ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ REBORN︱ KHR ] Au revoir #All27

    ลำดับตอนที่ #4 : 03︱Orchid

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.31K
      498
      21 ธ.ค. 63

    Orchid

    ; cannot stop thinking about you

     

     

    ได้ยังไงกัน...

     

    มันเป็นไปได้ด้วยอย่างงั้นเหรอ?

     

    สายลมอ่อน ๆ ที่พัดมากระทบกับเจ้าของดวงตาสีเปลือกไม้อย่างแผ่วเบานั้นดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยให้ความคิดหมกมุ่นและฟุ้งซ่านในหัวนั้นลดลงไปได้บ้างเลยแม้แต่น้อย ร่างเล็กที่กำลังนั่งชันเข่าเอาหลังพิงกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลังนั้นขมวดคิ้วมุ่นเหมือนใช้ความคิดอย่างหนักพลางถอนหายใจออกมาเป็นช่วง ๆ 

     

    พระเจ้าคงจะยังเอ็นดูไม่ก็เวทนาเขาอยู่ เมื่อวานหากไม่ได้ยามาโมโตะหรือก็คืออดีตผู้พิทักษ์พิรุณนั้นเข้ามาห้ามทัพเอาไว้ก่อนเขาคงจะได้ความแตกตรงนั้นแน่ ๆ บางทีอาจจะไม่ถึงว่าความแตกแต่ก็คงไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ถ้าจะปล่อยให้เจ้าของดวงตาสีเขียวอ่อนนั้นต้อนถามเขาเพื่อไขข้อสงสัยของตนต่อไปแบบนั้น

     

    เขาไม่รู้หรอกนะว่าโกคุเทระไปเห็นหรือไปเจออะไรมาบ้าง

     

    แต่ที่แน่ ๆ โกคุเทระเห็นเหตุการณ์ในคืนวันนั้นด้วย เพราะเขาพูดถึงดอกจิกสีดำ

     

    ดอกจิกของสายหมอกคนนั้น

     

    และนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

     

    ดวงตาสีเปลือกไม้กลมโตเหม่อมองไปยังพื้นผ้าใบสีเหมือนกลีบดอกเดลฟินเนียมที่กว้างใหญ่เหมือนจะไร้จุดสิ้นสุด โอบกอดโลกใบกลมที่มีสิ่งมีชีวิตนับพันนับหมื่นอาศัยอยู่เอาไว้อย่างหวงแหน 


     

    ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยพยายามจะเป็นเหมือนดังพื้นนภานั้น แต่ผลสุดท้ายมันไม่สวยอย่างที่เขาวาดฝันเอาไว้ในตอนแรกนัก ในวงการอันดำมืดนี้การที่คิดว่าทุก ๆ จะทำดีกับเราเหมือนที่เราทำดีกับเขาไม่ต่างอะไรกับการเอาปลายกระบอกปืนเย็นจ่อที่ขมับของตัวเองอยู่...

     

    ตอนนั้นเขาก็คงจะเป็นหนึ่งในคนโง่ ๆ ที่กำลังเอาปืนจ่อกระบาลอยู่ก็ได้

     

    สึนะสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป รูปหน้าหวานยู่ลงอย่างอารมณ์ไม่ดี เขาไม่ใช่คนขี้หงุดหงิดเหมือนมนุษย์ป้าพวกนั้นที่มักจะพบเจอได้ทุกที่ แต่แค่ตอนนี้ความคิดในหัวมันตีกันจนวุ่นไปหมด ทั้งเรื่องที่ต้องคิดกับเรื่องไร้สาสระที่อยู่ ๆ ก็โผล่เข้ามาในสมองเขาโดยที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งนั้นมันทำให้เขาไม่มีสมาธิเอาเสียเลย

     

    “เจ้าดูเครียดนะสึนะโยชิ” 

     

    เสียงทุ่มเรียบจากด้านหลังช่วยดึงเจ้าของชื่อให้หลุดออกจากภวังค์ สึนะมองไปทางต้นเสียงก่อนจะเจอกับบุรุษแห่งนภาในชุดสูทลายทางอันเรียบง่ายที่กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านหนังสือเล่มหนาที่น่าจะเป็นนิยายรักคลาสสิคซักเรื่องอยู่บนพื้นหญ้าใกล้ ๆ กันกับเขา เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเพราะเขาก็จำได้ว่านั่งแช่อยู่ตรงนี้มาได้สักพักใหญ่ ๆ แล้ว

     

    แต่ทำเขาไม่เห็นจะรู้สึกเลยว่าจีอ็อตโต้นั่งอ่านหนังสืออยู่ข้าง  ๆ

     

    ไม่สิ ต้องสงสัยก่อนสินะว่าเจ้าคนหัวทองนี่มานั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหรกัน ?

     

    ดวงตาคมสีพื้นมหาสมุทรของเจ้าตัวกำลังกวาดไล่อ่านเนื้อหาของมันอย่างสนอดสนใจ แต่ในขณะเดียวกันก็คุยกับเขาไปด้วยโดยที่สายตาทั้งคู่ก็ยังไม่ได้ละออกไปจากตัวอักษรที่อยู่บนหน้ากระดาษ “มีปัญหาหรือเรื่องที่ไม่สบายใจอะไรรึเปล่า?”

                      

    สึนะอึกอักเล็กน้อย ริมฝีปากสีพีชเหมือนกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจเลือกที่จะไม่พูดมันออกไป “เปล่าครับ...ไม่มีอะไร”


     

    นี่มันเป็นปัญหาของเขาไม่เกี่ยวกับจีอ็อตโต้ ซึ่งในเมื่อปัญหามันเป็นของเขา เขาก็จะต้องหาทางแก้ไขมันเอง

     

    ร่างสูงปิดหนังสือนิยายเล่มหนาลงอย่างเบามือก่อนที่วางมันลงไว้แถว ๆ นั้น ดวงตาทั้งคู่หันมามองสึนะที่ตอนนี้กำลังทำเป็นไม่สนใจเขาอยู่ เศษดินกับปลายยอดหญ้าสีเขียวเข้มที่ไหวตามลมเบา ๆ ดูเหมือนจะน่าสนใจมากกว่าเขาอีกล่ะมั้ง เจ้าคนผมสีมะฮอกกานีถึงได้เอาแต่จ้องมันโดยไม่แม้แต่จะกระพริบตา

     

     ดู ๆ ไปแล้วก็เหมือนคุณครูกำลังจับผิดเด็กน้อยที่แอบทานขนมในห้องเรียนอยู่ แต่ก็น่าเสียดายที่เด็กน้อยคนนี้โกหกใครไม่เก่งเอาซะเลย จีอ็อตโต้ยิ้มเยาะกับท่าทีเลิกลั่กของชายผมสีเปลือกไม้ ท่าทีที่ดูไม่เหมือนกับคนที่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าอายุจะเหยียบเลขสี่เข้าไปแล้วนั้นทำเขาอดเอ็นดูอดีตนภาผืนนี้ไม่ได้  “เจ้าโกหกข้าอยู่สินะ”

     

    “มองตาข้า สึนะโยชิ” เหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าคำขอ เจ้าของกรอบหน้าชาวยุโรปกล่าวในขณะที่ก็ยังไม่ละสายตาไปจากร่างบาง สึนะบุ้ยปากเล็กน้อยอย่างที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ก่อนจะหั่นมาสบกับดวงตาขมทั้งคู่ของอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ “งั้นข้าจะถามใหม่นะ เกิดอะไรขึ้น?”

     

    ‘คุณ...คือรุ่นที่สิบคนนั้นใช่ไหมครับ?’

     

    เสียงเข้มของโกคุเทระแล่นปราดเข้ามาในความทรงจำ ความรู้สึกกดดันทำอะไรไม่ถูกที่ไม่ได้รู้สึกมานานเมื่อตอนนั้นเขายังจำมันได้ดี 

     

    สึนะถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงหน่าย ๆ เหมือนไม่ค่อยจะเต็มใจที่จะบอกซักเท่าไหร

     

    “เหมือนจะมีคนจำผมได้” คำพูดที่เปล่งออกมานั้นเบากว่าที่คิดเอาไว้ตอนแรก ขนาดเสียงน้ำที่ไหลมากระทบกับหินในลำธารใกล้ ๆ นี่ยังดังกว่าเสียงของตัวเขาเองเลยด้วยซ้ำ

     

    เอาจริง ๆแล้วตอนนี้สึนะพยายามจะไม่สร้างปัญหาให้จีอ็อตโต้อีก แค่เขายังสามารถมานั่งอยู่ตรงนี้ได้นั้นก็มากเกินกว่าที่เขาจะหาอะไรมาชดใช้คืนให้ร่างสูงนี่แล้ว แต่สุดท้ายพระเจ้าดันไม่ยอมให้เขาทำแบบที่ตั้งใจไว้เนี้ยน่ะสิ

     

    “ผมแค่ทักทายเขาตามมารยาทแต่อยู่ ๆ ก็เหมือนเขาจะจำผมได้ซะงั้น” สึนะเล่าต่อ อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะขำในลำคอเบา ๆ นั้นมันค่อนข้างจะสร้างความแปลกใจให้เจ้าของดวงตาสีเปลือกไม้พอสมควร “อ...เอ๋?”

     

    บุรุษแห่งนภาเลือนตัวเข้ามานั่งข้าง ๆ สึนะ มือหยาบของเจ้าตัวเลือนขึ้นมาวางแปะอยู่บนหัวทุย ๆ สีไม้โอ๊คและลูบไปมาอย่างเอ็นดู เจ้าของหัวที่กำลังถูกลูบอยู่นั้นอดมาได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจ 

     

    เขาสมควรจะโดนโกรธไม่ใช่รึไงกัน...?

     

    “ก็คิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะว่าเรื่องแบบนี้ ซักวันมันจะต้องเกิด” สีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่ได้รู้สึกตกใจเลยแม้แต่น้อย กลับกันบุรุษแห่งนภาเหมือนจะรู้อยู่ก่อนแล้วด้วยซ้ำ เจ้าของเรือนผมสีทองสว่างเลือนมือออกจากหัวฟู ๆ ของสึนะ ก่อนจะเลื่อนไปจับคางของตัวเองเหมือนกำลังเริ่มที่จะใช้ความคิด “เจ้าไม่ได้ไปแตะตัวหรือสัมผัสอะไรกับคน ๆ นั้นใช่ไหม คนที่จำเจ้าได้น่ะ ?” 

     

    “คิดว่าน่าจะไม่นะครับ...” การช่างสังเกตเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนเป็นบอสหรือหัวหน้าของทุกองค์กรณ์จำต้องมี ยิ่งเป็นองค์กรณ์ใหญ่ยิ่งจำเป็นอย่างมาก ถึงสึนะจะเคยเป็นบอสมาเฟียแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะใส่ใจหรือสังเกตว่าตัวเองนั้นเดินไปชนใครหรือมือไปแตะโดนตัวใครตลอดหรอกนะ

     

    “อืม...งั้นเรื่องแตะตัวถือว่าตัดทิ้งไป”

     

    “ตอนนี้จีอ็อตโต้คิดว่าอะไรที่ทำให้คน ๆ นั้นจำผมได้งั้นเหรอครับ?” คิ้วของชายหนุ่มผมทองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

     

    “จริง ๆ เราก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ที่เราคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ก็อาจเป็นเพราะความคุ้นเคย” เหมือนคำตอบที่ได้มาจะไม่ทำให้ร่างเล็กนั้นกระจางเรื่องข้อสงสัยไปได้มากนัก หรือบางทีอาจจะทำให้งงกว่าเดิมด้วยซ้ำ

     

    ความคุ้นเคย...อย่างงั้นเหรอ? 

     

    กลิ่นน้ำหอมราคาแพงของอีกฝ่ายเริ่มผสมปนเปกับกลิ่นความชื้นแบบเป็นธรรมชาติของดินกับหญ้าเมื่อร่างสูงนั้นเปลี่ยนท่าจากตอนแรกที่กึ่งนั่งกึ่งนอนกลายเป็นนอนราบลงไปกับพื้น อัญมณีสีพื้นมหาสมุทรยามเมื่อต้องแสงอาทิตย์เหมอมองไปยังปลายยอดไม้ที่กำลังขยับไหวไปตามลมที่ถูกพัดโบกมา

     

    “มันเกิดอะไรซ้ำ ๆ แบบที่เคยเกิดกับที่โลกที่แล้วรึเปล่า? อ่า...เราจะอธิบายยังไงดี” กรอบใบหน้าแบบคนยุโรปดูยุ่งหยิกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพยายามจะหาสรรหาคำดี ๆ มาเพื่ออธิบาย สึนะคิดทวนไปเมื่อเวลาตอนเย็นของวันธรรมดา ๆ วันนั้น เหมือนซีดีแผ่นเดิมที่ถูกนำกลับเข้าไปเล่นซ้ำอีกรอบในเครื่อง เขาไม่รู้ว่า ‘ซ้ำๆ’ แบบที่บุรุษแห่งนภาใช้นั้นมันต้องซ้ำยังไงหรือซ้ำบ่อยขนาดไหน

     

    ‘เรียกยามาโมโตะว่าเจ้าบ้าเบสบอลต่อหน้าเรา? นั้นก็ไม่น่าใช่’ 

     

    “อะไรที่มันเคยเกิดขึ้นบ่อย ๆ กับเจ้าและคน ๆ นั้น” จีอ็อตโต้กล่าวเสริม

     

    เจ้าของอัญมณีกลมโตสีเปลือกไม้ใคร่ครวญคิดอยู่ซักพัก ไม่กี่ชั่วอึดใจหลังจากที่นั่งพลาญเวลากับการสมองตันอยู่นาน เหมือนปลายจุกไม้ขีดไฟสีแดงที่เกิดประกายไฟติดขึ้นมาในที่สุด หลังจากที่ผ่านการขูดกับสีข้างกล่องหลายรอบจนเป็นรอยแดงอิฐไม่น่ามอง

     

    ตอนนี้สึนะพอจะนึกอะไรออกแล้ว 

     

    “โค้ง...” ชายผมทองเลิกคิ้วขึ้นเมื่อจู่ ๆ สึนะก็หลุดพูดคำซึ้งดูยังไง ๆ ก็ไม่มีใจความสำคัญพอให้เข้าใจ

     

    มันคือสิ่งที่โกคุเทระทำให้มันเกิดขึ้น ‘ซ้ำ ๆ’ ช่างน่าเจ็บใจที่ตอนแรกเขาก็มองข้ามจุดนี้ไปซะได้

     

    “เขาจะโค้งให้ผมตอนเจอกันตลอด”

     

    โกคุเทระโค้งให้เขาบ่อยมากไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี เห็นตั้งแต่เจอกันวันแรกที่โรงเรียนนามิโมริจนถึงตอนที่ได้ไปทำงานเป็นบอสอย่างเต็มตัวที่กรุงโรม โดยเจ้าตัวมักจะให้เหตุผลว่าเป็นการแสดงความเคารพต่อวองโกเล่รุ่นที่สิบด้วยวิธีที่สากลโลกเขาทำกัน เขาเองก็เคยพยายามจะบอกให้เลิกทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่านั้นคงจะเป็นเพียงคำสั่งเดียวที่ผู้พิทักษ์วายุคนนี้ไม่สามารถที่จะทำได้

     

    คิด ๆ ไปแล้วก็ตลกดี นี่เขาดูน่าเคารพขนาดนั้นเลยรึไงกันนะ ?

     

    ถ้าเขาจำไม่ผิดเมื่อเย็นวันนั้นโกคุเทระก็โค้งให้เขาเช่นกัน ถึงจะไม่ได้ในฐานะของวองโกเล่รุ่นที่สิบก็เถอะ จากนั้นต่อมาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วอึดใจ เจ้าของผมสีดอกเลาก็เริ่มมีท่าทีแปลก ๆ ทันที ถึงจะยังฟันธงไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่านั้นคือเหตุแต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่าน่าจะใช่

     

    แต่แบบนี้มันก็หมายความว่าทุก ๆ คนที่เขาสนิทด้วยก็มีโอกาสที่จะจำเขาได้แบบโกคุเทระไม่ใช่รึไง ?

     

    สงสัยการอยู่อย่างสงบ ๆ และเรียบง่ายแบบที่เขาเคยวาดฝันเอาไว้ในตอนแรกคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ไหนจะโกคุเทระที่พอจะรู้อะไรบ้างแล้ว นี่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเอาเรื่องที่เห็นนั้นไปบอกรีบอร์นหรือไม่ก็พวกผู้พิทักษ์คนอื่น ๆ แล้วรึยัง เพราะถ้าเป็นงั้นเขาคงจะต้องถูกเพ่งเล็งเป็นเพิเศษแน่ ๆ 

     

    ‘แต่คงจะไม่หรอกมั้ง...ถ้าเป็นโกคุเทระคุงอาจจะไม่ทำ เว้นซะแต่เจ้ารีบอร์นจะจับผิดสังเกตและเค้นคำตอบเอาเอง’

     

    ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงต้องระวังตัวให้มากกขึ้นว่าเดิมแล้วสินะ...

                      

    .

    .

    .

     

    “สึนะโยชิคุงเพิ่งไปเมื่อกี้นี้เองน่าเสียดายเนอะ อดแนะนำรีบอร์นคุงให้รู้จักเลย”

     

     ริมฝีปากอมชุมพูดูสุขภาพดีของหญิงสาววัยกลางคนผมบ๊อบยู่ลงเล็กน้อยด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีนัก ไม่ใช่ในเชิงหงุดหงิด แต่ออกไปทางเสียดายซะมากกว่า เธอบ่นพึมพำเบา ๆ ไปพร้อม ๆ กับมือของเธอที่ก็ยังคงบรรจงเช็ดเคาน์เตอร์ครัวที่เปื้อนคราบสกปรกจากการประกอบอาหารตลอดทั้งวันที่ผ่านมา “อ่อใช่ โยคุงตอนนี้ทำงานกลุ่มอยู่กับเพื่อน ๆ ข้างบนห้องนะจ๊ะ”

     

    “อ่าครับ” รีบอร์นกล่าวตอบรับในขณะที่กำลังลงมือถอดรองเท้าหนังของตนเพื่อที่จะเดินเข้ามาในบ้านหลังจากที่เพิ่งจะกลับมาจากข้างนอก

     

    นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายที่เขามาไม่ทันส่งแขกคนสำคัญ

     

    ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องอยากจะถามตั้งเยอะแยะ

     

    จอนม้วนทั้งสองข้างดีดขึ้นลงเล็กน้อยตามจังหวะการก้าวเดินของร่างสูงที่กำลังมุ่งตรงเข้าไปในห้องครัวก่อนจะทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ ขาข้างหนึ่งตวัดขึ้นมานั่งอยู่ในท่าไขว่ห้าง ดวงตาคู่คมเหลือบไปเห็นแก้วชาดินเผาทำลายตั้งไว้อยู่บนโต๊ะ เขายกมันขึ้นมาดูอย่างสนอดสนใจภายใต้ดวงตาสีน้ำตาลของคุณนายซาวาดะที่จ้องมานั้นประกายความสงสัยออกมาอย่างไม่คิดจะปิดบัง

     

    อยู่ ๆ ก็รู้สึกสนใจถ้วยชาขึ้นมาซะอย่างงั้น

     

    “อยากดื่มชาเหรอจ๊ะ?” นานะกล่าวถามพลางเลิกคิ้วขึ้น

     

    “อ...อ่อ เปล่าครับแค่เห็นแก้วมันสวยดี”

     

     คงเดาได้ไม่ยากเลยว่าแก้วชานี่ต้องเป็นของแขกคนนั้นที่เหมือนจะไม่ได้มีตัวตนอยู่ในห้องหรือบ้านหลังนี้แล้ว

     

    ครึ่งวันหลังของวันนี้นั้นหมดไปกับการจัดการธุระนิดหน่อย แต่ดูเหมือนธุระนิดหน่อยที่ว่านั้นจะกินเวลาเยอะกว่าที่กะเอาไว้ในตอนแรก เพราะตอนเขากลับมาถึงบ้านจากตามที่หม่าม้าบอกเหมือนเขาเพิ่งจะคลาดกับแขกคนนั้นไปเอง ถ้วยชาที่ยังคงอุ่นอยู่จากอุณหภูมิของชาที่ถูกใส่ไว้ตอนแรกนั้นเป็นการยืนยันอีกทีว่าเจ้าของชาถ้วยนี้ก็น่าจะเพิ่งดื่มมันหมดได้ไม่นาน

     

    น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ

     

    “อ้าว! แย่แล้ว” นานะกับผ้าเช็ดโต๊ะสีม่วงครึ้มที่ถูกพับเป็นสี่เหลี่ยมกับในมืออีกข้างที่ถือน้ำยาขจัดความมันอยู่นั้นอุทานขึ้นมา นัยน์ตาของเธอเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยในขณะที่จดจ้องไปยังอะไรบางอย่างที่ถูกวางทิ้งเอาไว้บนเคาน์เตอร์ในจุดที่ยากต่อการสังเกตเห็น รีบอร์นตวัดดวงตาคมมองไปที่ต้นเสียงตามสัญชาตญาณ “จะทำไงดีล่ะเนี้ย...”

     

    อะไรล่ะนั้น?

     

    นานะวางของอุปกรณ์ทำความสะอาดในมือทั้งสองข้างลง “กระเป๋าตังค์ของสึคุงเขาน่ะจ่ะ คงจะลืมเอาไว้” เธอกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล ก่อนจะเดินมาทางเขาและยื่นกระเป๋าตังค์ที่ทำจากหนังมาให้  รีบอร์นขยับปีกหมวกฟีโดร่าของตนให้เงยขึ้นพอที่จะให้ได้เห็นสิ่งของตรงหน้าที่ตอนนี้เหมือนว่าจะถูกยัดใส่มือเขามาแล้วโดยคุณนายซาวาดะตั้งแต่เมื่อไหรก็ไม่รู้

     

    “แล้ว...จะให้ผมทำยังไงกันมัน?” -----เอามายัดใส่มือเขาขนาดนี้ก็ไม่ได้หวังคำตอบอื่นหรอกนะ 

     

    ‘รสนิยมเห่ยชะมัด’ ความคิดนี้วิ่งแล่นอยู่ทั่วสมองของชายผมสีปีกกาในขณะที่สายตาไล่ดูรายละเอียดของกระเป๋าหนังเก่า ๆ ที่มีรอยขวนจากอะไรซักอย่างอยู่ทั่วพื้นผิวของตัวกระเป๋า ตัวด้ายที่เย็บกระเป๋าเองนั้นก็เริ่มขาดบ้างแล้วตามมุมที่ใช้พับกระเป๋าให้ประกบเข้าหากัน พอเปิดเข้าไปดูก็ยิ่งทำให้เขาเลิกคิ้วสูงขึ้นไปอีก บัตรเครดิตไม่กี่ใบ อีกทั้งบางใบ อันที่จริงต้องบอกว่าหลายใบนั้นหมดอายุไปแล้วด้วย เงินสดที่สอดอยู่นั้นนับ ๆ ดูแล้วเหมือนจะน้อยยิ่งกว่าค่าขนมของเด็กประธมเสียอีก

     

    หรือบางทีอาจจะเป็นคนไม่ชอบพกเงินสดก็ได้มั้ง

     

    “ช่วยเอาไปคืนสึคุงให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?” เสียงนานะที่ดังลอดเข้ามานั้น พร้อมกับใบหน้าอ้อนวอนขอร้องแบบที่ว่าทำเอาเขาปฏิเสธไม่ลง 

     

    ต้องให้ย้ำอีกกี่ครั้งกันล่ะเนี้ยว่าเขาเป็นนักฆ่านะ!

     

    .

    .

    .

     

    ฝนตก...

     

    มันไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะนี่ก็เป็นช่วงของฤดูฝน ประกอบกับพายุที่ซัดเข้ามาในช่วงสัปดาห์นี้แบบพอดิบพอดี 

     

    รีบอร์นเกลียดฝน

     

    หยดน้ำเย็นที่เรียกว่าฝนไหล่ลงมาตามเส้นผมสีดำขลับของร่างสูงจนลู่ลงไปกับกรอบไปหน้าคมคายเหลือไว้เพียงแต่จอนม้วนที่ยังคงอยู่ในทรงเดิมไม่เคยเปลี่ยน ความรู้สึกชื้นเปียกทั้งตัวนั้นชวนให้รู้สึกอึดอัดเพราะความหนักของเสื้อที่มากขึ้นและหงุดหงิดเป็นพิเศษ แต่ถึงอย่างงั้นนั้นก็ยังไม่นับว่าเป็นปัญหาใหญ่นักสำหรับการที่จะขัดขวางเขาไม่ให้เอาไอ้กระเป๋าตังค์สุดเชยนี้ไปคืนเจ้าของของมัน

     

    แต่ก็ต้องขอบอกเอาไว้ก่อนเลยว่าถ้าเขาไม่อยากเจอแขกคนนี้เป็นการส่วนตัวก็คงไม่ถ่อเอาตัวเองมาเปียกฝนให้เสื้อสูทราคาเหยียบหลักหมื่นของเขาต้องเปียกแบบนี้หรอกนะ

     

    จากที่หม่าม้าบอกมาเจ้าของกระเป๋าใบนี้อาศัยอยู่ที่คอนโดขนาดกลางแห่งหนึ่งใกล้กับย่านศูนย์การค้าในนามิโมริเพียงคนเดียว จากระยะทางที่เขาเดินออกมาจากบ้านซาวาดะนั้นถือว่าไม่ไกลมากแต่กว่าจะมาถึงก็เอาจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว อีกทั้งเธอยังเคยเล่าให้ฟังอยู่อีกว่าครั้งหนึ่งว่าที่เขาคนนั้นมาซื้อคอนโดทิ้งเอาไว้เพื่อปล่อยเช่าแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนมาใช้เองเวลามาเยี่ยมหลานที่ญี่ปุ่นคงจะดีกว่า

     

    ดวงตาคมสีคมสีปีกกาที่ซ่อนอยู่ใต้เงาของปีกหมวกมองตรงไปยังเลขห้องที่ถูกแปะเอาไว้อย่างเด่นหราอยู่ตรงประตูไม้สีเข้มนั้นว่าตรงกับเลขที่พนักงานต้อนรับบอกมารึเปล่า สายตากวาดไปทั่วประตูอย่างสำรวจเพื่อที่จะเช็คดูก่อนว่าจะมีอะไรที่มันผิดสังเกตหรือไม่ แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจคนที่ยังไม่เคยเจอหน้ากันหรอกนะ แค่โดยทั่วไปแล้วพวกคนที่มาจากอิตาลีอีกทั้งยังมาในช่วงนี้อีก...

     

    ส่วนมากมักจะไม่น่าไว้ใจ...

     

    ทั้งแฟมมิลี่และทหารรับจ้างมากมายที่กำลังหมายหัวว่าที่วองโกเล่รุ่นที่สิบอยู่ การส่งนักฆ่าเข้ามาหาในช่วงที่เจ้าตัวนั้นกำลังไร้ทางสู้และไม่เข้าใจอะไรซักอย่าเลยนั้นถือเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม วองโกเล่ก็จะได้ไม่มีบอสคนต่อไป ปัญหามากมายจะค่อย ๆ ตามกันมาเป็นหางว่าว แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ ๆ หากขาดผู้สืบถอดตำแหน่งไปนั้นแฟมมิลี่ใหญ่ ๆ อย่างวองโกเล่และพันธมิตรนั้นจะต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นโอกาสทองที่ชาตินี้คงจะหาไม่ได้อีกแล้วสำหรับพวกมดปลวกที่จะได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นพรหมแดง

     

    แต่เขาจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้น

     

    เพราะชะนั้นการรอบคอบไว้ก่อนถือเป็นการฉลาด

     

    นิ้วเรียวเลือนขึ้นไปกดออดประจำของห้อง ในใจเริ่มหวั่นเล็ก ๆ เมื่อไม่มีเสียงตอบรับหรือขานกลับมา อาจะเป็นไปได้ว่าตอนนี้คงจะไม่มีใครอยู่ ก่อนที่ไม่กี่ชั่วอึดใจต่อมาเสียงกุกกัก ๆ ในห้องนั้นช่วยทำให้เขาใจชื้นขึ้นหน่อย เว้นเสียแต่ว่าอีกฝ่ายนั้นคงไม่ได้เลี้ยงสัตว์อะไรไว้ล่ะนะ

     

     เสียงเท้ากระทบกับพื้นห้องเป็นจังหวะการก้าวเดินนั้นดังตามขึ้นมาติด ๆ ก่อนที่จะมาหยุดลงใกล้กับประตู หากให้เดาคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูตอนนี้คงกำลังไปส่องตาแมวดูเขาอยู่ไม่ก็จัดเสื้อให้เรียบร้อยอยู่แน่ ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งหรือก็ทั้งสองอย่างเลย 

     

    ประตูยังคงปิดสนิทอยู่

     

    ชายในชุดสูทยืนเอามือล้วงกระเป่ารอด้วยท่าทีที่นิ่งสงบ หมวกฟีโดร่าของตนนั้นยังคงถูกสวมไว้อยู่ตามความเคยชิน ถึงภายนอกที่เห็นนั้นจะยังคงปกติดีทุกอย่าง แต่ตอนนี้ภายในอกของร่างสูงกำลังค่อย ๆ ร้อนขึ้นมาตามอารมณ์หงุดหงิดกับฟางที่กำลังถูกเด็ดขาดออกไปทีล่ะเส้น ๆ ตามเวลาที่หมดไปกับการมายืนรอคนชักช้าแบบนี้

     

    นี้มันออกจะนานไปหน่อยไหม...?

     

    ถ้ายังไม่ออกมาเขาก็จะวางกระเป๋าเอาไว้ตรงนี้แล้วไปจริง ๆ ล่ะนะ

     

    “อ่า...ขอโทษที่ให้รอนะครับ” เสียงหวานแหบเหมือนคนเพิ่งตื่นที่ดังออกมาพร้อมๆ กับบานประตูที่เขานั้นยืนจ้องมันมาแล้วเกือบ ๆ จะสิบนาทีที่ตอนนี้ในที่สุดมันก็เปิดขึ้น ผมชี้โดเด่ดูยุ่ง ๆ สีน้ำตาลที่โผล่มาให้เห็นเป็นอย่างแรกก่อนที่จะมีใบหน้าหวานที่แง้ม ๆ ออกมาดูอย่างหวาดระแวง ปกคอเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยับยู่ยี่ไม่เรียบร้อยนั้นทำให้เขารู้สึกขัดหูขัดตาเล็กน้อย “ถ้าจะมาส่งของผมเกรงว่าคุณน่าจะมาผิดห้องนะครับเพราะผมไม่ได้สั่งของเอาไว้”

     

    เหมือน...ไม่สิต้องเรียกว่าคล้ายกับเจ้าโยชิคนแทบแยกไม่ออก

     

    อีกทั้งยรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนว่าจะเคยกันเจอครั้งหนึ่งที่อิตาลี...

     

    หรือแค่คนหน้าเหมือน?

     

    ดวงตากลมโตสีเปลือกเม็ดอัลมอนด์ที่มองตรงมาสบกับดวงตาคู่คมของนักฆ่าหนุ่ม เป้าหมายในการที่จะมาเจออีกฝ่ายนั้นก็พลันหายไปชั่วขณะ เหมือนจู่ ๆ รีบอร์นก็ถูกดึงลงไปในห้วงภวังค์อะไรซักอย่าง สรรพนามที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลใช้คุยกับเขานั้นดูสุภาพและห่างเหินเกิดไปจนน่าใจหาย

     

    อันที่จริงที่อีกฝ่ายสุภาพกับเขานั้นมันก็ถูกต้องแล้ว ก็ในเมื่อพวกเขาก็เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ที่เขาไม่เข้าใจคงเป็นความรู้สึกแปลก ๆ ที่วิ่งวุ่นอยู่ทั่วทั้งในอกและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดนี่ต่างหาก เขาไม่ชอบมันเอาเสียเลย

     

    คิดถึงเป็นบ้า

     

    คิดถึงทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน...

     

    “ฉันไม่ได้มาส่งของ” รีบอร์นรวบรวมสติที่กำลังล่องลอยอออกไปกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดโต้ตอบชายหนุ่มตรงหน้าไป พยายามกดความรู้สึกแปลก ๆ นั้นเอาไว้ไม่ให้ผิดสังเกต “นี่หม่าม้าไม่ได้เล่าเรื่องของฉันให้นายฟังอย่างงั้นรึยังไงกัน?”

     

    เหมือนชายที่อยู่ในห้องนั้นจะเลิกคิ้วขึ้นมาอย่างงงงวย ริมฝีปากสีพีชนั้นเบ้ลงเหมือนกำลังไม่พอใจกับอะไรซักอย่างอยู่ “หม่าม้า? คุณกำลังหมายถึงนานะอยู่รึเปล่า?” เจ้าของจ้อนม้วนอันเป็นเอกลักษณ์พยักหน้าเป็นคำตอบไปเล็กน้อย

     

    “ส่วนที่ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่...” มือข้างหนึ่งเลือนลงไปหยิบกระเป๋าตังค์อันเป็นเหตุให้เขาต้องมาเหยียบที่นี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกงและยื่นคืนให้กับชายเจ้าของห้องตามที่คุณนายซาวาดะฝากฝังมา “นี่คงจะเป็นของนายสินะหม่าม้----คือ...ฉันหมายถึงนานะบอกว่านายลืมเอาไว้ที่บ้าน” 

     

    นัยน์ตาของร่างเล็กเบิกกว้างขึ้นก่อนจะรับกระเป๋าตังค์เชย ๆ ใบนั้นมา อีกฝ่ายเปิดเช็คดูเงินใกระเป๋าอย่างร้อนรนก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าเงินในกระเป๋าและบัตรเครดิตทั้งหมดที่มีอยู่อย่างน้อยนิดนั้นยังอยู่ครบดีไม่ขาดไม่เกิน ริมฝีปากอวบอิ่มที่ตอนแรกเบ้ลงอย่างไม่พอใจนั้นหลังจากที่ได้ของของตัวเองคืนก็พลันระบายยิ้มหวานออกมาทันที

     

    ยิ่งมองเขายิ่งรู้สึกคุ้นเคย

     

    เหมือนครั้งหนึ่งเขาเคยรู้จักคน ๆ นี้ กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว

     

    “แหะ ๆ ขอบคุณมากเลยนะครับคุณ...?” เจ้าตัวส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีพลางเก้าท้ายทอยแก้เขินไปที่ในตอนแรกดันคิดว่าเจ้าคนสวมหมวกฟีโดร่านี้เป็นคนส่งของไปซะได้

     

    “รีบอร์น” การแนะนำตัวที่เรียบนิ่งชวนให้รู้สึกไม่เป็นมิตร หมวกฟีโดร่าถูกขยับให้เข้าที่เล็กน้อย ชื่อที่คนทุกคนในวงการได้ยินนั้นจะต้องรู้สึกหนาวแปลก ๆ กันเกือบทุกราย แต่ดูท่าคนตรงหน้าตอนนี้ยังคงยิ้มแป้นอยู่ได้ก็สบายใจไปได้เปราะหนึ่งว่าน่าจะไม่ใช่พวกนักฆ่าที่ถูกจ้างมา ถึงจะเป็นญาติของตัวว่าที่รุ่นที่สิบเองก็ไว้ใจไม่ได้หรอกนะ “ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับคุณรีบอร์น” อีกฝ่ายฉีกยิ้มรับด้วยความเป็นมิตร ดวงตาทั้งคู่ที่ดูเหมือนผ่านโลกมาเยอะนั้นชวนให้รีบอร์นอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคลือบแคลงใจเล็ก ๆ “ผมซาวาดะ สึนะโยชิ”

     

    ซาวาดะ สึนะโยชิ

     

    สึนะโยชิ

     

    สึนะ

     

    ‘ไอ้ห่วยสึนะ’ 

     

    “อึก!” ขายาว ๆ ของนักฆ่าหนุ่มก้าวถอยหลังไปเรื่อยเพราะเสียศูนย์ ในหัวมึนตึบราวกับว่ามีคนเอาของแข็งหนัก ๆ มาตีเข้าอย่างจัง เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเหมือนเป็นภาพในกรอบรูปที่มีฝุ่นเกาะจนมองเห็นได้อย่างไม่ค่อยชัดเจนนัก ตอนนี้เขาไม่แน่ใจเท่าไหรว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าอย่างไรอยู่ 

     

    เสียงเล็กแหลมเหมือนเสียงเด็กซักขวบสองขวบกำลังหัดพูดที่ดังขึ้นในหัวเขา พูดอะไรซักอย่างหลังจากที่สึนะนำตัวจบ

     

    บางสิ่งที่อยู่ลึก ๆ ในใจของเขาร้องเตือนบอกว่ามันไม่ใช่แค่ฝันกลางวันที่เกิดขึ้นในขณะที่เขาตื่นอยู่แน่ ๆ 

     

    “ป...เป็นอะไรรึเปล่าครับ!?” สึนะรีบทิ้งกระเป๋าตังค์ของตนและเข้ามาพยุงร่างสูงที่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ไหวเอามาก ๆ มือแกร่งข้างหนึ่งของรีบอร์นยันกำแพงแถวนั้นเอาไว้พยายามที่จะยื้อตัวเองไว้ในท่ายืนพร้อม ๆ กับมืออีกข้างที่บอกปัดไล่ให้ตัวสึนะไม่ต้องเข้ามาใกล้ตน อาการปวดหัวเองนั้นดูจะรุนแรงขึ้นทุกทีอย่างไร้สาเหตุ

     

    “ไม่ต้องเข้ามาใกล้!” รีบอร์นตวาดลั่น สึนะแอบชะงักไปเล็กน้อย ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้เขาอาการปวดหัวยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ไม่รู้ว่าเจ้านี่เล่นตลกอะไรกับเขาอยู่หรือเปล่าบางทีสึนะอาจจะแอบป้ายยาอะไรใส่เขาตอนเพลอ แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ดูไม่มีเหตุผลที่จะทำอยู่ดี ตอนนี้ร่างเล็กหัวฟู ๆ นั้นกำลังร้อนรนทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่จู่ ๆ ก็ดันเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


     

    “ไม่สบายตรงไหนรึเปล่าครับ ต้องการให้ผมไปเอาอะไรมาให้ไหม?” ถึงกระนั้นก็นังไม่ละความพยายาม

     

    “ม...ไม่เป็นไร” รีบอร์นเอ่ยเสียงแผ่ว ขาทั้งสองข้างสั่นเทาไปหมด ตอนนี้เสียงแปลก ๆ ในหัวนั้นเงียบไปแล้ว อาการทุกอย่างโดยรวมค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับเมื่อเขาออกห่างจากเจ้าของดวงตากลมโตสีเปลือกไม้นั้น สึนะเหมือนจะไม่ได้ยืนอยู่แถวนี้แล้วคงจะเพิ่งวิ่งเข้าไปคุ้ยหาอะไรในห้องมาให้เขาเพื่อหวังจะบรรเทาอาการที่ผิดปกตินี้ 

     

    ต้องรีบไป

     

    ไปให้ไกลจากคนคนนี้...

     

    มันไม่ใช่เรื่องปลอดภัยเลยที่จะอยู่ตรงนี้ต่อ ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้เข้าไปหยิบน้ำ ไม่ก็ยาแก้ปวดหัวหรืออะไรเทือก ๆ นั้น ก็คงเข้าไปหยิบอาวุธมาเพื่อที่จะปลิดชีพเขาตรงนี้แน่ ๆ แล้วยิ่งตัวเขาในตอนนี้ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันแบบนั้นเขาก็คงตอบโต้กลับไม่ได้ คงจะกลายเป็นศพไร้ญาติอยู่ที่ญี่ปุ่นและไม่มีใครหาเจอ อ่า บางทีโยชิอาจจะเจอแต่ก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่ดี

     

    เสียงหายใจหอบแหกอย่างเหนื่อยอ่อน รีบอร์นรีบมุดตัวเข้าไปในตู้ลิฟต์อย่างรีบร้อน นิ้วเรียวจิ้มปุ่มกดปิดประตู หัวใจเต้นแรงเหมือนเพิ่งเสร็จจากการออกกำลังกายมา ร่างสูงถอดหมวกฟีโดร่าใบสวยออกเพื่อเช็ดเหงื่อที่ปรากฎออกมาตามไรผมสีถ่าน ความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวที่ตามมาติด ๆ เมื่อเหงื่อนั้นไปเจอกับความชื้นที่มาจากน้ำฝน

     

    มือข้างที่มีแรงหยั่นราวเหล็กอะลูมิเนียมเย็นในลิฟต์เอาไว้เพื่อประครองตัว สภาพทุกอย่างเริ่มกลับมาเป็นปกติแล้วเมื่อได้ออกมาห่าง ๆ อีกฝ่ายที่ไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังวิ่งลงมาทางบันไดหนีไปเพื่อมาดักรอเขาด้านล่าง หรือวิ่งวุ่นหาเขาทั่วชั้นกันแน่

     

    จะว่าไปทำไมเขาเหมือนจะรู้ไปหมดเลยแหะว่าอีกฝ่ายกำลังคิดที่จะทำอะไร หรือน่าจะกำลังทำอะไรอยู่...

     

    แล้วไหนจะ ‘ไอ้ห่วยสึนะ’ นั้นอีก 


     

    มันคืออะไรกันแน่....

     

    “อันตรายจริง ๆ” เสียงถอนหายใจหนัก ๆ ดังออกมาจากร่างสูง ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ จัดเสื้อสูทและทุกอย่างให้เรียบร้อยและเป็นปกติที่สุดเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกขึ้นอีกครั้ง ปรากฏเป็นล็อบบี้ชุกชุมไปด้วยคนที่สะท้อนในดวงตาคู่คมใต้เงาหมวกที่ ขายาวก้าวออกไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ

     

    เรื่องที่กะว่าจะมาคุยสงสัยคงต้องเก็บเอาไว้คุยกันคราวหน้าซะแล้วสินะ..

     

    .

    .

    .                  

     

    ยากเป็นบ้าเลย

     

    การทำตัวให้ปกติและดูห่างเหินสุด ๆ เนี้ย

     

    แต่ก็เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบตอนโกคุเทระคุงก็ต้องทำ

     

    แล้วยิ่งถ้ารีบอร์นเกิดจำได้ขึ้นมาเรื่องคงจะไม่หยุดอยู่แค่ต่างคนต่างแยกย้ายแน่ ๆ 

     

    สึนะกับแก้วน้ำในมือกำลังรี่หันสายหันขวาเมื่อไม่พบคนที่สมควรจะอยู่ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับประตูลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกลจากห้องของตนนั้นกำลังปิดลงอย่างช้า ๆ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลทอดมองแสงที่หลุดลอดประตู ออกมาจากช่องว่างปรากฏเงาบาง ๆ ของคนที่เจ้าตัวรู้จักดีที่สุดกำลังยืนอยู่ในนั้น

     

    ไปซะแล้วสิ...

     

    จะว่าไปอาการเมื่อกี้มันคืออะไรกันนะ อยู่ ๆ ก็ทรุดลงไปแบบนั้น รีบอร์นในโลกนี้ป่วยรึยังไงกัน

     

    หรือนี่ก็เป็นอีกหนึ่งผลกระทบจากคำสาปอัลโกบาเลโน่เพื่อแลกกับการไม่เป็นเด็กทารกรึเปล่า ?

     

    ไม่ก็...เจ้าครูสอนพิเศษบ้านั้นไปเห็นอะไรที่ไม่น่าจะเห็นมาด้วยอีกคน? แต่ตอนนั้นที่โกคุเทระจำได้ก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการปวดหัวหรืออะไรเทือก ๆ นั้นเลยนี่นา

     

    ความคิดและความเป็นไปได้พุดขึ้นในหัวของร่างเล็กเรื่อย ๆ และดูไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เรื่องเก่ายังไม่ทันจะได้เคลียร์เรื่องใหม่ก็ดันมีมาให้ได้ยุ่งวุ่นวายต่ออีก สึนะแทบอย่างจะเอามือกายหน้าผากแล้วหลับไปนาน ๆ ไม่ก็กลับไปนอนตากลมนิ่ง ๆ อยู่กับจีอ็อตโต้แก้ปวดหัว

     

    ยุ่งยากจริง ๆ ------- ร่างเล็กเสยผมนุ่มฟูสีน้ำตาอ่อนที่เลือนลงมาปรกหน้านั้นอย่างนึกรำคาญใจ ใบหน้าหวานตีหน้ายุ่ง คิ้วโกงสวยขมวดลงเมื่อในหัวมีเรื่องที่ถูกโยนมาให้คิดต่ออีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นอัญมณีกลมโตก็ยังคงประกายความกังวลออกมาอย่างปิดไม่มิด

     

    เจ้านั้น...จะเป็นอะไรรึเปล่านะ

     

    ในเมื่อไม่มีใครอยู่ แก้วน้ำกับของเหลสีใสจึงไม่มีคนดื่ม ร่างผอมบางพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมา มองน้ำในแก้วด้วยความชั่งใจอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจกระดกน้ำทั้งแก้วหมดไปภายในอึกเดียวและเดินกลับเข้าห้องไปอย่างปลงตก

     

    จากเท่าที่ดูรีบอร์นตอนนี้ยังไม่สงสัยเขา แสดงว่าโกคุเทระคงจะยังไม่ได้บอกเรื่องเมื่อตอนเย็น

     

    สึนะวางแก้วเปล่าทิ้งเอาไว้ในซิงค์ล้างจานเมื่อเดินเข้ามาในห้องและล็อกประตูเรียบร้อย ร่างเล็กผอมบางของเจ้าตัวค่อย ๆ เดินเข้าไปปล่อยเนื้อปล่อยตัวอยู่บนเตียงนุ่มก่อนจะตวัดแขนรวบเอาหมอนข้างที่อยุ่แถวนั้นมากอดเอาไว้อย่างแนบชิด ริมฝีปากที่ดูชุ่มชื้นขึ้นมาเล็กน้อยจากการดื่มน้ำถูกขบกัดเบา ๆ เหมือนพยายามจะสะกดกั้นอารมณ์ที่กำลังตีตื้นขึ้นมาจากอกดหมือนคลื่นใต้น้ำ

     

    เปลือกตาบางเลื่อนลงมาปิดอัญมณีสีมะฮอกกานีทั้งสองข้าง ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนกำลังพึมพัมอะไรบางอย่างกับตัวเองอยู่

     

    “อยากกอดเจ้าบ้านั้นชะมัดเลย...”

     

    อ่า อยากทำตั้งแต่ส่องตาแมวแล้วเห็นมันยืนเก๊กอยู่ที่หน้าประตูแล้วล่ะ...

     

    tbc.

     

     

     

                                                                                          

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×