภาพเมื่อครู่นี้มันไม่ต่างจากการที่ชางมินกำลังยื่นหน้าไปจูบ
“ขอประทานโทษครับท่าน” ชางมินเป็นฝ่ายผละออกมาก่อนจะค้อมศีรษะเพื่อทำความเคารพรวมทั้งขอโทษที่กระทำการไม่เหมาะสมภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
“ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเธอมีธุระอะไรหรือเปล่า ปกติที่วัดนี่ไม่มีสถานที่ให้เคารพกราบไหว้หรอกนะนอกจากโบสถ์ที่ใช้สวดมนต์ของพระ” นักบวชอายุอานามไม่เกินสามสิบปีส่ายหัวเล็กน้อยอย่างไม่ถือสาและถามไถ่คนที่เพิ่งมาถึงด้วยความแปลกใจ เพราะวัดนี้ไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนต่างถิ่นจะรู้จักมากนัก
“พวกผมมาพบคุณตา เอ่อ หลวงพ่อจางน่ะครับ ไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ” ชางมินเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“พวกเธอรู้จักท่านเจ้าอาวาสงั้นเหรอ”
“ก็ไม่เชิงครับ ผมเป็นเพื่อนกับหลานชายของท่านและมีธุระกับท่านน่ะครับ”
“งั้นตามอาตมามาทางนี้” พระภิกษุหนุ่มในชุดคลุมสีขาวละทิ้งภารกิจเมื่อครู่ไว้ก่อนจะเดินนำเด็กหนุ่มจากต่างถิ่นไปยังกุฎิไม้โบราณที่อยู่ลึกไปทางด้านหลังวัดอีกไกลพอสมควร
“เอาล่ะ ถึงแล้ว รออาตมาอยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
ชางมินกับมินโฮนั่งรออยู่ที่ชานไม้เล็กหน้ากุฎิไม่นานนัก เสียงประตูไม้บานหนักอึ้งก็ค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้าพร้อมกับพระภิกษุสูงวัยท่าทางสงบนิ่งที่เดินนำหน้าภิกษุหนุ่มที่พาทั้งคู่มาจนถึงที่นี่
“เธอคือชางมินเพื่อนคยูฮยอนหลานฉันสินะ” ภิกษุสูงวัยสบตากับชางมินในร่างของมินโฮราวกับรู้จักกันมาก่อน
“ครับ” ชางมินพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
“ยอนฮยอก เธอไปทำงานของเธอต่อเถอะ ส่วนเจ้าหนุ่มสองคน...ตามอาตมาเข้ามาข้างใน”
หลังจากภิกษุหนุ่มชื่อยอนฮยอกออกไปจากกุฎิแล้ว ชางมินกับมินโฮจึงค่อยๆ เดินตามท่านเจ้าอาวาสจางเข้าภายในกุฎิไม้ซึ่งภายในเต็มไปด้วยตำราโบราณมากมายประหนึ่งห้องสมุดขนาดใหญ่
“นั่งก่อนสิ แล้วเล่าให้อาตมาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้”
ชางมินเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอีกครั้งแม้ว่าคยูฮยอนจะได้โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังคร่าวๆ แล้ว ขณะฟังนั้น ภิกษุผู้ทรงภูมิหลับตาสนิทราวกับกำลังนั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลาจนมินโฮรู้สึกหวั่นใจว่าท่านได้ฟังเรื่องที่ชางมินเล่าอยู่หรือเปล่า
“นี่เป็นคำสาปของเทพเจ้าแห่งความรักในบนภูเขาฮันกึมที่ปูซานสินะ...”
เพียงแค่เล่าเรื่องราวจบ เจ้าอาวาสก็สามารถล่วงรู้เรื่องราวบางเรื่องที่ชางมินยังไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่น้อยว่าตุ๊กตาหินแกะสลักโบราณที่มินโฮเผลอไปสะดุดเข้าเมื่อคืนนี้คืออะไรกันแน่
“ทำไมท่านถึงทราบล่ะครับ?” มินโฮถามด้วยความทึ่ง “แล้วท่านจะมีทางช่วยพวกเราให้พ้นจากคำสาปหรือเปล่าครับ”
“อาตมาช่วยอะไรพวกเธอสองคนเองไม่ได้หรอก มีเพียงหนทางที่จะแก้คำสาปเท่านั้นที่อาตมาพอจะรู้”
แค่ได้ยินว่าจะมีทางแก้ไขคำสาปนี้ได้ ชางมินและมินโฮจึงหันมาสบตากันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้าของมินโฮเป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งวันที่ผ่านมา
“เทพเจ้าแห่งความรักนั้นถือกำเนิดขึ้นเพราะความรักต้องห้ามของหญิงสามัญชนและเจ้าชายต่างเมืองที่แอบรักกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพระราชา บทลงโทษของพระราชาในสมัยนั้นคือการประหารชีวิตหญิงผู้นั้นซึ่งขัดคำสั่ง ก่อนคืนที่จะถูกประหารชีวิต ทั้งคู่ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันเป็นครั้งแรกในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง และได้สาบานกันไว้ว่าจะไม่วันพรากจากกันอีกต่อไปไม่ว่ามีอุปสรรคอีกกี่ภพชาติก็ตาม...”
“น่าสงสารจังเลยนะครับ” แค่ได้ฟังชางมินก็รู้สึกถึงความโศกเศร้าที่อัดแน่นอยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
“ใช่...พวกเขารักกันด้วยจิตที่บริสุทธิ์ แต่กลับถูกคนที่มีจิตใจหยาบช้าทำให้เกิดความคับแค้นขึ้นในจิตใจของคนทั้งสอง” เจ้าอาวาสเล่าเรื่องต่อด้วยท่าทีสงบนิ่ง “ก่อนวันที่ถูกประหาร เจ้าชายได้ภาวนาจิตให้สลับร่างกับหญิงสาวเพื่อรับผิดแทนด้วยตัวเอง จากนั้นเจ้าชายกับหญิงสาวผู้นั้นได้ผูกด้ายแดงไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายของกันและกันเพื่อเป็นสัญลักษณ์ไปทุกภพชาติ ในวันที่หญิงสาวผู้นั้นซึ่งคือเจ้าชายถูกประหารแล้ว หญิงสาวในร่างของเจ้าชายก็ไม่สามารถทนต่อความเสียใจได้จึงฆ่าตัวตายตามไปในอีกไม่นาน”
“หลังจากนั้นวิญญาณของทั้งคู่ก็ไม่ได้ไปผุดไปเกิดและวนเวียนอยู่บนภูเขาฮันกึมแห่งนั้นซึ่งใช้เป็นลานประหาร ทุกวันเพ็ญ ชาวบ้านก็จะเห็นเงาของทั้งคู่พลอดรักกันภายในป่าแห่งนั้นจนเป็นที่สะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ชาวบ้านจึงได้สร้างตุ๊กตาหินแกะสลักเพื่อให้เป็นที่สิงสถิตของวิญญาณของทั้งคู่ หลังจากนั้นจึงไม่มีใครเห็นทั้งคู่อีกเลยนอกจากวันครบรอบที่ทั้งคู่เสียชีวิต”
“แล้วทำไมเราถึงสลับร่างกันได้ล่ะครับ ทั้งๆ ที่เรื่องนี้ก็ดูไม่มีอะไรแล้ว” มินโฮถามด้วยความสงสัย
“ถึงแม้เธอจะไม่ได้ตั้งใจที่จะลบหลู่ทั้งคู่ก็ตามแต่ในเมื่อการสลับร่างเกิดขึ้นแล้ว การที่จะแก้คำสาปนั้นมีอยู่เพียงทางเดียว
คือการที่พวกเธอทั้งสองคนมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกันในคืนวันเพ็ญที่จะถึงในครั้งหน้า หากเกินกว่านั้นแล้วจะไม่มีทางคืนร่างเดิมได้อีกต่อไปชั่วชีวิต”
“สัมพันธ์ลึกซึ้งที่ท่านว่า...หมายถึง เรื่องนั้นน่ะหรือครับ” ใบหน้าของมินโฮร้อนผ่าวแม้เพียงถามคำถาม ดวงตาคมหลุบลงต่ำไม่กล้าที่จะมองชายหนุ่มอีกคนที่ตกใจไม่น้อยไปกว่ากัน
“เข้าใจถูกแล้ว ความสัมพันธ์ลึกซึ้งนั้นคือการที่ความสัมพันธ์ทางกายที่จะเชื่อมโยงจิตใจของคนสองคนเอาไว้ด้วยกัน”
“แต่...ขอโทษนะครับ พวกเราทั้งสองคนก็เป็นผู้ชาย จะให้ทำเรื่องอย่างว่าแบบนั้น...”
“นั่นไม่ใช่ปัญหา หากสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการมีความสัมพันธ์ทางกายคือการที่พวกเธอต้องยินยอมพร้อมใจที่จะเชื่อมโยงจิตใจของพวกเธอไว้ด้วยกันอีกด้วย...”
...ยังหมายถึงต้องมีความรักด้วยงั้นเหรอ!?
To be continue in ‘Hate you, Love you’ Step 4 ~~
~~Talk with Writer~~
สวัสดีท่านผู้อ่านอันเป็นที่รักทุกท่านค่า อิไรทเตอร์ป่วงๆ มันกลับมาจากบ้านนอกแล้วค่าาาา~~
พอพักได้แค่วันเดียวก็รู้สึกอยากแต่งฟิคต่อขึ้นมา นี่แต่งเสร็จก็เอาลงเลยอีกแล้วอ่ะฮับ T^T
หวังว่าทุกคนยังจำเรื่องนี้กันได้อยู่เนอะ *ยิ้มหวาน*
เรื่องราวในตอนนี้ก็ยังไปเรื่อยๆ แต่ก็...หึหึ *ยิ้มชั่วร้ายแล้วตบไหล่ชางมินโฮ*
คุณตาของคยูฮยอนได้เฉลยแล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะสลับร่างคืนได้...
รับรองว่าตอนต่อไปจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนค่ะ ติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ
จริงๆ ตอนนี้ไม่คิดว่าจะเขียนจบเร็วขนาดนี้เลย
แต่ได้อ่านโมเม้นชางมินโฮในคอน SM Town in Tokyo แล้วก็มีแรงฮึดขึ้นมา 555+
สุดท้ายเลยกลายเป็นตอนนี้ไปได้ละเนอะ
ขอบคุณเหมือนเดิมสำหรับคอมเม้นที่น่ารักจากผู้อ่านซึ่งเป็นกำลังใจให้เราเป็นอย่างดีตลอดมา
ขอบคุณสำหรับคนที่แวะเข้ามาอ่านด้วยนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักและรับคำติชมเช่นเคยค่ะ
รักษาสุขภาพนะคะ
Best regards,
korazy_minnie
ความคิดเห็น