ตอนที่ 7 : Chapter 7 : จู่โจมเต็มกำลังรัก (100%) รีไรท์
พ ร ะ พ า ย ท า ย รั ก
_______________________________________________________________________________________________________________________________________
By เฌอมา
บทที่ 7 จู่โจมเต็มกำลังรัก
ยาคลายเครียดถูกกลืนลงคอเพื่อปลดระวางบาดแผลในใจชั่วคราว คุณหญิงก้อยหลับตาลงช้าๆเพื่อช่วยตัวเองขับไล่ภาพในอดีตออกไปจากหัว ก่อนจะเดินกลับไปนั่งกับหมอรุ้ง ซึ่งอาสาเฝ้าร้านไอติมหลอดแทนน้องนิสิตที่ขอแว้ปไปเข้าห้องน้ำ
ความมึนและหน่วงชาของฤทธิ์ยาทำให้หญิงสาวสะลึมสะลืออยากนอนหลับ และเพราะเหตุนั้นทำให้ตัวคุณหญิงไม่รู้เลยว่ารอบตัวของเธอกำลังเปลี่ยนไป หมอรุ้งดูจะเป็นคนที่รู้สึกตัวเร็วสุด
“ก้อยๆ เหมือนคณะเราจะมีร้องเพลงเปิดหมวกรับบริจาคเลยอ่ะ...เดี๋ยว นั่นพี่อิฐนี่! อ๊ะ! นั่นดล....อี๊ ทำไมพวกนั้นใส่ชุดซะลายพร้อยเลยล่ะ!!!!”
คุณหญิงก้อยที่พึ่งหลุดออกจากอาการซึมมองตามสายตาของรุ้งนรินไปหยุดอยู่ที่สี่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีสดสี่สีแตกต่างกัน แต่ละคนยืนเรียงเรียบร้อยพร้อมผมทรง Elvis Presley ที่มีจะงอยวงๆกลางหน้าผากและสองข้างหู หนึ่งในสี่หนุ่มนั้นคือหม่อมหลวงดลวัฒน์ เธอขอขีดเส้นใต้สองเส้นตรงคำว่าหม่อมหลวงเพราะ...
เขาเป็นหม่อมหลวง! แต่กลับใส่ชุดบ้าๆในงานลอยกระทงประจำปีของมหาลัยเนี้ยน้ะ!!
“สวัสดีนิสิตและทุกๆคนที่มาเที่ยวงานลอยกระทงในวันนี้ วันนี้คณะแพทยศาสตร์ของเราจะมาร้องเพลงเปิดหมวกเพื่อสมทบทุนค่ารักษาผู้ป่วยทางด้านการได้ยิน บรรเลงเพลงและขับร้องโดยเดือนคณะทั้งสี่รุ่นของคณะเรา พี่หมออิฐ พี่หมอดิเรก พี่หมอดล และพี่หมอไผ่คร่า!”
เสียงปรบมือดังกราวใหญ่เช่นเดียวกับคลื่นมนุษย์ที่หยุดยืนดูอย่างให้ความสนใจ นั้นเพราะสี่หนุ่มเดือนคณะแพทย์มีความหล่อเป็นที่โจษจันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
ดลวัฒน์ในชุดดอกลายพร้อยสีเหลืองอร่ามก้าวออกมาด้านหน้าพร้อมรับไมค์จากรุ่นน้องของเขา ก่อนคนเป็นหม่อมหลวงจะยกมันขึ้นจรดริมฝีปาก แน่นอนว่าสายตาเจ้าเล่ห์ของเขาจ้องมองมาที่คุณหญิงก้อยเพียงคนเดียว ราวกับมันเป็นจอเรด้าขององค์กรนาซ่า ที่จะตามหาตัวเธอจนพบไม่ว่าจะอยู่ทามกลางผู้คนมากมายแค่ไหนก็ตาม!
“ต้องบอกก่อนว่าเดือนคนอื่นๆอาจจะมาร้องเปิดหมวกรับบริจาคเพราะใจบุญ แต่พี่มาเพราะเหตุผลเดียวนะน้องทิพย์”
ดลวัฒน์กล่าวเสียงหล่อ และรุ่นน้องซึ่งคุณหญิงก้อยเชื่อเหลือเกินว่าเตรียมสคลิปกันมาแล้ว รีบถลันหน้าออกมาแล้วถามกลับเพื่อรับส่งกัน
“อ้าว แล้วพี่หมอดลมาเพราะเหตุผลอะไรล่ะค่ะ”
ดลวัฒน์ได้ที่ก็ก้าวออกมาด้านหน้าอีกสองก้าว ก่อนจะชี้นิ้วมายังจุดที่คุณหญิงยืนอยู่ เป็นเหตุให้ผู้คนที่ยืนบังแวกทางจนกระทั่งคุณหญิงประจันหน้ากับชายหนุ่ม
“พี่จะมาร้องเพลง...จีบว่าที่คู่หมั้น”
เสียงโห่แซงแซวขึ้นมาในทันที ทว่าคนที่ถูกโบยว่าเป็นคู่หมั้นกลับกำหมันแน่น มองตอบไอ้เสร่อที่ยังยิ้มหล่อส่งมาให้
‘ดู! มันยังจะมาหยอดอีก กางเกงฟิตเป้าออกขนาดนั้นไม่อายบ้างเหรอไอบ้า!
เสียงเพลงทำนองสนุกสนานดังขึ้นพร้อมร่างสีเหลืองเหมือนก้อนขี้ที่หมุนตัวเป็นพายุสลาตันกลับไปหาอีกสามหนุ่มหล่อที่เล่นดนตรีเคล้าไปกับเพลง
ตั้งแต่เจอเธอ ใจก็คอยเพ้ออยากเจอทุกทีเรื่อยไป
เธอนั้นคือดวงใจ หวังเพียงพบเจอเห็นเธอใกล้ๆ
ได้แต่บอกรักเธอเพียงแค่ข้างเดียว
เธอคือความฝัน คนที่เรานั้นแอบเพ้อละเมอบ่อยๆ
ทำได้เพียงแค่คอย ให้เธอหันมาสบตาซักหน่อย
อย่าปล่อยให้ฉันเฝ้าฝันถึงภาพเธอ
เพ้อ อยู่เสมอเมื่อตอนที่นอนหลับไหล
อยากจะรู้เธอเป็นอย่างฉันบ้างไหม
อยากจะรู้ใจเธอ
ฝันเห็นงานแต่งงานของเรา ฝันว่าเราจับมือด้วยกัน
และยังคงฝันว่ามีซักวัน ที่ฉันได้นั่งดูหนังข้างเธอ
ฝันให้มีครอบครัวของเรา ฝันว่าเราแก่ไปด้วยกัน
นั่นเป็นเรื่องราวความฝันจากฉัน
ก็กลัวอาจจะคิดมากไป ได้โปรดเข้าใจเพราะฉันชอบเธอ
(เพลง : เพ้อเจ้อ / ศิลปิน : ALARM9 )
พ่อนักร้องเท้าไฟเต้นยักย้ายส่ายสะโพกไปมาช่างเข้ากับทำนองเพลง ก่อนจะปิดท้ายด้วยการหมุนตัวกลับมาหาเธออีกครั้ง พร้อมกล่องกำมะหยีสีแดงสดที่เปิดอ้าเผยให้เห็นแหวนอมยิ้มรสสตรอว์เบอร์รีที่เธอเคยกินตอนอายุสิบขวบ
ดลวัฒน์มองเธอด้วยดวงตาพราวระยับแสนมีเสน่ห์ ก่อนจะเผยยิ้มสวย แล้วเอ่ยปากฝากรักกับเธอ
“แต่งงานกับพี่นะจ้ะ แม่ยอดพธู”
“ม้ายยยยยยยยยยย!!!”
*****************************
“ม้ายยยยยยย!!!”
“ก้อย…”
เสียงเรียกที่ดังข้างหูทำให้คุณหญิงก้อยสะดุ้งตื่น หญิงสาวผงกหัวขึ้นจากถังไอติมแท่ง ก่อนใบหน้างงงันอย่างคนพึ่งตื่นนอนจะเผยแกสายตาของดลวัฒน์
“...ทำไมมานอนตรงนี้”
คุณหญิงก้อยมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะถลาเข้าจับเสื้อเชิ้ตสีอ่อนของว่าที่คู่หมั้น เอ้ย! อริศัตรูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“ไม่ใช่ลายดอกนี่!”
ดลวัฒน์มองคนที่ดูจะตกใจกับสีเสื้อของเขาอย่างไม่เข้าใจ ก่อนเธอคนเดียวกันนั้นจะกลับไปนั่งหลังตรงอย่างเดิมแล้วยกมือขึ้นนวดขมับของตัวเอง
“ฝันหรอกเหรอ...โชคดีจริงๆ” คุณหญิงกล่าวอย่างโล่งอก อดสยองกับภาพฝันเมื่อครู่ไม่ได้
เมื่อปรับสติสตังให้คืนสู่ความเป็นจริงแล้ว คนเป็นคุณหญิงก็ยืนขึ้นเต็มความสูง ก่อนจะกวาดสายตามองหารุ้งนริน ซึ่งเธอจำได้ว่าก่อนเผลอหลับไป เธอกับยัยรุ้งอาสาน้องๆในคณะนั่งขายไอติมแท่งอยู่ตรงนี้
“...ถ้ามองหารุ้ง พี่อิฐพึ่งมารับไปเมื่อกี้”
ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตสีอ่อนไม่ใช่ไอ้ลายพร้อยเป้าฟิตในภาพฝันเอ่ยบอก และคำตอบนั้นทำให้คุณหญิงก้อยนึกโมโหเพื่อนสาวในใจ
“บ้าจริง พอแฟนมาก็ลืมเพื่อนเลยนะยัยรุ้ง”
เชื้อพระวงศ์หนุ่มมองรอยหงุดหงิดของคุณหญิงก้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ช่วยไม่ได้ วันลอยกระทงใครๆก็อยากอยู่กับแฟนทั้งนั้น”
หญิงสาวเหลือบมองชายหนุ่มโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะหันไปบอกลาอาจารย์และรุ่นน้องเพื่อนกลับบ้าน
บนทางเท้าที่เคยแน่นขนัดด้วยผู้คนบัดนี้บางเบาจนดูโหวงเหง งานลอยกระทงประจำปีใกล้จบลงแล้ว หนุ่มๆสาวๆและคนที่มารวมงานจึงเปลี่ยนจากเดินเที่ยวเป็นจับคู่ลอยกระทงแทน
คุณหญิงก้อยเหล่ตามองชายหนุ่มที่ตามมาอย่างสงสัย ว่าอะไรหนอทำให้คนชอบพูดจ้อ หยอดมุขเสี่ยวป้อนคำหวานกลายเป็นคนเงียบไปเสียอย่างนั้น แม้ปกติกับคนอื่นชายหนุ่มจะเฉยๆและเรียบร้อย แต่เวลาอยู่กับเธอมันไม่ใช่แบบนี้นี่
หญิงสาวคิดและเริ่มข้องใจ สุดท้ายจึงผ่อนฝีเท้าลง หันไปถามคนที่พึ่งเปลี่ยนมาเดินเสมอกัน “ทำไมวันนี้นายดูแปลก”
ดลวัฒน์ยิ้มน้อยๆให้คนที่นอนหลับเต็มตื่น ความอิดโรยเพราะเคสผ่าตัดนาน 11 ชั่วโมงทำให้เชื้อพระวงศ์หนุ่มไม่อยากจะเล่นหัวกับใคร ถึงกระนั้น แทนที่เสร็จงานเขาจะรีบกลับวังไปพักผ่อน แต่ทันทีที่ทราบจากแพทย์รุ่นพี่ว่าคุณหญิงก้อยอยู่กับหมอรุ้งที่นี้ เขาก็ยอมแบกร่างอันหนักอึ้งมาหาทันทีอย่างไม่เกี่ยงงอน
“ทำไม…เป็นห่วงเราเหรอ”
นัยน์ตาหวานของคนเผลอห่วงเบิกโตขึ้น ก่อนเสียงหวานสูงจะดังตามมาเพราะความตกใจของเจ้าตัว
“เปล๊า! ฉันเป็นห่วงวายะวงศ์ต่างหาก เพราะเกิดนายตายไปคน ราชสกุลนั้นคงหางกุดหมดใครสืบทอด!”
หมอดลไม่ได้คลายยิ้มหลังได้ฟังคำเชือดเฉือน ชายหนุ่มทำเพียงเดินไปช้าๆแล้วสนทนาต่อ
“อ่อ...เข้าใจแล้ว ที่แท้ก้อยก็แค่ห่วงวายะวงศ์” เสียงเรียบเอ่ย ก่อนจะหันมองตอบนัยน์ตาสังเกตสังกาของคุณหญิงก้อย
“งั้นถ้าห่วงจริงก็รีบแต่งกับเราซะสิ วายะวงศ์จะได้มีผู้สืบทอดเสียที...ดีไหม”
คุณหญิงก้อยชะงักเท้าก่อนจะถลึงตาใส่คนเชิญชวน ทว่ายิ้มอบอุ่นและแววตาที่บ่งบอกว่าพูดจริงทุกคำกลับทำให้คนเป็นคุณหญิงอึกอัก เธอไม่คุ้นกับดลวัฒน์ที่เป็นแบบนี้ เพราะปกติเขาจะพ่นมุขเสี่ยวหรือแกล้งเธอมากกว่าจะจริงจังและจ้องมองมาอย่างสื่อความหมาย และตอนนี้เธอยอมรับ...ยอมรับว่าตนเองรู้สึกเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
‘อะไรกันยายก้อย ปกติตานี้ก็พูดแบบนี้ออกจะบ่อย ทำไมครั้งนี้ดันเขินขึ้นมาได้ละ หยุดเขินเดี๋ยวนี้นะยัยบ้า!’
คนเป็นคุณหญิงคิด ก่อนกายสาวจะแสร้งเชิดหน้าหนีแล้วเดินปลี่ไปด้านหน้า ไม่คิดรอและหันมองดลวัฒน์อีก
ทว่าเธอกลับเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เนื่องจากเสียงอุทานของกลุ่มคนที่เดินสวนตัวเธอไปเมื่อครู่ดังขึ้น
“กรี๊ด! นี่! เดินภาษาอะไรเนี้ย! นี้มันเสื้อนักศึกษาตราน้อมจิตเลยนะ!!”
หญิงสาวหันมองเหตุการณ์ด้านหลัง พบดลวัฒน์ที่นั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น ขณะที่หนึ่งสาวร่างกายใหญ่โตยืนเท้าเอวมองเขาอย่างหาเรื่องหาราว บนพื้นข้างๆชายหนุ่มปรากฏแก้วน้ำแดงเอียงกระเทเล่อย่างไม่ถูกที่ น้ำส่วนหนึ่งเปรอะเปื้อนเสื้อเขา อีกส่วนหยดแหมะๆเป็นทางยาวลงมาจากร่างของคู่กรณีที่ยืนเขม่ง และหลักฐานพวกนั้นทำให้คุณหญิงก้อยเดาสถานะการณ์ได้ในทันที
ร่างแบบบางของหม่อมราชวงศ์หญิงรีบเดินกลับไปหาดลวัฒน์ ซึ่งบัดนี้กำลังสะบัดใบหน้าไปมาอย่างคนที่ต้องการเรียกสติตนเอง
“ขอโทษค่ะๆ เขาไม่ค่อยสบายๆ เอ่อ น้ำนั้น เดียวฉันซื้อคืนให้นะคะ”
คุณหญิงก้อยกล่าวอย่างขอโทษขอโพยแทนคนที่นั่งมึนอยู่บนพื้น นัยน์ตาหวานมองไปยังเสื้อสีขาวที่เปื้อนไปด้วยคราบสีแดงวงใหญ่ของสาวอ้วนท่าทางเคืองโกรธตรงหน้า
“ไม่ต้องย๊ะ! แต่ทีหลังดูแลคนของเธอหน่อยน้ะ เพราะครั้งหน้าถ้าพี่วรเชษฐ์แฟนของฉันมาด้วย เรื่องไม่จบแค่คำขอโทษแน่!”
ว่าจบแม่ช้างพลายวัยกระเตาะก็เดินเชิดหน้าตึงตั้งไปอีกทาง พร้อมขบวนเพื่อนหลายสิบคนของเธอที่แอบส่งยิ้มให้ดลวัฒน์ และเปลี่ยนสายตาข่มขู่เมื่อหันมามองคุณหญิงก้อย
‘เฮ้อ วัยรุ่น’
คุณหญิงก้อยคิดในใจก่อนจะหันไปดึงร่างสูงโปร่งด้านหลังให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะใช้สายตาวิเคราะห์ท่าทางและสีหน้าของชายหนุ่ม ไม่สนใจคำขอบคุณเบาๆอย่างกระท่อนกระแท่นที่ดังออกมาจากริมฝีปากไร้สีแสนซีดเซียว
“ขอบคุณนะก้อย โทษที...เรารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร”
“อืม...ฉันว่าฉันรู้ว่าเพราะอะไร"
"หื้ม..."
ดลวัฒน์ขานถามอย่างไม่เข้าใจ และกิริยาของเขาทำเอาคนยืนเซงถอนหายใจอีกครั้ง
"เฮ้อ...มานี้มา”
************************
5 นาทีต่อมา ณ ร้านขายขนมจีนโบราณ
“โอ๊ย!”
หม่อมหลวงดลวัฒน์ร้อนเสียงหลงก่อนจะยกมือขยี้ตาอย่างรวดเร็ว
“หยุด! นายนี้จริงๆเลย กินช้าๆสิ เอ้า! กระดาษทิชชู!”
คุณหญิงกล่าวเสียงไม่พอใจ ก่อนจะดึงกระดาษทิชชูส่งให้ดลวัฒน์ซึ่งสูดเส้นขนมจีนเข้าปากด้วยความเร็วแสง จนน้ำยาปลาพิเศษลูกชิ้น 8 ลูกสะบัดเข้าตาเขาเต็มๆ
ดลวัฒน์ที่กำลังหลับตาปี๋คว้ามือสะเปะสะปะรับกระดาษทิชชู ปากสีอ่อนของเขาบวมเจ่อเพราะทานเผ็ดไม่เก่งและมันกำลังร้องซีดซาดไม่หยุดเนื่องจากรสอร่อยเผ็ดร้อนของขนมจีนโบราณกำลังทำพิษกระเพาะอาหารและลูกกะตาของเขา
“โอ๊ยคุณหญิงมันไม่หาย ขอน้ำหน่อย น้ำๆๆๆ”
คนเรียวปากแดงเจ่อดั่งลูกตำลึงสุกกล่าวอย่างขอความช่วยเหลือ คุณหญิงก้อยมองคนพิการตาขวาที่กำลังพยายามรี่ตามองเธอ ก่อนจะตีมือชายหนุ่มป้าบใหญ่ เพราะมือไม้ใหญ่โตของอีกฝ่ายกำลังยื่นเข้ามาจุ้นจ้านกับแก้วน้ำของเธอ
“นี้! ก็เอาแก้วนายสิ มายุ่งอะไรกับแก้วฉันล่ะ”
“ของเราหมดแล้ว ซี๊ดมันแสบ ขอน้ำๆๆๆ”
“เอ้าๆ เอาไปๆ! ช้าๆ เทน้อยๆสินายดล มันหกหมดแล้ว!”
“คุณหญิงก็ช่วยหน่อยสิ เรามองไม่เห็นนี่!”
เสียงเร่งเร้าบวกกับนัยน์ตาข้างขวาที่ปริ่มน้ำตาเพราะระคายเคืองทำให้คนเป็นคุณหญิงจำยอมยื่นมือเข้าไปช่วย แน่นอนว่าการกระทำนั้นได้คืนความสงบสุขสู่ร้านขนมจีนโบราณ แหล่งอาหารที่ต่อชีวิตและพละกำลังทั้งสิ้นทั้งปวงของนายแพทย์หม่อมหลวงดลวัฒน์
**********************
“อิ๊มมมอิ่ม” ดลวัฒน์กล่าวพลางยิ้มแตร้ แสร้งส่งตาหวานจ๋อยให้คนข้างๆ “ก้อยจ้ะ เราไปหวานที่ไหนต่อดี”
“เหอะ อิ่มแล้วซ่าขึ้นมาทันทีเลยนะ”
“ฮิฮิ”
คุณหญิงก้อยกลอกตาไปมาก่อนจะเดินดุ่มๆออกจากเขตงานลอยกระทง โดยมีดลวัฒน์ซึ่งฟื้นแรงขึ้นมาหน่อยเดินตามติดตัวเธอมาไม่ห่าง แต่แล้วความสงบก็อยู่กับหญิงสาวได้ไม่นาน เพราะทันทีที่เธอเดินมาถึงลานจอดรถ เธอกลับพบว่า…
“กุญแจรถหาย!!”
ดลวัฒน์เลิกคิ้วมองคนตกใจก่อนจะเดินเข้าไปใกล้หมายจะช่วยหากุญแจ ซึ่งชายหนุ่มคิดว่าคนเป็นคุนหญิงอาจจะเก็บไว้ที่ตัวแล้วลืม
หม่อมราชวงศ์กนกวลีเขม่งมองมือไม้ของชายหนุ่มที่กำลังป่ายแปะตะปบนั้นตะปบนี้ไปตามเนื้อตัวเธออย่างฉุนเฉียว
“นายทำบ้าอะไร ถอยไปห่างๆเลยนะ”
“ก็ช่วยหากุญแจไง เผื่อคุณหญิงจะลืมไว้แถวนี้”
“คนบ้าที่ไหนจะลืมกุญแจรถไว้บนตัว นายอย่ามาหาเรื่องแต๊ะอั๊ง”
“เฮ้อ...ผู้ชายจริงใจไม่มีที่ยืนในสังคมเล้ยยยย”
คุณหญิงก้อยค้อนคว่ำก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง กดโทรหาหมอรุ้งเผื่อว่าเพื่อนสาวจะเป็นคนเก็บกุญแจไว้ ขณะที่อีกมือก็ควานหากุญแจรถในซอกกระเป๋าไปด้วย มือบางดึงสาบกระเป๋าออกมาอย่างเคยชิ้น เป็นพฤติกรรมที่มักชอบทำเวลาอยากจะหาอะไรซักอย่างให้เจอ ส่งผลให้เศษกระดาษ บิลสิ้นค้า คูปองเงินสด และอื่นๆอีกมากมายที่ค้างอยู่ในนั้น ร่วงกราวลงกับพื้น
“...เห็นเงียบๆ ขยะเพียบนะครับ”
ดลวัฒน์ที่กำลังกอดอกรอกล่าวเชิงล้อเลียน คุณหญิงก้อยนึกโกรธชายหนุ่ม
ในเวลาอย่างนี้ยังจะมาทำเป็นเล่นอีก!
หญิงสาวคิดในใจก่อนจะพลานไปหาคนปลายสาย ที่จนแล้วจดรอดก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์
“บ้าจริงยัยรุ้ง เที่ยวกับพี่อิฐเพลินจนลืมดูโทรศัพท์เลยสินะ!"
หม่อมหลวงดลวัฒน์ยิ้มกริ่มก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าหญิงสาว "ถ้ารู้อย่างนั้นก็อย่าไปขัดคอพวกเขาซี่ บาปก๊ำบาปปรรม"
"ทำไมนายไม่หุบปากแล้วรีบกลับบ้านไปซะทีล่ะ!"
"กลับได้ไง มีเด็กผู้หญิงกลับบ้านไม่ได้อยู่ตรงนี้"
ชายหนุ่มกล่าวทีเล่นทีจริง เขาทำท่าราวกับรอคอยให้หญิงสาวร้องขอให้เขาไปส่ง
'หึ ฝันเถอะ!'
"ฉันจะโทรให้รถที่วังมารับ!”
คนตัดสินใจได้กล่าวชัดเจนก่อนจะกวาดเศษข้าวของที่กระจายบนพื้นคืนสู่ที่เดิม สัญญากับตัวเองว่ากลับถึงวังจะเคลียร์ระเบียบในซอกกระเป๋าเสียใหม่ ไม่งั้นโดนนายดลล้อไปจนมีลูกแน่
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวเราไปส่ง”ชายหนุ่มกล่าวก่อนจะยิ้มกริ่มมีความหมาย
“ไม่จำเป็น ฉันจะให้คนรถที่วังมารับ”
คุณหญิงก้อยผู้ไม่ยอมสิ้นไร้ไม้ตอกตอบ ทว่าดลวัฒน์กลับดึงโทรศัพท์มือถือที่คุณหญิงกำลังกดโทรมาไว้ในมือ
“ก็บอกว่าเดี๋ยวเราไปส่งไง ช่วงนี้คนในงานลอยกระทงกำลังกลับรถต้องติดเป็นพรืดแน่ กว่ารถที่วังภานุพงศ์จะฝ่าเข้ามาถึง นู้นนน ตีสองตีสามคงจะถึงวัง”
หญิงสาวมองคนให้เหตุผลก่อนจะถอนใจ ชายหนุ่มเมื่อแน่ใจแล้วว่าเหยื่อยอมให้ไปส่งง่ายๆก็ผิวปากเดินนำไปยังที่จอดรถประจำของตน ทว่าเมื่อนิ้วแข็งแรงควานหากุญแจรถจากในกระเป๋ากางเกงเข้าบ้าง เขากลับพบแต่ความว่างเปล่า และใบหน้าที่ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนหน้า ก็ค่อยๆซีดลง ซีดลง...
“อะไรอีกล่ะ! ฉันอยากกลับบ้านจะแย่อยู่แล้วนะ!”
หม่อมราชวงศ์หญิงกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี และคำตอบที่เธอได้กลับมาจากดลวัฒน์ก็ทำให้หญิงสาวอยากย้อนกลับไปร้านขนมจีน แล้วเทน้ำยาเผ็ดร้อนใส่ตาชายหนุ่มทั้งๆที่มันยังร้อนๆอยู่
“กุญแจรถดลหายอะก้อย!!”
“.......................ดีจริงๆพ่อมหาจำเริญ!!!”
******************************
“เทเวศร์ชิดในเลยเพ่”
เสียงกระเป๋ารถที่กำลังโหนตัวไปมาเพื่อหลบเลี่ยงผู้โดยสารซึ่งยืนแน่นขัดอยู่บนรถเมย์กล่าว ก่อนคลื่นมนุษย์จากป้ายต่อไปจะวิ่งกรูขึ้นมาบนรถเมย์สายเก่า ซึ่งแน่นจนไม่รู้จะแน่นยังไงแล้ว คนเป็นคุณหญิงถอดถอนใจออกมาก่อนจะหันมองชายหนุ่มข้างกายที่เป็นคนออกหัวว่าให้นั่งรถประจำทางกลับ บัดนี้กำลังนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ข้างๆ เป็นปัญหาให้คนที่มาด้วยอย่าเธอต้องคอยจับไม่ให้ชายหนุ่มเผลอเหวี่ยงไปฟาดกับหน้าต่างเวลารถเบรกจอด
‘ไอบ้าดล!’
“ลงเทเวศร์เตรียวตัวเลยเพ่! จอดวิเดียวนะจอดวิเดียววววว!”
เสียงลากยาวของพนักงานเก็บตั๋วดังขึ้นเป็นสัญญาณ ก่อนชายหนุ่มรูปร่างแคะแกร่นขาเล็กเท่าไม้แคะฟันจะหันมายิ้มให้คุณหญิงก้อย คล้ายกับว่าตัวเขาจำได้ว่าเธอซื้อตั๋วลงแค่ป้ายนี้ ทว่าจะให้เธอลงได้ไง ในเมือปลิงควายตัวเท่าฝ่าบ้านอย่างนายดล
‘ฟึบ!’
เอียงมาซบไหล่เธออยู่แบบนี้
คุณหญิงก้อยหันมองคนข้างกายที่โถมน้ำหนักทั้งหมดที่เขามีมาพิงพักกับร่างของเธอ เธอออกแรงดันก็แล้ว เขย่าหัวก็แล้ว แต่ก็ทำได้เพียงปลุกคนงัวเงีย ที่บัดนี้ไร้สิ้นเรียวแรงใดๆไว้ใช้พูดคุยกัน
คนเก็บตั๋วเดินมาหาคุณหญิงพร้อมกับกระบอกเหล็กที่ดังแก๊บๆตลอดเวลา ก่อนเธอจะส่งแบงก์กับเศษเหรียญอีกจำนวนหนึ่งที่ดึงมาได้จากกระเป่าตังค์ของดลวัฒน์ไปให้เขา เป็นนัยย์บอกกับเขาว่าเธอต้องการไปต่อ
“ลงป้ายไหนครับเพ่”
คุณหญิงหันมองดลวัฒน์ที่กำลังหลับไม่รู้เรื่อง “...วังวายะวงศ์ค่ะ”
ปานเกล้า
เวลาสามทุ่มกว่าๆทั่วทั่งบริเวณเงียบเฉียบแม้จะอยู่ติดถนนใหญ่ คงจะมีเพียงแสงสีอ่อนจากตัววังอันโอ่อ่าอย่างเช่นวังวายะวงศ์เท่านั้น ที่ยังให้แสงเรืองรองจากไฟภายในตัววังที่สาดสองลอดบานหน้าต่างออกมา หลังคาวังสีน้ำเงินแก่ดูดำมืดจนแทบจะกลืนไปกับท้องฟ้าไร้ดาว ทว่าตัววังสีขาวบริสุทธิ์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่กำลังบ่งบอกว่าวังประจำราชสกุลวายะวงศ์กว้างใหญ่แค่ไหน
คุณหญิงก้อยประคองหม่อมหลวงดลวัฒน์ลงจารถประจำทางอย่างทุลักทุเล ทั้งบ่นทั้งด่าคนที่สลบไสลไม่ได้สติ แต่ก็ยังช่วยประคับประคองชายหนุ่มลงมาอย่างปลอดภัย พาเดินมาจนถึงป้อมยามหน้ารั้ววังที่เธอไม่เคยคิดจะเหยียมย่าง
“...คุณ”
ยามวัยกลางคนที่รีบกุลีกุจอออกมาจากป้อมทันทีที่เห็นเจ้านายชะงักฝีเท้าลง ครั้นมองเห็นหญิงสาวที่เดินโอบเจ้านายมา ยามประจำวังจำได้ว่าหญิงสาวคือคุณหญิงคู่หมั้นของเจ้านาย และก็จำได้เช่นกันว่าราชสกุลต่อท้ายชื่อของเธอไม่เป็นที่ยอมรับในวังวายะวงศ์และสมาชิกของราชสกุล
คุณหญิงก้อยพอเดาสายตาของยามเฝ้าประตูออก จึงทำเพียงส่งร่างหนักๆนั้นไปให้เขารับช่วงต่อ ก่อนจะหมุนตัวกลับโดยไม่กล่าวอะไร ทว่าเสียงบีบแตรของรถหรูคันหนึ่งที่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้ารั้ววังวายะวงศ์ กลับทำให้คนเป็นคุณหญิงหันมองอย่างสนใจ
ประตูรถเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งจะก้าวลงมาพร้อมยิ้มทักทาย
“คุณหญิง”
คุณหญิงก้อยมองชายหนุ่มท่าทางดีตรงหน้าอย่างสงสัย ใบหน้าหล่อเหลาที่ดูคล้ายดลวัฒน์กำลังส่งยิ้มให้เธอราวกับรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี แต่ตัวเธอนี้สิ นึกเท่าไรก็นึกชื่อเขาไม่ออก
ใครหวา
“ผมปานเกล้าครับ ปานเกล้า วายะวงศ์ เป็นลูกพี่ลูกน้องของนายดล”
ชายหนุ่มแนะนำตัวแล้วยิ้มกว้างให้คุณหญิงก้อย และท่าทางของเขาทำให้คนเป็นคุณหญิงรู้สึกว่า...ผู้ชายคนนี้น่าคบหากว่าอีตาดลวัฒน์เยอะเลย
“อ่อ สวัสดีค่ะ ฉันกนกวลี”
“ครับ” ปานเกล้าขานรับแล้วยิ้มบาง “ผมรู้”
คุณหญิงก้อยไม่เข้าใจในยิ้มของคนตรงหน้า เขาทำราวกับรู้จักเธอดี และรู้จักมาก่อนหน้านี้ ทว่าคนเป็นคุณหญิงก็ไม่คิดจะสานต่อบทสนทนา เธอบอกตัวเองว่าอยากจะกลับวังของตนแล้ว
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ งั้นถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว...ฉันขอตัว”
“เดี๋ยวครับ” ปานเกล้ารั้งคุณหญิงด้วยคำพูด ครั้นเขาเห็นเธอหันมองตอบพลางขมวดคิ้ว ก็พูดต่อพร้อมยิ้มแบบเดิม
“ให้ผมไปส่งดีกว่า ดึกมากแล้วมันอันตราย”
เชื้อพระวงศ์หญิงลังเลกับผู้หวังดีที่จู่ๆก็เสนอตัวมาช่วย “ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ฉันเรียกแท็กซี่สะดวกกว่า”
“อย่าปฎิเสธเลยครับ หรือถ้าคุณหญิงไม่วางใจ...เราหิ้วนายดลไปกับเราด้วยก็ได้”
***************************
‘ปึก’
เสียงศีรษะแน่นๆโขกโปกเข้ากับกระจกรถทำให้หม่อมราชวงศ์หญิงเพียงคนเดียวบนรถหัวเราะคิ หญิงสาวมองกระจกข้างที่กำลังสะท้อนภาพของดลวัฒน์ซึ่งยังคงหลับแบบเดิม ผิดขึ้นมาหน่อยตรงนี้กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเนื่องจากเจ็บหน้าผากเพราะรถเบรก
สมน้ำหน้า!
ปานเกล้ามองใบหน้าสะใจของคุณหญิงต่างราชสกุลก่อนหัวเราะ และนั้นเรียกให้คนเผลอมองดลวัฒน์หันกลับมามองคนขับรถแล้วยิ้มแห้งๆให้ๆ
“คุณหญิงดูสนิทสนมกับเจ้าดลมากนะครับ”
คุณหญิงก้อยเลิกคิ้วก่อนจะตอบ “เห็นอย่างนั้นหรือค่ะ แต่จริงๆฉันกับเขาเป็นคู่อริกันต่างหาก”
“แปลกนะครับ ปกติเจ้าดลไม่ค่อยเป็นอริกับใครซักเท่าไร”
“นั้นเพราะเขาสร้างภาพให้ทุกคนคิดว่าตัวเองน่ะแสนดีต่างหาก”
ปานเกล้าหัวเราะแล้วพูดต่อ “คุณหญิงดูไม่ชอบนายดลจริงๆ”
“ที่สุดในชีวิตเลยค่ะ”
“งั้น...ก็คงไม่คิดจะแต่งงานกับนายดลด้วยซิ”
คำถามนั้นทำให้คุณหญิงก้อยชะงัก ก่อนจะตอบกลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิดซ้ำ “ไม่เคยแม้แต่จะคิดค่ะ”
ปานกล่าวยิ้มและไม่พูดหรือถามอะไรอีก กระทั้งถึงวังภานุพงศ์
คนเป็นคุณหญิงก้าวลงจากรถ เดินอ้อมมาอีกฝั่ง แล้วยิ้มให้ปานเกล้าที่เลื่อนกระจกลงมาเพื่อสนทนาต่อ
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ยินดีครับ ถ้าวันหน้าคุณหญิงไม่รังเกลียด ก็เรียกใช้บริการได้อีกนะครับ”
คุณหญิงก้อยหัวเราะและเธอคิดจะตอบกลับไปว่าโอเคค่ะ แต่เพราะสายตาเหลือบไปเห็นคนที่ควรจะนอนหลับอยู่ตรงเบาะหลัง บัดนี้กำลังชี้นิ้วชี้หน้าเธอพร้อมใบหน้าดุโหดราวกับอาจารย์ฝ่ายปกครอง ทำราวกับจะปรามเธอไม่ให้ตกปากรับคำใดๆจากญาติของเขา
“เอ่อ...ไม่เป็นไรดีกว่าค่ะ ขอบคุณนะคะคุณปานเกล้า”
คุณหญิงก้อยตอบกลับไปทั้งที่ยังสงสัยและค้านตัวเองว่าทำไมต้องไปกลัวนายดลด้วย
ปานเกล้าเหล่หลังก่อนจะหัวเราะที่เห็นดลวัฒน์ตื่นแล้วและกำลังข่มขู่คุณหญิงก้อย
“โอเคครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อน”
“ค่ะ ขับรถดีๆนะคะ”
ปานเกล้ายิ้มตายี่ก่อนจะขับรถออกไป คุณหญิงก้อยมองตาม ก่อนจะสะดุดอีกรอบเมื่อเลื่อนสายตามาที่คนตรงเบาะหลัง แล้วเห็นชายหนุ่มถลึงตาใส่เธอจนตาแทบจะถล่นออกมาจากเบ้า
“อะไรของเขา ละเมอหรือไง!”
********************************
“นายไม่ควรมาออเซาะว่าที่ภรรยาของฉันนะเกล้า”
ดลวัฒน์กล่าวเสียงไม่พอใจ แต่ไม่มีความโกธรแค้นในท่าที
ปานเกล้าเงยหน้ามองกระจกมองหลังก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับคนพึ่งตื่นนอน
“แอบฟังคนอื่นคุยกันไม่ดีนะตาหนู”
ลูกพี่ลูกน้องกล่าว ซ้ำยังเรียกดลวัฒน์ว่าตาหนูอย่างเช่นที่ท่านปู่ของเขาทั่งสองใช้เรียก
ดลวัฒน์นวดขมับตัวเอง ก่อนจะทิ้งตัวพิงเบาะแล้วมองตอบลูกพี่ลูกน้องของตน
“กลับจากพม่ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้ข่าวว่ากว่าท่าเรือน้ำลึกที่ทวายจะเสร็จก็อีกตั้ง 10 ปี ไม่ใช่เหรอ ทางนั้นเขายอมปล่อยตัวนายมาง่ายๆได้ยังไง”
คำถามลอยๆถึงหน้าที่การงานทำให้มุมปากของวิศวะหนุ่มอย่างปานเกล้ากระตุกยิ้ม
“เดิมทีก็ยังไม่ถึงเวลากลับหรอก แต่พอคุณแม่โทรไปบอกเรื่องนายจะแต่งงานฉันถึงได้ยอมกลับมาเพื่อดูอะไรบางอย่าง”
ดลวัฒน์ขมวดคิ้ว มองใบหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ของญาติอย่างปานเกล้า "แล้วนายมาดูอะไร"
นัยน์ตาคู่คมที่มีความคลายคลึงคุณหญิงพรรณนีมารดาของเขามองตอบดลวัฒน์ผ่านทางกระจกมองหลังอีกครั้ง "ก็มาดูคุณหญิงก้อย ว่าที่เจ้าสาวของนายไง"
--------------------------------------
ขออภัยคนที่ติดตามแด่เธอที่รักนะคะ ตอนนี้อินเนอร์พระพายมาแล้ว 555 มาอัพพระพายทายรักต่อน้าาา ฝากติดตาม เป็นกำลังใจนักเขียนบ้าๆ ที่ไม่มีหลักการในการเขียน ไม่มีอะไรเลย มีแค่ความอยากที่จะเขียน อยากที่จะเล่าสิ่งที่คิดให้ทุกคนฟัง จริงๆไม่คิดจะเขียนพระพายทายรักด้วยซ้ำ แต่บอกตัวเองว่าต้องไปต่อ ทั้งนี้เพราะแฟนๆภรรยาเจ้าเรียกร้องกันมาก ไรท์ทำเพื่อพวกยูเลยนะ เรื่องนี้แต่งให้แฟนๆภรรยาเจ้าอ่านจริงๆ ผิดพลาดประกาศใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย รักทุกคนมาก ขอบคุณที่พาไรท์มาถึงจุดนี้ อาจจะมีลบบ่อย แก้บ่อย ขอโทษสำหรับหลายๆคนที่หงุดหงิด แต่ที่ทำเพราะอยากให้ทุกคนได้อ่านเรื่องที่สนุกที่ถูกใจ ปัญหาเขียนผิดแก้ไม่หายซะที จะพยายามตรวจทานให้ได้มากที่สุด รักทุกคนนะคะ คอมเม้นกันเบาๆหน่อยน้า โกธรเกียดอะไร เครียดจากงานมาไปคุยกันในเพจได้ อย่าตัดกำลังใจคนเขียนด้วยคำพูดไม่ดีเลย ที่เขียนที่แต่งก็เพื่อให้ทุกคนมีความสุขทั้งนั้น (พูดเฉยๆนะยังไม่มีใครว่าอะไร 55+) แฟนๆภรรยาเจ้า ขอบคุณที่ตามมา ขอบคุณที่ให้โอกาศ ขอบคุณที่ยังรักกัน เรามาเริ่มนับ 1 กันอีกครั้งน้ะ
มาๆ มานั่งรวมกันเป็นวงกลม...เดียวเฌอมาจะเล่าความรักของคุณดลกับหญิงก้อยให้ฟังง ^^
นิยายเรื่องนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ทำซ้ำ ดัดแปลงหรือนำส่วนใดส่วนหนึ่งใน นิยายไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงาน การละเมิดลิขสิทธิ์ถือเป็นการกระทำที่มีความผิดทางกฎหมายตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติที่ได้ระบุไว้และจ่ายค่าเสียหายตามแต่เจ้าของผลงานจะกำหนด
[ สำนักลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ สมาคมนักเขียน ]
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แวกทาง-ที่ถูก แหวกทาง
ถูกโบยว่า - ถูกโบ้ยว่า
กำหมันแน่น - กำหมัดแน่น
ไอบ้า -
เผยแกสายตา - เผยแก่สายตา
เดินปลี่ - เดินปรี่
เอียงกระเทเล่ - เอียงกระเท่เล่
ยืนเขม่ง - ยืนเขม็ง
เดียวฉัน - เดี๋ยวฉัน
คนยืนเซง - คนยืนเซ็ง
มานี้มา - มานี่มา
ยิ้มแตร้ - ยิ้มแต้
พลาน - พาล
รถเมย์ - รถเมล์
เหยียมย่าง - เหยียบย่าง
หัวเราะคิ - หัวเราะคิก
กระทั้ง - กระทั่ง
รังเกลียด - รังเกียจ
ยิ้มตายี - ยิ้มตาหยี
ชอบเรื่องนี้นะคะ เป็นกำลังใจค่ะ สู้นะคะ
หมอดลนี่คนกี่บุคลิกกันเนี่ยยย
สู้ๆนะคะไรท์
เพื่อแก้ไข..อดีต
ไม่ใช่...รัก
อินี่เลว..ได้ใจ
สุดท้าย..นู๋ก๋อยไม่ช้ำใจเหมือนแม่เหรอ
แต่คงไม่เป็นนักดริฟ..แห่งชาตินะเออ
ZhouHongjun : อะเคจ้าา รออ่านน้าา ^^
ใจร้ายเกิ้นนนนนนนนนน นอหนูสามล้านตัว
โอ๊ยก้อยรับไม่ได้
ทำซะเราคิดว่ารักแทบตาย