แผ่นดินข้า
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหลงยุคหลงเวลาของนายทหารหนุ่ม เนื้อเรื่องและเนื้อหาอาจจะไม่ทันยุคทันสมัย ผู้เขียนเป็นนักเขียนสมัครเล่น อาจจะมีผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ขอบคุณมากครับ
ผู้เข้าชมรวม
92
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
แท็กนิยาย
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
..แผ่นดินข้า..
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ประพันธ์ได้คิดประยุกต์ ในเชิงวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ที่ไม่มีการบันทึกในพงศาวดารหรือจดหมายเหตุฉบับใดในประเทศไทย แต่มีบันทึกในสมุดข่อยเป็นภาษาพม่าที่ผู้เขียนเคยอ่านในวัดแห่งหนึ่งเมื่อครั้งที่เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศพม่า..และได้คัดลอกนำกลับมาแปลที่เมืองไทยโดยนักภาษาศาสตร์ท่านหนึ่งเมตตาช่วยแปลให้ดังนี้..
"..ทัพของเราตัดเข้าด่านแม่ละเมาเพื่อย่นระยะทาง ให้ทันฤดูน้ำหลากและต้องไปรวมกับทัพท่านนรทาหม่อง(มังมหานรทา) ทหารเดินเท้าเหน็ดเหนื่อยมาก อาหารที่เตรียมมาก็เริ่มหมดลง นายกองใหญ่สั่งการให้นายกองรองแยกทหารออกเป็น 2 กองเพื่อออกหาสะเบียง 1 เพื่อหาข่าว 1 แล้วให้บรรจบกันที่แม่น้ำใหญ่แถบเมืองอุทัยและเมืองชัยนาท..เพื่อพักพล กองทัพของเราชนะศึกตลอดระยะการเดินทางได้เชลยและสะเบียงมากมาย เมื่อเรามาพบกันที่นัดหมายแล้วก็พบว่ามีการต่อต้านจากชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่ตั้งตนเป็นก๊กโจรคอยออกปล้นตีทหารของเราเป็นระยะๆ นายกองหนักใจมากเพราะกองทัพเราจะไปรวมกับกองทัพใหญ่ที่ทุ่งหันตราแขวงเมืองโยเดีย(อโยธยาหรือพระนครศรีอยุธยาในปัจจุบัน)ไม่ทัน..เพราะชาวบ้านได้ผู้นำที่เข้มแข็ง แต่ก็ไม่รู้ที่มาว่าเป็นทหารจากที่ใด(กองสอดแนม) ทหารเราตายเจ็บเป็นอันมาก.." ตัวหนังสือที่ลอกมาได้ความแค่นี้ ผู้ประพันธ์จึงต้องเติมแต่งเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้นไปอีก..เพื่อได้ความสมบูรณ์ของเนื้อเรื่อง..
ตอนที่ ๑
“..สวัสดีครับผู้พัน...เที่ยวบิน 337 ยินดีต้อนรับครับ..” เสียงทักทายต้อนรับทำให้ชายหนุ่มในชุดนายทหารยศพันโทหันไปมอง
“..ครับ..สวัสดีครับ..”ริมฝีปากบางยิ้มกว้างเมื่อว่าใครทักทาย
“..วันนี้เป็นเที่ยวบินพิเศษ..จัดให้ผู้พันโดยเฉพาะ..”
“..น่าขอบคุณกองทัพนะ..ที่เอาใจผมเพื่อใช้งานอย่างไม่หยุดหย่อน…”ชายหนุ่มลากเสียงประชดในตอนท้าย
“..ครับ..แล้วผมจะเรียนทาง ผบ.สส.ให้..ว่าแต่วันนี้ บินไปแม่ฮ่องสอน..น่าจะมีเรื่องด่วนมาก..”นักบินชวนคุยในที
“..กองกำลังติดอาวุธ..ไม่ทราบฝ่าย ประชิดพรมแดนเราที่..เนิน 447 ผมจึงต้องไปดูเพื่อช่วยอะไรได้บ้าง..”
“..อ๋อ..พม่าละครับ แถบนั้นเป็นเขตยึดครองของพม่า..ที่รู้เพราะผมเคยไปทิ้งของให้หน่วยพิเศษ 21 ที่เข้าไปสืบทราบที่ตั้งของฝ่ายโน้น..”
“..ผมก็ว่างั้น..ทีนี้ทางท่านนายก..ท่านไม่คิดอย่างเราๆ เพราะท่านมีธุรกิจในพม่าหลายอย่าง ทีนี้ถ้าขืนรายงานไปว่าพม่าท้ารบ..ผมและงานเสธฯ คงถูกยุบไปเป็นทหารสื่อสารแน่ๆ..” กล่าวจบก็ยิ้มอย่างเซ็งในอารมณ์
“..ครับ..ท่านเคยบอกกองทัพ..แอ็คติ้ง โอเวอร์ไปหน่อย..อ้อ..ได้เวลาแล้วครับ..กรุณารัดเข็มขัดด้วยนะครับ..” เมื่อได้เวลานักบินก็ขอตัวไปประจำที่นั่งนักบิน
C-130 ไต่อากาศอย่างรวดเร็วเมื่อได้เวลาบินทำการ โดยการควบคุมของหอการบินทหารอากาศ ดอนเมือง บ่ายหน้าไปทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
“..รวงรัง จากอินทรีย์..เปลี่ยน..” บินได้เพียง 10 นาที
“..จากรวงรังว่าไง..เกลอ..”
“..รายงานสภาพอากาศให้ด้วย..ขณะนี้ อินทรีย์ เห็นกลุ่มหมอกหนามาก..กำลังจะฝ่าเข้าไป..”
“..จากรวงรัง..ไม่พบหมอกที่ว่าในจอเรดาห์ ขอให้อินทรีย์ดูให้แน่ใจแล้วแจ้งด้วย..”
“..ขณะนี้อินทรีย์อยู่ในกลุ่มหมอกแล้ว..เปลี่ยน..ย้ำ..”
“..ขณะนี้อินทรีย์อยู่ในกลุ่มหมอกแล้ว..เปลี่ยน..”
“..จาก..รวงรัง..ไม่ได้ยิน..กรุณา..รายงาน..ด้วย..”
“..จากอินทรีย์ ไม่ได้ยินเหมือนกัน...”
นักบินที่ 1 ตกใจมากขึ้นเมื่อระบบนำล่องและระบบการสื่อสารหยุดทำงานทั้งหมด
“..จ่า..ไปดูระบบไฟฟ้าให้ด้วย..เรามีปัญหากับระบบไฟ..”นักบินที่ 1 สั่งการให้ช่างประจำเครื่องไปดูระบบไฟฟ้าที่กำลังมีปัญหาทันที
จ่าหายไปเพียง 10 นาทีก็กลับมาหน้าตื่น
“..ระบบไฟไม่ทำงานครับ..ไม่พบการช็อตของวงจร..เลยครับแปลกมาก…”
“..เช็คดีแล้วหรือ..จ่า..”
“..พิโธ่..ผู้ฝูงครับ..ไอ้เครื่องนี้ผมประจำมากว่า 10 ปี..มีหรือว่าไม่รู้จักการทำงานของมัน..” จ่าบ่นอย่างน้อยใจ
“..เอาเหอะผมเชื่อ..หมวด บังคับเครื่องแทนที ผมจะไปแจ้งผู้โดยสาร..” กล่าวจบหันไปทางนักบินที่ 2 แล้วลุกขึ้นเดินไปหาผู้โดยสารพิเศษ พร้อมหยิบกระเป๋าร่มฉุกเฉินมาด้วย
“..ผู้พันชายชลครับ..” ค่อยๆเรียกอย่างเกรงใจเมื่อเห็นฝ่ายนั้นหลับ
“..มีอะไรครับ..กัปตัน..”
“..เครื่องเรามีปัญหาครับ..”
“..หมายถึง..”ผู้โดยสารคนเดียวมองอย่างงงๆ
“..ระบบไฟไม่ทำงาน..เรากำลังบินแบบเครื่องร่อน..ไม่แน่ว่าจะตกเมื่อไหร่..ผู้พันเตรียมโดดก่อน เดี๋ยวผมกับพวกจะลองบินดูอีกหน่อย..เห็นท่าไม่ดีก็จะโดดตาม..”
“..ตอนนี้พอรู้ไหมว่าพิกัดเครื่องเรากำลังบินอยู่ที่ไหน..”
“..บินเกือบ 15 นาที ผมว่าเรากำลังบินอยู่แถวอ่างทองหรือชัยนาทแถวนั้น..ผู้พันโดดลงไปแล้วหาทางต่อเครื่องที่ลพบุรีผมว่าสะดวกกว่าที่จะรอให้พวกผมซ่อมมันเสร็จ..”
“..เอางั้นหรือ..เอา..เอาไงเอากัน..”ผู้พันหนุ่มชั่งใจนิดหน่อยแล้วตัดสินใจ
“..ผม..จะติดตั้งร่มให้ครับ..” กัปตันหยิบกระเป๋าร่มฉุกเฉินมาติดตั้งเข้ากับตัวของผู้พันหนุ่ม
“..ขอบคุณ..มากทุกคน..”ชายหนุ่มเดินที่ประตูฉุกเฉินด้านข้างที่เปิดด้วยมือได้แม้ว่าระบบไฮโดรลิคจะไม่ทำงาน
“..ขอบคุณอีกครั้งครับ..ผู้พัน..ที่เสียเวลามาใช้บริการของผม..” กัปตันขอโทษขอโพยสีหน้าไม่ดี
“..ไม่เป็นไรหรอกครับ..เรื่องเล็กน้อย..เดี๋ยวผมถึงพื้นแล้วจะหาทางรายงาน..ให้ทางหน่วยเหนือทราบเพื่อหาทางช่วยเหลือพวกคุณให้เร็วที่สุด..ไปละครับทุกคน..”กล่าวจบก็ถีบตัวเองออกจากประตูเครื่องทันที
ร่มกางพรึ่บเหนือหัวทำให้ผู้พันหนุ่มถอนใจอย่างโล่งอก..อย่างน้อยก็รอดชีวิตจากเครื่องตกไปได้แล้ว ร่างลอยเดียวดายท่ามกลางหมอกหนาจัดอยู่เพียงครู่ก็หลุดพ้นจากหมอกหนา
“..ตายห่า..นี่ตูข้าโดดลงผิดจุดกระมังหว่า..ไม่มีบ้านคนเลย..หรือลงห้วยขาแข้ง..” ชายหนุ่มร้องอุทานในใจเมื่อพ้นหมอกหนาแล้วสายตาที่ส่ายไปรอบๆ มองไม่เห็นบ้านที่อยู่อาศัยที่คิดว่าน่าจะมีให้เห็นบ้าง..
“..โน่นแน่ะ..ทุ่งนา..บ๊ะ..รอดตายแล้วเรา..” ลิงโลดเมื่อเห็นทุ่งนากับต้นตาลให้เห็นใกล้ๆ
ร่างใหญ่เซตามแรงดึงของร่ม..เมื่อถึงพื้นดิน ยิ่งหนักใจขึ้นอีกเมื่อสังเกตุไปรอบๆ..นาร้าง..ร้างมานานแล้วด้วย
“..ซวยฉิบ..โดดลงมายังนาร้าง..นี่ต้องเดินไปอีกกี่วันจะเจอคน..”
บนเครื่อง C-130 ขณะนี้ระบบไฟฟ้าติดขึ้นมาเองอย่างมหัศจรรย์ กัปตันเหงื่อแตกท่วมตัวเมื่อทราบว่า..เมื่อไปถึงฐานบินอะไรจะเกิดขึ้นกับตัวบ้าง
ผู้พันหนุ่มเก็บร่มแล้วซุกลงไปในพงสาบเสือ แล้วมองไปรอบๆสำรวจตรวจตราอย่ารอบคอบ ในขณะที่ร่างกายเริ่มเรียกร้องหาน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงกระเพาะ
“..โน่น..แน่ะ..หนองน้ำเล็กพอดื่มพอกินได้..เอาวะ..” เท้าพาเดินไปยังหนองน้ำที่เห็นทันที แต่..
“..เฮ้ย..!!” ร้องอย่างตกใจพร้อมถอยหลังกรูด ร่างๆหนึ่งเผ่นเข้าหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญในมือของหมอนี่มีดาบตัดหัว หน้ากว้างขนาดใหญ่แบบตีกันเอาเอง..เงื้อสุดมือ
สัญชาติญาณนักสู้และอดีตนักมวยไทยระดับต้น ๆของทำเนียบมวยไทยที่เวทีค่ายอดิสร เท้าซ้ายยันเป็นหลักแล้วดีดเท้าขวาเข้าใส่อย่างรวดเร็วขณะเดี๋ยวกันก็ดึงตัวหลบไปข้างตามความเคยชินกับการฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย ร่างที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับฟันลงมาแบบทิ้งทั้งตัว..กะทีเดียวขาดกลาง..ปกติไม่มีหลักอยู่แล้วจึงกลายเป็นแรงส่ง..ถึงจะโดนเตะเบาๆแต่ก็กลายเป็นความแรงทวีคูณ..ที่เรียกกันว่า..แรงบวก..นั่นเอง
..พลั่ก..!! เสียงดังหนักแน่นเมื่อหลังเท้ากระทบหน้าอก..ร่างที่พุ่งเข้ามาหงายหลังทั้งตัวกระแทกพื้นดินทั้งแข็งทั้งแห้ง หมดโอกาสลุกขึ้นมาต่อกรได้อีก
อีกร่างที่โผนตามร่างแรกมานั่นน่ากลัวกว่า เพราะในมือมีดาบถึง 2 เล่มพร้อมกับการกระโดดฟันทั้ง 2 มือ ถ้าส่วนไหนของร่างโดนเข้าถึงขาดจากตัวทีเดียว แต่สำหรับ..ชายชล อนันต์ภูมินทร์ แล้วเรื่องหลบไม่พ้นนั้นไม่มี..ตาที่มองอยู่แล้วถึงจะแบบผ่านๆ ก็สามารถจะวิเคราะห์ได้ว่ามันฟันแน่..ชักเท้าพาตัวหลบฉากใกล้ตัวของคนฟัน..ศอกสั้น..คมกริบเรียกเลือดใครต่อใครมานักแล้วตวัดสับเข้าต้นคอ..แบบตามน้ำ
..เพี้ยะ..!! ดังกังวาลชัดเจน ร่างมือดาบ 2 มือเซถลาไปข้างหน้า แล้วล้มลงหน้าทิ่มพื้นดินหมดอาการกระเหี้ยนกระหือตามเกลอแก้วไปอีกคน
“..พวกเรา ล้อมอ้ายคนแปลกหน้าเอาไว้ก่อน..อย่าให้มันหนีไปได้..” เสียงสำทับดังขึ้นอีก ชายฉกรรจ์หลายคนวิ่งกรูกันออกมาจากดงไม้ข้างหน้าทุกคนมีอาวุธครบมือ ชายชล เสียวสันหลังวูบวาบ..เห็นจะตายด้วยน้ำมือไอ้พวกโจรถ่อยพวกนี้แน่..แล้วเอาวะ..ยังไงก็ตาย ให้พวกมันตายมากที่สุดก็แล้วกัน ..เราก็ศิษย์พุทไธสวรรค์ เหมือนกัน..สุดแต่บุญกรรมก็แล้วกัน..ชายชลคิดแล้วก้มคว้าดาบของไอ้โจรกระจอก 2 คนที่ถูกคว่ำโดยชายหนุ่มเมื่อครู่ขึ้นมาถือ..พร้อมสู้
“..เข้ามาเลยไอ้พวกโจรถ่อย วันนี้เราศิษย์อาจารย์จวน สำนักพุทไธสวรรค์ขอสู้ตาย..เรียงหน้าเข้ามาเลย..”ชายชลร้องท้าอย่างไม่กริ่งเกรงความตายที่กำลังจะเข้ามาเยือนในไม่ช้า
“..ช้าก่อนพวกเรา..ไหนไอ้หนุ่ม..เอ็งว่าเอ็งเป็นศิษย์สำนักดาบพุทไธสวรรค์กระนั้นรึ..”ไอ้คนท่าทางเป็นหัวหน้าร้องถามดังๆอย่างแปลกใจพร้อมกับลดดาบลง
“..ใช่..เรียนตอนเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ว่าแต่น้าเถอะรู้จักเหมือนกันหรือ..”ชายหนุ่มพูดคุยถ่วงเวลาตามหลักการเจรจาถ่วงเวลาต่อรองตามหลักสูตรต่อรองที่เรียนมา เจ้าคนเป็นหัวหน้าหงายหน้าหัวเราะ..ฟันดำ
“..ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ…บา..ไอ้หนุ่ม..เอ็งนี่สำคัญ เป็นศิษย์ผู้น้องข้านี่เอง..เฮ้ยพวกเราหยุดก่อน..คนไทยไม่ควรฆ่ากันเอง..”เจ้าคนเป็นหัวหน้าร้องสั่งให้กลุ่มโจรหยุดมือ
“..พันอินทร์ เราไม่ควรเชื่อคำพูดมันนา..คนเรามีปากพูด..มันก็อ้างได้..”ไอ้อีกคนเครารุงรังมีหอกในมือเดินมาหาหัวหน้าพร้อมกล่าวอย่างไม่ไว้ใจชายหนุ่มแปลกหน้า
“..เออ..จริง ไหนเอ็งลองประดาบกับอ้ายม้วนให้ข้าดูหน่อยเถอะ..เดี๋ยวก็รู้..ว่าเอ็งเป็นศิษย์ผู้น้องข้าจริงฤาไม่..”อ้ายหัวหน้าชื่อพันอินทร์กล่าวอย่างครางแครงใจเหมือนนึกได้
“..ได้..รีบเข้ามาเถิด..เราเหนื่อยเต็มที..”ชายหนุ่มขยับดาบ 2 มือ แล้วกระโจนเข้าฟันอย่างดุดัน อ้ายโจรชื่อม้วน ยกหอกขึ้นรับดาบของชายชลตามสัญชาติญานมากกว่าที่จะตั้งใจรับ..ด้ามหอกหักเป็น 2 ท่อนก่อนทิ้งหอกแล้วหันไปคว้าดาบของเพื่อนโจรอีกคนเข้าฟาดฟันอย่างชำนิชำนาญในเชิงดาบ
ชายชลฟันด้วยแรงโหมเต็มที่ อ้ายม้วนยกดาบขึ้นรับตามสัญชาติญานแต่แรงโถมฟันของชายหนุ่มหนักหน่วงเกินกว่าที่อ้ายม้วนจะรับไหว อีกประการร่างสูงใหญ่ถึง 175 และออกกำลังกายอย่างถูกหลักการเป็นประจำทุกวันผิดกับอ้ายม้วนได้ร่ำสุราเมรัยทุกคืนความได้เปรียบจึงต่างกันทุกประตู เพียงเพลงดาบเดียวอ้ายม้วนดาบหลุดมือยืนหน้าจืดจ๋อย..อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี เพื่อนโจรอ้ายม้วนพากันเงียบกริบ..พอ หายตกตะลึงก็ปราดกันเข้ารุมหมายใจจะแก้หน้าให้เพื่อน..แต่
“..พอทีไอ้พวกเวรตะไล..พอได้แล้ว ยังมีหน้ารุมคนๆเดียวเยี่ยงหมาหมู่..เอาละฝีมือเอ็งพอตัว ไอ้หนุ่มถึงแม้ว่าข้าไม่รู้ที่มาที่ไปของเอ็งแต่เอ็งต้องไปกับข้า ไปปะหน้าและได้เจรจากับท่านออกขุนราชเสนาภิมุข..ก่อน เพราะตามประเพณีพื้นนี้ต้องแวะทักทายนายบ้านก่อนแล้วค่อยไป..” พันอินทร์เอื้อนเอ่ยชวนชายหนุ่ม ด้วยเห็นว่ามีทางเดียวที่จะเห็นว่าอุบายนี้จะทำให้ชายหนุ่มรอดตายได้ ชายหนุ่มขอตัวไปเอาเป้สนามที่ใส่สัมภาระส่วนตัวที่ซ่อนไว้พร้อมกับร่มฉุกเฉิน
“..ที่นี่มันที่ไหนกัน..” ชายหนุ่มยังงง ถามพันอินทร์
“..แถบนี้ เรียกกันว่าทุ่งดอนตาลใต้ ที่เราจักไปนั่นคือบ้านศรีโพธิ์ทอง ..”พันอินทร์บอกขณะเดินคู่ชายหนุ่ม
“..อยู่ในเขตจังหวัดไหนล่ะ..”
“..เอ็งเอ่ยเยี่ยงไรข้าฟังแล้ว มิแจ้งใจ..”พันอินทร์ฟังคำพูดของชายหนุ่มแล้วงง
“..ผมหมายถึงหมู่บ้านที่ว่าอยู่ในเขตอำเภออะไร จังหวัดอะไร..”
“..เยี่ยงไรคือ..อำเภอและจังหวัด...”พันอินทร์หันมาถามด้วยสีหน้างงๆ
“..อือม์..เอาเป็นว่าหมู่บ้านที่ว่าอยู่ไกลมั้ย..”ชายหนุ่มอ่อนใจตัดบทถามระยะทางของหมู่บ้านโพธิ์ทอง
“..ก็ถ้าเดินด้วยเท้าไม่เกินเพลก็ถึง..”พันอินทร์ตอบพรางมองไปข้างหน้า เพราะเห็นชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ข้างหน้าส่งสัญญานมาให้ทราบว่ามีคนมา
“..ไปเร็วไอ้หนุ่ม อ้ายพม่ามันมาลาดแถวนี้..เราจะลอบฆ่ามัน..” พันอินทร์กระชากดาบออกจากฝักพร้อมกับสำทับให้ชายหนุ่มเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนวิ่งปราดไปนั่งซุ่มคันดินยกสูงพร้อมกันกับขบวนทั้งหมดก็กระจายกันซุ่มซ่อน
ชายฉกรรจ์ใส่กางเกงขาสามส่วนสีดำไม่สวมเสื้อโพกศรีษะด้วยผ้าขาวม้าหลากสี โผล่ออกมาจากชายป่าเบื้องหน้านับสิบคน..ทุกคนเดินกันตามสบายไม่ได้ระมัดระวังอะไรมากนัก
ชายหนุ่มมาถึงที่ซุ่มก็ถามอ้ายคนที่อยู่ข้าง ๆ
“..นี่เค้ากำลังถ่ายหนังอยู่ใช่มั้ย เกลอ..”
“..เอ็งพูดเยี่ยงไร ข้ามิแจ้งในความของเอ็ง..”อ้ายคนที่อยู่ข้างหน้าเครียดงงๆ
“..เอาเถอะ..ผมไม่ถามดีกว่า ว่าแต่ไอ้พวกที่เดินมานั่นใช่พม่าแน่นะ..”ชายหนุ่มมองไปยังพวกพม่าอย่างงงๆ เช่นกัน
“..เอ็งเคยปะพม่ามากี่ครั้ง ไอ้หนุ่ม..” อ้ายคนข้างตัวถามโดยไม่หันมามอง
“..เคยหลายครั้ง..ที่ย่างกุ้งก็เคยไป เคยไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่นั่น 2 ปี..แล้วที่กรุงเทพ ฯ เคยเห็นพวกนั้นทำงานก่อสร้าง..ขยันดีกว่าคนงานไทยมาก..”ชายหนุ่มบอกก่อนขยับตามกลุ่มเข้าไป
“..อ้ายทอง..อ้ายม้วน นำคนไป 5 คน อยู่ด้านปีกซ้าย อ้ายดำ เอ็งนำคนอีก 5 ไปปีกขวา ที่เหลืออยู่กับข้า..คอยฟังสัญญานจากข้า..” พันอินทร์สั่งการณ์วางกำลังตามยุทธวิธี ชายหนุ่มฟังแล้วก็ทึ่ง..ดูๆแล้วพวกนี้ไม่น่าเป็นโจรเลย แต่ทุกคนมีระเบียบวินัยจนน่าเชื่อว่าน่าจะเป็นทหารมากกว่า
“..นี่เรากำลังจะฆ่าคนใช่มั้ย..” ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัด ขนลุก ผ่านการรบมาหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศ..ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลยเหงื่อออกจนชุ่มมือจนรู้สึกได้ว่าด้ามดาบนั้นเปียกลื่น
“..อ้ายพวกพม่าพวกนี้มันเป็นหน่วยระวังหน้า..สอดแนม ถัดไปอีกเพียงชั่วเดินมีพวกมันอีก..น่าจะถึงร้อย เพราะวันนี้มันออกปล้นสะดมภ์ละแวกนี้..คราวนี้จะได้มาเยอะ..ม่ายงั้นมันคงไม่ส่งพวกระวังหน้าออกมาสอดแนมก่อนเยี่ยงนี้..ว่าแต่เอ็งเหอะที่ว่าเคยปะพวกพม่าที่ย่างกุ้งอะไรนั่น มันอยู่กันเยี่ยงไรรึ..” อ้ายคนเดิมถามชวนคุยโดยไม่หันมามอง
“..ก็เห็น อัธยาศัยดี..ไม่ดุร้ายอย่างเคยได้ยินมา..”
“..อ้ายพม่าพวกนี้โหดอำมหิตกว่าที่เอ็งเจอมากนัก เดี๋ยวเอ็งจะได้เห็น..”
กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถูกกำหนดให้เป็นพม่า เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะจนสามารถได้ด้วยตาเปล่า..ทุกคนสะพายดาบที่ไหล่ไม่ชักออกมาถือ..เรียกว่ากำลังสบายๆ นับได้ 8 คน ทั้งหมดกำลังจะเดินผ่านเนินดินที่พวกพันอินทร์ซุ่ม
“..พวกเราฆ่ามันอย่าให้เหลือ..”พันอินทร์ตระโกนเข้าโจมตีเสียงดังลั่น
กลุ่มของอ้ายม้วนกระโดดเข้าใส่พวกพม่าทันที ในขณะเดียวกัน..กลุ่มของอ้ายดำก็กระโจนออกจากที่ซุ่มเข้าโจมตีขนาบข้าง พวกพม่าอยู่ตรงกลางพากันตกตะลึง..กลุ่มของพันอินทร์บุกเข้าทางด้านหน้า
ทุกคนเข้าห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ชายหนุ่มมองอย่างงงงัน เพราะทุกคนฟาดฟันกันจริงๆ..ไม่ใช่การแสดงแน่พวกพม่าหลายคนถูกฟันล้มลงที่เหลือพยายามสู้พรางหนีพราง แต่เพียงชั่วประเดี๋ยวการต่อสู้ก็สิ้นสุด…พวกพม่านอนระเกะในลักษณะต่างๆกัน 8 คนมีแผลฉกรรจ์ทั้งสิ้น..
ชายหนุ่มเดินลงไปดูศพพวกพม่าก็ให้รู้สึกว่า.. นี่คือการฆ่าฟันที่ทารุณที่สุด อ้ายม้วนกับพวกอีก 2 คนแสดงสันดานดิบตัดหัวพวกพม่าทั้ง 8 นำมากองสุมเอาไว้กลางลานดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
“..นี่ยังน้อยไป..ไอ้หนุ่ม อ้ายพวกพม่าก็ทำเยี่ยงนี้เหมือนกัน มันต่างกับเราตรงที่..มันฆ่าไม่เลือก..ลูกเล็กเด็กแดงมันไม่เคยละเว้น..ล่าสุดที่วัดแถบเมืองวิเศษไชยชาญ..มันจับพระมาตัดมือทั้งวัด ..เพียงแต่สงสัยว่าพระแอบขนพระพุทธรูปทองคำไปซ่อนข้าเองก็รอดมาได้จวนเจียนเต็มที..”ชายคนเดิมบอกพรางโยนดาบของพม่าที่ยึดได้จากศพให้ชายหนุ่ม
“..บอกผมทีได้มั้ยว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ผมกำลังฝันไป..”ชายหนุ่มยังสยดสยองไม่หาย
“..ไอ้หนุ่ม ข้าว่าเอ็งต้องไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์บ้างแล้วนะ..เพราะข้าดูเอ็งจะโดนภูตไอ้พวกนั้นเข้าแล้ว..”
“..ไม่เป็นไร ผมสบายดีเพียงแต่ไม่เคยเห็นใครจะตัดหัวคนแล้วยิ้มๆได้อย่างนี้..” ชายหนุ่มบอก พยายามบังคับใจให้ปกติ
“..ยังหรอกนะไอ้หนุ่ม เดี๋ยวจะได้เห็นการฆ่าอ้ายพม่ายิ่งกว่านี่ เพราะพวกนี้แค่กองสอดแนมของมันเท่านั้น..”ชายคนนั้นบอก
“..อีกนานมั้ย กว่าที่พวกมันจะมาถึง..”
“..เพียงเคี้ยวหมากแหลกละ ไอ้หนุ่ม..”
“..แล้วนั่นพวกนั้นกำลังทำอะไรกัน..”
(โปรดติดตามตอนที่ ๒)
ผลงานอื่นๆ ของ ก้อง สุวรรณ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ก้อง สุวรรณ
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้
ความคิดเห็น