ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ REBORN︱ KHR ] Au revoir #All27

    ลำดับตอนที่ #2 : 01︱Rosemary

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.54K
      470
      26 พ.ย. 63

    ROSEMARY

    ; love and remembrance

     

     

     

    นี่มันบ้า

     

    บ้าที่สุด

     

    เจ้าของหมวกฟีโดร่าใบสวยเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจและดูเหมือนกิ่งกาคาเมล่อนสีเขียวนั้นก็คงรับรู้ถึงอารมณ์ที่ไม่เป็นมิตรนั้นด้วยเช่นกันจึงได้ขดตัวอยู่บนปีกหมวกนิ่ง ๆ พยายามไม่สร้างความรำคาญให้กับเจ้าของของมันไปมากกว่านี้

     ขายาวใต้กางเกงสแล็คกเดินจ้ำอ้าวออกมาจากตึกแห่งหนึ่ง ดวงตาสีปีกกาท่อประกายอารมณ์หงุดหงิด คงเป็นไปได้ว่าหากใครไปยั่วโมโหชายคนนี้ในตอนนี้คงหนีไม่พ้นลูกตะกัวเงินที่พร้อมจะปลิดชีวิตใครก็ได้อย่างไม่คิดลังเลในทุกเมื่ออย่างแน่นอน

     

    “ ครูสอนพิเศษงั้นเหรอ บ้าบอสินดี... “ ร่างโปร่งพึมพำขึ้นมาเบา ๆ กับตัวเองก่อนจะเค้นขำเบา ๆ ในลำคออย่างนึกสมเพศตัวเอง

     

    นี่เขาเป็นนักฆ่านะ

     

    .

    .

    .

    ไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้…

     

    ถึงสวนหลังคฤหาสน์วองโกเล่ที่ฟลอเรนซ์นั้นจะไม่ใหญ่หรืออลังการเท่ากับที่ตัวปราสาทซึ่งเป็นฐานทัพหลักของวองโกเล่ที่กรุงโรมก็ตาม แต่ถ้าพูดถึงเรื่องบรรยกาศแล้วล่ะก็คงจะปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าที่นี้นั้นดีกว่าเป็นหลายเท่าตัว

     

    ซึ่งบอสวองโกเล่คนปัจจุบันก็คงคิดเช่นนั้นเหมือนกันถึงได้นัดเขามาที่นี้แทนที่สาขาหลัก

     

    ชายต่างช่วงวัยสองคนกำลังนั่งสนทนากันใต้ร่มไม้ที่สวนหลังคฤหาสน์ ถึงช่วงนี้จะเป็นฤดูที่ค่อนข้างหนาว แต่ดูท่าคงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับสองคนนี้ซักเท่าไหรนัก

     

    “จำอิเอมิสึได้ไหม ?” เจ้าของจอนม้วนอันเป็นเอกลักษณ์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเหมือนกำลังจะถามกลับมาว่าคนที่กำลังพูดถึงอยู่ที่ว่านั้นเป็นใคร ชายชราที่นั่งอยู่อีกฝากหนึ่งของโต๊ะไม้ขากลมราคาหลายหลักถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ ซาวาดะ อิเอมิสึผู้ดูแลนอกแก๊งน่ะ จำได้รึยัง ?”

     

    พอพูดถึงผู้ดูแลนอกแก๊ง ร่างสูงที่เกือบครึ่งใบหน้าของเขานั้นถูกบดบังด้วยเงาหมวกฟีโดร่าดูเหมือนจะเข้าใจอะไรมาบ้างแก้วกาแฟสีขาวสะอาดถูกแกว่งไปมาเบา ๆ เพื่อให้รสสัมผัสที่เข้มข้นนั้นกระจายไปได้อย่างทั่วถึง “ครับ เคยร่วมงานด้วยกันอยู่ครั้งหนึ่ง”

     

    เหมือนชายชราได้ยินดังนั้นก็ดูเหมือนจะใจชื้นขึ้นมานิดหน่อย “แสดงว่าเคยรู้จักกันมาก่อนสินะ งั้นดีเลย” เพียงไม่กี่วินาทีรีบอร์นขมวดคิ้วคมทั้งคู่ลงเล็กน้อย ก่อนที่จะดึงกลับมาเป็นปกติ

     

    ถึงจะบอกไปว่าเคยร่วมงานด้วยกันก็ตาม ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าพวกเขาจำเป็นว่าจะต้องสนิทกันซักหน่อย 

     

    ตอนนั้นมันเป็นแค่งานง่าย ๆ แค่ไปดักจับพวกลักลอบขนอาวุธผิดกฏหมายในเขตวองโกเล่เท่านั้น ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขาแทบไม่ได้คุยกันด้วยซ้ำ คงเพราะต่างคนก็มีพวกเห็บไรที่ต้องจัดการอีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่อัธยาศัยดีขนาดนั้นอยู่แล้วที่ไปเจอใครก็จะต้องเอามาเป็นเพื่อนให้ได้หรอกนะ


     

    แต่ช่วงสองสามปีมานี้ข่าวของอิเอมิสึก็ดูเหมือนจะหายเงียบไปจากวงการ คงเพราะด้วยตำแหน่งที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้มักจะมีประเด็นให้พูดถึงเสมอ แต่จู่ ๆ ก็กลับเงียบไป มันจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าแปลก

     

    เขาลือกันให้ทั่วว่าผู้ดูแลนอกแก๊งของวองโกเล่อาจจะวางมือและออกจากวงการหรือถ้าอย่างเลวร้ายก็คงตายไปแล้ว

     

    “เจ้านั้นมีลูกแล้วนะ” น้ำเสียงยินดีกับเนื้อความในประโยคทำม่านตาดำของนักฆ่าหนุ่มเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปเป็นปกติในไม่กี่ชั่วอึดใจ “เจ้านั้นเพิ่งโทรมาบอกฉันเมื่อประมาณสัปดาห์ที่แล้ว”

     

    รู้สึกตกใจนิดหน่อยที่ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคาดเอาไว้ 

     

    “เห็นบอกเป็นเด็กผู้ชาย หน้าตาน่ารักเหมือนแม่เขาเลยล่ะ”

     

    ชายชราคนนั้นพูดเล่าเรื่องไปด้วยร้อยยิ้มอารมณ์ดีมีเสียงหัวเราะปนมาขณะเล่าเรื่องด้วยบางครั้ง เหมือนคนแก่ที่มีชีวิตที่มีความสุขตอนวัยเกษียณ เขานั่งเงียบมือข้างหนึ่งยังจับหูแก้วเซรามิกสีขาวและโคลงไปโคลงมาเหมือนเดิม ใบหน้าเรียบนิ่งแต่คงดูได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวนั้นเองก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมานิด ๆ แล้ว

                      

     

    “แล้วรุ่นที่เก้าบอกผมทำไมครับ ?” คำถามที่ส่งไปแบบตรงไปตรงมานั้น ทำให้คนที่เจ้าของอารมณ์เบื่อหนายเมื่อกี้เรียกว่า ‘รุ่นที่9’ หยุดเสียงหัวเราะก่อนหน้านี้และหันมาสบตากับเจ้าของคำถาม ในขณะที่ริมฝีปากบางเฉียบของร่างโปร่งจรดขอบแก้วรับสัมผัสรสกาแฟในแก้วนั้นเพียงจิบหนึ่งก่อนที่จะวางมันลงบนโต๊ะอย่างเดิม

     

    กาแฟแก้วนี้คงจะไม่ถูกใจเขาสักเท่าไหร

     

    “ก็เด็กคนนั้นนั่นแหละคือเหตุผลที่ฉันเรียกนายมาวันนี้” เมื่อหัวข้อที่พูดถึงเริ่มที่จะเป็นเรื่องสำคัญ บรรยกาศรอบ ๆ ตัวทั้งสองคนเริ่มเปลี่ยนไป อารมณ์ผ่อนคลายและเสียงหัวเราะเหมือนจะค่อย ๆ ระเหยขึ้นไปกับลมที่หอบเอากลิ่นแดดติดมาด้วย “เคยคิดอยากเป็นอาจารย์ไหมรีบอร์น?”

     

    “เด็กคนนั้นที่ฉันพูดถึง ลูกของอิเอมิสึน่ะ มีเชื้อสายของวองโกเล่พรีโม่”

     

    เขามีสิทธิที่จะได้ขึ้นเป็นวองโกเล่รุ่นที่สิบ

     

    "มันคงไม่มากไปใช่ไหม ถ้าฉันจะขอให้นายช่วยไปสั่งสอนเด็กคนนั้นเพื่อให้พร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในอนาคต?”

     

     คำถามที่ช่างดูเหมือนเป็นคำสั่งมากกว่าทำเอารีบอร์นแถบอยากจะเค้นหัวเราะออกมาดัง ๆ คำตอบที่ส่งไปคงมีเพียงดวงตาคมที่แฝงด้วยจิตวิญญาณนักล่าทั้งคู่ที่ซึ่งกำลังมองตรงไปยังนายเหนือหัวของตน

     

    ไม่ 

     

    “คุณอาจจะลืมว่าผมเป็นนักฆ่านะครับรุ่นที่เก้า” 

     

     เขาฆ่าคน

     

    มือทั้งสองข้างนี้ปลิดชีวิตคนไปนับมากมาย โดยไม่เกียงว่าคน ๆ นั้นจะเป็นชั่วหรือดี ขอแค่นายจ้างส่งรูปเป้าหมายพร้อมเงินก้อนมาตามจำนวนที่ตกลงไว้มาจนถึงมือเขา แน่นอน...

     

    ว่าเขาเองก็พร้อมจะเริ่มงานให้ทันที

     

    แล้วจะให้เขาเอามือโชกเลือดทั้งสองข้างนี้ไปสั่งสอนใครได้อย่างงั้นเหรอ ?

     

    โน่โนยกถ้วยชาอุ่นขึ้นมาจิบ ในขณะที่ดวงตาที่เริ่มพร่าเรือนตามอายุทั้งคู่นั้นจ้องตรงไปที่ร่างของนักฆ่าหนุ่มที่ตอนนี้ดูเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองก่อนที่ชายชรานั้นจะระบายยิ้มบาง ๆ ออกมาเหมือนได้รับรู้อะไรบางอย่างเขา

     

    เขาว่ากันว่าวองโกเล่โนโน่นั้นมีดวงตาที่สามารถมองทะลุจิตใจคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

     

     รีบอร์นไม่เคยเชื่อมาก่อน ...

     

    “เคยหมั่กไวน์ไหม?” ดวงตาสีดำถ่านกระตุกวูบเบา ๆ กับคำถามที่จู่ ๆ ก็ถามเขามาโดยไม่มีสาเหตุและดูที่จะไกลออกจากประเด็นไปเยอะพอสมควร ร่างสูงส่ายหน้าเบา ๆ เป็นคำตอบ รุ่นที่เก้าเองก็ดูไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร

     

    “ฉันก็ไม่เคยหรอกนะ แต่แค่คิดว่าการที่ได้เปิดขวดไวน์ที่เราได้หมั่กมันเองกับมือคงภูมิใจไม่น้อยเลยล่ะ”

     

    “รสชาติของมันก็คงจะดีไม่น้อยเลยด้วย จริงไหม ? ” รีบอร์นได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มออกมา ดวงตาใต้เงาหมวกนั้นเริ่มประกายความสนุกอะไรบางอย่างหลังจากที่อีกฝ่ายพูดจบ เมื่อเขาเริ่มเข้าใจนัยยะจริง ๆ ที่รุ่นที่เก้าต้องการจะสื่อแล้ว

     

    “จะรสดีหรือห่วยบรมก็ต้องดูที่องุ่นด้วย”

     

    “ว่ามันดีพอสำหรับคุณภาพที่ต้องการรึเปล่า” รุ่นที่เก้าหัวเราะในลำคอเบา ๆ พลางจิบชาที่เหลืออยู่เพียงแค่ก้นแก้วนั้นจนหมด ก่อนที่จะกล่าวต่อ

     

    ซาวาดะ โยชิคาวะ น่ะ เป็นองุ่นคุณภาพเกรดดีในแบบที่นายคาดไม่ถึงเชียวล่ะรีบอร์น”

     

    แต่ตอนนี้ก็เริ่มเชื่อขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะนะ...

     

    .

    .

    .

     

    ถึงจะตอบตกลงไปแล้วก็เถอะ...

     

    แต่ก็อดลังเลไม่ได้อยู่ดี

     

    รีบอร์นถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหนาย อารมณ์หงุดหงิดตอนแรกตอนนี้ก็เริ่มเย็นลงมาบ้างแล้วหลังจากที่ได้แวะซื้อกาแฟร้านประจำที่รสชาติถูกปากมา

     

    แต่มันดันเปลี่ยนจากหงุดหงิดมาเป็นเหนื่อยใจแทนมากกว่าซะเนี้ยสิ

     

    ถึงเขาจะต้องไปหาเจ้าว่าที่วองโกเล่รุ่นที่สิบนั้นก็อีกตั้งหลายปีก็เถอะ…

     

    ตอนนี้เป็นช่วงของเทศกาลดนตรีที่ฟลอเรนซ์ เสียงเครื่องดีด สี หรืออะไรเทือก ๆ นั้นทั้งหลายจึงจะอยู่ในโสนประสาทตลอดทุกที่ที่ก้าวไปจนกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าจะมุมไหนของเมือง ก็จะเจอกลุ่มคนที่ออกมาแสดงความสามารถด้านดนตรีของตนในที่สาธารณะกันทั้งนั้น

     

    ถึงเขาจะไม่ใช่คนโรแมนติกหรือมีจิตศิลป์ขนาดนั้น แต่ก็ใช่ว่าเขาจำไม่เคยหรือไม่ชอบฟังเพลงนะ

     

    ร่างสูงในชุดสูทสีดำสนิทยืนจิบกาแฟฟังกลุ่มวงดนตรีขนาดกลางกลุ่มหนึ่งกำลังบรรเลงดนตรีสดอยู่

     

    ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นตรงนี้ จริง ๆ ตั้งแต่เดินมาก็เจอตั้งหลายวงที่มีเครื่องดนตรีครบและเล่นเพราะมากกว่านี้ 

     

    คงเพราะบทเพลงที่กำลังบรรเลงอยู่มันชวนให้นึกถึงใครบางคนรึเปล่านะ...

     

    ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่เคยได้ยินเพลงนี้มาก่อนด้วยซ้ำไป

     

    เจ้าตัวหลับตาพริ้ม ยืนรับอารมณ์ที่ถูกส่งมาในรูปของบทเพลงที่ลื่นไหลราวกับตัวโน้ตเหล่านั้นสามารถที่จะเอาตัวเองออกมาจากบรรทัดห้าเส้นเพื่อออกมาเต้นระบำได้

     

    “คุณก็ชอบฟังเพลงของวิวัลดีเหมือนกันเหรอครับ ?” รีบอร์นลืมตาขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เข้ามาในระยะใกล้ตัวเขามากเกินไป บวกกับเสียงหวานเล็กที่กล่าวเป็นภาษาอิตาลีติดสำเนียงคนเอเชียนิดหน่อยอย่างอารมณ์ดี

     

    กำลังคุยกับเขาอยู่ ?

     

    สิ่งแรกที่สะท้อนภาพเข้ามาในดวงตาคมใต้เงาหมวกนั้นเมื่อเปลือกตาบางเปิดขึ้น เป็นกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน ๆ ชี้โดเดไม่เป็นทรง ชวนให้คิดว่าเจ้าของหัวคนนี้รู้จักสิ่งที่เรียกว่าหวีหรือเจลเซ็ตผมบ้างรึเปล่า 

     

    ผิวที่ออกจะไปทางโทนเหลือง ๆ นั้นทำให้พอเดาได้ว่าคนแปลกหน้าคนนี้คงจะไม่ใช่คนในแถบนี้และน่าจะมาจากโซนแถบเอเชีย ถ้าให้ฟังจากสำเนียงแล้วคงเป็นประเทศแถว ๆ เอเชียตะวันออก

     

    ความสงสัยเคลือบแคลงในใจเริ่มก่อตัวขึ้นมาเมื่อเจ้าของต้นเสียงเมื่อกี้ช้อนสายตาขึ้นมาสบกันกับเขา ก่อนที่ริมฝีปากอมชมพูจะฉีกยิ้มเป็นมิตร

     

    อัญมณีสีน้ำตาลมะฮอกกานีทั้งคู่นั้นชวนให้รู้สึกคุ้นเคย เสมือนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่รั้งเขาไว้ไม่ให้ละสายตาไปจากมัน

     

    เหมือนเคยเจอกับคน ๆ นี้ที่ไหนซักที่ แต่กลับจำไม่ได้

     

    หรือว่าจะเป็นพวกสมาชิคระดับสูงของซักแฟมมิลี่หนึ่งที่จงรักภัคดีต่อบอสตัวเองที่ถูกเขาฆ่าไป ?

     

    แล้วนี่คือจะตามมาล้างแค้นรึเปล่านะ

     

    ดวงตาคมสีปีกกาไล่ดูทุกสัดส่วนของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นในไม่กี่เสี่ยววินาที ก่อนที่จะได้ข้อสรุป

     

    รูปร่างทางกายภาพแล้วดูยังไง ๆ นี่ก็เป็นคงเป็นพวกลูกน้องปลายแถวเห็น ๆ 

     

    ก็ตัวเล็ก ดูไร้กล้ามเนื้อ อ่อนปวกปียกแบบนี้ วิ่งหลบกระสุนเขาทันได้ยังไง 

     

    แล้วนี่ต้องเป็นแฟมมิลี่แบบไหนกันนะ ถึงรับคนแบบนี้เข้าสังกัดกัน ?

     

    “เฮ้คุณ ?” มือเล็กปัดไปปัดมาเหมือนพยายามจะเรียกร้องความสนใจทำให้รีบอร์นหลุดออกจากภวังค์ เจ้าตัวกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะระบายยิ้มโล่งใจออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าของจอนม้วนนั้นดูมีท่าทีตอบโต้กับเขาแล้ว “เหม่ออะไรของคุณน่ะ ?”

     

    “อ่า โทษที” 

     

    "ผมถามว่าคุณก็ชอบฟังเพลงของวิวัลดีเหมือนกันเหรอ ?”

     

     “เปล่า ” รีบอร์นกล่าว โทนน้ำเสียงเรียบที่ใช้นั้นทำเจ้าของดวงตากลมโตนั้นหน้าเสียไปเล็กน้อยส่งเสียงรับรู้ในลำคอมาเบา ๆ ก่อนจะเปลี่ยนมายิ้มร่าเหมือนเดิมในไม่กี่ชั่วอึดใจและหันกลับไปสนใจดนตรีต่อ

     

    รีบอร์นเองก็ไม่ได้สานบทสนทนาอะไรกับเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลนิรนามคนนี้ต่อ

     

    เขาทอดสายตามองไปที่กลุ่มนักดนตรีที่ตอนนี้กำลังเปิดเปลี่ยนแผ่นกระดาษเพื่อเตรียมบรรเลงบทเพลงต่อไปอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะนึกอะไรได้บางอย่างขึ้นได้

     

    “แล้วคุณกับผมเราเคยรู้จักกันมาก่อนรึเปล่า ?”  อยู่ ๆ ก็เข้ามาทัก เป็นไปได้สูงว่าบางทีพวกเขาสองคนอาจจะรู้จักกันมาก่อน

     

    เพราะความรู้สึกในอกนี่ก็บอกเขาอย่างงั้นเหมือนกัน

     

    เจ้าของเรือนผมสีเปลือกไม้นิรนามสะดุ้งเล็กน้อยกับคำถามก่อนจะกลับไปเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เจ้าตัวไม่ได้หันมาตอบรีบอร์นตรง  ๆ แต่กลับระบายยิ้มอ่อนออกมาและสายหัวช้า ๆ “คงไม่มั้งครับ”

     

    เจ้าตัวยังคงทอดสายตามองไปยังที่อื่นที่ไม่ใช่รีบอร์นอยู่เหมือนว่ากำลังพยายามจะแอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเห็น

     

    เห็นอะไรบางอย่างที่ประกายออกมาจากอัญมณีสีเดียวกับเส้นผมนั้นแล้วก็รอยยิ้มนั้นด้วย

     

    ทำถึงดูเป็นยิ้มเศร้า ๆ  แบบนั้นกันล่ะ

     

    จากประสบการ์ณนับหลายสิบปี มันจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะอ่านใจคน แล้วยิ่งเป็นสามัญชนพลเมืองธรรมดาแล้วยิ่งง่าย

     

    แต่ดูท่าสามัญชนคนนี้จะดูพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อย

     

    ความรู้สึกหลากหลายที่ท่อประกายออกมาจากดวงตาคู่นั้นเขาไม่สามารถอ่านมันได้ทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าจะอ่านไม่ได้เลย

     

    คำขอบคุณมากมายถูกส่งมาให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่ช่างดูคุ้นเคย ยามเมื่อหนุ่มแปลกหน้าผมยุ่งคนนั้นมองมาทำรีบอร์นสะอึกไปเล็กน้อย 

     

    บทเพลงใหม่เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง คันชักของเชลโล่ส่งเสียงทุ่มต่ำ หากแต่กังวาน  ประสาทกับเสียงของไวโอลินที่เข้ากันอย่างลงตัวจนหาที่ติไม่ได้

     

    เหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่ของอะไรบางอย่างนับตั้งแต่เวลานี้

     

    ซึ่งนั้นเป็นจังหวะเดียวกันที่เจ้าของดวงตาสีเปลือกไม้ละสายตาของกลุ่มนักดนตรีมาสบดับดวงตาคมใต้เงาหมวกนั้น ริมฝีปากสีพีชขยับยิ้มและเอื้อนเอ่ยคำพูดอะไรบางอย่างทีเบาบางราวกับเสียงกระซิบ

     

    ที่มันกลับช่างชัดเจนเสมือนเจ้าตัวมาพูดกระซิบที่ข้างหูเขายังไงอย่างงั้น

     

    ชัดเจนพอ ๆ กับกลิ่นหอมเหมือนกระดาษเก่า ๆ และชาจีนยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูกถึงแม้ว่าเจ้าของเรื่อนผมสีน้ำตาลคนนั้นจะไม่ได้เข้ามาใกล้ชิดกันกับเขาขนาดที่กลิ่นจะติดได้

                      

    หรืออาจเป็นเพราะมันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคย

     

    ร่างโปร่งนั้นเหมือนโดนแช่แข็งอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหัวเบา ๆ เพื่อเรียกสติตนกลับมา มือข้างหนึ่งพยายามจะคว้าร่างเล็กเอาไว้ แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า 

     

    หายไปแล้ว...

     

    “นาย---อ่า...เร็วจริง”

     

    ก่อนที่จะได้ตอบอะไรไป ร่างบางตรงหน้าที่ยืนคุยกันอยู่เมื่อกี้กลับหายไปเหมือนไม่เคยมีใครยืนอยู่ตรงนี้มาก่อนรีบอร์นหันซ้ายหันขวา พยายามกวาดสายตาหาหนุ่มนิรนามคนนั้นแต่ดูเหมือนโชคจะไม่ช่วยเขาเท่าไหรเมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามามุงดูกลุ่มนักดนตรีกลุ่มนี้กันอย่างกับนัดไว้แบบพอดิบพอดี

     

    ความว่างเปล่าคงเป็นคำตอบเดียวที่เขาได้กลับมา

     

    รีบอร์นขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะจ้ำอ้าวเดินออกมาจากพื้นที่นั้น ในหัวมีคำพูดที่หลุดออกจากปากร่างเล็กคนนั้นวนไปวนมา 

     

    ถึงรู้ว่าคิดไปคงไม่ได้แก้ข้อสงสัยอะไรของเขาเลยก็เถอะ แต่ก็หยุดคิดไม่ได้อยู่ดี

     

    เจ้านั้นจริง ๆ แล้วเป็นใครกันแน่

     

    ทำไมถึงรู้ชื่อเขาได้...

     

    ‘ฝากดูแลเขาให้เหมือนที่ดูแลฉันด้วยนะรีบอร์น’

     

    อ่าแล้วก็ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างเลย’

     

    แล้วเขาที่ว่า...

     

    คือใคร ?

     

                      .

                      .

                      .

                      

    “คุณเจ้าของร้านวันนี้ดูอารมณ์ดีจังเลยนะคะ” ลูกค้าสาววัยรุ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั้วขำ สึนะเองที่กำลังฮัมเพลงไปพร้อม ๆ กับตรวจเช็คความเรียบร้อยของหนังสือที่ถูกจองไว้นั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างชอบใจ

     

    “พอดีวันนี้มีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะครับ” รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าหวานอีกครั้งเมื่อนึกไปถึงเรื่องดี ๆ ที่ว่า

     

    ไม่นึกว่าโลกมันจะกลมได้ขนาดนี้

     

    เขาเพิ่งไปเจอโยชิที่นามิโมริมาเมื่อมะรืนเองแล้วไหงพอกลับมาอยู่อิตาลีได้ไม่กี่วันก็เจอเจ้ารีบอร์นอีกล่ะเนี้ย ?

     

    “ยังไงก็รบกวนคุณลูกค้าช่วยตรวจเช็คหนังสืออีกรอบด้วยนะครับ ถ้าเล่มไหนปกเสียหรือยับบอกได้นะครับผมจะได้เอาไปเปลี่ยนให้ใหม่” กองหนังสือขนาดย่อมๆ ถูกเลื่อนไปให้ลูกค้าสาวที่ยืนยิ้มอยู่อีกฝั่งของเคาท์เตอร์เพื่อให้เธอได้เช็คดูสินค้าอีกรอบ

     

    จะว่าไป...

     

    สึนะคิดย้อนกลับไป ตอนเจอกับเจ้าของจอนม้วนที่เป็นเอกลักษณ์นั้นที่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่แปลกไปจากที่เขารับรู้มาก่อน

     

    เจ้านั้นไม่ได้เป็นเด็กทารก อีกทั้งจุกนมธาตุอรุณของเจ้ารีบอร์นนั้นเขาก็ยังไม่เห็นมันเลย

     

    จะบอกว่าถูกปลดคำสาปแล้วก็คงจะเร็วไปหน่อย เพราะท่านผู้เฒ่าทัลโวเองก็น่าจะยังคิดไอเดียเรื่องการย้ายธาตุไฟไม่ได้

     

    ชักเริ่มสงสัยขึ้นมานิด ๆ แล้วสิ...

     

    หรือว่าคำสาปในโลกนี้จะไม่ได้เปลี่ยนพวกอัลโกบาเลโน่ให้กลายเป็นเด็กทารกอย่างงั้นหรอกเหรอ?

     

    แล้วถ้าเป็นงั้น...คำสาปคืออะไรล่ะ ?

     

    tbc.

     

    เทศกาลศิลปะและดนตรีฟลอเรนซ์

    จัดขึ้นทุกเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนของทุกปี เมืองที่สวยงามด้วยผลงานศิลปะอย่างฟลอเรนซ์จะถูกขับกล่อมไปด้วยเสียงดนตรีที่มีความไพเราะเเละเข้ากับบรรยากาศของเมืองเป็นอย่างยิ่งในเทศกาลนี้ โดยในงานจะมีนักดนตรีผู้มากความสามารถมาจากหลายประเทศทั่วโลกมาร่วมงานเทศกาลเเห่งนี้

    อันโตนีโอ ลูซิโอ วีวัลดี (Antonio Lucio Vivaldi)

    เป็นเป็นนักแต่งเพลงและนักเล่นดับเบิ้ลเบสชื่อดังในสมัยบาโรก นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์และพระอีกด้วยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักแต่งเพลงในยุคบาโรกที่ดีที่สุด ผลงานของเขาได้รับการบันทึกไว้อย่างแพร่หลาย และเป็นต้นแบบให้คีตกวีรุ่นหลังนิยมทำตาม ทั้งในสมัยคลาสสิกและโรแมนติก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×