คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ADVANTURE 2 : ผจญภัยในซากโบราณ
ADVANTURE 2 : ผจญภัยในซากโบราณ
ต๊อก! ต๊อก! ต๊อก!
เสียงฝีเท้าเดินอยู่ในความมืดที่เงียบสงัด ขณะที่ทั้งสามคนเดินลงบันไดที่มืดและแคบ ลูน่าพูดขึ้นเพื่อกลบความวังเวงว่า
“นี่ ทำไมโจคุงถึงเปิดประตูมิติแปลกๆ นั่นเข้ามาในนี้ได้ล่ะ”
โจนาธานตรองดูครู่หนึ่งก่อนตอบปัดๆ ไปว่า
“ไม่รู้สิ ตอนเด็กๆ วิ่งเล่นมาถึงแถวนี้ก็โผล่ผลุบเข้ามาในนี้ แต่แปลกนะ พอฉันออกไปพาเพื่อนๆ มาก็ไม่มีใครเข้ามาได้สักคน”
คำตอบนั้นทำให้ลูน่าและมาร์ลเลอร์ประหลาดใจในความผิดปกติ ถ้าเป็นไปตามตำนาน แม้จะมีใครหลงเข้ามาก็จะไม่สามารถกลับออกไปได้ ก็คงเป็นเพราะดูภายนอกจะมีมิติที่เชื่อมต่อเข้ามา แต่พอเข้ามาภายในก็กลายเป็นกำแพง จึงไม่สามารถย้อนออกไปได้ คนที่หลงเข้ามาจึงต้องติดอยู่ในนี้จนตาย
แต่สำหรับโจนาธาน เด็กหนุ่มคนนี้ เขาบอกว่าเขาสามารถเข้าออกที่นี่ได้เป็นว่าเล่นอย่างนั้นเหรอ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่ แล้วทำไมพวกเขาถึงเข้ามาได้ล่ะ
“อ๊ะ...นั่นไง เห็นแสงสว่างแล้ว ทางออกอยู่ตรงนั้น”
โจนาธานโพล่งขึ้นมาขณะที่ชี้ไปข้างหน้าที่เห็นแสงสว่างลางๆ แม้ไม่มากนักแต่ก็มากกว่าทางเดินแคบๆ ทึบๆ อับๆ เช่นนี้ จากนั้นจึงวิ่งตรงไปทันที ลูน่าและมาร์ลเลอร์จึงวิ่งตามไป
เมื่อทั้งสามคนเดินออกมาตนพ้นทางเดินมืดๆ โจนาธานก็เล่าขึ้นมาราวกับสนุกสนาน
“ที่นี่น่ะ ฉันมาวิ่งเล่นบ่อยๆ ล่ะ”
“ที่ที่น่ากลัวอย่างนี้เนี่ยนะ”
ลูน่าถามขึ้นอย่างแขยง เพราะตอนนี้พวกเขายืนอยู่ในห้องเล็กๆ โทรมๆ ห้องหนึ่ง ที่มีเพดานสูงขึ้นไปกว่า
..
..
..
ในช่องทางเดินมืดๆ แคบๆ ทึบๆ อับๆ จอมโจรเรดกันโผล่ผลุบผ่านกำแพงเข้ามาจากประตูมิติแบบเดียวกับสามคนก่อนหน้า
“โอ๊ย! อะไรเนี่ย มืดไปหมดเลย”
เรดกันหันกลับไปพบเพียงกำแพงทึบ ยื่นมือไปสัมผัสก็ไม่เกิดอะไรขึ้น ประตูมิติถูกปิดลงเสียแล้ว
“ถอยกลับไม่ได้แล้วสินะ ฮึ...คนเดียวงั้นเรอะ ไม่กลัวหรอก”
..
..
..
..
ขณะที่ลูน่าและมาร์ลเลอร์ยืนตะลึงอยู่ โจนาธานก็กล่าวอธิบายขึ้นมาด้วยความเชี่ยวชาญ
“ไม่น่ากลัวหรอกน่า ในปราสาทแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลยสักอย่าง ในโลงก็มีแค่ซากโคลงกระดูกเท่านั้นเอง ฉันน่ะสำรวจทุกซอกทุกมุมหมดแล้ว”
ขณะนั้นลูน่าและมาร์ลเลอร์ได้ฟังก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่วางใจ พวกเขาเริ่มเดินเพ่นพ่านเพื่อสำรวจโดยรอบบ้าง
“ถึงจะดูวังเวง แต่ก็ปลอดภัยแน่นอ...”
โจนาธานพูดขึ้นและหยุดชะงักไป เงี่ยหูฟังเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
“มีอะไรงั้นเหรอ”
ลูน่าถามขึ้นเมื่อเห็นท่าทางที่แปลกไป โจนาธานทำท่าจุ๊ปากแล้วกล่าว
“ชู่วว เงียบๆ หน่อย”
ลูน่าเงียบลงตามที่โจนาธานบอก มาร์ลเลอร์เงียบอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว โจนาธานพยายามเงี่ยหูฟังอย่างเต็มที่แล้วขมวดคิ้ว
ทันใดนั้นก็หันตัวกลับ 180 องศาอย่างรวดเร็วและชี้นิ้วไปที่โลงศพใบหนึ่ง พร้อมตะโกนลั่น
“ตรงนั้น!!”
พอสิ้นเสียง ฝาโลงก็กระเด็นขึ้น ปรากฏร่างหนังหุ้มกระดูกที่ไร้วิญญาณ ดูเก้งก้าง และเน่าเปื่อย น่าขยะแขยง ค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาจากโลงช้าๆ
“อะไรกันเนี่ย”
ลูน่าอุทานขึ้นอย่าตกใจ ทั้งลูน่าและมาร์ลเลอร์มองตามที่โจนาธานชี้ไปอย่างงุนงง เพราะไม่รู้ว่านี่คืออะไรกันแน่ มันเกิดอะไรขึ้น ได้แต่จ้องมองร่างผุๆ สยองๆ นั้นอย่างประหลาดใจ
โจนาธานหันจ้องมองไปที่พื้นดินจุดที่มาร์ลเลอร์ยืนอยู่และขมวดคิ้ว ก่อนจะตะโกนออกมา
“มาร์จัง กระโดดถอยหลังมาทางซ้าย!”
มาร์ลเลอร์ทำตามทันทีที่ได้ยินตามสัญชาติญาณ ทันใดนั้นก็มีซากศพอีกจำนวนหนึ่งโผล่ออกมาจากผืนดินอย่างรวดเร็วหวังจะตะครุบเหงื่อด้านบน แต่พลาดไปเพราะมาร์ลเลอร์กระโดดหลบไปได้เสียก่อนอย่างหวุดหวิด
โจนาธานหันไปมองที่ลูน่าบ้าง
“ลูน่า! กระโดด!”
ลูน่าทำตามทันทีโดยไม่คิดอะไร เพราะเห็นตัวอย่างเมื่อครู่นี้ไปแล้ว เสี้ยววินาทีที่เท้าลอยจากพื้นก็มีซากศพอีกตัวโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอีกหมายจะตะครุบร่างเหยื่อเช่นกัน แต่ก็พลาดไปจนลำตัวผุๆ ที่โผขึ้นมาจากดินโถมไปข้างหน้า ลูน่าที่กระโดดขึ้นไปตัวลอยกำลังถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงลงมา ฝ่าเท้าเหยียบเข้าที่ท้ายทอยของร่างไร้วิญญาณอย่างจัง ซากศพที่ร่างกายผุเน่าเปื่อยอยู่แล้วทำให้คอหลุดกระเด็นกลิ้งเกลือกไปกับพื้น
พอลูน่าเอาเท้าลงพื้นได้ก็รีบวิ่งไปหามาร์ลเลอร์และโจนาธานทันที ทั้งสามคนรวมกันอยู่ที่กลางห้อง และมีซากศพไร้วิญญาณที่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างช้าๆ โผล่ออกมาจากจุดต่างๆ มาจากมุมต่างๆ ของห้องกว่า 10 ตัว ล้อมพวกเขาทั้งสามเอาไว้
“ไหนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตไง” ลูน่ากล่าวเคืองๆ
“ก็แล้วมันมีชีวิตที่ไหนกันเล่า” โจนาธานตอบอย่างงงๆ เช่นกัน ลูน่าพูดขึ้นบ้าง
“พวกมันอยู่กันเต็มห้อง พวกเราคงออกไปจากห้องนี้ไม่ได้ ถ้าไม่จัดการพวกมันให้หมดเสีย เอาล่ะ หยิบอาวุธซะ”
สิ้นเสียงกล่าวก้อง มาร์ลเลอร์หยิบดาบใหญ่ยาวประมาณ
“ลุย!!”
เด็กหญิงตะโกนลั่น พร้อมทั้งเริ่มยิงกระสุนออกจากทอนฟาของเธอเข้าตรงกลางหน้าผากซอมบี้ตัวหนึ่งเข้าอย่างจัง
แต่ถึงกระนั้น นอกจากหัวมันเป็นรูแล้ว มันก็แทบไม่เป็นอะไรเลย ยังคงเดินตรงเข้ามาหาเธอไม่หยุดยั้ง ทำเอาลูน่างุนงงจนไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป นอกจากระดมยิงต่อไปอย่างแม่นยำ แต่ก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้อยู่ดี
ทางมาร์ลเลอร์ที่ถือดาบใหญ่สะบัดดาบไปมาอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาร่างซอมบี้หลายตัวขาดเป็น 2 ท่อนบ้าง 3 ท่อนบ้าง แต่กระนั้นก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ ส่วนขาที่แยกออกจากลำตัวลุกขึ้นมาเดินหาเป้าหมายราวกับมีชีวิต ส่วนช่วงตัวก็ตะเกียกตะกายคลานไปกับพื้นอย่างไม่ลดละ หัวที่ขาดกระเด็นไปกระจัดกระจายกลับกลิ้งไปมาเองได้อย่างน่าฉงน ฟันที่คมกริบ ลิ้นที่แลบยาว ตาที่หลุดถลนย้อยออกมาทำเอาสยดสยอง
ลูน่ายังคงยิงสกัดต่อไปอย่างแม่นยำ บ้างก็ฟาดกระบองทอนฟาใส่อย่างแรงทำเอาซอมบี้ล้มหงายหลังไป แต่มันก็ยังคงลุกขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆ
มาร์ลเลอร์เริ่มสะบัดดาบถี่ขึ้น สับจนเป็นชิ้นๆ ชิ้นเล็กชิ้นน้อย พวกมันจึงสิ้นฤทธิ์ แต่มันก็ยังไม่หมดไป มาร์ลเลอร์ยังคงสับต่อไป มีเพียงโจนาธานที่ยังคงยืนจับดาบอย่างทะมัดทะแมงแต่ก็แอบสั่นอยู่เล็กๆ ไม่ได้ขยับตัวสักนิด เหงื่อตกทั้งที่อากาศเย็นสบาย หน้าตาแสดงถึงความกลัวละตื่นตระหนก
ลูน่าหันมามองที่เขาและไม่พอใจ เพราะชายที่ตนเองหลงคิดไปว่า น่าจะเก่ง กลับกำลังยืนสั่นเป็นลูกไก่อยู่อย่างนี้
“เฮ้! นายน่ะ ช่วยกันบ้างสิ” เธอกะโกนบอก
“เอ่อ...ฉัน...ฉัน...”
โจนาธานมีท่าทีเลิกลั่กอย่างหวาดกลัว จนลูน่าเห็นแล้วรำคาญ และพอจะเข้าใจแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างไร จึงพูดตัดบทไปทั้งที่ยังคงฟาดกระบองใส่ซอมบี้ที่รายล้อมต่อไป
“พอแล้ว ไม่ต้องแก้ตัว ถ้าไม่ช่วยกัน ก็ดูแลตัวเองให้ได้แล้วกัน เราไม่ว่างไปช่วยหรอกนะ เจ้าคนไร้ประโยชน์”
“หนอย...รู้แล้วน่า”
โจนาธานยังคงยืนสั่นดาบต่อไป สายตากลิ้งกรอกไปรอบๆ อย่างหวดระแวง ลูน่าและมาร์ลเลอร์ยังคงยืนหยัดต่อสู้ต่อไปอย่างชำนาญ
ขณะนั้น ซอมบี้ตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาทางด้านหลังของโจนาธานอย่างรวดเร็ว โจนาธานเริ่มรู้ตัวว่าภัยมาเยือนก็สายเกินไป ฟันที่แหลมคมของอมนุษย์นั้นอยู่ใกล้เขาเหลือเกิน
ทันใดนั้น ลูน่าก็วิ่งเข้ามาฟาดกระบองของตนเข้าที่ต้นคอปีศาจอย่างจังจนหัวของมันหลุดกระเด็นออกไป ร่างกายที่เน่าเปื่อยก็ล้มลง จากนั้นเธอยังกระหน่ำยิงกระสุนออกจากกระบองทอนฟาของเธอใส่ร่างนั้นด้วยกระสุนลูกโตๆ จำนวนนับไม่ถ้วน จนร่างที่เน่าเปื่อยอยู่แล้วพรุนไปทั้งตัว ถึงกระนั้นร่างผุๆ ที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อยนั้นก็ยังพยายามยันตัวลุกขึ้นอีก
ลูน่าหันมามองโจนาธานด้วยสายตาเหยียดหยาม บนใบหน้าของเธอมีบาดแผลที่ข้างแก้มเป็นรอยกรีดปนเลือดเล็กๆ จากการโดนปลายกรงเล็บของซอมบี้เข้าเมื่อครู่ โจนาธานเข่าอ่อน ทรุดลงไปด้วยความกลัว ก้มหน้าสำนึกผิดในความอ่อนแอของตนเอง
“ขะ...ขอโทษ”
ลูน่าสะบัดหน้าหนีอย่างไม่แยแส หันไปพูดกับหนุ่มเงียบมาร์ลเลอร์แทน
“มาร์จัง ฉันจะระเบิดพวกมันล่ะนะ จะได้จบสักที”
มาร์ลเลอร์ที่กำลังเหวี่ยงดาบหนักๆ สับร่างซอมบี้อยู่ก็เพียงยิ้มตอบมาเล็กน้อย แทบไม่ต่างจากใบหน้าปกติ ลูน่าจึงหยิบระเบิดมือขนาดเล็กลูกหนึ่งออกจากกระเป๋า ถอดชนวน และโยนเข้าไปกลางกลุ่มซอมบี้ จากนั้นเธอและสหายผู้เงียบขรึมก็รีบผละออกจากบริเวณนั้นไปหลบอยู่มุมห้องอย่างพร้อมเพรียง โจนาธานยังคงสับสน แต่ก็วิ่งตามไปหลบบ้าง ทันใดนั้นเอง...
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังสั่น เศษเนื้อและเลือดกระจายทั่วห้อง การต่อสู้จบลง
“จบแล้วล่ะ”
ลูน่ากล่าวขึ้นหลังความชุลมุน
“มีอะไรจะอธิบายมั๊ย”
เธอหันไปมองโจนาธานด้วยหางตา โจนาธานเองก็ไม่กล้าสบตา แต่ก็พยายามกล่าวอธิบายในความผิดพลาดของตนเองไป
“เอ่อ...คือ...ฉัน...ฉันเคยฝึกดาบมาบ้าง ไม่สิ ฝึกมาจนชำนาญเลยล่ะ นี่ไง นี่ไง” กล่าวพลางสะบัดดาบไปมาด้วยท่วงท่าอันเชี่ยวชาญ “แต่ฉันกลัว ฉันไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยต่อสู้จริงๆ ไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย”
“พอเลย!” ลูน่าขัดคอขึ้น “ฉันไม่ได้ถามเรื่องนั้นเลย นั่นมันเรื่องของนาย ฉันหมายถึง เจ้าพวกนี้มันมาจากไหนกันต่างหาก นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าที่นี่ไม่มีตัวอะไรอยู่เลย”
โจนาธานถอนใจและเริ่มหันมามองหน้าเธอ แล้วกล่าว
“เฮ้อ นั่นสิ เมื่อก่อน ฉันเข้ามาวิ่งเล่นประจำ ในนี้สงบมาก ราวกับมีพลังอะไรบางอย่างปกป้องรักษาอยู่ ตอนนี้พลังนั้นมันอาจจะเสื่อมพลังลงแล้วก็ได้
“แปลว่าพวกมันถูกปลดปล่อย?” ลูน่าพูดขึ้นบ้าง “งั้นพวกเราคงต้องเจอแบบนี้อีกเยอะสินะ”
มาร์ลเลอร์ยังคงยิ้มหน้าตายราวกับไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา หรือแม้กระทั่งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้เลย มีเพียงโจนาธานที่หน้าซีดเผือดลง
“มะ...ไม่จริงน่า”
“คงเป็นพลังของดาบเล่มนั่น ราเชลร่าไงล่ะ” ลูน่าว่า “ดาบราเชลร่ามีพลังในการปกปักรักษา ช่วยปกป้องที่นี่เอาไว้ไม่ให้ใครพบเห็นและผ่านเข้ามาที่นี่ได้ ที่นี่จึงยังคงสภาพได้จนถึงตอนนี้ เมื่อพลังเสื่อมลงก็แปลว่า ไร้สิ่งปกป้อง พวกเราจึงสามารถเข้ามาในนี้ได้ และอาจจะมีคนอื่นเข้ามาอีกได้”
“ใช่แล้ว”
เสียงที่แปลกปลอมดังขึ้น ปรากฏร่างจอมโจรเรดกันเข้ามาล็อคคอโจนาธานจากด้านหลัง ถือปืนสีแดงเด่นจ่อที่เอวของโจนาธาน
“แก!!” ลูน่าตกใจ
“ฮ่าๆ ฉันเอง จำได้รึเปล่า เจอกันอีกแล้วนะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ขอร่วมทางให้มาเป็นภาระเปล่าๆ หรอก และไม่สนค่าหัวพวกแกแล้วด้วย ขอแค่ไอ้หน้าจืดนี่ไปเป็นตัวประกัน ต่างคนต่างหาสมบัติก็แล้วกัน ใครเจอก่อนก็ได้ก่อน”
“สมบัติ???” ลูน่าพร่ำเบาๆ อย่างสงสัย
“ไม่ต้องมาทำไก๋หรอก ทำหน้าไร้เดียงสา คิดว่าจะเชื่อเหรอ ฮ่าๆ อย่าคิดจะตามฉันไปล่ะ ไม่งั้นไอ้หน้าจืดนี่เป็นอะไรไปฉันไม่รับประกันนะ แยกกัน!”
พูดจบก็ถอยออกจากห้องนั้น เดินหายไปในช่องทางมืดๆ ช่องหนึ่งโดยพาเด็กหนุ่มไปด้วย
“โจคุง!!!”
ลูน่าตะโกนตามไปอย่างห่วงใย ทำท่าจะวิ่งตามไป มาร์ลเลอร์ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นสกัด ทำให้ลูน่าแปลกใจ จึงเงยหน้ามองเขา และกล่าวถาม
“ทำไมล่ะ โจคุงอ่อนแอจะตาย เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แน่ ถ้าเรดกันทำอะไรกับเขาจะทำยังไง...”
“มาร์ลเลอร์นิ่งเงียบ ฟังเสียงแปดหลอดของเธอแล้วยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขามองไปยังช่องมืดๆ ที่ทั้งสองคนหายเข้าไป พึมพำอะไรบางอย่างในลำคออย่างแผ่วเบาซะจนมดก็ไม่มีทางได้ยิน ลูน่าที่เงยหน้ามองเขาก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
..
..
ฝ่ายเรดกันที่จับตัวโจนาธานมาเป็นตัวประกันได้จับเขามัดเอาไว้ และนั่งพักอยู่ ณ จุดหนึ่งในซอกถ้ำมืดๆ ท่ามกลางความเงียบชวนหดหู่ โจนาธานคุงชวนคุยขึ้นให้เกิดบทสนทนา
“นายตามเรามางั้นเหรอ”
“ใช่” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“คนเดียว?”
“ใช่ ทำไมล่ะ” เรดกันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดเมื่อถูกถามเช่นนั้น
“เปล่าหรอก ฮึ” โจนาธานยิ้มเล็กน้อยเป็นการเยาะเย้ย ที่ถามเช่นนั้นก็เพราะปกติแล้วเขาจะเห็นลูกน้องที่แสนซื้อสัตย์ทั้งหลายติดสอยห้อยตามกันไปเสียทุกที่ เห็นมาคนเดียวก็เลยแปลกใจ และตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับจอมโจรผู้นี้
“ว่าแต่นายเข้ามาในนี้ได้ยังไง”
โจนาธานถามต่อ เรดกันหันมามองเขาเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปดังเดิม แล้วตอบ
“จะไปรู้เหรอ ก็เดินเข้ามาดีๆ ก็ผลุบเข้ามา เหมือนพวกนายนั่นแหละ”
‘อือ....แปลว่าพลังปกป้องเสื่อมลงไปอย่างที่ลูน่าบอกจริงๆ สินะ’
เขาคิดในใจ
..
..
ฝ่ายลูน่า กำลังยืนอยู่คนเดียวในห้องเดิมที่เต็มไปด้วยเศษซากที่น่ารังเกียจ เธอบ่นพึมพำกับตัวเองอย่างเบื่อหน่าย
“อะไรกันเนี่ย ทีเค้าห้ามไม่ให้ไปช่วย แต่ตัวเองกลับไปช่วยเขาเอง แถมยังบอกให้รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหนอีก อย่างนี้ก็เซ็งแย่สิ”
..
..
ฝ่ายเรดกันหลังจากที่นั่งพักจนหายเหนื่อยก็เดินทางต่อโดยเดินถือเชือกที่มัดโจนาธานไว้ลากไปด้วย และชวนคุยไประหว่างทาง
“นี่ นายว่าไหม ในนี้มันต้องมีสมบัติซ่อนอยู่เยอะแยะแน่ๆ ถ้าฉันหาเจอก่อนพวกนั้นนะ ฉันจะต้องรวยแน่ๆ แต่ไม่ต้องห่วง ฉันจะแบ่งให้นายแน่ ถ้าช่วยนำทางให้ฉันล่ะก็ จะแบ่งให้สัก 10 เปอร์เซ็นต์ดีไหม แต่อย่าเล่นตุกติกล่ะ”
เรดกันกล่าวอย่างไม่สนใจใคร ไม่แม่จะหันมามองสีหน้าอีกฝ่าย แต่คนที่เขาพูดด้วยกลับไม่ได้ตอบอะไร เขาจึงนึกว่าอีกฝ่ายไม่พอใจ แล้วพูดต่อ
“ไม่พอใจงั้นเหรอ งั้น 15 เปอร์เซ็นต์ก็ได้......เป็นอะไรไป ทำไมเงียบไปล่ะ”
..
..
ฝ่ายลูน่าที่กำลังนั่งรออย่างเบื่อหน่าย ขณะนั้นเธอก็ได้ยินเสียง
ตึก....ตึก....ตึก
ดังขึ้นเป็นจังหวะ และกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอแยกแยะได้ว่านั่นเป็นเสียงคนวิ่ง
“อ๊ะ...มาร์จัง....เอ๊ะ! เสียงวิ่งแบบนี้มันไม่ใช่มาร์จังนี่ รึว่า....จะมีปีศาจโผล่มาอีก”
คิดได้ดังนั้นเธอก็คว้าทอนฟา อาวุธข้างกายขึ้นกำแน่นและตั้งท่าเล็งยิงไปทางต้นเสียงที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ นั้นทันที ขณะนั้นเองจึงปรากฏร่างของเด็กหนุ่มที่วิ่งตรงมา และตกใจเมื่อเห็นเธอกำลังเล็งปืนไปที่เขา
“เฮ้ย! อย่ายิงนะ ฉันเอง” โจนาธานตะโกนบอก
ลูน่าถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าผู้ที่มาเป็นคนที่ไม่มีอันตรายใดๆ แล้วจึงกล่าวถามเมื่อเห็นว่ามาร์ลเลอร์ไม่ได้ตามมาด้วย ทั้งที่มาร์ลเลอร์ไปช่วยโจนาธานออกมา
“อ้าว โจคุง แล้วมาร์จังล่ะ”
“เอ่อ....คือ....”
..
..
ฝ่ายเรดกัน เห็นว่าเพื่อนร่วมทางเงียบไป จึงแปลกใจและหันไปดู
“เฮ้ เป็นอะไรไปน่ะ ทำไมไม่....ว๊ากกกกก แก!!!”
เขาตกใขสุดขีดเมื่อสิ่งที่เห็นไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เขาจับตัวมา แต่เป็นนักผจญภัยอันดับ 1 มาร์ลเลอร์ กำลังส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่
..
..
ฝ่ายลูน่าที่กำลังนั่งคุยกับโจนาธานอยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องราวจึงเข้าใจ
“อ๋อ งั้นเหรอ มาร์จังไปช่วยนายออกมาแล้วก็ไปเป็นตัวประกันแทน ฮิฮิ อย่างนี้นี่เอง”
ลูน่าพูดพลางหัวเราะชอบใจ ทั้งที่โจนาธานไม่เข้าใจว่าเขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร จึงกล่าวถามไป
“หัวเราะอะไรของเธอน่ะ เขาทำแบบนั้นทำไมกัน”
“เอ๊า ก็มันตลกออกไม่ใช่เหรอ ฉันเคยบอกไปรึยังว่าเห็นอย่างนี้น่ะ มาร์จังเขาขี้เล่นนะ น่ารักใช่ไหมล่ะ ฮิฮิ”
ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ เขาคงไม่มีทางเข้าใจความคิดของคนเหล่านี้ได้เลย จึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างงงๆ
“อย่าเอาแต่ขมวดคิ้วสิ เดี๋ยวแก่เร็วนะ” ลูน่าว่าพลางเอานิ้วจิ้มกลางหน้าผากของโจนาธาน “เอาล่ะ อยู่แบบน่าเบื่อจะตาย เราออกเดินทางกันบ้างเถอะ”
ว่าแล้วลูน่าก็ลุกขึ้นและเดินไปอย่างสบายใจ โจนาธานจึงต้องรีบลุกเดินตามไปแทบไม่ทัน
..
..
“ว๊ากกกก ออกไป ปล่อยฉัน!!!”
เรดกันร้องโวยวายเพราะมาร์ลเลอร์กำลังกอดร่างเขาอยู่ และทำท่าเหมือนจะจูบด้วย เรดกันก็ใช้มือกันไว้ได้ แต่ไม่สามารถสลัดให้หลุดออกไปได้ ได้แต่ร้องโวยวายอยู่อย่างงุนงง เพราะไม่รู้วามันกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
“ออกไปนะ ไอ้โรคจิต ปล่อยฉัน ทำไมถึงเป็นแกวะ ไอ้หน้าจืดหายไปไหน ว๊าก อย่านะ!!”
ขณะที่ชุลมุนอยู่นั้น เสียงประหลาดก็ดังขึ้นมา
โฮรกกกกก!!!
ทั้งสองชะงักด้วยความตกใจ เรดกันโวยวายขึ้นมาอีก
“นะ...นั่น...เสียงนั่น มันเสียงเสือ....เสือแน่ๆ ในนี้มีเสือด้วย หนี...ต้องรีบหนี”
เขาหันรีหันขวางด้วยความหวาดกลัวแล้วรีบผละออกไป เดินหนีออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวเสือจะตามมา
โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้วเสียงประหลาดที่เขาเข้าใจว่าเป็นเสียงเสือนั้นคือเสียงที่มาร์ลเลอร์ใช้เครื่องเลียนเสียงสัตว์ปลอมขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งเขาเท่านั้น
เมื่อเรดกันเดินไปได้สักพักโดยมีมาร์ลเลอร์เดินตามไปด้วย เสียงเสือโคร่งก็ดังขึ้นเป็นระยะๆ ดูมันไม่ได้อยู่ห่างออกไปเท่าไหร่เลย ไม่ว่าเขาจะพยายามเดินหนีสักแค่ไหน อยู่ๆ มารืลเลอร์ก็ดึงเรดกันที่กำลังเดินอย่างรีบร้อนไว้
“อะไรของแกอีก เดี๋ยวเสือก็ตามมาทันพอดีหรอก” เรดกันโวย
มาร์ลเลอร์ยิ้ม และชี้ไปที่ข้างกำแพง ตรงนั้นมีช่องเล็กๆ ขนาดที่คนจะลอดผ่านไปได้อยู่ คล้ายๆกับช่องแอร์ แต่ที่แบบนี้มีแอร์เสียเมื่อไหร่
“หมายความว่ายังไง จะให้ฉันเข้าไปในช่องนี้น่ะเหรอ ไม่เอาหรอก ลำบากจะตาย เดินไปง่ายกว่า”
มาร์ลเลอร์ยังคงยิ้ม มือก็ดึงแขนเรดกันไว้ มืออีกข้างก็ยังชี้ไปที่ช่องดังเดิม
“เอ๊ะ นายจะบอกว่านี่เป็นทางลัดที่ทำให้เราไปได้เร็วขึ้นงั้นเหรอ อืม...จริงสินะ ถ้าไปทางนี้เสือก็จะตามมาไม่ได้ นายนี่ ฉลาดดีแฮะ”
เรดกันสรุปเองเสร็จสรรพโดยที่มาร์ลเลอร์ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ว่าแล้วก็จัดแจงมุดช่องนั้นทันที ดูท่าทางจะทุลักทุเล แต่ก็สามารถลอดเข้าไปจนได้ มาร์ลเลอร์ก็คลานตามมาเช่นกัน เรดกันก้มหน้าก้มตาคลานมาเรื่อยๆ โดยไม่รู้เลยว่าช่องนั้นยาวและคดเคี้ยวมาก แต่ว่าทางออกของมันกลับห่างจากทางที่พวกเขาเข้าไปไม่ถึง 10 เมตรด้วยซ้ำ แต่ที่ไม่สามารถรู้ได้เพราะถูกทำให้สับสนเพราะทางเลี้ยวของถ้ำเท่านั้น
..
..
ฝ่ายลูน่าก็เดินไปเรื่อยๆ ไปถึงห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่งซึ่งปูพรมสวยที่บัดนี้มีแต่ฝุ่นเกรอะกรังไปหมด มีเก้าอี้หรูตัวใหญ่คล้ายบัลลังก์ตั้งอยู่ที่พื้นยกระดับด้านหนึ่งของห้อง และของประดับดูหรูหรามากมาย ชุดเกราะที่ดูคล้ายทหารยืนเรียงรายเป็นระเบียบถือโล่และดาบเป็นสง่าตลอดแนวสองฝั่งห้องทอดยาวไปถึงบัลลังก์แต่ทั้งหมดนั้นดูเก่าแก่คร่ำคร่าและศึกหลอเต็มที โจนาธานเห็นว่าบนชุดเกราะมีฝุ่นเกราะหนาจึงยื่นมือไปสัมผัสดู แค่ปลายนิ้วแตะเพียงเบาๆ ชุดเกราะตัวนั้นก็ล้มลงไป
เคร้ง!
ทั้งสองสะดุ้งผวา เพราะเสียงกังวานนั้นในความวังเวงมันชวนขนลุก แต่ก็ตั้งสติได้เพราะรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ชุดเกราะ
โจนาธานที่ดูเคร่งขรึมในตอนแรกกลับเดินตามเด็กน้อยอย่างหวาดผวา ตรงกันข้ามกับลูน่าที่ดูเหมือนจะเป็นเด็กซุกซน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับเยือกเย็นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
อยู่ๆ ลูน่าก็หยุดเดิน โจนาธานที่เดินตามมัวแต่หันรีหันขวางอย่างหวาดผวา จึงชนเข้ากับลูน่าเพราะไม่ได้มองข้างหน้าเลย
“โอ๊ย! นายจะบ้ารึไง กลัวอะไรอยู่ได้ เดินไม่ดูเลย” ลูน่าโวยวายด้วยความหงุดหงิด
“อะ...เอ่อ ขอโทษ เธอหยุดเดินทำไมล่ะ”
เสียงของลูน่าที่ตะคอกมานั้นทำให้ความกลัวหลุดไปครู่หนึ่ง ลูน่าไม่สนใจจะตอบคำถามและค่อยๆ เดินต่อไป สายตาซอกแซกมองหาอะไรบางอย่าง โจนาธานหลังจากได้สติกลับมา อยู่ๆ ก็นิ่งไปมิได้เดินต่อ แต่เขากำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นทำให้เขาเริ่มหน้าซีดและเหงื่อตก เขารีบวิ่งเข้าไปหาลูน่าที่เดินนำหน้าไปทันที จนลูน่ารำคาญ และกันมาตวาด
“อะไรของนายเนี่ย มาเกาะฉันทำไม”
“เสือ!!!” เขาโพร่งออกมาด้วยความแตกตื่น
“เอ๋!!” ลูน่ายิ่งงุนงงในคำพูดของเขา
“ฉันได้ยินเสียงเสือ”
“ฉันไม่เห็นได้ยิน.....เลย”
ลูน่าชะงักไป เพราะขณะนั้นก็เริ่มได้ยินเสียงอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง โจนาธานได้โอกาสจึงพูดต่อ
“มันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันกำลังมาทางนี้”
ลูน่าเริ่มสงสัยว่าเขารู้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเหตุการณ์ไหน โจนาธานมักจะเป็นคนได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ก่อนเสมอ ทั้งที่คนอื่นไม่ได้ยิน บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษด้านการรับรู้เสียงได้ดีกว่าคนอื่นก็ได้ คิดไปก็เริ่มเห็นประโยชน์ของเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกข้อ
“ไม่หรอกน่า ในนี้จะมีเสืออยู่ได้ยังไง” ลูน่าพยายามจะคิดในแง่ดี “อาจจะเป็นมาร์จังแกล้งเอาเครื่องเลียนเสียงสัตว์มาหลอกเราก็ได้ ต้องเป็นมาร์จังแน่ๆ”
..
..
ฝ่ายเรดกันที่คลานพ้นออกมาจากช่องทางคดเคี้ยวนั่นจนได้
“เย้ ถึงทางออกแล้ว เสียงเสือก็หายไปด้วย เราหนีพ้นแล้ว แฮะๆ เจ้าแว่นดำ แกนี่ก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ”
เรดกันมัวแต่ดีใจที่ออกมาจากช่องทางน่าอึดอัดนั้นได้เสียที โดยที่ไม่รู้เลยว่าตนเองไม่ได้ออกห่างจากจุดเดิมเสียเท่าไหร่เลย
..
..
ฝ่ายลูน่าที่มีเด็กหนุ่มขี้ขลาดยืนหลบอยู่ข้างหลังอย่างหวาดผวา
“สะ...เสียง มันเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้วนะ ทะ...ทำยังไงดี”
ลูน่าเริ่มรำคาญ แต่ก็ยังพยายามคิดในแง่ดี
“นายอย่าเพิ่งโวยวายสิ มันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ บอกแล้วว่าต้องเป็นมาจัง ไม่ใช่เสือ....สะ...สะ...เสือ”
ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างเสือโคร่งตัวโตกำลังย่างเยื้องอย่างเชื่องช้าเข้ามาพร้อมกับเสียงคำรามเบาๆ ดูน่าหวาดหวั่น ทะเอาลูน่าถึงกับตกตะลึงไป แววตาคมกริบของมัน ท่าทางหิวโซกระหายเลือดเต็มที่ มันกำลังแยกเขี้ยวขาวๆ ที่แหลมคมพร้อมจะขย้ำเหงื่อตลอดเวลา และจ้องมองมาที่พวกเขา
“สะ....เสือ....เสือออออ!!”
ลูน่าร้องเสียงหลงอย่างตกใจ แทบไม่เชื่อสายตา ว่าสิ่งที่ตนไม่คิดว่าจะมีดันมีขึ้นมาจริงๆ
“ก็เสือน่ะสิ” โจนาธานเสริมขึ้นด้วยอาการเดียวกัน
“ทำไมถึงมีเสือที่นี่ได้ล่ะ” ลูน่าสบถถาม
“ฉันจะไปรู้เหรอ”
..
..
ฝ่ายเรดกัน หลังจากที่ออกมาจากช่องแคบได้ก็เดินทางต่อ จนมาถึงห้องกว้างอีกห้องหนึ่งที่น่าแปลกใจ ราวกับเป็นสถานที่ต้องสาบ มีร่างมนุษย์มากมายอยู่ในห้องนี้ แต่ทั้งหลายเหล่านั้นกลับไม่ใช่สิ่งมีชีวิต บ้างก็กองกันเป็นกองซากกระดูก บ้างก็ยืนแข็งเป็นหินไม่กระดิก เรดกันและมาร์ลเลอร์เดินเข้าไปกลางกลุ่มมนุษย์หิน เงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ เพราะต่างคนต่างก็อึ้งกับสิ่งที่เห็น
“คนพวกนี้ เคยมีชีวิตมาก่อนรึเปล่าเนี่ย” เรดกันพร่ำยังไม่ทันขาดคำก็มือไวไปผลักหุ่นหินตัวหนึ่งล้มลงไปอย่างไม่ตั้งใจ
โครม!
หุ่นหินร่างคนล้มลงกระแทกกับพื้นแตกละเอียด มาร์ลเลอร์หันมามองตามเสียงที่ดังสนั่นนั้น เรดกันตกใจในสิ่งที่ทำลงไป แต่ก็หันมามองอีกคนแล้วกล่าว
“เอ่อ...มันคงไม่เป็นไรใช่ไหม”
มาร์ลเลอร์ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก้มหน้า และส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่อาจจะให้คำตอบได้
ครึ่ก ครึ่ก
อยู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวดังขึ้นมา พอมองไปรอบๆ ก็พบเพียงหุ่น และหุ่น หิน และหิน
“อ๊ะ....อย่าบอกนะว่า...”
เรดกันเริ่มเอะใจ และแสดงอาการเหวอออกมา มาร์ลเลอร์ก็ยังคง แต่ก็ไม่ตกใจเท่าไหร่นัก
สิ่งที่พวกเขาเห็นตรงหน้าก็คือมนุษย์หินที่ตั้งเรียงรายอยู่ดีๆ ก็สามารถขยับได้ พวกมันขยับตัวทั้งๆ ที่ร่างกายเป็นหิน
“ฉัน...เพราะฉันเหรอ ไม่มั้ง”
เรดกันถามลอยๆ เพราะไม่คิดว่าจะมีใครตอบ เขาคิดไปว่าที่เจ้าพวกนี้เกิดเดินได้ขึ้นมาเพราะเขาไปผลักหุ่นตัวหนึ่งล้มหรือเปล่า แต่ก็พยายามคิดในแง่ดีว่ามันไม่ใช่
หุ่นทุกตัวหันมาทางเรดกันและมาร์ลเลอร์ เห็นพวกเขาเป็นเป้าหมายทันที พวกมันทั้งหลายล้อมพวกเขาเอาไว้รอบจนไม่มีทางหนีไปไหนได้ ทั้งคู่จึงจำเป็นต้องร่วมมือกันต่อสู้เป็นครั้งแรก พวกเขาหันหลังชนกัน และตั้งท่าเตรียมต่อสู้อย่างทะมัดทะแมง
---------------------------------------------------------
ความคิดเห็น