ลำดับตอนที่ #10
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เพื่อนๆ หมู่บ้าน......ในดันเจี๊ยน
เพื่อนๆ หมู่บ้าน......ในดันเจี๊ยน
ย้อนกลับไปตอนถูกส่งมาโลกใหม่ครั้งแรก ที่บริเวณท้องพระโรงกลางของปราสาทแห่งหนึ่ง มีกลุ่มคนจำนวนมากกำลังทำพิธีกรรมบางอย่างที่นั้น
หลังจากมีเสียงบริกรรมคาถาอยู่สักพัก วงเวทที่มีขนาดใหญ่มากก็เรืองขึ้นมาเรื่อยๆ จนในที่สุดแสงก็สว่างจน บดบังการมองเห็นทั้งหมด จนกระทั่งแสงเลือนหายไป สิ่งที่ปรากฏแทนแสงกับการเป็นกลุ่มคนจำนวนมากที่มีวัยรุ่นส่วนใหญ่ และมีผู้ใหญ่บางปะปรายทั้งหมดพยายามมองหาคนรู้จักของตนหรือเพื่อน เพื่อจับกลุ่มเมื่ออยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย
ในคนจำนวนนั้น มีเด็กสาวคนหนึ่งที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาดียืนอยู่ด้านข้าง กำลังหันซ้ายหันขวามองหาใครบ้างคนอยู่
............................................................................................................................................
พักช่วง
(ไรท : ขี้เกียจเล่าเอง เลยใช้ตัวละครเล่าบ้างแก้เบื่อ 55555)
(ไรท : เอาหละ ขอเชิญคุณน้ำ หรือ วารี รัตนทิพย์ครับ)
(น้ำ : ขอบคุณค่ะ คุณพ่อที่มีโอกาสให้หนูได้ทำงานด้วย)
(ไรท : เอิ่ม.. พ่อเลยเหรอ(-_-!) เพื่อนก็ได้มั้ง)
(น้ำ : ทำไมล่ะค่ะ? ก็คุณเป็นคนสร้างพวกเราขึ้นมานิค่ะ (>๐<)/ )
(ไรท : นั่นก็ใช่หรอก แต่เรียกพี่แทนได้ป่ะ พ่อเนี่ยแก่ไปนะ )
(น้ำ : ได้ค่ะ พี่ชาย )
(ไรท : จ้า มีน้องสาวน่ารักขนาดนี้รักตายเลย [ทีไอ้แพนเนี่ยเจอตูก็เกรียนใส่เลย])
(น้ำ : เมื่อกี้พี่ชายบ่นอะไรนะค่ะ น้ำไม่ได้ยิน)
(ไรท : ไม่มีอะไรจ้าทำงานกันเถอะ เดี๋ยวจะยาว)
(น้ำ : ได้เลยค่ะ)
...........................................................................................................................................
น้ำ
เมื่อทุกคนมาถึงพร้อมกับฉันที่กำลังยืนมึนงงอยู่ ก็หันซ้ายขวามองหาคนสนิทอยู่ โดยเป็นจินที่หาฉันเจอก่อนคนอื่น เราสองคนก็ได้พูดคุยกันเล็กน้อยเริ่มมองหาคนอื่นๆ ซึ่งในความคิดของทั้งฉันและจินก็คือ แพนเจีย
ในขณะที่ฉันกำลังมองหาอยู่นั้น ก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาหาทักพวกเรา ซึ่งเป็นคนที่พวกเรารู้จักเป็นอย่างดี คือ พี่กรรณ กรรณิการ์ รุ่งรัตนวาณิช ที่เป็นกลุ่มที่เพื่อนสมัยเด็กของเรา พี่กรรณเป็นลูกสาวเจ้าของเครือบริษัทวาณิชกรุ๊ป ที่มีกิจการต่อเรือข้ามสมุทร แถมยังมีธุรกิจอีกหลายประเภทด้วย ที่สำคัญพี่ของพวกเรานั้นเรียกได้ว่านางแบบก็ไม่เกินเลยสักนิด ด้วยรูปร่างสูงโปรง จากส่วนสูง 170 เอวคอด อกสะโพกแทบจะเรียกได้ว่ารังสรรของเทพ ที่พอดีเข้ากับรูปร่างของเธอ ผมสีดำเงาเป็นประกายที่ยาวถึงกลางหลัง ตัดกับผิวที่ขาวเนียนของเจ้าตัว รวมถึงตาสีดำแววสวย รับโครงหน้ามน ปากนิด จมูกที่โด่งเข้ารูปหน้า ทำให้เพิ่มรัศมีความโดดเด่นขึ้นไปอีก ที่เข้ามาทักฉันพร้อมกับรอยยิ้มสวยงามนั้น ทำเอาคนรอบๆที่สังเกตเห็นรีบหันหน้าหนีด้วยความเขินอายเลยทีเดียว
ถึงแม้ที่บ้านจะรวยและมีรูปร่างที่ราวกับเทพธิดา รวมไปถึงกิริยามารยาทที่ดูดีราวกับชนชั้นสูง มีหัวสมองที่ไม่ด้อยกว่าหน้าตาเลย เพราะเธอสอบเข้ามหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศได้ ด้วยคะแนนสูงสุด แถมเธอคนนี้ยังเป็นประธานนักเรียนของโรงเรียนที่พวกเราอยู่ด้วย แต่ถ้าจะพูดถึงข้อเสียของเธอคงมีเรื่องเดียว
" นี่น้ำจ๊ะ เห็นแพนมั้ย ตั้งแต่พี่มาถึงยังไม่เห็นเขาเลย "
พี่กรรณถามออกมาพร้อมกับส่งรอยยิ้มมาให้ฉัน ฉันก็ยิ้มตอบพี่เค้าคืนแล้วก็หันไปมองหน้าจิน จินก็ได้ส่ายหัวกลับมาราวกับรู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร ก็ที่ฉันจะหันกลับไปตอบพี่กรรณ
" เราก็กำลังหาเขาอยู่เหมือนกันค่ะ "
" อืม เหมือนกันสินะ ว่าแต่เขาจะเป็นอะไรหรือป่าว พี่เป็นห่วงจัง "
" ไม่เป็นไรอยู่แล้วค่ะพี่กรรณ "
" แต่พี่เป็นห่วงน้องชายของพี่นิน้า พี่ออกไปหาอีกรอบ"
" ใจเย็นครับพี่ ตอนนี้มันยังวุ่นวาย อยู่จะหากันยาก รอให้เรียบร้อยกว่านี้ดีกว่า"
จินพูดปลอบพี่กรรณที่กำลังเดินออกไปหาแพนอีกรอบ ทำให้พี่กรรณใจเย็นลงมาบ้างแล้วจึงยืนรออยู่บริเวณนั้นด้วยกัน ใช่แล้วค่ะ ข้อเสียของพี่กรรณคือเป็นบราค่อน ติดแพนยังกับอะไรดี ทั้งที่ไม่ใช่น้องแท้ แต่ก็นะจะไปว่าพี่เค้าก็ไม่ได้มันแล้วแต่คน ใครจะไปดีทั้งหมด จริงมั้ยค่ะ
ในระหว่างที่คนเริ่มพอกันมามากขึ้นเรื่อยๆ จนห้องที่อยู่ดูอึดอัดขึ้นไปถนัดตาเลยทีเดียว ฉัน จิน และพี่กรรณกำลังมองหาแพนต่อไปจนกลุ่มที่คาดว่าจะเป็นกลุ่มสุดท้ายก็ยังไม่เห็นวี่แววของแพนเลย จนฉันเริ่มวิตกว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับแพนหรือไม่
ดูเหมือนว่าจินจะรับรู้ความกังวลของฉันได้ เขาจึงยื่นมือมาวางบนไหล่ของฉันแล้วบีบเบา เหมือนให้กำลังใจ
ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มมองหาแพนต่อ ในตอนนั้นเองฉันก็หันไปเห็นบาสเดินมาากับกลุ่มเพื่อนของเขา ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันมองอยู่ จึงหันมายิ้มให้แต่ในดวงตาของเขาที่แสดงถึงความสะใจราวกับได้แก้แค้นสำเร็จ แล้วหันไปมองจินอย่างดูถูกก่อนจะกลับไปคุยกับเพื่อนของตน
ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกใจหายแปลกๆ ราวกับมีอะไรมาทำให้มันกลวงโบ๋ เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น ก่อนที่ฉันจะหันไปมองหน้าจินกับพี่กรรณที่ตอนนี้ เหมือนจะรับรู้ถึงอะไรบ้างอย่างได้
แต่ก่อนจะรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ เผอิญเจอเพื่อนที่เรียนอยู่ห้องเดียวกับแพนกำลังเดินผ่าน ฉันจึงเรียกเขามาถามสิ่งที่สงสัยอยู่
" นี่ นายเรียนอยู่ห้องเดียวกับแพนใช่มั้ย "
" ชะ...ใช่ ทำไมหรือ "
เขาเกิดอาการชะงัก เมื่อได้ยินชื่อของแพน
" แล้วเขาอยู่ไหนล่ะ ไม่เห็นมาอยู่กับกลุ่มห้องของนายเลย "
" เฮ้อ.. ฉันขอโทษนะ เขาไม่ได้มาด้วยหรอก "
เขาที่ถอนหายใจเหมือนตัดสินใจออกมา แแล้วก็มาพูดกับพวกเราด้วยสีหน้าสำนึกผิดทำเอาความกังวลเข้ามาอีกครั้ง แล้วจินจึงถามต่อด้วยเสียงแข็งขึ้น
" ทำไมล่ะ นายเล่ามาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย "
" บาส มันไม่ยอมให้แพนเข้ากลุ่มด้วย เพราะค่าสถานะของแพนน้อยมากจนเป็นตัวถ่วง แถมเขาเองยังขู่ว่า ใครรับแพนเข้ามา เขาจะไล่ออกจากกลุ่มห้อง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปช่วยเขาเลย จนในที่สุดก็ถูกวาร์ปมาโดยที่ไม่มีแพนมาด้วย"
เมื่อพวกเราได้รับรู้ความจริง ทำเอาฉันยืนแทบไม่อยู่แต่ได้จินคอยประคองไว้ แต่สีหน้าของเขานั้นแสดงถึงความโกรธอย่างเห็นได้ชัดแล้วมองไปยังจุดที่บาสคุยอยู่กับเพื่อนอย่างสบายอารมณ์ จนทำให้จินพยายามที่เดินเข้าไปตะบันหน้าคู่กรณีที่คุยกับเพื่อนอยู่ แต่ถูกมือของรุ่นพี่สาวดึงเอาไว้ก่อน จึงหันมามองหน้ารุ่นพี่สาวที่ดึงเขาเอาไว้
" พี่ห้ามผมทำไม ผมอยากตะบันหน้ามัน "
" ใจเย็นก่อนจิน เราไม่ได้เป็นเด็กนะจะได้ต่อยตีกันอย่างนั้น"
" แต่ว่าพี่กรรณครับ ไอ้หมอนั้นมันทิ้งจินไว้คนเดียวนะพี่ "
" ใช่พี่รู้ แต่เราจะเข้าไปอย่างนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา "
" พี่!!! เพราะมัน ตอนนี้แพนจะเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่แบบไหนก็ไม่รู้ อาจจะ......"
จินพูดไม่ทันจบก็ละคำสุดท้ายไว้ราวกับไม่อยากสื่ออกมาทำร้ายจิตใจทั้งของตัวเองและพวกเรา เขาได้แต่ก้มหน้าเพื่อควบคุมอารมณ์ ส่วนพี่กรรณก็หันไปขอบคุณเพื่อนคนนั้นที่เล่าความจริงให้พวกเขาฟังก่อนจะแยกกันไป หลังจากแยกกันแล้วพี่กรรณก็พูดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เย็นชาจนเหมือนน้ำแข็ง แล้วมองไปทางบาส
" พี่เองก็ โกรธแต่ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัด ไม่แน่แพนเองอาจจะกำลังตามหาพวกเราก็ได้"
" ส่วน บาส สักวันหนึ่ง ต้องรับกรรมที่มันทำไว้ "
หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เงียบราวกับตกอยู่ในห้วงความคิดของแต่ละคนส่วนฉันที่รู้สึกดีขึ้น ถึงแม้ความกังวลจะไม่ได้ลดลงก็ตาม
ขณะที่ทุกคนรอบตัวยังคงวุ่นวายกันอยู่ ก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นมาพร้อมกับ คนที่สวมชุดเกราะหลายนายเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับตะโกนออกมา
"ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ แล้วก็ให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ไปกลับพวกเราแค่นี้"
ถึงทุกคนจะยังสับสนแต่ดูความเป็นครู ทำให้ผู้ใหญ่ในห้องนี้หรือครูพากันแยกตัวออกมาจากกลุ่ม แล้วเดินตามชายในชุดเกราะออกไปจนหมด หรือไว้แต่พวกนักเรียนเท่านั้น
แล้วจากนั้นก็มีเสียงดังออกมาอีกด้านตรงข้ามกลับที่เป็นประตูที่คนในชุดเกราะเดินเข้ามาและออกไป เป็นประตูไปสู่ห้องอื่นอีกทาง
" ขอเชิญคนที่เหลือเข้าไปทางนี้ "
แล้วประตูอีกฝั่งก็เปิดทำให้พวกเราทั้งหมด เดินไปยังห้องถัดไปทันที เมื่อเข้าไปในห้องทางนั้น แล้ว ภาพที่ปรากฏมีชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนแท่นที่ยกสูงจากพื้นพอสมควร โดยด้านข้างของเขามีชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ โดยมีดาบสะพายไว้ที่เอว ส่วนอีกฝั่งนั้นมีหญิงสาวนั่งอยู่ ดูจากชุดที่ใส่ของทั้งคู่คงเป็นเจ้าชายกับเจ้าหญิงแน่นอน
ส่วนรอบๆห้องมีชายหลากหลายไว้ยืนตั้งแถวเป็นระเบยบอยู่สองฟากโดยเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้ นี่สินะท้องพระโรงยุคกลาง ก่อนที่จะได้สำรวจรอบห้องก็มีเสียงชายคนหนึ่งตะโกนมาทางพวกเราด้วยเสียงราวกับตะคอกเลย
" อยู่ต่อหน้าพระราชา ใยพวกเจ้ายังไม่คุกเข่าถวายพระพร "
โดยทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบ ก็มีคนที่ใส่ชุดเกราะรอบๆห้องกำลังชักดาบที่เอวออกมาเพื่อจะข่มขู่ แต่ก่อนจะได้ทำอะไร ชายที่นั่งบนบรรลังก์ก็ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ ทำให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่นักเรียนส่วนมากที่เกรงกลัวอำนาจของอาวุธก็คุกเข่าลงนั่งแล้ว ทำให้คนที่เหลือต้องทำตามทั้งหมดไป
เมื่อทุกอย่างในท้องพระโรงหน้าพระพักตร์เกิดความสงบแล้ว พระราชาก็กล่าวออกมา
" ท่านแม่ทัพออสติน ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดขนาดนั้นเลย ตามสบายเถอะ "
เมื่อพระราชาตรัสออกมาก็ทำให้แรงกดดันที่ใส่พวกเราลดลงไปมากทีเดียว
" เอาหละ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังสับสน แต่จะขอเข้าประเด็นเลยนะ ที่ข้าให้พวกนักเวทอัญเชิญพวกเจ้ามาจากต่างโลกก็เพื่อกำจัดจอมมารที่กำลังรุกรานโลกใบนี้อยู่"
เมื่อได้ยินเสียงในท้องพระโรงก็ดังอีกครั้งจากพวกเราที่พูดคุยกันและยังคงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าทำไม พวกเขาต้องมาทำอย่างนั้นทั้งๆที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลย แต่ก็มีเสียงคนหนึ่งที่เอ่ยถามพระราชาออกมาแทรกเสียงที่คุยกันรอบๆ ก็คือเสียงขอพี่กรรณนั่นเอง
............................................................................................................................................
กรรณ
ฉันที่วิเคราะห์จากคำพูดที่พระราชาบอกพวกเราถึงแม้จะมีช่องว่างอยู่มากแต่ก็มีหลายจุดที่ยังไม่กระจ่างชัดจึงจำเป็นต้องถามออกไป
" ทำไมพวกเรา ต้องช่วยพวกคุณที่นี่ด้วย ในเมื่อเป็นปัญหาของพวกท่านเอง "
" นั่นสินะ พวกเจ้าทุกคนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโลกนี้ซะด้วยสิ "
พระราชาพูดขึ้นมาแล้วเงียบเพื่อครุ่นคิด แต่ในสายตาของฉันแล้วมันไม่ต่างจากการแสดงเลย เหมือนกับชายคนนี้เพียงแค่ใส่หน้ากากยิ้มมาคุยกับพวกเราเท่านั้นเอง แต่ในตอนที่ฉันกำลังรอคำตอบจากเขา เสียงที่เปิดประตูจากด้านหลังก็ดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็มีนายทหารสวมชุดเกราะเดินเข้า ถวายความเคารพให้พระราชา แล้วก็รายงานออกมาทุกคนได้ยิน
" ตอนนี้ ผู้ใหญ่ที่มากับผู้กล้าที่อัญเชิญมา ข้าไดทำการตามพระบัญชาของพระองค์เรียบร้อยพะยะค่ะ"
" ดีมาก ขอบใจเจ้ามากที่จัดการให้ "
เมื่อพระราชารับรู้แล้ว คนที่เข้ามารายงานก็ก้มหัวแล้วเดินออกจากห้องไป ซึ่งจากลางสังหรณ์ของฉันคิดว่า พระราชาคงเล่นตุกติกอะไรสักอย่างแน่ และสิ่งที่ทำให้มั่นใจนั้นก็คือรอยยิ้มเล็กที่มุมปากของพระราชา
'ไอ้จิ้งจอกเฒ่านั้น'
" เอาเป็นว่าเมื่อพวกเจ้าจัดการจอมมารได้ ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับโลกเดิมเป็นไง "
" ถ้าพวกเราหนีไม่ยอมสู้หล่ะ "
" ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่หนีหรอก ถ้ายังอยากกลับไปที่โลกเดิมกันทุกคน "
พระราชาตอบมาโดยเน้นเสียงไปที่คำว่าทุกคนในตอนท้าย แสดงว่าไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์นี่คิดจะจับครูทุกคนไว้เป็นตัวประกันสินะ ฉันจึงได้แต่กัดฟันยอมทำตาม
แล้วฉันก็หันกลับไปมองนักเรียนทั้งหมดที่เหลืออยู่ที่สายตาตอนนี้เหมือนจะโยนอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดมาให้ฉัน จึงได้แต่ถอนหายใจก่อนที่จะไปตกลงกลับพระราชามากเล่ห์ด้านหน้า
" แต่พวกเราไม่มีความสามารถอะไรเลย ไม่เคยต่อสู้มาก่อน คงช่วยพวกท่านไม่ได้"
" ไม่เป็นไร ข้าจัดหาผู้ฝึกสอนให้ เพราะอย่างไรผู้กล้าจากต่างโลกก็จะมีความสามารถติดตัวมาคนละอย่างสองอย่างอยู่แล้ว แถมค่าสถานะเริ่มต้นยังสูงกว่าพวกเราด้วยสินะ"
ฉันได้แต่เจ็บใจอยู่ข้างใน เพราะดูเหมือนพระราชาจะรู้จักผู้กล้าต่างโลกเป็นอย่างดี แถมยังปิดช่องทางหนีเราซะเกือบหมด สรุปที่ปิดท้ายก็คืนไม่ต่างกับหาคนมาเฝ้าระวังพวกเขาโดยเฉพาะ
" งั้นพวกเรายินดีจะช่วยเหลือท่าน แต่ขอพักผ่อนก่อนสักเล็กน้อยได้หรือไม่"
" ข้ายินดีที่พวกเจ้าอยากช่วยเหลือ งั้นเชิญไปพักผ่อนตามสบายข้าให้คนจัดห้องไว้ให้แล้ว"
" เป็นพระการุณายิ่ง เพค่ะ"
แล้วก็มีคนมาเดินพาพวกเราไปยังห้องพัก โดยมีไอ้พระราชาเจ้าเล่ห์นั่นคอยยิ้มส่งให้ จนกระทั่งประตูท้องพระโรงปิดลง
' ฉันขอให้ได้อยู่ในที่ปลอดภัยนะ แพน'
............................................................................................................................................
ทางด้านท้องพระโรงหลังจากพวกผู้อัญเชิญออกไปจนหมดแล้ว ภายในนั้นก็มีเสียงหัวเราะอยู่ ซึ่งมาจากชายที่นั่งอยู่บนบรรลังก์นั่นเอง
" ฮ่าๆๆๆ พวกนี้หลอกง่ายจริงๆ เจ้าคิดเหมือนข้ามั้ยไอ้ลูกชาย"
พระราชาเอ่ยถามลูกชายของตนที่ยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าสะใจที่แสดงออกมาของเจ้าชายที่พระราชาเห็นแสดงให้รับรู้ดีที่สุดกว่าคำพูดซะอีก
" ที่นี้อาณาจักรของข้าก็จะเจริญยิ่งกว่าอาณาจักรอื่นเพราะวิทยาการจากต่างโลกของผู้กล้านั่น ฮ่าๆๆๆ"
" งั้นลูก ขอตัวก่อนนะเพค่ะ เสด็จพ่อ พอดีลูกรู้สึกไม่ค่อยสบาย"
เสียงดังมาจากหญิงสาวที่นั่งข้างพระราชาที่แสดงสีหน้าเรียบเฉย
"งั้นก็ตามใจเจ้ส ไปพักผ่อนเถอะ"
แล้วเจ้าหญิงก็ถอนสายบัวให้พ่อของตน พร้อมกับเดินกลับไปยังห้องของตน โดยเมื่อออกจากท้องพระโรงมา ก็มีสาวใช้คนสนิทเดินตามไปด้วย จนมาถึงยังห้องบรรทมของตัวเอง แล้วก็ทิ้งตัวลงเตียงอย่างเหนื่อยล้า
" ข้าไม่คิดเลยว่าท่านพ่อ คิดแต่เอาเพียงเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น "
เจ้าหญิงกล่าวมาอย่างเจ็บปวด เมื่อรู้ว่าบิดาของตนหวังเพียงแค่ความรู้จากต่างโลก พอได้แล้ว ก็คงจะกำจัดคนเหล่านั้นทั้งหมด เหมือนที่ผ่านๆมา ใช่ นี่ไ่ใช้ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่สามแล้ว ที่ท่านพ่อของตนทำเช่นนี้
" ข้าจะช่วยผู้อัญเชิญกลุ่มนี้ให้ได้ "
............................................................................................................................................
แพนเจีย
อืม...
สบายจัง ...
ที่ไหนเนี่ย......
แล้วผมก็ลืมตาขึ้นมามอง มองตรงไปสิ่งเห็นควรจะเป็นท้องฟ้า แต่กลับเป็นเพดานไม้ แทน ทำให้ผมสะดุ้ง รีบลุกขึ้นมาทันที
" โอ๊ย เจ็บ นี่เราหัวแตกเลยเหรอเนี่ย"
เมื่อผมมองไปรอบๆ ดูเหมือนผมจะอยู่ในบ้านไม้สักที ซึ่งแปลกมาเพราะผมจำได้ว่าผมตกลงไปในปม่น้ำหัวกระแทกโขดหินนี่นะ แต่พอสำรวจตามตัวก็ผมว่ามีการพันแผลไว้ เหมือนได้รับการรักษาเป็นอย่างดี
แล้วเหมือนผมที่กำลังมองไปรอบๆ ค่อยลุกขึ้นยืน จู่ๆก็มีคนเปิดประตูเข้ามาทำให้ผมตกใจ เริ่มการระวังตัวเพิ่มขึ้น แต่คนที่เดินเข้ามา เป็นผู้หญิงผมสีทองที่มีใบหน้างดงามมาก ทำเอาผมตะลึงได้เลย ก่อนที่จะทำอะไรนั้นเธอก็เดินเข้ามา จับผมลงนอนอีกครั้ง ผมที่เจ็บแผลจึงไม่มีแรงขัดขืนได้แต่ทำตามไปอย่างว่าง่ายโดย มีเสียงบ่นที่ฟังไม่รู้เรื่องของเธอดังไปด้วย
ผมที่พยายามจับใจความคำพูดของเธอก็ต้องตาค้างอีกครั้ง เมื่อเธอรวบผมที่ยาวของเธอที่ปัดหน้าอยู่ไว้ทำให้ผมเห็นหูของเธอที่ยาวและแหลมเหมือนกับลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ผมเคยอ่านเจอ และไม่คิดว่าจะได้เจอมาก่อน พร้อมกับมีเสียงดังในหัว
<กำลังแปลความภาษาใหม่>
<เรียบร้อย คุณสามารถพูดฟังภาษา เอลฟ์ได้แล้ว>
" เอลฟ์ งั้นเหรอ "
" อ้าวพูดภาษาเราได้ด้วยเหรอ "
เธอยิ้มออกมา เมื่อรู้ว่าชายตรงหน้าสามารถสื่อสารกับตนได้ โดยมีผมที่กำลังตะลึงเกี่ยวกับการเจอสิ่งมีชีวิตแฟนตาซีครั้งนี้ และต้องอึ้งอีกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาของเธอ
" ยินดีต้อนรับสู่ หมู่บ้านพฤกษาแห่งนี้จ้า "
'นึกว่าหายาก ไงในดันเจี๊ยนถึงมีหมู่บ้านเอลฟ์ได้ฟ่ะ'
............................................................................................................................................
10 ตอนแล้ว ฉลองเย้
ขอบคุณที่ติดตามกันมาถึงสิบตอนแล้ว สัญญาจะเขียนต่อจนจบ
ปล. สำหรับคนที่คิดว่าตอนนี้เหมือนนิยายต้นแบบ ขอบอกเลย ถ้าไม่เกริ่นถึงเลย ด้วยเรื่องในอนาคตจะไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้นถึงเหมือนไปบ้าง แต่ก็เพื่อปูถึงเนื้อเรื่องในอนาคต อย่าว่ากันเนอะ ไม่ได้ลอกมาแน่นอน
ปล2. ตอนหน้าอาจช้าหน่อย สัญญาขอเวลาอีกไม่นาน ไม่แน่ถ้าฟิต อาจได้พรุ่งนี้ 555
1 comment = 1 กำลังใจ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น