ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Le Journal d'un Garçon Perdu บันทึกของเด็กหลงฝรั่งเศส

    ลำดับตอนที่ #8 : ไดอารี่ของเด็กหลงปารีสที่ 7

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 57



    16 Août 2014

    ครบหนึ่งอาทิตย์เป็นที่เรียบร้อย เวลาผ่านไปเร็วมาก

    วันนี้เป็นอีกวันนึงที่ตื่นสาย(อีกแล้ว) เพราะว่าเมื่อคืนคุยกับ ออม ที่ไปแลกเปลี่ยนที่อมเริกา คุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวกันหลายๆเรื่อง จนกว่าจะนอนก็นู่นแหละ ตีหนึ่งเศษๆวันนี้เลยตื่นสายมากพอตัว แถมวันนี้ตื่นมาเจ็บขาอีก เพราะว่าเมื่อวานเดินมากเกินไปหน่อย (ไม่หน่อยละล่อไปซะรอบเกาะ) ที่วันนี้นัดไว้บ่ายกว่า เลยได้ว่างทั้งเช้า

    เนื่องด้วยความว่าง วันนี้เราเลยตัดสินใจไปร้านซักรีดใกล้บ้าน ก็เลยไปบอกโฮสว่าจะไปซักผ้า โอสก็บอกว่าต้องเลือกอุณหภูมิขนาดไหน แล้วถามว่าเอาถุงไปใส่เสื้อมั้ยก็บอกไม่ต้องใหญ่ก็ได้ พอได้ถุงมา ขนาดได้ใหญ่กว่าที่อยากได้แล้วยังใส่แทบไม่ได้เลยแล้วพอเอาเสื้อที่จะซักใส่ถุงเรียบร้อย ก็ออกไปที่ร้านซักรีด เป็นร้านแบบหยอดเหรียญ แถมรับแบงค์ด้วย พอเข้าไปแล้วนี่แบบ เงียบ ไม่มีคนเลย ก็ไม่เป็นไร แล้วเริ่มจากไปที่ตู้ซัก แล้วก็.....ทำไงวะ เลยอ่านวิธีใช้ที่เป็นภาษาฝรั่งเศส ก็งงเลยไง แปลได้บ้างไม่ได้บ้าง ท้ายที่สุดก็ผ่านมาได้ วิธีใช้คือ กดปุ่มเปิดตู้ แล้วก็เอาเสื้อยัดเข้าไป ปิดตู้ เลือกอุณหภูมิน้ำ ใส่ผงซัก/น้ำยาซัก แล้วก็เดินไปที่ตู้หยอดเหรียญ แล้วเลือกหมายเลขเครื่องซัก หยอดตังตามที่บอก อย่าถามว่าทำไมโง่ บอกเลยว่า ดิส อิส ซักร้านหยอดเหรียญ เฟิร์สไทม์ (แถมยังลืมเอา Pass Navigo ออกจากกระเป๋ากางเกงด้วย ดีนะที่ไม่เละตุ้มเป๊ะไป)

    หลังจากซักผ้าเสร็จก็มานั่งต่อในห้องเพื่อรอเวลาที่จะออกไปตามนัด พอได้เวลาก็ออกจากบ้าน โดยที่ 1 เจ็บเท้าแบบสุดชีวิต 2 โฮสบอกให้ลองเดินไปขึ้นบัสสาย 94 ที่ใกล้ๆกับ ศูนย์การค้าในย่าน Levallois คือ So Ouest ก็เลยลากสังขารไปดูว่าสาย 94 มันอยู่ตรงไหนยังไง เพราะว่าบางทีอาจจะต้องได้ใช้ พอไปถึงเท่านั้นแหละ อื้อฮือ สถานีอยู่ไหน หาไม่เจอ ก็เดินจนกระทั่งเจอบัสสาย 94 ปลายทาง Gare Montparnasse แล้วมันเป็นปลายทางที่ต้องไปพอดี โอ้แม่เจ้า สภาพตอนนั้นคือ บัสจอดที่สถานีแล้ว ส่วนเรากำลังลากสังขารหอบแฮ่กๆอยู่อีกฝั่งนึง ระยะห่างประมาณ 50 เมตร คือไปไม่ทันแล้วแน่ๆ ณ จุดนั้นคือ ยิ้ม...... แล้วก็ไปดูว่าบัสต่อไปอีกนานเท่าไหร่........17 นาที ทำหน้าป้าไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น เลยตัดสินใจลากสังขารต่อเพื่อไปที่เมโทร Louis Michel โดยที่ไปอีกทางนึงที่มากจาก Trézel ตอนนั้นคิดเลยว่า เอาวะ เดินไปเรื่อยๆ ไม่เจอบัส ก็เจอเมโทร ถึงแม้มันจะมีโอกาสเจอได้แค่สองสถานีก็คือ Anatole France หรือ Louis Michel เท่านั้นก็เดินไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเดินไปไงไม่รู้ ไปโผล่ที่ Rue Jean Jaurès น้ำตาแทบไหล ปาดทิ้งแปป ฟิลลิ่งมีแรงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึงที่เมโทร พอไปถึงนี้แบบ นั่งยาวๆ จนถึง Malesherbes (ชื่อเมโทรนี่ตอนแรกอ่านตามที่ได้ยินนะคือ เมลล์แชบ แต่วันก่อนไปที่ไปเจอฝรั่งพูดไทยได้อะ คนที่กำลังฝึกเกาหลีบอกว่า ออกเสียงว่า มาเลแชบ (ดูปากณัชชานะคะ มา เล แชบ มาเลแชบ)) แล้วก็ขึ้นมาจากเมโทรแล้วเดินไปที่โรงแรมของพี่ต่อ (นัดกันไว้ที่ล็อบบี้) พอเดินไปจะถึงแล้วก็เจอเปี่ยม แบบชัดมาก ใส่ดำทั้งตัวแล้วรองเท้าแดงอยู่อนเดียว กำลังจะเดินเข้า G20 ก็เลยหอบสังขารอะเกนวิ่งตามเข้าไป พอทักเปี่ยมเท่านั้นแหละ อื้มมมมมมมมมมมมมม มาเลยจ้า ถามว่า “ไปไหนมา ทำไมถึงไม่เจอ ไปอยู่ไหนมา คือตอนนั้นมีหลายเหตุมากเลยนึกว่ามิกจะไม่สบายกลับไปก่อน หรือโดนฉุด(? ณ ตอนนี้ยังคงงงกับความคิดนี้ไม่หาย)” คือตอนนั้นนี้แบบซึ้งใจกับความเป็นห่วงนี้มาก เพราะปกติคอยแต่เป็นห่วงคนอื่น(แต่ไม่แสดงออก) ไม่ค่อยคิดว่าจะมีใครเป็นห่วงเราสักเท่าไหร่ พอออกมาก็เจอ หยงกับออม มาแนวเดียวกันเลย ซักพักก็พี่ต่อกับจ้า แนวเดียวกันอีก แล้วก็จบด้วย ภัค กับ แคน แคนนี่แบบเดินมาแล้วก็คำเดียวเลย มิก เพราะนอกนั้นภัคต่อซะจบเลย

    หลังจากที่เจอกันครบแล้ว ก็ไปลงเมโทรที่ Malesherbes เพื่อไปโผล่ที่  Arts et Métiers แล้วจะไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารจีน แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์นึงขึ้นคือ ตอนขึ้นเมโทร เราถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม สี่สาว แคน หยง ออม จ้า ไปอยู่หัวโบกี้ กับกลุ่มเรา พี่ต่อ เปี่ยม ภัค อยู่ท้ายโบกี้ แต่อยู่โบกี้เดียวกัน พอถึงที่สถานี Opéra แก้งสี่สาวกำลังจะลง ยังดีที่พี่ต่อห้ามไว้ได้ทัน แต่ว่าตอนที่ประตูกำลังปิดนั้น หยง อยู่ที่นอกโบกี้รถเมโทร แล้วก่อนรถออก หยงก็ได้ไปตรงที่ที่พี่ต่ออยู่ แล้วพี่ต่อ ก็ทำท่าทางบอกว่า ลงที่ Arts et Métiers  โดยการวาดมือเป็นรูปตัว A ที่กระจก แล้วพอรถออก เราก็ตกลงกันว่า จะลงที่สถานีต่อไปเพื่อรอหยง แล้วก็แบ่งกันออกไปดูตามโบกี้ตอนที่รถจอด ยังดีที่วันนี้สถานีนั้นคนแทบไม่มีเลย พอรถมาเราที่อยู่หัวขบวนสุดก็ดูๆ ไม่เห็นมี แต่ทางพี่ต่อกับตนอื่นส่งสัญญาณให้ขึ้น เราก็ขึ้น ตอนแรกจะไปขึ้นโบกี้เดียวกับพี่ต่อ แต่ว่าตอนนั้นคิดว่าไม่ทัน เลยกลับมาขึ้นอันที่ใกล้ที่สุดแทน ตอนขึ้นมาแล้วก็ส่งซิกคุยกันว่า แม่มสุดๆไปเลย

    ออกมาจากเมโทร Arts et Métiers แล้วก็ดินต่อไปอีกนิดนึงที่ Rue de Mairie ก็จะเจอกันถนนที่มีแต่ร้านอาหารจีนเต็มไปหมด แล้วพวกเราก็เลือกร้านนึงด้วยเหตุผลที่ว่า มีคนเข้าเยอะมาก แน่นตลอด พอเราเข้าไป เราก็สั่งอาหารแบบ อังกฤษบ้าง ฝรั่งเศสบ้าง คนขายคงงงใช่เล่น ตอนกินนี้แบบบอกเลยว่า กินเยอะที่สุดในรอบสัปดาห์ กินจนอิ่มมากจนเกือบตัน พอกินเสร็จก็จ่ายตังแล้วนั่งต่ออีกแปปนึงในร้าน จนพนักงานมาบอกว่า C’est fini ? ประมาณแบบไล่แล้วก็ออกจากร้านไป ตอนออกากร้านนี้ก็ประมาณบ่ายสามอยู่ รู้สึกเลยว่าเวลาดีๆมักผ่านไปเร็วเสมอ

    หลังจากออกาจากร้านแล้ว เราก็ไปช็อปปิ้งกันต่อที่ย่าน Hôtel de Ville เดินดูของนิดๆหน่อยๆ ส่วนมากจะเป็นเดินตามคนอื่นไปเรื่อแล้วก็จากไป

    หลังจากนั้นเราก็ไปเดินต่อที่ l’île saint Louis โดยเดินผ่าน Hôtel de Ville ไปที่ Notre Dame แล้วก็เดินออกด้านข้างไปยังเกาะ อิลแซงหลุย แล้วพอถึงอิลแซงหลุย เราก็ไปหาร้านไอติมชื่อดัง คือ Berthillon ตอนแรกว่าจะไม่ซื้อหรอกนะ แต่ว่าตอนที่ภัคไปต่อแถวอีกร้านนึง (สี่สาวไปต่ออีกร้านนึง) ภัคเลยบอกให้ซื้อด้วย เลยไปสอยมาอีกสองลูก คือ รสมิ้น กับ รสราสเบอรรี่ พอได้ไอติมมากินเล่นกันแล้ว เราก็ไปเดินเล่นกันต่อที่เลียบแม่น้ำ Seine แล้วเราก็ถ่ายรูปตรงนั้น เห็นมุมด้านหลังของ Notre Dame ก็สวยไปอีกแบบนะ หลังจากนั้น พี่ต่อกับเราแล้วก็เปี่ยมก็แยกกันออกมาก่อน เพราะว่าสาวๆจะถ่ายรูปต่อ แล้วกลัวจะนาน(ตอนนั้นเริ่มเพลียๆละเลยกะกลับด้วยเลย) เลยเดินไปดูสะพานที่หลัง Notre Dame ที่เขามีแขวนกุญแจกันเยอะๆ แถมวันนี้มีคู่แต่งงานมาล็อคกุญแจที่นี่ด้วย พอลงจากสะพาน เราก็เลือกที่จะเดินเข้าไปดูในสวนหลัง Notre Dame แล้วในสวนนี้ก็มีคู่แต่งงานอีกคู่นึงมาถ่ายรูปเหมือนกัน แล้วเราก็เดินไปเรื่อยๆจนกลับมาที่ Hôtel de Ville เพื่อที่จะลงเมโทกลับบ้าน แต่ก่อนที่จะลงเมโทร เห็นมีเดินขบวนกันด้วย แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับอะไร เราเลยลงเมโทร แล้วแยกย้ายกันกลับบ้านไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×