ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ADVENTURE ~ตะลุยข้ามมิติ~

    ลำดับตอนที่ #1 : ADVENTURE 1: ประกาศจับ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 55


    บทนำ

    อ่ะนะ แม้จะไม่ชอบคำนี้ยังไง ก็หนีมันไม่พ้น

    ----------------------------------------------------

                บนถนนอันเดียวดายเงียบสงบที่มีหิมะโปรยปราย ชายหนุ่มร่างสันทัด ผมสั้นสีดำขลับ สวมแว่นตาดำเลนส์กลมและโค้ทยาวสีเทาดำ สายตาภายใต้กรอบแว่นนั้นทอดยาวไปไกลเกินกว่าที่ใครจะหยั่งรู้ รอยยิ้มจางๆ อย่างไม่เคยหวั่นเกรงต่อสิ่งใดฉาบฉายอยู่บนใบหน้าละมุนของเขา แม้จะเป็นเพียงหนึ่งเดียวบนถนนสายนี้ แต่กลับมิได้ดูเดียวดาย ราวกับว่าทุกสรรพสิ่งบนโลกคือเพื่อนของเขา

    หลังพุ่มไม้ข้างทางที่กำลังไหวติงทำให้เขาสะดุดใจ ภายหลังพุ่มไม้นั้นมีร่างของเด็กหญิงอายุประมาณ 9 ขวบ เสื้อผ้าบางๆ ขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวมอมแมม เธอพยายามหลบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้นั้นทั้งที่หนาวสั่น เธอพยายามจะหลบจากทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ราวกับไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เป็นมิตรกับเธอ เมื่อเห็นว่ามีคนเดินผ่านมาก็พยายามจะหลบเลี่ยงอย่างหวดกลัว

    แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเฉียบคมที่มองผ่านเลนส์สีดำนี้ไปได้ ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่พุ่มไม้นั้นอย่างแผ่วเบา และชะโงกมองเห็นเป็นเด็กหญิงอาภัพผู้น่าสงสาร โดดเดี่ยว....เหมือนอย่างตน กำลังสั่นเทาด้วยความหนาวระคนหวาดกลัว จึงส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มที่ดูยิ่งใหญ่ พร้อมกับยื่นมือเปล่าไปรับ มือธรรมดาที่ดูมีมนต์สะกดบางอย่าง เด็กหญิงจ้องมองมือข้างนั้น ราวกับมันมีพลังอันอบอุ่นที่จะโอบอุ้มดวงใจอันหนาวเหน็บของเธอ

    เด็กหญิงตัวน้อยคลี่ยิ้มบางๆ อย่างอุ่นในอย่างที่ไม่ได้ทำเสียนานแสนนาน แล้วยื่นมือน้อยๆ ของเธอจับกุมมือใหญ่ของเขาไว้ด้วยความอุ่นใจอย่างประหลาด และลุกขึ้นเดินหน้าไปด้วยกัน...บนถนนอันเปล่าเปลี่ยวที่จะไม่ได้มีแค่เขาหรือเธอตัวคนเดียวอีกแล้วนี้ และทุกๆ ที่ไม่ว่าที่ไหน

    บนถนนทอดยาวที่พวกเขาเดินไป กลีบดอกไม้ที่ร่วงโรย หิมะสีขาวที่ประปลาย...แผ่นกระดาษที่ปลิวไปตามสายลม...

    กระดาษ....

    กระดาษ....

    ประกาศจับ....

    ใบหน้าของชายหนุ่มถูกพิมพ์อยู่บนกระดาษเหล่านั้น...

    -----------------------------------------

     

    ADVENTURE 1: ประกาศจับ

     

    เช้าวันหนึ่งที่ดูจะเป็นวันดีๆ อีกวัน ในเมืองเล็กๆ ที่ล้อมด้วยพงป่า บาร์เก่าๆ ตั้งอยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านเล็กน้อย ที่นี่จึงไม่ค่อยมีลูกค้า มีเพียงชายชราผู้เป็นเจ้าของร้านที่ยืนรับอยู่ที่เคาน์เตอร์ เด็กหนุ่มผู้เป็นลูกค้าซึ่งหาได้ยากสำหรับร้านนี้นั่งดื่มน้ำผลไม้อย่างสบายใจเช่นทุกวัน ทุกอย่างก็เป็นอย่างทุกๆ วัน พวกเขาก็มีความสุขดี

    และวันนี้ สิ่งที่แปลกไปคือ ชายหนุ่มกับเด็กหญิงที่ไม่เคยเห็นหน้ามานั่งอยู่ที่โต๊ะเคาน์เตอร์อย่างเหงาๆ

    ชายชราเจ้าของร้านผู้ใจดีเห็นว่าเป็นลูกค้าจึงกล่าวถามขึ้นอย่างเป็นกันเองเหมือนกับทุกๆ คน

    เฮ้ ไอ้หนุ่ม จะดื่มอะไรดีล่ะ

    ชายหนุ่มผู้ลึกลับเพียงยิ้มให้เขาและมองผ่านเลนส์แว่นสีดำมายังชายชราอย่างเป็นมิตร ชายชราเห็นชายหนุ่มไม่ตอบ จึงค่อยๆ มองผ่านมายังเด็กหญิงอายุประมาณ 10 ขวบ ที่นั่งอยู่ข้างๆ พิจารณาตามสภาพแล้วจึงตัดสินใจให้เสร็จสรรพ

    เอาเป็นเบียร์หนึ่ง นมสดหนึ่งก็แล้วกัน

    เขากล่าวอย่างหวังดี เพราะพิจารณาตามประสบการณ์แล้ว เด็กก็ควรดื่มนมส่วนชายหนุ่มก็คงต้องดื่มเบียร์ชั้นเลิศตามวิสัย ว่าแล้วจึงหันหลังไปและจัดแจงเครื่องดื่มให้

    ปึง!’

    ไม่ได้!!”

    เด็กหญิงตบโต๊ะเสียงดังและตะโกนรั้งไว้ ทำเอาชายชราเจ้าของร้าน ชายหนุ่มที่มาด้วยกัน และเด็กหนุ่มที่นั่งดื่มน้ำหวานอยู่ถัดไปสะดุ้งไปตามๆ กัน เธอจ้องมองชายชราเจ้าของร้านอย่างแข็งกร้าว แล้วตะโกนสั่งไปอย่างฉะฉาน

    เอานมสด 2 แก้ว เบียร์ไม่ต้อง

    เธอกล่าวนั่นหมายถึงทั้งเธอและชายหนุ่มที่มาด้วยกันต่างก็ประสงค์จะดื่มเพียงนมสด ชายชรางุนงง จึงหันไปมองหน้าชายหนุ่มลึกลับแว่นดำเพื่อขอความเห็นชอบยินยอมตามนั่น? ชายหนุ่มก็เพียงยิ้มตอบและเลิกคิ้วข้างหนึ่งเป็นการตอบรับว่าอนุญาต

    หลังจากจัดแจงนมสดให้ทั้งสองคน ชายชราก็หันมาชวนคุยเพื่อผูกมิตรตามวิสัยคนค้าขาย

    ฉันไม่เคยเห็นหน้าแกสองคนเลย เป็นคนจากเมืองอื่นงั้นรึ

    ชายหนุ่มไม่ทันอ้าปากตอบ เสียงเด็กหญิงก็พูดแทรกขึ้นมาตอบแทนอย่างฉะฉาน

    ใช่ พวกเราเป็นนักผจญภัย ออกเดินทางเพื่อตามหาซากสุดท้ายแห่งอารยะธรรมโนซ ลุงพอจะรู้จักบ้างไหม

    ชายชราดูจะงุนงง แต่เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งดื่มน้ำผลไม้อย่างสบายใจกลับหยุดชะงัก ความตกใจทำให้มือปัดโดนแก้วน้ำหก ชายชราตอบคำถามของเด็กหญิง

    อืม...ไม่เคยได้ยินนะ ฉันมันก็อยู่แต่ในร้าน ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก

    เขาว่า ก่อนจะหันไปหาผ้ามาเช็ดน้ำหวานที่เด็กหนุ่มทำหก เด็กหนุ่มผมค่อนยาวใบหน้าหวานดูสวยสง่า แต่งตัวเรียบง่ายเหมือนลูกชาวบ้านธรรมดาแต่ดูสะอาดสะอ้าน ออกไปทางผอมบางดูอ่อนแอ ที่สะเอวคาดดาบเล่มหนึ่งเอาไว้ บ่งบอกว่าเป็นเลือดนักรบ แม้ว่ารูปร่างของเขาจะไม่ได้บอกเช่นนั้นเลย

    เขาลุกขึ้นด้วยความกระวนกระวาย แล้วหันมาพูดกับทั้งคู่ด้วยความตื่นเต้นตกใจ

    พวกคุณ...กำลังตามหาอารยะธรรมโนซอย่างนั้นเหรอ

    ใช่ เด็กหญิงตอบ

    ดาบ...ราเชลล่า พวกคุณตามหาสิ่งนั้นใช่ไหม

    ใช่ นายรู้จักงั้นเหรอ เด็กหญิงตอบอย่างตื่นเต้น เมื่อดูท่าจะมีคนที่อาจจะรู้เรื่องนี้ รู้อะไรบ้างล่ะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ

                เด็กหนุ่มหยุดชะงักเมื่อถูกเค้นถาม และเงียบไปราวกับได้สติจากความแตกตื่นอย่างลืมตัวเมื่อครู่ และพยายามปฏิเสธไป

    อ๊ะ...เปล่า ผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลย เขาทำหน้าเลิกลั่กเพราะตนพลั้งปากพูดสิ่งที่ไม่ควรออกไป เด็กหญิงไม่พอใจนักที่เด็กหนุ่มผู้นั้นพยายามปิดบังความจริง ทำให้เธอไม่ได้เบาะแสที่ควรจะรู้ เธอจึงกระโดดขึ้นเกาะหลังเด็กหนุ่มและพยายามเค้นถาม

    ไม่จริง นายรู้แน่ๆ บอกมาเดี๋ยวนี้นะ

    เฮ้ย...ผมไม่รู้ ลงไปซะ

    ไม่! นายรู้ นายรู้ นายรู้ บอกมา บอกมา บอกมา เด็กหญิงเอื้อมมือไปดึงแก้มทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มเพื่อบังคับให้เขาพูดออกมาให้ได้

    โอ๊ย! โอ๊ย! เอ๊บอ๊ะ (เจ็บนะ) อ่อยอั๊น (ปล่อยฉัน)

    ทั้งสองเถียงกันเสียงเอะอะโวยวาย ชายหนุ่มลึกลับได้แต่นั่งมองและยิ้มราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขณะที่ชายชรามัวแต่มึนงงทำอะไรไม่ถูก

    ขณะนั้น ประตูร้านเก่าๆ ก็ถูกเปิดออก

    เอี๊ยดดดด

    ร่างสูงๆ ของจอมโจรอันตพาลประจำหมู่บ้านผู้มีร่างกายอันแข็งแกร่งด้วยมัดกล้ามสวยได้รูปที่ถูกเผยผ่านเสื้อแขนกุดรัดรูปสีแดงเข้ม พร้อมลูกน้องหน้าตาโง่ๆ อีก 2 คน เดินเข้ามาในร้านเก่าๆ นี้ หมายจะมารีดไถเงินตามปกติ

    ไง มาสเตอร์ กิจการดีขึ้นรึเปล่า ดูคึกคักดีนี่

    แฮะๆ...ก็นิดหน่อย...นะ....นั่งก่อนสิ ชายชรามีท่าทีหวาดกลัว แต่ก็ยังพยายามยิ้มสู้ต่อไป ดะ...ดื่มเบียร์...สักแก้วนะ

    จอมโจรเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ชายหนุ่มลึกลับที่มานั่งอยู่ก่อน รับเบียร์จากชายชรามาซดดื่มรวดเดียวหมด จนชายหนุ่มลึกลับหันมองเขา จอมโจรวางแก้วแล้วหันไปมองคนที่กำลังจ้องมองตนอย่างข้องใจ ดวงตาก้าวร้าวประสานกับดวงตาอันเป็นมิตร จอมโจรไม่ได้สนใจ จึงผละสายตาแล้วหันมาซดเบียร์อีกแก้ว แต่แล้วก็ชะงักเมื่อนึกอะไรบางอย่างออก เขาสะบัดหน้ากลับมาประสานตากับชายหนุ่มลึกลับที่ยังจ้องมองเขาอยู่อีกครั้ง แล้วจึงต้องร้องอุทานผวาอย่างตกใจ

    เฮ้ย!!!!!”

    จอมโจรสะดุ้งตัวลุกขึ้นแล้วกระโดดถอดกรูดออกจาก ณ ตรงนั้น ไปจนหลังติดกำแพงร้าน พร้อมๆ กับลูกน้องหน้าโง่อีก 2 คนที่เอะใจและทำตามหัวหน้าอย่างพร้อมเพรียง จอมโจรล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วหยิบกระดาษใบหนึ่งขึ้นมา คลี่ออกดูแล้วกางเทียบกับชายหนุ่มลึกลับที่นั่งอยู่ห่างออกไป

    พวกเขาทั้งสามจ้องมองภาพบนกระดาษใบนั้นพร้อมกัน

    พวกเขาทั้งสามหันมองที่ชายหนุ่มลึกลับพร้อมกัน

    พวกเขาทั้งสามจ้องมองภาพบนกระดาษใบนั้นอีกครั้ง

    พวกเขาทั้งสามหันมองที่ชายหนุ่มลึกลับอีกครั้ง

    จอมโจรยกกระดาษขึ้นเทียบระดับสายตา สิ่งที่พิมพ์อยู่ในกระดาษใบนั้นคือประกาศจับ ซึ่งมีภาพใบหน้าของชายหนุ่มลึกลับ และเด็กหญิงตัวน้อยที่ตอนนี้กำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา พวกเขาทั้งสามประสานเสียงกันเรียกชื่อในใบประกาศจับนั้นพร้อมกัน

    มะ...มาล์ลเลอร์ ร็อคโคเบิร์ด สุดยอดนักผจญภัย กับ ลูน่า โจนส์ เด็กแสบจอมป่วน ค่าหัว 6,000,000 เรียว เหวออออ!!!”

    กล่าวจบทั้งสามโจรก็วิ่งออกจากร้านไปอย่างตื่นตระหนก ราวกับหวาดกลัว ชายชราเจ้าของร้าน ชายหนุ่มลึกลับ เด็กหนุ่ม และเด็กหญิงได้แต่มองตามไปอย่างงุนงง ผ่านความเงียบสักครู่ ชายชราก็กล่าวถามขึ้นอย่างสงสัย

    พวกแกเป็นนักผจญภัย? ทำไมถึงมีค่าหัวด้วยล่ะ แถมประกาศจับนั่น...

    โธ่เอ๊ย! แค่ใบประกาศจับเถื่อนน่ะ เด็กหญิงกล่าวตอบอย่างฉะฉาน โดยที่ชายหนุ่มลึกลับก็ได้แต่นั่งเงียบและยิ้มเช่นนั้นไม่เปลี่ยน พวกจอมโจรชั่วๆ มันคิดจะกำจัดพวกเราเพราะเราอาจจะไปขัดขวางการโจรกรรมของพวกมันจนพวกมันหวาดกลัวจนไม่เป็นอะไรทำอะไรกัน

    ชายชราและเด็กหนุ่มได้ฟังก็เริ่มจะเข้าใจถึงสาเหตุขึ้นมาบ้าง และขณะนั้นเองเสียงประตูเก่าๆ ก็ถูกเปิดเข้ามาอีกครั้ง เป็นจอมโจรและลูกน้องหน้าโง่อีก 2 คนเดินกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยท่าทีเข้มแข็งและอาวุธครบมือ ผิดกับตอนที่วิ่งหนีออกไปอย่างหมดท่า

    พวกเราคือกลุ่มจอมโจรที่ร้ายกาจที่สุดในเมือง ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ หรอก ฉันชื่อ เรดกัน...สตัฟฟ์ เรดกัน จำไว้ซะ

    หัวหน้าจอมโจรกล่าวลั่นอย่างห้าวหาญ ในมือของเขาถือปืนไพทอนกระบอกยาวสีแดงฉาน นั่นคือที่มาชื่อของเขา

    อยากจะรู้นักว่านักผจญภัยคนเก่งที่เขาร่ำลือ มันจะแค่ไหนกันเชียว เฮ้ย! พวกเรา จับมันไว้ ทุกคนในร้านยังคงมึนงงกับสถานการณ์ ลูกน้องทั้งสองเข้าปฏิบัติตามคำสั่งอย่างแข็งขัน

    ..

    ..

    ..

    ..

    ผ่านการต่อสู้ดิ้นรนขัดขืนกับจอมโจร ในที่สุดทั้งสามคนก็ถูกจับมัด ทั้งชายหนุ่มลึกลับนักผจญภัยนาม มาล์ลเลอร์ เด็กหญิงจอมแสบนาม ลูน่า และเด็กหนุ่มผอมบางผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ก็ตกกระไดพลอยโจนไปกับเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไรนัก แต่จอมโจรกับลูกน้องกลับมีสภาพสะบักสะบอม หน้าตาบวมปูด เลือดกบปาก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งอย่างหมดสภาพไปตามๆ กัน

    โธ่เอ๊ย! มันก็แค่เนี้ย ไม่เห็นจะเก่งเท่าไหร่เลย...อูย...ซี๊ด... จอมโจรพยายามกล่าวเหยียดทั้งที่ร่างกายมันบอบช้ำจนเจ็บปวดไปทั้งร่าง

    เอาล่ะ....พวกเรา โอย...ไปค้นตัวมัน เอาอาวุธออกมาให้หมด...อ๊ะ...โอย...

    ครับ ลูกพี่ อูย...ซี๊ด...

    ว่าแล้วลูกน้องทั้งสองก็เข้าทำการค้นตัวผู้ที่ถูกมัดอยู่ตามคำสั่ง สิ่งแรกที่ลูกน้องจอมโจรหยิบออกมาจากตัวมาล์ลเลอร์ใต้เสื้อโค้ทดำคือ มีดพกอันเล็กๆ จอมโจรยืนมองกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมีชัยด้วยใบหน้าอันยับเยิน

    สิ่งต่อมาที่ลูกน้องจอมโจรหยิบออกมาจากตัวของชายหนุ่มคือ ปืนเล็กๆ ธรรมดาๆ กระบอกหนึ่ง สีหน้าของจอมโจรยังไม่เปลี่ยนแปลง ต่อมาลูกน้องจอมโจรก็หยิบกระบองสามท่อนออกมาจากตัวมาล์ลเลอร์ต่อไป ดาบญี่ปุ่นเล่มยาว ปืนสั้นอีกกระบอก และชูริเคน ดาวกระจายอีกจำนวนหนึ่ง

    จอมโจรเริ่มหุบยิ้มและมองตาขวางอย่างฉงน ลูกน้องโจรยังคงหยิบของออกจากตัวมาล์ลเลอร์ต่อไป และเจอระเบิดมือ ปืนไรเฟิล ดาบสปาตาร์เล่มใหญ่ คันธนู ลูกธนู จอมโจรเริ่มเลิกคิ้ว ทำตาโตอย่างงุนงง ตกใจ เมื่ออาวุธเหล่านั้นมันเริ่มกองพะเนินสูงขึ้น และไม่มีทีท่าว่าจะหมด เมื่อลูกน้องทั้งสองยังคงควานหยิบสิ่งของนานาชนิดออกมาจากตัวของเขาไม่รู้จักจบสิ้นจนคนหยิบเริ่มจะเหนื่อยเสียแล้ว บาซูก้า ดาบยักษ์ ค้อนปอนด์ ชุดเกราะ ขีปนาวุธ ปืนเอ็มสิบหก ระเบิดแสวงเครื่อง และอาวุธครบมืออีกนับไม่ถ้วนออกมาวางเป็นกองพะเนินขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าจอมโจร

    เรดกันตาถลนและอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ที่บาร์เบียร์เล็กๆ แห่งนี้กลายเป็นคลังอาวุธสงครามไปได้ในชั่วไม่กี่นาที ไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าของเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในเสื้อโค้ทธรรมดาๆ แบบนั้นได้อย่างไร ที่ไม่เจอรถถังก็บุญเท่าไหร่แล้ว เขาช็อคจนเป็นลมสลบไปทั้งใบหน้าร่างกายที่ยับเยิน ลูกน้องทั้งสองก็ตกใจและรีบพาลูกพี่ออกไปปฐมพยาบาลข้างนอกร้านอย่างตื่นตกใจ โดยที่ทิ้งทั้งสามชีวิตที่ถูกมัดไว้ในร้านซึ่งขณะนี่ชายชราที่เป็นเจ้าของร้านไม่อยู่แล้ว เพราะหนีเอาตัวรอดอย่างชำนาญได้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่มีใครทราบ

    ..

    ..

    ..

    เมื่อทั้งสามนั่งอยู่เงียบๆ ขณะที่ยังงุนงง ทั้งมาล์ลเลอร์และลูน่าดูจะไม่ทุกข์ร้อนหรือหวาดกลัวอะไรนัก แต่เด็กหนุ่มผู้น่าสงสารที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแต่กลับต้องมาโดนจับไปด้วยนั้นกระวนกระวายร้อนรน เขาจึงโวยวายขึ้น

    อะไรกัน เป็นถึงนักผจญภัยภาษาอะไร ไหนว่าเก่งนักเก่งหนา ปล่อยให้โดนจับได้ยังไงกัน

    เด็กหญิงผู้ก้าวร้าวได้ยินกลับรู้สึกรำคาญหูกับเสียงโวยวายอย่างไร้สาระนั้น จึงตอบกลับไปเชิงประชดเหน็บแนมอย่างไม่แยแส

    ตัวเองอ่อนแอเองนี่ ไม่ว่าตัวเองล่ะที่ไม่มีปัญญาหนีให้รอดจนต้องมาโดนลูกหลงด้วย เราเป็นนักเดินทาง จะตายที่ไหนก็ไม่แปลก ในเมื่อไม่สามารถไปถึงจุดหมายที่อารยธรรมโนซได้ เราก็ไม่ใช่นักผจญภัยที่ดีอีกต่อไป ขอตายที่นี่ซะยังดีกว่า เนอะ

    ลูน่ากล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจกับชีวิต พลางหันมองหน้าขอคำสนับสนุนจากมาล์ลเลอร์เป็นนัยว่ารู้กัน แม้ว่ามาล์ลเลอร์จะตอบกลับมาเพียงร้อยยิ้มก็ตาม

    เด็กหนุ่มกลับยิ่งตกใจและลนลาน แล้วโวยวายด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิม

    เฮ้ย! แต่ผมไม่เกี่ยวกับพวกคุณนี่นา จะตายที่นี่ไม่ได้ ผมยังบริสุทธิ์ ยังไม่เคย XXX กับ XXX แล้วก็ XXX เลยนี่นา

    ถ้านายอยากรอดก็หนีออกไปเองสิ ศักดิ์ศรีของพวกเรานักผจญภัยขอตายอย่างสมเกียรติ์

    เด็กหญิงพูดพลางล้วงมือเข้าไปหยิบระเบิดมือในกระเป๋าเก็บอุปกรณ์ที่เอว

    อ๊า! ไม่นะ ฉันยังไม่อยากตายเด็กหนุ่มโวยวาย

    เอาล่ะ จะถอดชนวนล่ะนะ

    อย่า! อย่านะ! ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะนำทางไปที่ซากสุดท้ายแห่งอารยะธรรมโนซก็ได้ ช่วยฉันด้วย

    เด็กหญิงและชายหนุ่มหันมองหน้ากันและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เป็นนัยรู้กัน เด็กหญิงจึงหัวร่อออกไปย่างมีชัย

    ฮ่าๆ ดีล่ะ เมื่อได้คนนำทางมาแล้วก็ออกเดินทางกันเถอะ

    ว่าแล้วเธอก็หยิบมีดออกมาตัดเชือกออกอย่างง่ายดาย จนทุกคนเป็นอิสระจากพันธนาการ เด็กหนุ่มอึ้งไปอย่างงุนงง

    เฮ้ ถ้าหนีง่ายแบบนี้ ทำไมไม่หนีไปตั้งแต่แรกล่ะ

    ถ้าหนีแต่แรกเราก็ไม่ได้คนนำทางน่ะสิ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ เด็กหญิงกล่าวพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

    กรอด...หนอย.... เด็กหนุ่มกัดฟันด้วยความเจ็บใจ

    ฉันชื่อลูน่า เรียกลูเฉยๆ ก็ได้ ส่วนนี่มาร์จัง

    พูดพลางชี้ไปที่ชายหนุ่ม ชายหนุ่มยิ้มรับ

    แล้วนายล่ะ เธอถามต่อ

    ฉันชื่อ...โจนาธาน

    ..

    ..

    ..

    ฝ่ายของจอมโจรที่ออกไปปฐมพยาบาลกันอยู่นอกร้าน เรดกันตื่นขึ้นมาและโวยวาย

    เฮ้ย! พวกแกปล่อยพวกมันไว้ข้างในได้ยังไง ถ้าพวกนั้นหนีไปได้ล่ะก็ ฉันฆ่าพวกแกแน่

    ว่าแล้วก็ลุกพรวดพราดไปเปิดประตูร้านอย่างร้อนรน และเมื่อมองเข้าไปข้างในร้านนั้น...

    โชคดีนะเนี่ยที่พวกนั้น ยัง...

    เมื่อมองเข้าไปเขาก็เห็นเพียงเชือกขาดๆ เท่านั้น

    ยะ...อยู่....เฮ้ย!!! ไม่อยู่แล้ว

    ..

    ..

    ..

    ..

    ฝ่ายลูน่า โจนาธาน และมาร์ลเลอร์ เดินทางมุ่งหน้าไปยังซากสุดท้ายแห่งอารยะธรรมโนซทั้งที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน โดยมีโจนาธานเป็นผู้นำทาง เพื่อที่จะตามหาดาบราเชลร่าที่ร่ำลือ

    ขณะที่เดินอยู่ในป่านั้น โจนาธานก็ถามขึ้น

    พวกคุณต้องการดาบไปทำอะไร

    เด็กหญิงตอบไปทันทีอย่างเชี่ยวชาญ

    ผู้ว่าจ้างไงล่ะ มีคนจ้างให้เรานำดาบนี้ไปให้

    โจนาธานถามต่อไป

    แล้วพวกเธอรู้ประวัติของดาบนั้นหรือเปล่า

    รู้สิ ลูน่าตอบไปอย่างฉะฉานเช่นเดิม มันเป็นดาบคู่กายของผู้กล้านามว่า จัสติน สนาฟคิน’  ผู้ซึ่งสามารถผนึกปีศาจแห่งกาลเวลาไว้ใต้ซากนั้นด้วยดาบเพียงเล่มเดียว ก่อนที่อารยะธรรมจะล่มสลายเมื่อ 10 ปีก่อน

    รู้ดีจังนะ แล้วแบบนั้นถ้าไปเอาดาบมา ปีศาจจะไม่ตื่นขึ้นมารึไง

    ต่อจากนั้นล่ะถึงจะเป็นงานของเรา เธอตอบอย่ามั่นใจ และกล่าวต่อไป

    ดาบเล่มนี้จึงล้ำค่าจนใครๆ ก็อยากครอบครอง แต่กลับไม่มีใครสามารถรอดกลับมาจากสถานที่แห่งนั้นได้เลย

    รู้แบบนั้นแล้วยังจะกล้าไปกันอีกเหรอ ไม่กลัวจะไม่ได้กลับมารึไง

    โจนาธานถาม ลูน่ายิ้ม มาร์ลเลอร์ที่เดินเงียบๆ ตามมาก็ยิ้ม แล้วลูน่าก็พูดแทนเขาอีกครั้งหนึ่ง

    ก็นายเองยังยอมมากับเราเลย ไม่กลัวรึไงล่ะ

    ..........

    เขาเงียบไป เพราะว่าไม่สามารถจะให้คำตอบแก่เธอได้ มันไม่ใช่ความกลัว แต่เขาก็ไม่เคยคิดอยากจะไปที่นั่นเลย ถ้าหากว่าไม่ได้ถูกบังคับเช่นนี้

    ท่ามกลางความสงบขณะที่เดินทางเข้ามาในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยช่างจ้ออย่างลูน่าที่ตรงข้ามกับมาร์ลเลอร์ที่ตลอดมายังไม่พูดอะไรสักคำนอกจากใบหน้ายิ้มนั้น เธอก็ถามขึ้นอย่างร่าเริงเช่นเคย

    จริงสิ โจคุงเป็นนักดาบเหรอ เห็นพกดาบตลอดเวลาเลย

    โจนาธานก้มมองที่ดาบดเล็กน้อย ก่อนจะหันมาพยักหน้าตอบเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ

    อือ...ฝึกมานิดหน่อยไว้ป้องกันตัวน่ะ ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอก

    อือ...งั้นเหรอ

    เอาล่ะ ถึงแล้ว โจนาธานโพล่งขึ้นมาแล้วหยุดเดิน ขณะที่เดินอยู่ในป่าทึบนั้น

    ตอนนี้ตรงหน้าพวกเขามีเพียงต้นไม้น้อยใหญ่มากมายรายล้อม กับเหล่านกน้อยที่บินผ่านไปผ่านมา ไม่มีวี่แววของสิ่งปลูกสร้างที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีตกาล ไม่มีแม้ซากปรักหักพักของความล่มสลาย

    อะไรกัน ไม่เห็นมีอะไรเลย หลอกเรางั้นเหรอ

    ลูน่าโวยขึ้นอย่างแปลกใจ มาร์ลเลอร์ก็ได้แต่ยืนเงียบงง โจนาธานจึงรีบตัดบทแล้วอธิบาย

    เดี๋ยวสิ ฟังฉันก่อน พวกคุณคิดว่าซากสุดท้ายแห่งอารยะธรรมโนซที่กำลังจะพังแหล่มิพังแหล่จะอยู่รอดมาได้ยังไงตั้ง 10 ปี

    ลูน่าและมาร์ลเลอร์ยืนจ้องโจนาธานอย่างใจจดใจจ่อด้วยความอยากรู้ เขาจึงกล่าวต่อไป

    นั่นก็เพราะ ไม่เคยมีใครค้นพบหรือมองเห็นมันได้เลย ด้วยพลังปกป้องของดาบเพียงเล่มเดียว

    ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือออกไปในห้วงอากาศที่ว่างเปล่า แต่น่าอัศจรรย์ที่มือของเขากลับค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่านั้นเหมือนกับเวลาที่เอามือจุ่มลงไปในน้ำสีเข้มจนมองไม่เห็นมือตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปจนหายไปทั้งแขน ศีรษะ และทั้งร่าง เดินหายเข้าไปในความว่างเปล่า ราวกับเป็นประตูมิติที่ถูกเปิดออก

    ด้วยอำนาจแห่งดาบศักดิ์สิทธิ์ราเชลร่าที่แผ่พลังครอบคลุมสถานที่แห่งนี้ไว้เพื่อใช้เป็นสุสานที่กักขังจอมปีศาจร้ายเอาไว้ มันจึงพลางที่นี่เอาไว้ ไม่ให้มีใครมองเห็นและรุกล้ำเข้ามาได้ นอกเสียจากผู้เคราะห์ร้ายที่หลงเข้ามา และจะไม่มีวันได้ออกไป

    ลูน่าและมาร์ลเลอร์มองหน้ากันด้วยความฉงน แต่ก็ตัดสินใจเดินตามเข้าไปสู่ประตูมิติที่ว่างเปล่า

     

    แต่หลังจากนั้น ประตูมิติก็ยังเปิดอยู่ ทั้งสามคนหารู้ไม่ว่า มีแขกไม่ได้รับเชิญแอบตามมาและซุ่มดูพวกเขาอยู่เงียบๆ นั่นก็คือจอมโจรเรดกันและลูกน้องหน้าโง่อีกสองคน

    เฮ้ย! นั่น พวกมันเข้าไปในนั้นแล้ว

    เรดกันโพล่งออกมาด้วยความตื่นเต้น

    ต้องมีอะไรสนุกแน่....สมบัติ....สมบัติไงล่ะ เอาล่ะ พวกเราตามเข้าไปกันเถอะ

    ว่าแล้วก็ทำท่าจะก้าวเดินตามออกไปอย่างมุ่งมั่น แต่ลูกน้องทั้งสองกลับไม่ยอมตามไป พวกเขาเอาแต่ยืนมองอยู่อย่างแขยง

    มะ...ไม่ล่ะลูกพี่ ในนั้นมีปีศาจไม่ใช่รึไง

    ลูกกระจ๊อกคนหนึ่งปฏิเสธอย่างแขยง ลูกกระจ๊อกอีกคนก็เสริมขึ้น

    ใช่ๆ อาจจะมีผีก็ได้นะ

    เรดกันหงุดหงิดอย่างแรง

    อะไรกัน พวกแกปอดแหกไม่สมกับเป็นลูกน้องของจอมโจรผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าเอาซะเลย ข้าช่วยพวกแกออกมาจากคุกไม่เคยสำนึกบุญคุณกันเลยรึไง ไอ้พวกขี้คุก ไร้น้ำยา

    ลูกน้องทั้งสองไม่พอใจที่โดนเหยียดหยามเช่นนี้ จึงตะคอกตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว

    ชิ! ยังไงพวกเรามันก็แค่ขี้คุก คนเลวๆ อย่างพวกเราไม่มีคำว่าบุญคุณ เราขอรักษาชีวิตเลวๆ ของเราอยู่ต่อไป ดีกว่าตามจอมโจรจอมปลอมหลงตัวเองอย่างแกไปตาย

    อดทนมานานแล้วเฟ้ย ถ้าอยากไปก็ไปคนเดียวเด้

    หนอย....ได้ งั้นต่อจากนี้ เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว อยากจะไปไหนก็ไปเลย ไป๊!”

    เรดกันกล่าวไล่อย่างแค้นเคือง แต่ลูกน้องทั้งสองกลับไม่ได้สะทกสะท้าน

    เออ ไม่ไล่ก็ไปอยู่แล้ว ไอ้โจรกระจอก ถุย!”

    ว่าแล้วลูกกระจ๊อกทั้งสองก็เดินจากไปโดยไม่แยแส

    โธ่เอ๊ย! ไอ้พวกเนรคุณ ไปคนเดียวก็ได้วะ จะได้รวยคนเดียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    ว่าแล้วเรดกันก็เดินตรงไปยังประตูมิติที่มองไม่เห็นนั้นอย่างไม่แยแสเช่นกัน

     

     

    ฝ่ายลูน่า โจนาธาน และมาร์ลเลอร์ผ่านข่ายเวทย์มนต์นั้นเข้ามาภายในซากสุดท้ายแห่งอารยะธรรมโนซ ตรงหน้าพวกเขามีแต่กำแพงทึบ หันกลับไปมองข้างหลังที่เพิ่งจะทะลุข่ายเวทย์ออกมาก็กลายเป็นกำแพงทึบ ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ แลไปทางขวาจะเป็นบันไดลาดลงไปยาวมาก และมืดจนมองไม่เห็นปลายทาง พวกเขาทั้งสามจึงต้องเดินลงบันไดไป โดยไม่ได้เอะใจว่ากำแพงทึบที่พวกเขาเพิ่งผ่านเข้ามานั้น แท้จริงภายนอกยังเปิดรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญอยู่อีก

    ------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×