คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตอนที่ 2
เสียงบรรเลงเพลงสรรเสริญดังนำหน้าขบวนเสด็จอันยาวเหยียดและยิ่งใหญ่เพื่อให้สมพระเกียรติของกษัตริย์แห่งวาริเอนเป็นที่แน่ชัดว่าปลายทางของขบวนเสด็จนี้คือจัตุรัสกลางเมืองหลวงอันเป็นลานประกอบพิธีสำคัญ
"ข้าคิดว่าคนจะน้อยกว่านี้ซะอีกนะ" เด็กหนุ่มท่าทางสูงศักดิ์กล่าวกับชายวัยกลางคนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา
"ผู้คนย่อมต้องการมาชื่นชมพระบารมีของพระองค์พะยะค่ะ"ชายวัยกลางคนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาโดยยังคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือโบราณที่อยู่ในมือของเขา
"ข้าแค่คิดว่าถ้าเป็นพี่จะเป็นอย่างไรน่ะ"เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงเศร้าลงเล็กน้อย
"อย่าได้กังวลเลยพระองค์พระเชษฐาของพระองค์ย่อมอำนวยพรให้อยู่เบื้องบนเป็นแน่"ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมเงยหน้ามาสบตาเด็กหนุ่มและแสดงแววตาเห็นใจ
"ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด.."เด็กหนุ่มแสร้งมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าที่เคลื่อนไปอย่างช้าๆด้วยไม่อยากสบตากับอีกฝ่าย ภายนอกรถม้านั้นสองข้างทางรายรอบด้วยผู้คนที่ยืนออเบียดกันเพื่อมาดูขบวนเสด็จที่ไม่เห็นบ่อยนักแม้จะเป็นในเมืองหลวงเองก็ตามเพราะการประลองเลือกองครักษ์ประจำพระองค์นั้นจะมีเพียงหนึ่งครั้งต่อกษัตริย์หนึ่งองค์และจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้เป็น
เพราะองครักษ์ประจำพระองค์นี้ตามธรรมเนียมของอาณาจักรจะต้องถวายรับใช้ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ขบวนเสด็จในครั้งนี้จึงเป็นไปตามพระราชพิธีดั้งเดิมที่แม้กระทั่งรถม้าก็ต้องประดับประดาให้สมกับเป็นพิธีโบราณ
ที่จัตุรัสกลางเมืองตอนนี้นั้นก็คับคั่งไปด้วยผู้คนที่ต่างมาเพื่อร่วมชมงานประลองคัดเลือกองครักษ์และยังมีการรับสมัครทหารอาสาที่จะเข้ากรมกองเพื่อฝึกเป็นกองทหารอาสาแนวหน้าแห่งอาณาจักรเพื่อในคราวที่มีสงครามมาถึงอาณาจักรแล้วนั้นกองทหารนี้จะรบในแนวหน้าทุกสมรภูมิ
ไม่นานนักขบวนเสด็จของกษัตริย์องค์ใหม่ของวาริเอนก็เคลื่อนมาถึงจัตุรัส กองทหารตั้งแถวรับเสด็จพร้อมบรรเลงเพลงสรรเสริญเหล่าขุนนางที่นั่งอยู่บนแท่นชมก็ต่างลุกขึ้นยืนตัวตรงเมื่อได้ยินเสียงดนตรี พลันประตูรถม้าก็เปิดออกกษัตริย์เสด็จลงจากรถม้าและทรงเสด็จตามทางที่ปูด้วยพรมสีม่วงแก่และรายล้อมด้วยทหารที่ตั้งแถวอยู่ข้างทางถัดจากแถวทหารนั้นก็จะเป็นขุนนางชั้นรองที่ไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปนั่งบนแท่นชมและถัดออกมาจะเป็นเหล่าชาวบ้านทั่วไปทางเดินนี้ไม่ยาวมากนักแต่ก็ทำให้กษัตริย์หนุ่มรู้สึกกดดันจากสายตานับร้อยที่จ้องมาที่ตนและรู้สึกราวกับว่าทางเดินนี้ยาวจนชั่วเวลาที่เดินนั้นนานนับปีเลยทีเดียว
สุดท้ายกษัตริย์และราชครูก็มาถึงที่พระแท่นชมการประลองที่อยู่สูงกว่าของขุนนางและเหล่านักบวชเพื่อทรงชมการประลองพระองค์ทรงหยุดยืนรอรับการคำนับจากเหล่าอำมาตย์และนักบวชชั้นสูงก่อนจะขึ้นไปถึงที่ประทับ
พระองค์ทรงรู้ดีถึงความกะทันหันในการขึ้นครองบัลลังก์ของพระองค์ที่ทำให้คนเหล่านี้ต่างยังไม่ยอมรับในตัวพระองค์และหวังจะหาผลประโยชน์จากพระองค์
คงเป็นเรื่องธรรมดากระมังที่ทุกอย่างดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้ให้พร้อมสรรพเพื่อในกรณีที่กษัตริย์สวรรคตจะต้องมีกษัตริย์องค์ต่อไปทันที
เช่นเดียวกับพระเชษฐาของพระองค์ที่เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้พระองค์ยังเป็นแค่รัชทายาทและไม่แม้แต่จะมีขุนนางคนใดสนใจพระองค์เลย
แน่นอนว่าด้วยอายุที่ใกล้เคียงกับพระเชษฐาพวกเขาคงคาดว่าอีกไม่นานกษัตริย์จะทรงมีรัชทายาทองค์ใหม่และความสำคัญของน้องชายจะลดลงไปเรื่อยๆ
แน่นอนพระองค์ทรงคิดไว้ว่าพระองค์จะขอร้องต่อพระเชษฐาให้น้องชายคนนี้ไปพำนักให้ไกลจากราชสำนักที่วุ่นวายและแก่งแย่งนี้เสียที
แต่แล้วทุกอย่างกลับหัวกลับหางไปเสียหมดเมื่อพระองค์ได้รับข่าวการเสียชีวิตกะทันหันของพระเชษฐาพวกขุนนางรายงานว่าปืนของพระองค์เกิดขัดข้องระหว่างเสด็จออกล่าสัตว์แล้วมันก็ระเบิดออกใส่พระองค์เอง หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ มันเป็นเรื่องโชคร้ายสำหรับเด็กคนหนึ่งที่ต้องเสียพี่ชายไป
'ปืนของพี่ทำร้ายพี่เองงั้นรึ หรือมีใครอื่นที่ทำร้ายพี่....’ กษัตริย์พึมพำอยู่ในความคิดของตนเอง
“สังฆราช” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นจนทำให้พระองค์ตื่นจากภวังค์
“สังฆราชทำไมรึ ท่านราชครู”กษัตริย์เอ่ยถามต้นเสียง
“พระองค์ไม่สังเกตหรือพะยะค่ะ วันนี้พระสังฆราชไม่มาร่วมงานนะพะยะค่ะ”
“ท่านสังฆราชคงป่วยกระมัง”
“ท่านติดธุระนิดหน่อย ฝ่าบาท” มีเสียงหนึ่งสอดขึ้นมาระหว่างการสนทนาระหว่างกษัตริย์กับราชครูที่ปรึกษาของพระองค์
“ท่านวานให้กระหม่อมมาทูลว่าจะตามมาภายหลัง” เจ้าของเสียงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโค้งตามธรรมเนียม
“คุณพ่อ เราขอบใจที่ไขข้อข้องใจนะ”องค์กษัตริย์ตอบตามธรรมเนียม
“เอ่อ พระองค์นอกจากนี้สังฆราชยังมีข้อความฝากมาถึงพระองค์โดยเฉพาะพะยะค่ะ” นักบวชพูดโดยเน้นน้ำเสียงที่ว่าโดยเฉพาะพร้อมกับหันไปมองราชครูที่กำลังทำท่าทางตั้งใจฟังชั่วครู่หนึ่งก่อนหันมาหากษัตริย์
“ถ้าเช่นนั้นหม่อมชั้นขอตัวพะยะค่ะ” ราชครูเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปทักทายขุนนางคนอื่น
“เอาว่ามาสิ” กษัตริย์เร่งนักบวชอย่างหน่ายๆ กับท่าทีมีลับลมคมนัยของขุนนางกับพวกพระนี่เสียเหลือเกิน
“ท่านสังฆราชว่า ก่อนท่านจะเสด็จมาถึงที่ลานประลองขอให้พระองค์ได้โปรดชะลอการเลือกองครักษ์ส่วนพระองค์ไปก่อนน่ะพะยะค่ะ”
“ทำไมล่ะ ถ้าข้าไม่เลือกแล้วใครจะเลือกท่านสังฆราชรึ”กษัตริย์เลิกคิ้วขึ้นแล้วเน้นเสียงเข้มขึ้นเพราะดูเหมือนสังฆราชจะก้าวก่ายหน้าที่ของตนมากเกินไปแล้ว
“หามิได้แต่ท่านสังฆราชว่า คนที่ร่วมประลองล้วนเป็นคนในปกครองของหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของราชครูทั้งนั้น ” นักบวชขยับตัวเข้ามาใกล้และกระซิบบอกความลับโดยใช้มือป้องปาก สิ่งที่นักบวชบอกทำให้องค์กษัตริย์ถึงกับฉงนเต็มที
“พระองค์ก็ทรงสงสัยใช่มั้ยพะยะค่ะ”
“ท่านสังฆราชคงคงคิดมากไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆแต่เราจะยับยั้งการตัดสินใจของเราไว้ก่อนจนกว่าตะวันจะตกดิน หลังจากนั้นแล้วหากท่านสังฆราชไม่มาเราก็จะเลือก ฝากไปบอกท่านด้วยล่ะ” กษัตริย์หนุ่มตรัสก่อนจะหันไปเรียกราชครูกลับมานั่งที่ตน
“งั้น...กระหม่อมทูลลา”นักบวชยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโค้งแล้วถอยหลังจากองค์กษัตริย์มา
นักบวชเดินลงจากแท่นชมการประลองอย่างทุลักทุเลเพราะผู้คนเริ่มมากันเยอะแล้ว เมื่อลงมาถึงพื้นดินนักบวชก็เดินลัดไปทางด้านหลังแท่นชมเขากวักมือเรียกเด็กรับใช้ที่ยืนคอยท่าอยู่เป็นเวลานานแล้วให้มาหาตนก่อนที่เอามือล้วงเข้าไปในชายเสื้อเพื่อหยิบกระดาษสีแดงส่งให้กับเด็กรับใช้
“เอาสิ่งนี้ไปให้องค์สังฆราชและบอกกับท่านว่า ข้าขอกำชับว่าก่อนพระอาทิตย์ตกดิน”
“ขอรับนายท่าน”
“ไปได้แล้ว และอย่าทำม้วนกระดาษนั่นหายเข้าใจมั้ย”
“ขอรับนายท่าน” เด็กรับใช้เอาม้วนกระดาษซุกไว้ที่เสื้ออย่างดีก่อนจะวิ่งจากจัตุรัสเพื่อไปยังที่พำนักพระสังฆราชในอารามหลวง
นักบวชยืนรอจนแน่ใจแล้วว่าเด็กรับใช้ออกไปจากจัตุรัสแล้วจึงหันหลังเดินกลับขึ้นไปบนแท่นชมการประลองอีกครั้ง เขาเดินไปนั่งยังที่ของตัวเองที่ไม่ไกลกษัตริย์นักก่อนจะชะโงกตัวไปยิ้มอย่างมีชัยให้ราชครูที่ชะโงกหน้ามามองเขาเช่นกันแน่นอนว่าองค์กษัตริย์ก็ทรงสังเกตเห็นการแก่งแย่งกันเอาอกเอาใจพระองค์ทั้งจากฝ่ายขุนนางและฝ่ายศาสนจักร
“เห็นได้ชัดว่าท่านกังวลใจนะที่ท่านอธิการขอคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวน่ะ”
“หามิได้ หม่อมชั้นแค่ไม่ต้องการให้ใครเพ็ดทูลเรื่องไม่เป็นเรื่องให้ทรงเคืองขุ่นพระราชหฤทัย”
“อย่ากังวล เราหนักแน่นพอและไตรตรองเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดีในวันเช่นนี้”
“เช่นนั้น...” ก่อนที่ราชครูจะพูดจบกษัตริย์ก็ทรงยกพระหัตขึ้นห้าม
“ได้เวลาเรากล่าวเริ่มงานแล้วไม่ใช่รึ เรื่องของท่านเรายังมีเวลาคุยกันบนรถม้า” กษัตริย์กล่าวก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังแท่นพิธีเพื่อกล่าวเริ่มการประลอง
อีกด้านหนึ่งอิงค์เด็กรับใช้ผู้ต่ำต้อยรีบวิ่งจากจัตุรัสเพื่อนำสารของท่านสังฆาธิการไปส่งให้แก่พระสังฆราชโดยเร็วเขาวิ่งตัดตรงจากลานประลองเข้าถนนที่ผ่านตลาดค้าทาสเพื่อไปยังอารามพระสังฆราชให้เร็วที่สุดตลอดเส้นทางมีทั้งการประกาศขายทาส มีทั้งหญิงสาวที่ออกมายั่วยวนให้ผู้ชายจ่ายเงินเพื่อเสพสมกับเจ้าหล่อน บางคราวอิงค์เองก็เห็นพระชั้นผู้ใหญ่มาที่ละแวกนี้เช่นกัน แม้ถนนนี้จะเป็นหนึ่งในเส้นทางหลักแต่ด้วยความไร้ระเบียบแห่งชุมชนแห่งนี้ ทำให้เส้นทางเล็กลงจากสิ่งของที่วางเกะกะตามหน้าร้านต่างๆทั้งเวทีขายทาสของแต่ละร้านและสิ่งของพวกนี้เพิ่มความยากลำบากในการเดินทางเป็นขบวนอย่างมาก
ด้วยความเร่งรีบเขาวิ่งไปชนกับกลุ่มชายร่างกายกำยำที่ยืนเลือกดูทาสสตรีอยู่เมื่ออิงค์เพ่งพินิจจึงรับรู้ได้ว่าพวกนี้คือทหารของราชครู เป็นที่รับรู้กันทั่วไปในอาณาจักรว่า ราชครูโรเบิร์ตต้องการอำนาจบริหารทั้งหมดเพื่อกอบโกยเอาความมั่งคั่งใส่ตัวอย่างน้อยๆนี่ก็คือสิ่งที่เขาได้ยินมาจากอารามนักบวช แม้ข่าวจากฝั่งขุนนางจะว่าสมเด็จสังฆราชท่านหวังจะครองทั้งสองบัลลังก์เองก็ตามที แม้จะมีเรื่องบาดหมางกันลึกๆแต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากันแล้วทั้งสองท่านต่างแสดงอาการสนิทสนมกันจนน่าขนลุกถึงจะเป็นอย่างนั้นเหล่าข้ารับใช้นั่นล่ะที่ไม่ยอมประนีประนอมเหมือนเจ้านายถ้าได้เจอหน้ากันแน่นอนว่าต้องมีเรื่อง แต่ตอนคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆถ้าเขามีเรื่องกับคนของราชครูในเวลานี้
"ขออภัยนายท่าน ข้าน้อยไม่ทันมอง" อิงค์รีบกล่าวขอโทษแล้วโค้งตัวลงต่ำก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงออกมา
"เห้ย เดี๋ยวก่อนเจ้าน่ะ คิดจะจากไปง่ายๆรึ รู้มั้ยว่าชนใครเข้าน่ะ" ชายร่างกำยำคนหนึ่งถามเขาพร้อมกับเอามือมาดึงเขาไว้
"ข้าน้อยขออภัยจริงๆ อย่าลงโทษข้าน้อยเลยขอรับ " อิงค์กล่าวขอโทษพร้อมนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าทหารพวกนั้น
"ท่าทางเจ้าน่าสงสัย จะรีบไปไหนรึ " ทหารอีกคนที่ดูท่าทางเป็นมิตรกว่ากล่าวถาม
"บอกธุระเจ้ามาสิ ทำไมถึงรีบร้อนนักหนาจนวิ่งมาชนพวกเราที่กำลังตรวจตราความเรียบร้อย"ทหารที่ดูท่าทางจะเป็นหัวหน้าหน่วยถามอิงค์แต่สายตายังคงมองดูทาสสาวๆที่อยู่ในตลาด
"ข้าน้อยต้องรีบไปส่งจดหมายให้ท่านสังฆาธิการขอรับ" อิงค์โกหกเพื่อปกปิดถึงหน้าที่แท้จริงของเขา
"จดหมายรึ มีค่ามากกว่าชีวิตเจ้ารึเปล่าล่ะ ขี้ข้าศาสนจักร" หัวหน้าทหารกล่าวเหยียดเด็กรับใช้พร้อมกับหันมามองเขาด้วยสายตาอันเหยียดหยันเต็มที
"มากกว่าอยู่แล้วขอรับ บางทีมากกว่าชีวิตพวกท่านด้วยซ้ำไป" อิงค์ส่งสายตาอำมหิตกลับคืนไปที่หน่วยทหารนั้น ถึงแม้อยากจะเลี่ยงการต่อสู้แต่ดูเหมือนว่าเมื่อเขาเปิดเผยหน้าที่ตนยิ่งทำให้พวกทหารอยากจะทำร้ายเขามากขึ้น
"กล้ามากไอ้ขี้ข้า" หัวหน้าทหารเงื้อดาบจะฟันอิงค์ แต่เขาฉวยเอาแท่งเหล็กที่เอาไว้ตีตราทาสมารับไว้ทันแต่ตอนนี้ปลายดาบทุกเล่มของทหารก็ชี้มาที่เขาแล้ว
“ข้าน้อยต้องขออภัยหากแต่พวกท่านบังคับข้าน้อยเองวางดาบลงแล้วปล่อยข้าน้อยไปเถอะขอรับ”
อิงค์กล่าวต่อรองขณะที่เขาชี้ไปเหล็กที่ร้อนจนเป็นสีแดงส้มเต็มที่ไปที่หัวหน้าทหาร
“เรื่องมันไม่จบง่ายๆหรอกนะเจ้าขี้ข้า”หนึ่งในพวกนั้นตะโกนออกมา
ตอนนี้ตลาดค้าทาสที่ปกติดูวุ่นวายอยู่แล้วกลับวุ่นวายหนักกว่าเดิมเมื่อแทนที่ผู้คนจะหลบหนีการทะเลาะวิวาทนี้กลับเข้ามารุมล้อมวงเพื่อดูการวิวาทนี้เหมือนเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง
“ฆ่ากันเลยไอ้พวกลูกหมาทั้งสองคอก ฮ่ะฮ่า”มีเสียงหนึ่งตะโกนออกมาจากฝูงชน
แต่ก่อนที่เรื่องจะบานปลายดูเหมือนการวิวาทครั้งนี้จะอยู่ในสายตาของบางคนที่ผ่านมาทางนี้
“หยุดก่อนทุกท่าน” เสียงตะโกนดังมาจากเบื้องบนทำให้ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วปะทะกับแสงส่วางจากดวงอาทิตย์ที่เปล่งรัศมีเต็มที่ในเวลานี้
เจ้าของเสียงคือนักบวชในชุดผ้าคลุมสีทองขาวที่บ่งบอกชัดเจนถึงระดับชั้นของผู้สวมใส่และความไว้วางใจจากองค์สังฆราชโดยตรงเขากระโดดลงมาจากหลังคาของตึกแถวนั้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนที่เขาจะลงถึงพื้นดูเหมือนเขาปล่อยอะไรบางอย่างจากมือเมื่อมันกระทบพื้นก็ระเบิดออกทำให้บริเวณนั้นมีแต่ควันอยู่ระยะหนึ่งเมื่อควันจางลงเขาก็ยืนอยู่อย่างสง่างาม
"เจ้ามีธุระรีบทำไม่ใช่รึ เจ้าทาส ทำไมมาทะเลาะกับทหารของท่านราชครู" เจ้าของเสียงนั้นเอ่ยกับเด็กรับใช้
"หามิได้นายท่าน ข้าได้ขออภัยพวกนี้แล้วแต่ยังไม่ยอมเลิกยุ่งกับข้าเสียที"อิงค์รีบก้มหัวเป็นการขออภัยแก่นักบวช
"เจ้ารีบไปเถอะ ข้าจะเจรจาให้เอง"นักบวชหันไปพูดกับอิงค์แล้วหันมาหาพวกทหาร
"แต่ว่า.." อิงค์แสดงอาการเกรงใจ
"หุบปากแล้วจงไปซะ" นักบวชหันไปตวาดใส่เด็กรับใช้อย่างเสียอาการสงบเมื่อครู่
"ขอรับ" อิงค์ยอมตามคำสั่งแต่โดยดีแม้จะขุ่นข้องเล็กน้อยที่อยู่ๆนักบวชก็มาแย่งเหยื่อของเขาไป
"เอาล่ะ ท่านสุภาพบุรุษ ข้าคือนักบวชฝึกหัด นามว่า ซูโบทัส ข้าขออภัยแทนคนไร้มารยาทของศาสนจักรด้วยขอรับ"เขากล่าวพร้อมยิ้มและก้มหัวให้เป็นการขอโทษ
"เราเห็นแก่ ท่านนักบวชฝึกหัด จะไม่เอาความ แต่อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก พวกท่านต้องดูแลคนในปกครองให้ดีถึงนั่นจะเป็นแค่คนรับใช้ก็ตามอย่าปล่อยให้มันกำแหง" หัวหน้าทหารเน้นเสียงฝึกหัดอย่างเห็นได้ชัดเพื่อจะยั่วโทสะนักบวช ก่อนที่จะสั่งให้ทุกคนเก็บดาบด้วยไม่อยากจะมีปัญหาเนื่องจากหากพวกเขาฆ่าเด็กรับใช้คงไม่มีเรื่องอะไรแต่ถ้าฆ่านักบวชคงเป็นเรื่องใหญ่
"ถ้าเช่นนั้นขอให้เลิกแล้วต่อกันนะขอรับ" ซูโบทัสยิ้มกลบเกลื่อนความโกรธที่พุ่งขึ้นจากการถูกหลู่เกียรติทั้งของตนและของศาสนจักร
"ได้ แต่อย่าให้พวกข้าเจอไอ้เจ้านั่นอีกไม่งั้น ดาบข้าต้องได้อาบเลือด" หัวหน้าทหารยังวางท่าแม้เมื่อสักครู่พึ่งจะถูกนักบวชช่วยชีวิตไว้
"หวังว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้นขอรับ" ซูโบทัสยืนยิ้มจนพวกทหารเดินจากไป
'หึ ถ้าพวกเจ้าได้เจอไอ้เจ้าทาสที่ถูกฝึกโดยนักบวชแบบเจ้านี่อีกมันได้เอาเลือดพวกเจ้าเซ่นดาบตัวเองแน่ๆ ช่างไม่รู้อะไรเลยไอ้พวกทหารขี้ครอกพวกนี้' ซูโบทัสสบถอยู่ในใจก่อนจะหันหลังไปพยักหน้าให้นักบวชฝึกหัดที่หลบซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆเพื่อเป็นสัญญาณว่าเส้นทางได้ถูกจัดการให้ปลอดภัยจะขนย้ายร่างเด็กสองคนเพื่อไปส่งแก่ท่านสังฆราช
ในตอนแรกที่รับคำสั่งมาเขาได้แต่คิดว่านี่หรือสิ่งที่ท่านสังฆราชเฝ้ารอมาตลอดชีวิตของท่าน นับตั้งแต่ท่านได้เห็นนิมิตแห่งแสงและคำทำนายจากอดีตสังฆราช จนในที่สุดเช้าที่สดใสที่สุดของฤดูหนาว สมเด็จท่านก็มีรับสั่งให้เขาออกไปรับตัวเด็กแห่งโชคชะตา เขานึกเสมอว่าคนที่ท่านสังฆราชเฝ้ารอจะเป็นอะไรยิ่งใหญ่และดูเหมาะสมกับศาสนจักรมากกว่านี้เสียอีก แต่เมื่อมีรับสั่งให้ไปที่ตรอกนั่นและให้ไปรับตัวเด็กที่หน้าตรอกเพราะว่าเขาจะถูกทำร้ายจนถึงตายได้ เขาก็มีแต่ความงุนงงและคงเป็นเขาที่ปกปิดความสงสัยไว้ไม่มิดจนท่านสังฆราชต้องรับสั่งให้คลายความสงสัยในแผนการณ์ของพระเจ้าแล้วทำตามคำสั่งอย่างเร่งด่วน จนมาถึงตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจเด็กกำพร้าพวกนี้จะใช่คนที่ได้รับภาระอันยิ่งใหญ่ได้อย่างไรกัน
หลังจากรอดพ้นการทะเลาะวิวาทกับทหารของราชครู อิงค์ก็เร่งเดินทางมาถึงอาคารหินอ่อนที่ว่ากันว่าเก่ามากกว่าอาณาจักรและปราสาทราชวังในโลกนี้ทุกหลังว่ากันว่านับแต่การเผยพระวจนะครั้งที่สองอาคารนี้ก็ถูกสร้างและถูกปรับเปลี่ยนมาเรื่อยๆเพื่อไม่ให้ทรุดโทรมและสวยงามสมเป็นที่ประทับของผู้ถือกุมอำนาจแห่งศาสนจักรไว้เสมอ อิงค์เตรียมตัวจะไปเข้าเฝ้าองค์สังฆราชแม้เขาจะมาถึงที่พักของสังฆราชเร็วเพียงใดแต่ก็ยังต้องฝ่าด่านทะเลาะกับพวกนักบวชชั้นสูงด้วยไม่มีใครเชื่อเลยว่าท่านอธิการจะส่งเขามาเพียงคนเดียวเพื่อเข้าเฝ้าสมเด็จท่านแม้เขาจะแสดงตราของท่านสังฆาธิการที่แนบให้เขาไว้ก่อนหน้าแล้วก็ตาม จนต้องให้เด็กรับใช้วิ่งขึ้นบันไดไปถามนักบวชที่ทำหน้าที่เป็นเลขานุการคอยควบคุมการเข้าเฝ้าพระสังฆราช ขั้นตอนอันยุ่งยากนี้ทำให้เขาหงุดหงิดเสมอเพราะเขาไม่ใช่นักบวชแต่เป็นเพียงทาสรับใช้นั่นทำให้เขาไม่ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างราวสรวงสวรรค์กับขุมนรก มีเพียงท่านสังฆาธิการที่รับเลี้ยงเขามาแต่เด็กเท่านั้นที่ยังปราณีไม่กีดกันเขาจนเขาพออ่านออกเขียนได้และยังเป็นวิชาต่อสู้ตามแบบนักบวช
“ท่านอนุญาตให้เจ้าเข้าไปได้”เสียงของนักบวชเฝ้าหน้าทางเข้าอาคารพำนักของพระสังฆราชปลุกอิงค์ออกจากห้วงความคิด เขาก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณก่อนจะรีบเดินผ่านทางและขึ้นไปยังห้องทรงงานของพระสังฆราช
เมื่อมาถึงเขาต้องรออยู่หน้าห้องทรงงานสักครู่หนึ่งเนื่องจากท่านเลขาบอกว่าตัวสมเด็จท่านติดธุระกับอีกผู้หนึ่งที่สำคัญอยู่แต่เมื่อประตูห้องทรงงานเปิดออกเขาก็พบกับราชครูโรเบิร์ต อิงค์ผงะไปเล็กน้อยด้วยความงุนงงสงสัยเนื่องจากก่อนหน้านี้เขายังพบราชครูเฒ่าที่งานประลองแต่นี่กลับมาพบองค์สังฆราชก่อนตัวเขาที่เร่งรีบออกมาจากลานประลองได้อย่างไรกันได้อย่างไรกัน
‘หรือจะเป็นช่วงเวลาที่เขามัวไปทะเลาะกับทหารบ้านั่น’
‘หรือจะเป็นตอนที่ข้ารอเข้าเฝ้าอยู่ข้างล่างแล้วทะเลาะกับนักบวชงี่เง่า’ เขาพยายามคิดหาเหตุผลที่คนสองที่มีข่าวว่าไม่ชอบขี้หน้ากันจะมาพบกันและทำวิธีใดถึงได้เดินทางมาเร็วกว่าเขาได้
ราชครูเฒ่าเดินผ่านเขาไปเสมือนหนึ่งว่าเขาไม่มีตัวตนไม่แม้แต่จะลดสายตาสูงศักดิ์นั้นมาแลดูข้ารับใช้ของพวกนักบวช
‘เหอะ จะพระหรือขุนนางก็เป็นเหมือนกันหมดสินะ’ เขาสบถในใจเพราะท่าทีของขุนนางเหล่านี้ที่คอยดูถูกเหยียดหยามพวกข้ารับใช้ทำให้เขาไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่
“ต่อไป ข้ารับใช้ของสังฆาธิการฟาเบียส” เลขาประจำพระองค์เรียกให้อิงค์เข้าไปพบด้วยน้ำเสียงเหยียดๆ
อิงค์เดินผ่านประตูที่มีเด็กรับใช้คอยยืนเฝ้าเปิดอยู่เขาก้มหัวเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนจะเดินเข้าไปก็พบองค์สังฆราชที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทรงงานที่ถูกสั่งทำเป็นพิเศษจากไม้สนศักดิ์สิทธิ์ใกล้เขตเขากูมัค ท่านแย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะกวักมือเรียกให้อิงค์เข้าไปใกล้ๆ เขาตื่นเต้นเล็กน้อยถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกก็ตามทีที่ได้เข้าเฝ้าแต่ส่วนใหญ่ เขามักจะมาพร้อมท่านอธิการซึ่งก็ได้ยืนอยู่แทบๆจะปลายแถวของคนที่มีสิทธิ์เข้าเฝ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้เข้าพบท่านสังฆราชใกล้ชิดขนาดนี้และเป็นการส่วนพระองค์ องค์สังฆราชดูเป็นมิตรและสงบเยือกเย็นดูน่ายกย่องกว่าฉายาที่พระองค์ได้รับจากพวกขุนนางว่าเป็นจิ้งจอกเฒ่าจอมบงการ ถึงเขาจะไม่รู้ว่าสารของอธิการคืออะไรแต่มันสำคัญมากแน่ๆจนทำให้เขาสามารถใกล้ชิดกับจอมวางแผนแห่งศาสนจักรขนาดนี้ เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหลังของเขาด้วยความตื่นเต้นในขณะที่ก้าวเข้าไปใกล้องค์สังฆราช
“ฟาเบียสมีอะไรจะบอกข้างั้นรึ” ชายชราเอ่ยถามแม้ว่าร่างกายจะดูชราแต่น้ำเสียงกลับเข้มขลังดูมีพลังผิดแปลกจากคนชราทั่วไปอย่างมาก
“ท่านอธิการให้ข้าน้อย นำสิ่งนี้มามอบให้พร้อมทั้งให้กำชับกับท่านว่า ‘ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน’ ขอรับ” อิงค์นำกระดาษสีแดงที่ตอนนี้ยับยู่ยี่ออกมาจากกระเป๋าด้านในเสื้อ แล้วยื่นให้องค์สังฆราช ก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงมองพรมแสร้งทำเป็นสังเกตรายละเอียดของพรมเพื่อปกปิดความประหม่าของตน
“อืม ดีเลยงั้นไปพร้อมกับข้าเลยแล้วกันเจ้าน่ะ เพราะอีกไม่นานจะมีของมาส่งข้าต้องรับของสิ่งนั้นก่อนถึงจะไปได้” องค์สังฆราช กล่าวพร้อมยืดตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนหันไปมองแสงส่วางจากทางหน้าต่างที่บ่งบอกว่าพระอาทิตย์เลยเวลาเที่ยงวันไปแล้วสักสองชั่วโมงได้แล้ว
“ตามพระประสงค์ขอรับ” อิงค์ตอบรับตามคำองค์สังฆราช
ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับมีเสียงขานจากหน้าห้องทรงงานว่าหน่วยองครักษ์กลับจากภารกิจแล้ว
“อ้า ดูเหมือนว่าของที่ข้ารอคอยจะมาถึงแล้วนะดีจริงๆ”องค์สังฆราชทำมือเป็นสัญญาณให้เด็กรับใช้ที่อยู่ข้างๆไปเปิดประตู และเมื่อประตูถูกเปิดออกซึ่งเป็นเวลาพอดีกับที่ซูโบทัสมายืนอยู่ตรงหน้าห้องทรงงาน
“เข้ามาเลยๆ ข้ารออยู่” องค์สังฆราชเร่งให้กลุ่มซูโบทัสเข้ามาในห้องทรงงาน
ซูโบทัสเดินเข้ามาในห้องทรงงานพร้อมด้วยลูกน้องสองคนที่แบกเด็กหนุ่มมาด้วย
“พระองค์ นี่คือคนที่ท่านต้องการขอรับ” ซูโบทัสชี้ไปที่เด็กสองคนที่บัดนี้ลูกน้องของเขาได้วางกองไว้กับพื้นทั้งคู่ องค์สังฆราชมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะเก็บซ่อนมันไว้ได้ทันเมื่อมองดูเด็กที่ตนเองมีคำสั่งให้ไปนำตัวมา
“สองคนรึ แน่ใจนะว่าถูกคน” องค์สังฆราชหันไปถามซูโบทัส
“ตามคำของท่านเด็กที่อยู่หน้าตรอกนั่น มีเพียงแค่สองคนนี้แหละครับ” ซูโบทัส ได้แต่ก้มหน้าด้วยคำสั่งที่คลุมเครือทำให้ไม่อาจระบุตัวได้แน่ชัด เขาได้แต่ยืนยันว่าเขาได้ทำตามหน้าที่อย่างสุดสามารถแล้ว
“ถ้าเช่นนั้นพาสองคนนี้ไปรักษาก่อนเถอะ ดูท่าว่าจะเจอมาหนัก อีกอย่างเลือดมันจะเปื้อนพรมข้า” สังฆราชรับสั่งก่อนจะกระแอมออกมาสองสามที อันเป็นสัญญาณว่าพระองค์จะเปลี่ยนชุดเพื่อไปร่วมงานประลอง ซูโบทัสก็ทำท่าทางให้ลูกน้องรีบยกเด็กทั้งสองไปรักษาทันที
“เจ้าคนรับใช้ของฟาเบียส มากับข้า” สังฆราชเรียกอิงค์ให้เดินไปพร้อมกัน
“ซูโบทัส ดูแลสองคนนั้นให้ฟื้นตัวโดยเร็ว ข้าต้องตรวจสอบความถูกต้องให้เร็วทีสุด”
“ขอรับ” ซูโบทัสรับคำก่อนถอยหลบให้สังฆราชเดินออกจากห้องไป
ก่อนที่อิงค์จะเดินตามสังฆราชออกจากห้องไปเขาก้มตัวเล็กน้อยเพื่อเคารพซูโบทัสและเพื่อขอบคุณที่ช่วยเขาไว้ก่อนหน้านี้ ซูโบทัสสบตากับเขาเพื่อบ่งบอกว่ารับรู้ถึงการเคารพของเขาก่อนจะหันหลังเดินตามลูกน้องไปอีกทางหนึ่ง
“เจ้ามีทางที่เร็วที่สุดที่จะพาข้าไปงานประลองใช่มั้ย เด็กรับใช้”
“ขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นนำทางข้าไป เด็กรับใช้”
“เอ้อ พิซารัสไปบอกให้เตรียมรถม้าให้ข้าด่วนที่สุด” สังฆราชสั่งการให้เลขาของพระองค์ไปเตรียมการเดินทาง
“ขอรับ” พิซารัสเลขาของสังฆราชตอบรับก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินจากไปเพื่อตระเตรียมการเดินทาง
ความคิดเห็น