แผ่นดินข้า - นิยาย แผ่นดินข้า : Dek-D.com - Writer
×

    แผ่นดินข้า

    เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลงยุคหลงเวลาของนายทหารหนุ่ม เนื้อเรื่องและเนื้อหาอาจจะไม่ทันยุคทันสมัย ผู้เขียนเป็นนักเขียนสมัครเล่น อาจจะมีผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณมากครับ

    ผู้เข้าชมรวม

    92

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    92

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน : 1 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  20 เม.ย. 56 / 16:13 น.

    อีบุ๊กจากนิยาย ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ..แผ่นดินข้า..

    นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ประพันธ์ได้คิดประยุกต์ ในเชิงวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่ไม่มีการบันทึกในพงศาวดารหรือจดหมายเหตุฉบับใดในประเทศไทย  แต่มีบันทึกในสมุดข่อยเป็นภาษาพม่าที่ผู้เขียนเคยอ่านในวัดแห่งหนึ่งเมื่อครั้งที่เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศพม่า..และได้คัดลอกนำกลับมาแปลที่เมืองไทยโดยนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งเมตตาช่วยแปลให้ดังนี้..

    "..ทัพของเราตัดเข้าด่านแม่ละเมาเพื่อย่นระยะทาง  ให้ทันฤดูน้ำหลากและต้องไปรวมกับทัพท่านนรทาหม่อง(มังมหานรทา) ทหารเดินเท้าเหน็ดเหนื่อยมาก  อาหารที่เตรียมมาก็เริ่มหมดลง  นายกองใหญ่สั่งการให้นายกองรองแยกทหารออกเป็น 2 กองเพื่อออกหาสะเบียง 1 เพื่อหาข่าว 1 แล้วให้บรรจบกันที่แม่น้ำใหญ่แถบเมืองอุทัยและเมืองชัยนาท..เพื่อพักพล  กองทัพของเราชนะศึกตลอดระยะการเดินทางได้เชลยและสะเบียงมากมาย  เมื่อเรามาพบกันที่นัดหมายแล้วก็พบว่ามีการต่อต้านจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ตั้งตนเป็นก๊กโจรคอยออกปล้นตีทหารของเราเป็นระยะๆ  นายกองหนักใจมากเพราะกองทัพเราจะไปรวมกับกองทัพใหญ่ที่ทุ่งหันตราแขวงเมืองโยเดีย(อโยธยาหรือพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน)ไม่ทัน..เพราะชาวบ้านได้ผู้นำที่เข้มแข็ง  แต่ก็ไม่รู้ที่มาว่าเป็นทหารจากที่ใด(กองสอดแนม)  ทหารเราตายเจ็บเป็นอันมาก.." ตัวหนังสือที่ลอกมาได้ความแค่นี้  ผู้ประพันธ์จึงต้องเติมแต่งเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก..เพื่อได้ความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง..

    ตอนที่

     “..สวัสดีครับผู้พัน...เที่ยวบิน 337 ยินดีต้อนรับครับ..” เสียงทักทายต้อนรับทำให้ชายหนุ่มในชุดนายทหารยศพันโทหันไปมอง

    “..ครับ..สวัสดีครับ..”ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อว่าใครทักทาย

    “..วันนี้เป็นเที่ยวบินพิเศษ..จัดให้ผู้พันโดยเฉพาะ..”

    “..น่าขอบคุณกองทัพนะ..ที่เอาใจผมเพื่อใช้งานอย่างไม่หยุดหย่อน…”ชายหนุ่มลากเสียงประชดในตอนท้าย

    “..ครับ..แล้วผมจะเรียนทาง ผบ.สส.ให้..ว่าแต่วันนี้  บินไปแม่ฮ่องสอน..น่าจะมีเรื่องด่วนมาก..”นักบินชวนคุยในที

    “..กองกำลังติดอาวุธ..ไม่ทราบฝ่าย  ประชิดพรมแดนเราที่..เนิน 447 ผมจึงต้องไปดูเพื่อช่วยอะไรได้บ้าง..”

    “..อ๋อ..พม่าละครับ  แถบนั้นเป็นเขตยึดครองของพม่า..ที่รู้เพราะผมเคยไปทิ้งของให้หน่วยพิเศษ 21 ที่เข้าไปสืบทราบที่ตั้งของฝ่ายโน้น..”

    “..ผมก็ว่างั้น..ทีนี้ทางท่านนายก..ท่านไม่คิดอย่างเราๆ เพราะท่านมีธุรกิจในพม่าหลายอย่าง   ทีนี้ถ้าขืนรายงานไปว่าพม่าท้ารบ..ผมและงานเสธฯ คงถูกยุบไปเป็นทหารสื่อสารแน่ๆ..” กล่าวจบก็ยิ้มอย่างเซ็งในอารมณ์

    “..ครับ..ท่านเคยบอกกองทัพ..แอ็คติ้ง โอเวอร์ไปหน่อย..อ้อ..ได้เวลาแล้วครับ..กรุณารัดเข็มขัดด้วยนะครับ..” เมื่อได้เวลานักบินก็ขอตัวไปประจำที่นั่งนักบิน

                C-130 ไต่อากาศอย่างรวดเร็วเมื่อได้เวลาบินทำการ   โดยการควบคุมของหอการบินทหารอากาศ  ดอนเมือง บ่ายหน้าไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

    “..รวงรัง จากอินทรีย์..เปลี่ยน..” บินได้เพียง 10 นาที

    “..จากรวงรังว่าไง..เกลอ..”

    “..รายงานสภาพอากาศให้ด้วย..ขณะนี้ อินทรีย์ เห็นกลุ่มหมอกหนามาก..กำลังจะฝ่าเข้าไป..”

    “..จากรวงรัง..ไม่พบหมอกที่ว่าในจอเรดาห์  ขอให้อินทรีย์ดูให้แน่ใจแล้วแจ้งด้วย..”

    “..ขณะนี้อินทรีย์อยู่ในกลุ่มหมอกแล้ว..เปลี่ยน..ย้ำ..”

    “..ขณะนี้อินทรีย์อยู่ในกลุ่มหมอกแล้ว..เปลี่ยน..”

    “..จาก..รวงรัง..ไม่ได้ยิน..กรุณา..รายงาน..ด้วย..”

    “..จากอินทรีย์  ไม่ได้ยินเหมือนกัน...”

                นักบินที่ 1 ตกใจมากขึ้นเมื่อระบบนำล่องและระบบการสื่อสารหยุดทำงานทั้งหมด

    “..จ่า..ไปดูระบบไฟฟ้าให้ด้วย..เรามีปัญหากับระบบไฟ..”นักบินที่ 1 สั่งการให้ช่างประจำเครื่องไปดูระบบไฟฟ้าที่กำลังมีปัญหาทันที

                จ่าหายไปเพียง 10 นาทีก็กลับมาหน้าตื่น

    “..ระบบไฟไม่ทำงานครับ..ไม่พบการช็อตของวงจร..เลยครับแปลกมาก…”

    “..เช็คดีแล้วหรือ..จ่า..”

    “..พิโธ่..ผู้ฝูงครับ..ไอ้เครื่องนี้ผมประจำมากว่า 10 ปี..มีหรือว่าไม่รู้จักการทำงานของมัน..” จ่าบ่นอย่างน้อยใจ

    “..เอาเหอะผมเชื่อ..หมวด  บังคับเครื่องแทนที  ผมจะไปแจ้งผู้โดยสาร..” กล่าวจบหันไปทางนักบินที่ 2 แล้วลุกขึ้นเดินไปหาผู้โดยสารพิเศษ  พร้อมหยิบกระเป๋าร่มฉุกเฉินมาด้วย

    “..ผู้พันชายชลครับ..” ค่อยๆเรียกอย่างเกรงใจเมื่อเห็นฝ่ายนั้นหลับ

    “..มีอะไรครับ..กัปตัน..”

    “..เครื่องเรามีปัญหาครับ..”

    “..หมายถึง..”ผู้โดยสารคนเดียวมองอย่างงงๆ

    “..ระบบไฟไม่ทำงาน..เรากำลังบินแบบเครื่องร่อน..ไม่แน่ว่าจะตกเมื่อไหร่..ผู้พันเตรียมโดดก่อน  เดี๋ยวผมกับพวกจะลองบินดูอีกหน่อย..เห็นท่าไม่ดีก็จะโดดตาม..”

    “..ตอนนี้พอรู้ไหมว่าพิกัดเครื่องเรากำลังบินอยู่ที่ไหน..”

    “..บินเกือบ 15 นาที  ผมว่าเรากำลังบินอยู่แถวอ่างทองหรือชัยนาทแถวนั้น..ผู้พันโดดลงไปแล้วหาทางต่อเครื่องที่ลพบุรีผมว่าสะดวกกว่าที่จะรอให้พวกผมซ่อมมันเสร็จ..”

    “..เอางั้นหรือ..เอา..เอาไงเอากัน..”ผู้พันหนุ่มชั่งใจนิดหน่อยแล้วตัดสินใจ

    “..ผม..จะติดตั้งร่มให้ครับ..”  กัปตันหยิบกระเป๋าร่มฉุกเฉินมาติดตั้งเข้ากับตัวของผู้พันหนุ่ม

    “..ขอบคุณ..มากทุกคน..”ชายหนุ่มเดินที่ประตูฉุกเฉินด้านข้างที่เปิดด้วยมือได้แม้ว่าระบบไฮโดรลิคจะไม่ทำงาน

    “..ขอบคุณอีกครั้งครับ..ผู้พัน..ที่เสียเวลามาใช้บริการของผม..” กัปตันขอโทษขอโพยสีหน้าไม่ดี

    “..ไม่เป็นไรหรอกครับ..เรื่องเล็กน้อย..เดี๋ยวผมถึงพื้นแล้วจะหาทางรายงาน..ให้ทางหน่วยเหนือทราบเพื่อหาทางช่วยเหลือพวกคุณให้เร็วที่สุด..ไปละครับทุกคน..”กล่าวจบก็ถีบตัวเองออกจากประตูเครื่องทันที

                ร่มกางพรึ่บเหนือหัวทำให้ผู้พันหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอก..อย่างน้อยก็รอดชีวิตจากเครื่องตกไปได้แล้ว    ร่างลอยเดียวดายท่ามกลางหมอกหนาจัดอยู่เพียงครู่ก็หลุดพ้นจากหมอกหนา

    “..ตายห่า..นี่ตูข้าโดดลงผิดจุดกระมังหว่า..ไม่มีบ้านคนเลย..หรือลงห้วยขาแข้ง..” ชายหนุ่มร้องอุทานในใจเมื่อพ้นหมอกหนาแล้วสายตาที่ส่ายไปรอบๆ  มองไม่เห็นบ้านที่อยู่อาศัยที่คิดว่าน่าจะมีให้เห็นบ้าง..

    “..โน่นแน่ะ..ทุ่งนา..บ๊ะ..รอดตายแล้วเรา..” ลิงโลดเมื่อเห็นทุ่งนากับต้นตาลให้เห็นใกล้ๆ

                ร่างใหญ่เซตามแรงดึงของร่ม..เมื่อถึงพื้นดิน   ยิ่งหนักใจขึ้นอีกเมื่อสังเกตุไปรอบๆ..นาร้าง..ร้างมานานแล้วด้วย

    “..ซวยฉิบ..โดดลงมายังนาร้าง..นี่ต้องเดินไปอีกกี่วันจะเจอคน..”

                บนเครื่อง C-130 ขณะนี้ระบบไฟฟ้าติดขึ้นมาเองอย่างมหัศจรรย์  กัปตันเหงื่อแตกท่วมตัวเมื่อทราบว่า..เมื่อไปถึงฐานบินอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวบ้าง

                ผู้พันหนุ่มเก็บร่มแล้วซุกลงไปในพงสาบเสือ  แล้วมองไปรอบๆสำรวจตรวจตราอย่ารอบคอบ  ในขณะที่ร่างกายเริ่มเรียกร้องหาน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงกระเพาะ

    “..โน่น..แน่ะ..หนองน้ำเล็กพอดื่มพอกินได้..เอาวะ..” เท้าพาเดินไปยังหนองน้ำที่เห็นทันที  แต่..

    “..เฮ้ย..!!” ร้องอย่างตกใจพร้อมถอยหลังกรูด  ร่างๆหนึ่งเผ่นเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว  ที่สำคัญในมือของหมอนี่มีดาบตัดหัว  หน้ากว้างขนาดใหญ่แบบตีกันเอาเอง..เงื้อสุดมือ

                สัญชาติญาณนักสู้และอดีตนักมวยไทยระดับต้น ๆของทำเนียบมวยไทยที่เวทีค่ายอดิสร  เท้าซ้ายยันเป็นหลักแล้วดีดเท้าขวาเข้าใส่อย่างรวดเร็วขณะเดี๋ยวกันก็ดึงตัวหลบไปข้างตามความเคยชินกับการฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย   ร่างที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับฟันลงมาแบบทิ้งทั้งตัว..กะทีเดียวขาดกลาง..ปกติไม่มีหลักอยู่แล้วจึงกลายเป็นแรงส่ง..ถึงจะโดนเตะเบาๆแต่ก็กลายเป็นความแรงทวีคูณ..ที่เรียกกันว่า..แรงบวก..นั่นเอง 

    ..พลั่ก..!!  เสียงดังหนักแน่นเมื่อหลังเท้ากระทบหน้าอก..ร่างที่พุ่งเข้ามาหงายหลังทั้งตัวกระแทกพื้นดินทั้งแข็งทั้งแห้ง  หมดโอกาสลุกขึ้นมาต่อกรได้อีก

                อีกร่างที่โผนตามร่างแรกมานั่นน่ากลัวกว่า  เพราะในมือมีดาบถึง 2 เล่มพร้อมกับการกระโดดฟันทั้ง 2 มือ  ถ้าส่วนไหนของร่างโดนเข้าถึงขาดจากตัวทีเดียว  แต่สำหรับ..ชายชล  อนันต์ภูมินทร์ แล้วเรื่องหลบไม่พ้นนั้นไม่มี..ตาที่มองอยู่แล้วถึงจะแบบผ่านๆ    ก็สามารถจะวิเคราะห์ได้ว่ามันฟันแน่..ชักเท้าพาตัวหลบฉากใกล้ตัวของคนฟัน..ศอกสั้น..คมกริบเรียกเลือดใครต่อใครมานักแล้วตวัดสับเข้าต้นคอ..แบบตามน้ำ

    ..เพี้ยะ..!! ดังกังวาลชัดเจน  ร่างมือดาบ 2 มือเซถลาไปข้างหน้า  แล้วล้มลงหน้าทิ่มพื้นดินหมดอาการกระเหี้ยนกระหือตามเกลอแก้วไปอีกคน

    “..พวกเรา  ล้อมอ้ายคนแปลกหน้าเอาไว้ก่อน..อย่าให้มันหนีไปได้..” เสียงสำทับดังขึ้นอีก  ชายฉกรรจ์หลายคนวิ่งกรูกันออกมาจากดงไม้ข้างหน้าทุกคนมีอาวุธครบมือ   ชายชล เสียวสันหลังวูบวาบ..เห็นจะตายด้วยน้ำมือไอ้พวกโจรถ่อยพวกนี้แน่..แล้วเอาวะ..ยังไงก็ตาย  ให้พวกมันตายมากที่สุดก็แล้วกัน ..เราก็ศิษย์พุทไธสวรรค์ เหมือนกัน..สุดแต่บุญกรรมก็แล้วกัน..ชายชลคิดแล้วก้มคว้าดาบของไอ้โจรกระจอก 2 คนที่ถูกคว่ำโดยชายหนุ่มเมื่อครู่ขึ้นมาถือ..พร้อมสู้

    “..เข้ามาเลยไอ้พวกโจรถ่อย วันนี้เราศิษย์อาจารย์จวน สำนักพุทไธสวรรค์ขอสู้ตาย..เรียงหน้าเข้ามาเลย..”ชายชลร้องท้าอย่างไม่กริ่งเกรงความตายที่กำลังจะเข้ามาเยือนในไม่ช้า

    “..ช้าก่อนพวกเรา..ไหนไอ้หนุ่ม..เอ็งว่าเอ็งเป็นศิษย์สำนักดาบพุทไธสวรรค์กระนั้นรึ..”ไอ้คนท่าทางเป็นหัวหน้าร้องถามดังๆอย่างแปลกใจพร้อมกับลดดาบลง

    “..ใช่..เรียนตอนเป็นนักเรียนนายร้อย จปรว่าแต่น้าเถอะรู้จักเหมือนกันหรือ..”ชายหนุ่มพูดคุยถ่วงเวลาตามหลักการเจรจาถ่วงเวลาต่อรองตามหลักสูตรต่อรองที่เรียนมา  เจ้าคนเป็นหัวหน้าหงายหน้าหัวเราะ..ฟันดำ

    “..ฮ่า ๆๆๆๆๆๆบา..ไอ้หนุ่ม..เอ็งนี่สำคัญ  เป็นศิษย์ผู้น้องข้านี่เอง..เฮ้ยพวกเราหยุดก่อน..คนไทยไม่ควรฆ่ากันเอง..”เจ้าคนเป็นหัวหน้าร้องสั่งให้กลุ่มโจรหยุดมือ

    “..พันอินทร์ เราไม่ควรเชื่อคำพูดมันนา..คนเรามีปากพูด..มันก็อ้างได้..”ไอ้อีกคนเครารุงรังมีหอกในมือเดินมาหาหัวหน้าพร้อมกล่าวอย่างไม่ไว้ใจชายหนุ่มแปลกหน้า

    “..เออ..จริง  ไหนเอ็งลองประดาบกับอ้ายม้วนให้ข้าดูหน่อยเถอะ..เดี๋ยวก็รู้..ว่าเอ็งเป็นศิษย์ผู้น้องข้าจริงฤาไม่..”อ้ายหัวหน้าชื่อพันอินทร์กล่าวอย่างครางแครงใจเหมือนนึกได้

    “..ได้..รีบเข้ามาเถิด..เราเหนื่อยเต็มที..”ชายหนุ่มขยับดาบ 2 มือ  แล้วกระโจนเข้าฟันอย่างดุดัน   อ้ายโจรชื่อม้วน ยกหอกขึ้นรับดาบของชายชลตามสัญชาติญานมากกว่าที่จะตั้งใจรับ..ด้ามหอกหักเป็น 2 ท่อนก่อนทิ้งหอกแล้วหันไปคว้าดาบของเพื่อนโจรอีกคนเข้าฟาดฟันอย่างชำนิชำนาญในเชิงดาบ

                ชายชลฟันด้วยแรงโหมเต็มที่  อ้ายม้วนยกดาบขึ้นรับตามสัญชาติญานแต่แรงโถมฟันของชายหนุ่มหนักหน่วงเกินกว่าที่อ้ายม้วนจะรับไหว  อีกประการร่างสูงใหญ่ถึง 175 และออกกำลังกายอย่างถูกหลักการเป็นประจำทุกวันผิดกับอ้ายม้วนได้ร่ำสุราเมรัยทุกคืนความได้เปรียบจึงต่างกันทุกประตู  เพียงเพลงดาบเดียวอ้ายม้วนดาบหลุดมือยืนหน้าจืดจ๋อย..อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี  เพื่อนโจรอ้ายม้วนพากันเงียบกริบ..พอ หายตกตะลึงก็ปราดกันเข้ารุมหมายใจจะแก้หน้าให้เพื่อน..แต่

    “..พอทีไอ้พวกเวรตะไล..พอได้แล้ว   ยังมีหน้ารุมคนๆเดียวเยี่ยงหมาหมู่..เอาละฝีมือเอ็งพอตัว  ไอ้หนุ่มถึงแม้ว่าข้าไม่รู้ที่มาที่ไปของเอ็งแต่เอ็งต้องไปกับข้า  ไปปะหน้าและได้เจรจากับท่านออกขุนราชเสนาภิมุข..ก่อน  เพราะตามประเพณีพื้นนี้ต้องแวะทักทายนายบ้านก่อนแล้วค่อยไป..” พันอินทร์เอื้อนเอ่ยชวนชายหนุ่ม  ด้วยเห็นว่ามีทางเดียวที่จะเห็นว่าอุบายนี้จะทำให้ชายหนุ่มรอดตายได้  ชายหนุ่มขอตัวไปเอาเป้สนามที่ใส่สัมภาระส่วนตัวที่ซ่อนไว้พร้อมกับร่มฉุกเฉิน

    “..ที่นี่มันที่ไหนกัน..” ชายหนุ่มยังงง  ถามพันอินทร์

    “..แถบนี้  เรียกกันว่าทุ่งดอนตาลใต้  ที่เราจักไปนั่นคือบ้านศรีโพธิ์ทอง  ..”พันอินทร์บอกขณะเดินคู่ชายหนุ่ม

    “..อยู่ในเขตจังหวัดไหนล่ะ..”

    “..เอ็งเอ่ยเยี่ยงไรข้าฟังแล้ว  มิแจ้งใจ..”พันอินทร์ฟังคำพูดของชายหนุ่มแล้วงง

    “..ผมหมายถึงหมู่บ้านที่ว่าอยู่ในเขตอำเภออะไร จังหวัดอะไร..”

    “..เยี่ยงไรคือ..อำเภอและจังหวัด...”พันอินทร์หันมาถามด้วยสีหน้างงๆ

    “..อือม์..เอาเป็นว่าหมู่บ้านที่ว่าอยู่ไกลมั้ย..”ชายหนุ่มอ่อนใจตัดบทถามระยะทางของหมู่บ้านโพธิ์ทอง

    “..ก็ถ้าเดินด้วยเท้าไม่เกินเพลก็ถึง..”พันอินทร์ตอบพรางมองไปข้างหน้า  เพราะเห็นชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ข้างหน้าส่งสัญญานมาให้ทราบว่ามีคนมา

    “..ไปเร็วไอ้หนุ่ม  อ้ายพม่ามันมาลาดแถวนี้..เราจะลอบฆ่ามัน..” พันอินทร์กระชากดาบออกจากฝักพร้อมกับสำทับให้ชายหนุ่มเตรียมตัวให้พร้อม  ก่อนวิ่งปราดไปนั่งซุ่มคันดินยกสูงพร้อมกันกับขบวนทั้งหมดก็กระจายกันซุ่มซ่อน

                ชายฉกรรจ์ใส่กางเกงขาสามส่วนสีดำไม่สวมเสื้อโพกศรีษะด้วยผ้าขาวม้าหลากสี   โผล่ออกมาจากชายป่าเบื้องหน้านับสิบคน..ทุกคนเดินกันตามสบายไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากนัก

                ชายหนุ่มมาถึงที่ซุ่มก็ถามอ้ายคนที่อยู่ข้าง ๆ

    “..นี่เค้ากำลังถ่ายหนังอยู่ใช่มั้ย  เกลอ..”

    “..เอ็งพูดเยี่ยงไร  ข้ามิแจ้งในความของเอ็ง..”อ้ายคนที่อยู่ข้างหน้าเครียดงงๆ

    “..เอาเถอะ..ผมไม่ถามดีกว่า   ว่าแต่ไอ้พวกที่เดินมานั่นใช่พม่าแน่นะ..”ชายหนุ่มมองไปยังพวกพม่าอย่างงงๆ เช่นกัน

    “..เอ็งเคยปะพม่ามากี่ครั้ง  ไอ้หนุ่ม..” อ้ายคนข้างตัวถามโดยไม่หันมามอง

    “..เคยหลายครั้ง..ที่ย่างกุ้งก็เคยไป   เคยไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่นั่น 2 ปี..แล้วที่กรุงเทพ ฯ เคยเห็นพวกนั้นทำงานก่อสร้าง..ขยันดีกว่าคนงานไทยมาก..”ชายหนุ่มบอกก่อนขยับตามกลุ่มเข้าไป

    “..อ้ายทอง..อ้ายม้วน  นำคนไป 5 คน อยู่ด้านปีกซ้าย  อ้ายดำ เอ็งนำคนอีก 5 ไปปีกขวา ที่เหลืออยู่กับข้า..คอยฟังสัญญานจากข้า..” พันอินทร์สั่งการณ์วางกำลังตามยุทธวิธี  ชายหนุ่มฟังแล้วก็ทึ่ง..ดูๆแล้วพวกนี้ไม่น่าเป็นโจรเลย  แต่ทุกคนมีระเบียบวินัยจนน่าเชื่อว่าน่าจะเป็นทหารมากกว่า

    “..นี่เรากำลังจะฆ่าคนใช่มั้ย..” ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด  ขนลุก   ผ่านการรบมาหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศ..ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยเหงื่อออกจนชุ่มมือจนรู้สึกได้ว่าด้ามดาบนั้นเปียกลื่น

    “..อ้ายพวกพม่าพวกนี้มันเป็นหน่วยระวังหน้า..สอดแนม  ถัดไปอีกเพียงชั่วเดินมีพวกมันอีก..น่าจะถึงร้อย  เพราะวันนี้มันออกปล้นสะดมภ์ละแวกนี้..คราวนี้จะได้มาเยอะ..ม่ายงั้นมันคงไม่ส่งพวกระวังหน้าออกมาสอดแนมก่อนเยี่ยงนี้..ว่าแต่เอ็งเหอะที่ว่าเคยปะพวกพม่าที่ย่างกุ้งอะไรนั่น  มันอยู่กันเยี่ยงไรรึ..” อ้ายคนเดิมถามชวนคุยโดยไม่หันมามอง

    “..ก็เห็น  อัธยาศัยดี..ไม่ดุร้ายอย่างเคยได้ยินมา..”

    “..อ้ายพม่าพวกนี้โหดอำมหิตกว่าที่เอ็งเจอมากนัก  เดี๋ยวเอ็งจะได้เห็น..”

                กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นพม่า  เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะจนสามารถได้ด้วยตาเปล่า..ทุกคนสะพายดาบที่ไหล่ไม่ชักออกมาถือ..เรียกว่ากำลังสบายๆ  นับได้ 8 คน   ทั้งหมดกำลังจะเดินผ่านเนินดินที่พวกพันอินทร์ซุ่ม

    “..พวกเราฆ่ามันอย่าให้เหลือ..”พันอินทร์ตระโกนเข้าโจมตีเสียงดังลั่น

                กลุ่มของอ้ายม้วนกระโดดเข้าใส่พวกพม่าทันที  ในขณะเดียวกัน..กลุ่มของอ้ายดำก็กระโจนออกจากที่ซุ่มเข้าโจมตีขนาบข้าง  พวกพม่าอยู่ตรงกลางพากันตกตะลึง..กลุ่มของพันอินทร์บุกเข้าทางด้านหน้า

                ทุกคนเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  ชายหนุ่มมองอย่างงงงัน   เพราะทุกคนฟาดฟันกันจริงๆ..ไม่ใช่การแสดงแน่พวกพม่าหลายคนถูกฟันล้มลงที่เหลือพยายามสู้พรางหนีพราง   แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวการต่อสู้ก็สิ้นสุดพวกพม่านอนระเกะในลักษณะต่างๆกัน  8 คนมีแผลฉกรรจ์ทั้งสิ้น..

                ชายหนุ่มเดินลงไปดูศพพวกพม่าก็ให้รู้สึกว่า.. นี่คือการฆ่าฟันที่ทารุณที่สุด   อ้ายม้วนกับพวกอีก 2 คนแสดงสันดานดิบตัดหัวพวกพม่าทั้ง 8 นำมากองสุมเอาไว้กลางลานดูน่าสยดสยองยิ่งนัก

    “..นี่ยังน้อยไป..ไอ้หนุ่ม  อ้ายพวกพม่าก็ทำเยี่ยงนี้เหมือนกัน  มันต่างกับเราตรงที่..มันฆ่าไม่เลือก..ลูกเล็กเด็กแดงมันไม่เคยละเว้น..ล่าสุดที่วัดแถบเมืองวิเศษไชยชาญ..มันจับพระมาตัดมือทั้งวัด ..เพียงแต่สงสัยว่าพระแอบขนพระพุทธรูปทองคำไปซ่อนข้าเองก็รอดมาได้จวนเจียนเต็มที..”ชายคนเดิมบอกพรางโยนดาบของพม่าที่ยึดได้จากศพให้ชายหนุ่ม

    “..บอกผมทีได้มั้ยว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง  ผมกำลังฝันไป..”ชายหนุ่มยังสยดสยองไม่หาย

    “..ไอ้หนุ่ม  ข้าว่าเอ็งต้องไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์บ้างแล้วนะ..เพราะข้าดูเอ็งจะโดนภูตไอ้พวกนั้นเข้าแล้ว..”

    “..ไม่เป็นไร  ผมสบายดีเพียงแต่ไม่เคยเห็นใครจะตัดหัวคนแล้วยิ้มๆได้อย่างนี้..” ชายหนุ่มบอก  พยายามบังคับใจให้ปกติ

    “..ยังหรอกนะไอ้หนุ่ม  เดี๋ยวจะได้เห็นการฆ่าอ้ายพม่ายิ่งกว่านี่  เพราะพวกนี้แค่กองสอดแนมของมันเท่านั้น..”ชายคนนั้นบอก

    “..อีกนานมั้ย  กว่าที่พวกมันจะมาถึง..”

    “..เพียงเคี้ยวหมากแหลกละ  ไอ้หนุ่ม..”

    “..แล้วนั่นพวกนั้นกำลังทำอะไรกัน..”

    (โปรดติดตามตอนที่ ๒)

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    คำนิยม Top

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    คำนิยมล่าสุด

    ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

    ความคิดเห็น