ตอนที่ 10 : Chapter 10 : ธาตุแท้ของปุริม (100%)
หล่อร้ายผุ้ชายของเฌอมา วุ้ววว
บทที่ 11 : ธาตุแท้ของปุริม
หลังจากประกาศเจตนารมณ์กลางโรงพยาบาลไปเมื่อคืน ตรีประดับก็รีบเข้านอนทันทีเพราะจำเป็นต้องถนอมสุขภาพให้พรั้งพร้อมสำหรับการมีลูก ทิ้งให้นายแพทย์ปุริมซึ่งทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรยืนส่งเธอหลับอยู่อย่างนั้น ครั้นตื่นขึ้นอีกทีในตอนเช้า ตรีประดับก็ไม่พบปุริมอีกแล้ว กลับเห็นพ่อของเธอ ป้ารุนและลุงราช ซึ่งมาถึงตั้งแต่เช้าเพื่อรับเธอกลับ
“ปุณณ์มีเคสผ่าตัดช่วงเช้าน่ะจ้ะ ฝากบอกว่าเย็นนี้เจอกันที่บ้าน”
อรุนรำไพกล่าวแทนบุตรชาย ตรีประดับพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะถูกประคองให้ก้าวลงจากเตียงเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
กว่าจะพบหมอและจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเรียบร้อยก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมง ทั้งหมดพากันเดินลงมาด้านล่าง พูดคุยกันว่างานเลี้ยงปีใหม่จะทำอะไรทานดี
“ที่แน่ๆต้องมีต้มจืดตำลึงหมูบะช่อของโปรดคนป่วย อันนี้ลืมไม่ได้เลย”
นางอรุนรำไพกล่าวกับตัวเองเป็นเชิงกำกับ ก่อนจะร่ายเมนูอาหารในใจทีละรายการให้ทุกคนฟัง เป็นเหตุให้ผกายฤทธิ์และไกรราชที่เดินตามมาทางด้านหลังต้องลูบท้องปอยๆ
“อ่ะ นั้นรถมาแล้ว”
ตรีประดับที่ถูกประคองเดินหันมองตามเสียงของอรุนรำไพ พบรถตู้สีงาช้างกำลังขับตรงเข้ามาหา เธอเดาว่าเป็นรถของบ้านลุงใหญ่ เพื่อนสนิทอีกคนของพ่อเธอ และก็จริงดั่งคาด เพราะทันทีที่รถจอดเทียบหน้าโรงพยาบาล เจ้าของรถที่นั่งอยู่ภายในก็ก้าวลงมา
“ช้า”
ผกายฤทธิ์เอ่ยตำหนิเพื่อนทันทีที่เห็นหน้า ทำให้พันตำรวจเอกพันศักดิ์ที่กำลังยิ้มร่าตั้งท่าจะพูดกับตรีประดับหันมองทันที
“น้อยๆหน่อยไอฤทธิ์ แกควรขอบใจฉันไหมที่อุสาห์มารับลูกสาวแก”
“แล้วบ้านฉันไม่มีรถหรือไง”
“ไอนี้!”
“ไม่เอานาคุณ จะทะเลาะกันน่ะได้ แต่ให้ยัยปริมขึ้นรถมาก่อนได้ไหม หลานป่วยอยู่นะ”
คุณหญิงกลิ่นกาล ภรรยาของนายตำรวจใหญ่ซึ่งนั้งอยู่ภายในรถชะโงกหน้าออกมา ก่อนจะรับข้าวของจากมืออรุนรำไพและไกราชขึ้นไปวางทางด้านหลัง
ตรีประดับมองพ่อและลุงซึ่งทำทีทะเลาะกัน ก่อนจะลากกันไปไกลไม่ให้คนทางนี้ได้ยินบทสนทนา เธอรู้หรอกว่าทั้งสองคนแสร้งตีกันไปอย่างนั้น จริงๆจะหาทางปลีกตัวไปตกลงว่าวันนี้จะซื้อเบียร์ยี่ห้ออะไร แรงเท่าไรไปกินในงานเลี้ยงปีใหม่ต่างหาก
คนรู้เหลี่ยมคิด ก่อนสายตาจะเหลือบเลยไปเห็นร่างของใครบางคนบนชั้นสองของตึกโรงพยาบาลที่อยู่ไกลออกไป
ร่างสูงโปร่งแม้จะอยู่ทามกลางคนเยอะๆตรีประดับก็จำได้ ไม่แปลกมิใช่หรือ เพราะเธอเห็นเขามาแต่เล็กย่อมสะดุดตาได้ง่ายกว่าคนอื่น ทว่าวันนี้มันมีบางสิ่งไม่คุ้นตา นั้นคือเจ้าของร่างนั้นกำลังยืนคุยกับหมอผู้หญิงหน้าตาคุ้นๆคนหนึ่ง คุยกันกระหนุงกระหนิง บ่งบอกว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่...ไม่ธรรมดา
ตรีประดับหันกลับไปมองภาพนั้นอย่างตั้งใจ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่ใจเธอรู้สึกเจ็บแปลบทันทีที่มองเห็น
ร่างบอบบางสูงเพียงอกของปุริม ใบหน้าหวานประดับรอบยิ้มดูอ่อนใสไม่ต่างจากหลายปีก่อนที่ตรีประดับจำได้
ที่แท้เธอก็คือหมอมิ้ม เพื่อนร่วมคณะที่คงสถานะพิเศษในใจของปุริมเสอมมา และเธอนั้นเอง คือสาเหตุที่ทำให้ตรีประดับและปุริมต้องเลิกรากัน
ตรีประดับกระพริบตาไล่บางสิ่งบางอย่างที่คลายจะซึมออกมาเคลือบนัยน์ตาของเธอเอาไว้ จ้องมองภาพคนสองคนที่กำลังคุยเล่นกัน ภาพนั้นทับซ่อนกับภาพในใจเธอ ผิดแต่ว่าชุดของทั้งคู่เป็นชุดนักศึกษาแพทย์ ไม่ใช่ชุดหมอเต็มตัวอย่างทุกวันนี้
คนที่ปกติมักนิ่ง เงียบ ไม่ค่อยพูดและไม่ค่อยยิ้มเช่นปุริม กลับทำท่าทีเหล่านั้นทั้งหมดขณะอยู่กับหมอมิ้ม พลันนั้นคำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวของตรีประดับอย่างเลี่ยงไม่ได้
งั้นที่บอกว่าช่วงเช้าติดเคสผ่าตัด...ก็โกหกงั้นสิ
ในตอนนั้นเองที่ปุริมรู้สึกได้ว่ามีสายตาหนึ่งมองเขาอยู่ เขาจึงผละจากคู่สนทนาแล้วหันมองตอบ แต่ในทันทีที่เขาพบว่าเจ้าของสายตาซึ่งกำลังมองมาคือตรีประดับ ใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างผ่อนคลายก็เปลี่ยนเป็นชะงักงัน
เมื่อถูกเจ้าของร่างจับได้ ตรีประดับก็ทำเพียงยิ้มทักทายบางๆเท่านั้น ก่อนเธอจะรีบหมุนตัวก้าวขึ้นไปบนรถ เมื่อถูกประคองให้นั่งอย่างดีก็รีบหลับตาลงแสร้งพักผ่อน ทว่าในใจของเธอกลับยังคงครุ่นคิดหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของปุริม
ไม่ยักรู้ว่าหมอนั้นกับหมอมิ้มยังติดต่อกันอยู่…
แต่ก็ดีแล้วละ...ดีแล้วจริงๆ
กว่าปุริมจะเลิกงานและขับฝ่ารถติดมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปทุ่มกว่า ทันทีที่มาถึงก็พบว่าบริเวณสวนน่าบ้านของเขาและตรีประดับถูกเนรมิตให้กลายเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆเรียบร้อยแล้ว
โต๊ะตัวยาวถูกนำมาตั้งบนสนามหญ้า ปูด้วยผ้าลูกไม้ลายฉลุผืนโปรดของผู้เป็นแม่ แจกันดอกไม้ถูกวางกึ่งกลาง รอบข้างคืออาหารและของกินเล่นมากมาย บรรดาลุงๆรวมถึงพ่อของเขานั่งจับกลุ่มคุยกันพร้อมทานอาหารไปด้วย เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุยช่วยส่งให้บรรยากาศรอบด้านดูคึกคักเป็นพิเศษ
“มาแล้วเหรอปุณณ์ แม่ทำอาหารเสร็จพอดีเลยลูก”
อรุนรำไพทักบุตรชายขณะกำลังยกโถน้ำพั๊นซ์ใบใหญ่ออกมาจากบ้าน
ปุริมยกมือไหว้บิดามารดา และบรรดาลุงๆป้าๆ ก่อนจะหยุดสายตาไว้ที่ร่างแบบบางซึ่งนั่งรวมกลุ่มอยู่กับพ่อและลุงของเขา ทว่าใบหน้าที่ไร้การแต่งเติมใดๆของเธอกลับดูเม่อลอย คล้ายคิดเรื่องใดอยู่ จิตใจจึงดูไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ทางด้านนางสาวตรีประดับผู้ถูกกล่าวถึงกลับไม่รู้แม้แต่นิดว่าตนกำลังอยู่ในสายตาของใคร เพราะเธอกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ แม้ปุริมเดินมานั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เธอก็ยังไม่รู้ตัว
นี้ฉันเป็นอะไร?
หญิงสาวผู้ตกอยู่ในภวังค์ความคิดถามคำถามนี้กับตัวเองเป็นรอบที่ 4 แต่จนแล้วจนรอดก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
แค่เห็นแฟนเก่าอยู่กับกิ๊กเก่าเข้าหน่อย ถึงกับไปไม่เป็นเลยหรือไง?
หญิงสาวเย้ยหยันตัวเองก่อนจะสะบัดใบหน้าไปมาคล้ายต้องการสลัดความฟุ้งซ่านในใจ
แล้วมันน่าตกใจตรงไหน? หมอนั้นก็เลือกหมอมิ้มมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เขาสองคนไม่ได้คบกันอยู่สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก...
หญิงสาวคิดก่อนจะยิ้มบางทว่าในดวงตากลับไม่ยิ้มตามไปด้วย คนปลงตกเงยหน้าขึ้นหมายจะถอนหายใจอีกซักเฮือก ในตอนนั้นเองที่หนึ่งสายตาซึ่งมองรออยู่ผสานเข้ากับสายตาของเธอพอดิบพอดี
“...”
คนคิดฟุ้งซ่านมองตอบสายตาของปุริมโดยไม่หลบเลี่ยง เธอพินิจมองหมอหนุ่มที่โตมาด้วยกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ปลายปีนี้ปุริมก็จะเรียนจบแล้ว เขาจะเป็นหมอเต็มตัว มีชีวิตมั่นคงทั้งทางอารมณ์และทางการเงิน ชีวิตรักก็ดูจะราบรื่นสมหวัง ได้คบกับคนที่ปลูกต้นรักด้วยกันมานาน ซ้ำยังเป็นหมอเหมือนกัน คุยภาษาเดียวกัน ทำงานก็ทำในโรงพยาบาลเดียวกัน อะไรก็ดีไปหมดจนหน้าอิจฉา ผิดกับตัวเธอเหลือเกิน ที่งานก็ยังลูกผีลูกคน แล้วยังมีปัญหาเรื่องมดลูกตัวเอง ความรักไม่ต้องพูดถึง เพราะเธอชักจะเข็ดเข้าแล้ว
ยิ่งมารู้ว่าปุริมยังติดต่อกับหมอมิ้มอยู่ด้วย...เฮ้อ นี่ฉันเป็นบ้าอะไรวะเนี้ย!
ตรีประดับยกสองมือขย้ำหัวตัวเอง ก่อนจะคว้าแก้วน้ำข้างกายขึ้นมากรอกดังว่าอุณหภูมิในน้ำนั้นจะช่วยดับความวุ่นวายใจลงได้ ทว่าเจ้าของแก้วเช่นผกายฤทธิ์กลับหันมองลูกสาวอย่างตกใจ ไม่วายยึดแก้วตนเองคืนจากบุตรสาวที่กรอกอึกๆจนน้ำสีอำพันแทบถึงก้นแก้ว!
“เฮ้ยไอ้หนู นี้มันเหล้า!”
ตรีประดับมองแก้วในมือก่อนจะยอมส่งคืนบิดาแต่โดยดี “อ้าวเหรอ ปริมคิดว่าเป็บซี่...ขอแบบนี้อีกแก้วได้ปะพ่อ ครึ้มๆมาแล้ว”
ผกายฤทธิ์มองตรีประดับอย่างจนใจแต่ก็ไม่เอ่ยว่า ก็จะว่าได้อย่างไร ลูกมันก็ต้องเหมือนพ่อมัน ด่าลูกก็เหมือนกับด่าตัวเอง งั้นใครจะไปด่าละ
ตรีประดับมองแก้วเป็บซี่ที่ผู้เป็นพ่อรินส่งมาให้ มองฟองที่ส่งเสียงซ่าๆเต้นระริกอยู่ภายในแก้วอย่างเบื่อหน่าย แน่นอนว่าไม่คิดแตะต้องแก้วนั้นแม้แต่น้อย บอกแล้วไงว่าครึ้มๆมาแล้ว!
นัยน์ตาว้าวุ่นของคนไม่ยอมรับตัวเองเหลือบมองไปที่ปุริมอีกครั้งและอีกฝ่ายยังมองเธออยู่เช่นกัน สายตาของเขาทำเหมือนอยากจะพูดอะไรด้วย ทว่าสมองของตรีประดับกลับไม่ยินยอมรับข้อมูลอะไรจากใครอีกแล้ว
ต่างจริงๆ เธอกับปุริมต่างกันมากมายจริงๆ ทำไมคนสลัดรักอย่างเธอถึงได้มีชีวิตน่าหดหู่แบบนี้ ทั้งที่ความจริงคนนอกใจคนทรยศอย่างปุริมต่างหากที่ควรจะได้รับผลกรรมความเจ้าชู้ของตัวเอง
โลกนี้มันไม่ยุติธรรมเลย!
ตรีประดับสรุปเอาในใจว่าสิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดอยู่แบบนี้เป็นเพราะเธอกำลังอิจฉาคนรักเก่าที่ได้ดีกว่า ก่อนหญิงสาวจะสูดลมหายใจแล้วยันตัวนั่งตรง
ไม่ได้! เธอไม่แพ้ปุริมหรอก! ในเมื่ออีกฝ่ายกำลังมีชีวิตที่ดี มีคนรักที่ดี เธอเองก็ต้องมีด้วยเหมือนกัน!
ใช่แล้ว! เธอเองก็ต้องมีด้วยเหมือนกัน!
แต่จะไปหาที่ไหนเล่า!?
“พ่อ!”
ตรีประดับผู้อับจนหนทางแต่อยากได้รับชัยชนะหันมองพ่อตัวเอง ซึ่งหันไปก๊งเหล้ากับบรรดาลุงๆอยู่
“ว่าไงลูก”
ผกายฤทธิ์เมื่อได้ยินบุตรสาวแสนรักเรียกก็ยอมวางแก้วเหล้าทันที หันมองลูก ให้ความสำคัญกับคำพูดทุกคำของลูก
“พ่อไม่คิดจะจับปริมคลุมถุงชนบ้างเลยเหรอ? ถามจริง ไม่คิดทำแบบพวกพ่อแม่ในละครบ้างหรือไง!”
ทุกคนรอบโต๊ะหยุดการสนทนาทันทีที่ตรีประดับพูดจบ พากันหันมองมาที่เธออย่างตกใจ โดยเฉพาะผกายฤทธิ์ผู้พ่อ ที่ถึงกับตาโต หันกายเข้าหาลูกสาวแล้วถามกลับจริงจัง
“ไหนหนูว่าอีกทีสิ จะให้พ่อทำอะไรนะ?”
“ปริมถามว่า พ่อไม่คิดจะจับปริมคลุมถุงชนบ้างเลยเหรอ ทำเถอะพ่อ บังคับจิตใจปริมเถอะ! ปริมอยากถูกคลุมถุงชนจะแย่! เป็นใครก็ได้พ่อเลือกมาเลย ปริมยอม!”
“เฮ้ย!”
ตรีประดับมองใบหน้าตกใจของบิดา ก่อนจะกวาดตามองไปยังใบหน้าของลุงๆป้าๆซึ่งมีอาการเดียวกัน ทว่ามีเพียงปุริมที่จ้องมองเธอนิ่งๆ จ้องราวกับต้องการใช้สายตาของเขาแช่แข็งเธอ!
คิดว่าตัวเองเป็นเอลซ่า?
“ไม่เฮ้ยอะปริมเอาจริง พ่อพอจะมีลูกเพื่อนที่หล่อๆรวยๆบ้างไหม ไหนลองนั่งคิดซิ๊”
ผกายฤทธิ์กระพริบตาปริบๆ เหมือนกำลังนึกตามคำพูดบุตรสาว ก่อนจะสะบัดหัว มองตรีประดับตรงๆอย่างไม่เห็นด้วย
“มันยังไงแน่จู่ๆถึงมาพูดแบบนี้ มีอย่างที่ไหนขอให้พ่อแม่จับตัวเองคลุมถุงชน!”
หญิงสาวไหวไหล่อย่างไม่เห็นว่าสิ่งที่ขอเป็นเรื่องแปลก ก่อนยกมือกอดอกแล้วอธิบายเหตุผลบ้าๆของตัวเอง
“ทุกคนก็รู้ว่าปริมเหลือรังไข่อีกแค่ข้างเดียว วันนี้พรุ่งนี้ไม่รู้จะถูกตัดไปอีกเมื่อไร ปริมอยากมีลูกก่อนจะสายไป แต่ขี้เกียดหาเจ้าบ่าวเองแล้ว พ่อหาให้หน่อยแล้วกัน คลุมถุงชนปริมได้เลย ปริมยอม!”
“ไอ้เด็กคนนี้! มันจะง่ายดายอย่างนั้นเชียว ของแบบนี้มันก็ต้องหาเองสิ!”
“ก็ปริมหาแล้วมันได้ไม่ดีเลยซักคน พ่อแหละหาให้ที ใครก็ได้ปริมเอาหมด ถ้าแต่งไปแล้วไม่ดีปริมจะได้โทษว่าพ่อเป็นคนชักนำมาให้ ไม่ต้องโทษตัวเองที่ตาถั่วไง...เฮ้ย ความคิดดีอะ!”
สิ้นคำพูดของหลานสาวเพียงคนเดียว บรรดาลุงๆป้าๆก็มองหน้ากันอย่างปรึกษา ยกเว้นอรุนรำไพ ที่รีบถลาเข้าไปใกล้บุตรชาย โอบไหล่กว้างแล้วหันมองตรีประดับ ทำราวกับต้องการจะเสนอสิ้นค้าชั้นดีให้อิเจ้เงินหนาผู้มีเงินตราเป็นกอกเป็นกำ
“งั้นให้พ่อเขาจับคลุมถุงชนกับปุณณ์ดีไหมละปริม ปุณณ์น่ะดีนา รูปก็หล่อ หัวสมองก็ดี ทำกับข้าวเป็น ทำงานบ้านได้ เป็นพ่อบ้านทุกกระเบียดนิ้วเลย”
ตรีประดับยกยิ้มมองปุริมที่นั่งนิ่งไม่ขยับปล่อยให้แม่เขาพรรณนา หญิงสาวหัวเราะขบขัน และนั้นทำให้ปุริมยิ่งกดสายตามองเธอ พยายามแช่แข็งเธอเข้าไปใหญ่!
“ปุณณ์เหรอค่ะ เหอะ! ให้ฟรีๆ ปริมยังไม่เอาเลย!”
คำประกาศก้องอย่างไม่ไว้หน้าทำเอาปุริมหน้าชา ส่วนคนพูดนะหรือ กำลังคว้าแก้วของบิดาขึ้นกรอกอึกๆอีกแล้ว!
“ไอ้หนู ผิดแก้วอีกแล้วลูก!”
ตรีประดับยอมคืนแก้วเหล้าให้บิดาแต่โดยดี เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น หญิงสาวควักเจ้าเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง ก่อนปาดรับแล้วยกขึ้นแน่บหู
“ว่าไงพริก”
‘นังมาดามมมม พวกฉันกำลังจะถึงบ้านแกแล้ว มาเปิดประตูรั้วให้ที ด่วน!’
“ซักครู่”
นิ้วบอบบางกดวางสายก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงร้อยหกสิบห้า กวาดมองพ่อ ลุงๆ ป้าๆ แล้วหยุดสายตาที่นายแพทย์ปุริม
“ปริมขอตัวไปคุยกับเพื่อนก่อนนะคะ แต่ก่อนไปขอประกาศให้ทุกคนรู้ไว้ตรงนี้เลยว่า ปริมยอมแต่งกับหมูกับหมากับกากับไก่ก็ได้ แต่คนคนเดียวที่ปริมจะไม่มีวันแต่งด้วย คือผู้ชายที่ชื่อปุริม!”
“ชัดเจน”
ผกายฤทธิ์ตอบรับประโยคเน้นปลายของบุตรสาว ก่อนจะมองส่งร่างแบบบางที่เดินลิ่วไปนู้นโดยมีเจ้าส้มแสดลูกสมุนตามรั้งท้าย
เมื่อหลานสาวจอมพยศจากไป พันตำรวจเอกพันศักดิ์ ไกราช อรุนรำไพ และคุณหญิงกลิ่นกาล ก็เขยิบเก้าอี้เข้ามาล้อมตัวนายแพทย์ปุริมเอาไว้ วิกฤตเกิดขึ้นแล้ว ชักช้ากว่านี้กลัวจะไม่ทันการ!
“เอาไงปุณณ์”
พันตำรวจเอกพันศักดิ์ชิงถามอย่างเป็นการเป็นงาน สารภาพว่าขนาดประชุมภาคประจำปีเขายังไม่รู้สึกจริงจังเท่านี้!
“...ครับ?”
“จะแต่งหรือไม่แต่ง! ยังรักหรือไม่รัก! โอกาสบอกความจริงมีแค่ตอนนี้เท่านั้นนะ! ถ้าปุณณ์ไม่พูดลุงกับพ่อช่วยไม่ได้รู้หรือเปล่า!”
ปุริมผู้เก็บอาการได้ดีกว่าใครเงียบไปครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ก็ปริมเขาบอกแล้วว่าเขายอมแต่งกับใครก็ได้...ยกเว้นผม”
“ฮั้ย! เรื่องนั้นไม่สำคัญ จับโป๊ะยาสลบฉุดเข้าห้องก็จบแล้ว ผู้หญิงโกรธแปบเดียว ให้เป็นของเราไว้ก่อนตอนเช้าค่อยหาวิธีง้อก็ได้ ไม่ต้องกังวลนาเดี๋ยวลุงดูต้นทางให้ จะจัดให้นิ้งเลย!”
“ไอ้ใหญ่ นั้นลูกสาวกู!”
“แกก็อุดหูไว้สิวะ!"
เมื่อเห็นว่าสามีและเพื่อนตั้งท่าจะตีกัน คุณหญิงกลิ่นกาลก็ขอแทรกหมายเอาน้ำเย็นเขาลูบบิดาฝ่ายหญิงสาว
“ฤทธิ์ เธอก็ยอมๆบางเถอะ เห็นไหมว่ายัยปริมสติแตกไปแล้ว ตอนนี้ลูกเธออยากมีลูกจนยอมคว้าใครก็ได้ สู้เอาหลานชายที่เธอรู้เช่นเห็นชาติมาเป็นเขย ไม่ดีกว่าเหรอ”
อรุนรำไพพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะบีบลำแขนของบุตรชายผู้นิ่งฟังอยู่ตลอด
“แต่งเถอะปุณณ์! แต่งให้แม่! สินสอดสามล้านแม่ก็ยอมลูก!”
ผกายฤทธิ์ที่ฟังเพื่อนๆพูดนั้นพูดนี้รีบยันตัวนั่งตรง มองอรุนรำไพอย่างคัดค้าน “ฉันไม่ได้บอกว่าจะเรียกสามล้านนะอรุน ลูกสาวฉัน 10 ล้านยังน้อยไปเลย!”
“งั้นฉันให้ 20 ทีนี้แกนั่งฟังเฉยๆได้หรือยังไอ้ฤทธิ์!”
ไกรราชกล่าวขึ้นบ้าง แน่นอนว่าผกายฤทธิ์ไม่คิดฟังอยู่แล้ว
“ให้ 50 ฉันก็ไม่ยกให้ เพราะฉันเคยไว้ใจให้ลูกชายแกดูแลยัยปริมมาแล้ว แล้วเป็นไง?”
คำพูดของผกายฤทธิ์ทำเอาเพื่อนๆชะงักงันไปในทันที ใครจะปฎิเสธได้ ในเมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นความจริงทุกประการ เพราะตอนที่หลานทั้งสองคบหากัน ทุกอย่างอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ตลอด ตอนเลิกคบกันก็ด้วย และลุงๆป้าๆจำได้ดี ว่าผกายฤทธิ์โกรธแค่ไหนครั้นปุริมทำให้บุตรสาวเสียงใจจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน ในสายตาของพันตำรวจเอกพันศักดิ์ เขาเคยเห็นผกายฤทธิ์น็อตหลุดอยู่สองครั้ง ครั้งแรกคือวันที่หทัยจากไป อีกครั้งคือตอนที่ทราบว่าปุริมทำอะไรกับบุตรสาวตนเอง
“บอกพ่อ! มันทำให้เสียใจหรือเปล่า! ถ้ามันทำให้เสียใจพูดกับพ่อ! พ่อจะฆ่ามันเดียวนี้!”
ในตอนนั้นยัยปริมเอาแต่ก้มหน้าตัวสั่นริก น้ำตาเอ่อล้น นัยน์ตาเจ็บปวด แต่กลับไม่ปล่อยให้ไหลออกมาซักหยด ยัยปริมมันคงรู้ ว่าถ้าปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา พ่อของมันคงเอาปุริมถึงตาย! และที่สำคัญคือไม่มีใครคิดห้ามผกายฤทธิ์เสียด้วย ขนาดไกรราชที่เป็นพ่อแท้ๆของปุริม ยังยืนนิ่ง และคงยินดีหากผกายฤทธิ์จะทำรุนแรงกับบุตรชายตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องจบลงง่ายๆจนกระทั้งเดียวนี้
พันตำรวจเอกพันศักดิ์ถอนใจ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหว่านล้อม
“นา เรื่องก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างหลายปีที่ผ่านมาปุณณ์มันก็ช่วยแกจัดการบรรดาแฟนยัยปริมด้วยไม่ใช่เหรอ? ลำพังลุงแก่ๆอย่างแกไม่มีหลานฉันคอยช่วย ลูกสาวแกคงได้แต่งงานไปนานแล้ว!”
ต่อนี้จ้า
คนมีสีกล่าวก่อนจะนึกเอะใจกับคำพูดของตัวเอง ด้วยรู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทว่าคนรู้ดีทุกอย่างและรู้ดีมาแต่แรกเช่นผกายฤทธิ์กลับยกยิ้มร้าย
“เพราะงั้นสิ เพราะฉันมีหลานชายแกคอยช่วยไงยัยปริมมันถึงได้ยังเป็นโสดอยู่แบบนี้ หึ แสร้งทำเป็นลูกมือฉันคอยกั้นคนอื่นออกไป ที่แท้แค่หวง ไม่อยากให้ผู้ชายคนไหนได้ลูกสาวฉันไปล่ะมากกว่า! หลานแกน่ะมันเจ้าเล่ห์จะตาย!”
สิ้นคำพูดของผกายฤทธิ์ ทุกคนบนโต๊ะก็หันควับไปทางปุริมทันที
หากคิดตามคำพูดผกายฤทธิ์มันก็มีความเป็นไปได้สูง เพราะตั้งแต่หลานทั้งคู่เลิกรากันก็ปาเข้าไปสิบปีแล้ว และสิบปีนั้นฝ่ายชายไม่เคยคบหาใครอีกเลยราวกับตัวเขาได้กลายเป็นฤษีจำศีลอย่างไรอย่างนั้น นอกจากเรียนและดูแลต้นกระบองเพรช ก็เห็นจะมีแต่เรื่องของยัยปริมนี้แหละที่หลานชายให้ความสนใจที่สุด ในสายตาผู้ใหญ่ก็พอดูออกอยู่หรอกว่าฝ่ายชายยังฝังใจและรู้สึกผิด ถึงได้อุทิศตัวทำหน้าที่รองรับอารมณ์ของยัยปริมไม่มีปริปากบ่น แต่ไม่คิดว่าภายใต้ท่าทางที่นิ่งเฉยนั้น แท้จริงแล้วแอบเคลื่อนไหวจัดการอะไรหลายๆอย่างอยู่
นับว่าแยบยล!
“โธ่ปุณณ์ลูกแม่! ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เอง คุณค่ะ ขอยัยปริมให้ตาปุณณ์เถอะ รุนสงสารลูกกกก!”
อรุนรำไพกล่าวกับสามีก่อนจะโอบลูกชายที่นั่งนิ่งเป็นศิลาหินเอาไว้ ขณะที่ไกรราชกอดอกพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ ปากพึมพำชมว่าบุตรชายมีความเจ้าเล่ห์เหมือนเขาสมัยตามจีบอรุนรำไพไม่มีผิดเลย!
ผกายฤทธิ์มองบรรดาเพื่อนที่คิดทำอะไรไม่ถามความเห็นเขา ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นกรอก สบตานัยน์ตาคมลึกของปุริม ซึ่งมองข้ามโต๊ะมาสบเขาเหมือนกัน
พลั้นนั้นใบหน้าและแววตาที่มักเต็มไปด้วยความเอ็นดูและกรุณาราวกับเห็นปุริมเป็นลูกชายคนหนึ่งไม่ใช่เพียงลูกชายเพื่อนสนิท ก็เปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความห่างเหิน และคนมองเช่นปุริมทราบดี หากเขายืนยันจะเป็นมากกว่าเพื่อนบ้านอย่างที่พยายามแสดงมาตลอด เขาก็จะสูญเสียความสนิทสนมกับผกายฤทธิ์ไปด้วย และสถานะที่คงอยู่ระหว่างตัวเขากับอีกฝ่าย มีเพียงผู้ชายไว้ใจไม่ได้กับพ่อคนหนึ่งที่ห่วงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่เท่านั้น
“หึ ถ้าคิดจะเอายัยปริมไปจากฉัน พวกแกทุกคนคงต้องถามหลานชายพวกแกก่อน ว่า‘มัน’พร้อมจะเป็นศัตรูกับฉันหรือเปล่า”
“แกว่าไรนะ!”
“ฉันเคยบอกแกแล้วนี่ไอ้ใหญ่” ผกายฤทธิ์กล่าวกับพันตำรวจเอก หากแต่สายตายังคงจับจ้องที่ปุริม “ว่าฉันจะไม่อ่อนข้อให้ผู้ชายคนไหนทั้งนั้น ถ้ามันคิดจะสอยลูกสาวฉัน ก็ต้องผ่านด่านฉันไปให้ได้ก่อน...ว่าแต่แกเถอะไอ้หนู”
“...”
“แน่ใจแล้วเหรอ ว่าจะเป็นศัตรูกับฉัน หึหึ”
พ่อจงอางหวงไข่ถามปุริมด้วยน้ำเสียงขู่ขวัญไม่ปิดบัง ทว่าปุริมจะกลัวไหม ก็เปล่า นั้นเพราะเขาเห็นไอ้ท่าทางแบบนี้มาเยอะแล้ว กับคนอื่นคงกลัวขี้เยี่ยวเล็ด แต่เขาซึ่งเห็นอีกฝ่ายมาตั้งแต่เล็ก นอกจากจะไม่กลัว ยังรู้ทุกจุดอ่อนของอีกฝ่ายอีกต่างหาก เพราะงั้นศึกครั้งนี้ถ้าเขาคิดจะสู้จริงๆ...
ก็ชนะใสๆ
ปุริมยิ้มน้อยๆตอบกลับอีกฝ่ายอย่างหลานชายที่ไม่คิดแข็งข้อกับใคร ทว่านัยน์ตาที่พราวระยับไม่แสดงว่าเกรงกลัวใดนั้น ดูยังไงก็กวนใจผกายฤทธิ์เหลือเกิน!!
-------------------------------
**มีคำผิดช่วยเตือนด้วยน้าาา**
แพลนปีนี้มีงานออกดังนี้น้า
- มาดามคานทอง : https://my.dek-d.com/kodhippie3/story/view.php?id=1544441
- เถารัก (ภาคต่อภรรยาเจ้า) : https://my.dek-d.com/kodhippie3/writer/view.php?id=1382730
- เสน่หากระยาทิพย์ : https://my.dek-d.com/kodhippie3/story/view.php?id=1492560
ฝากเพจด้วยจ้า จะแจ้งอัพนิยาย + ลง NC ในนั้นน้า คลิ๊ก! >> เพจเฌอมา <<
ผลงานของเฌอมา
ฝากเพจด้วยจ้า
__________________________________________________________________________________________________________________________________________
นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นตามจิตนาการและความคิดของผู้แต่งเท่านั้น ทั้งตัวละคร เนื้อเรื่อง สถานที่ ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงบุคคลที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มอรรถรสเนื้อหาของนิยายให้มีความน่าสนใจขึ้นเท่านั้น ผู้อ่านที่รักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ
นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งใน นิยายไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นการกระทำที่มีความผิดทางกฎหมายตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติที่ได้ระบุไว้และจ่ายค่าเสียหายตามแต่เจ้าของผลงานจะกำหนด
[ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สมาคมนักเขียน ]
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เชียร์ไรท์เตอร์แต่งต่อๆๆ
มีคำผิดจ้าาา
ขี้เกียจ สะกดแบบนี้น้าาา
เหมือนเห็นตอนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่จำไม่ได้ว่าตอนไหน 5555
ขี้เกียด = ขี้เกียจ
คำผิดค่าาาา รู้เช่นเหตุชาติ-รู้เช่นเห็นชาติ