ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    焰曲 บทเพลงแห่งเปลวเพลิง

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 การกลับมาของหงส์ปีกปิ่น : 2

    • อัปเดตล่าสุด 14 ม.ค. 65


     

    ทันทีที่เหรินเฟิ่งเดินมาถึงโถงใหญ่ของจวน ก็พบว่าบรรดาผู้อาวุโสประจำตระกูลนั่งเรียงรออยู่ในห้องโถงของจวนเจ้าเมืองเรียบร้อยแล้ว โดยมีท่านปู่เฟยกวางกงและฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นย่า นั่งอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสลำดับสูงสุดของงาน ในขณะที่เฟยสือผู้เป็นพ่อ จื่อฮูหยินผู้เป็นแม่ และหั่วซวนน้องชายวัยสามขวบของนาง นั่งลดหลั่นถัดลงมา

         ทว่าที่นางแปลกใจ คือจำนวนแขกซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนสำคัญในบ้านเมือง ผู้นำตระกูล ตัวแทนจากเจ้าสำนักต่างๆ มากกว่า ทั้งหมดมาเยอะกว่าที่คาด กระนั้นก็ถูกจัดให้นั่งอย่างสมเกียรติทางด้านซ้าย แขกของราชสำนักนำโดยไท่จื่อหยางจงอี้คุณ ท่านเสนาบดี เหล่าอมาตย์และผู้ติดตามถูกจัดให้นั่งทางด้านขวา 

         ทว่า ที่เหรินเฟิ่งสนใจยิ่ง กลับเป็นกลุ่มคนซึ่งยืนอยู่กลางโถง ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นพึ่งเดินเข้ามาในงานก่อนหน้านางไม่นาน หนึ่งผู้อาวุโสในชุดสีเทาเก่าๆขาดๆยืนนำหน้า มีสองบุรุษ สองสตรี ยืนเรียงอยู่ด้านหลัง แต่มีสตรีเพียงคนเดียวที่สายตาของนางจับจ้อง

         เพียงเห็นแผ่นหลังนางก็จำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

         เพราะตั้งแต่เกิดมา นางก็มองหญิงสาวผู้นี้ได้แต่เพียงด้านหลัง

         เป็นรอง และค่อยไล่ตามอยู่เพียงแค่ด้านหลังของอีกฝ่ายเรื่อยมา

         เฟยเยวี๋ยนเฟิ่ง...พี่ใหญ่ของนางเอง

         นางรีบหันมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของหยางจงอี้คุณอย่างรวดเร็ว และได้เห็นบุรุษหนุ่มหล่อเหลาแสนเงียบขรึมในชุดฟ้าครามดำอย่างที่ใจต้องการ 

         รูปโฉมของไท่จื่อแสนเลิศล้ำ ตำแหน่งสูงส่ง วรยุทนับเป็นหนึ่งของแผ่นดิน ทว่าเขาผู้เพียบพร้อมไปเสียทุกอย่าง เขาที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นว่าที่สามีของนาง กลับกำลังจับจ้องไปที่สตรีคนอื่น

         จับจ้องอยู่ที่เฟยเยวี๋ยนเฟิ่งพี่ใหญ่ของนางเอง!

         พลันนั้นความระแวงในใจก็บังเกิด คำพูดของมารดาเมื่อครู่ผุดขึ้นในสมองของคุณหนูรองตระกูลเฟย เร่งให้สองเท้าพานางเข้าไปในงานโดยเร็ว หลงลืมที่จะสงวนท่าทีสงบเงียบเรียบร้อยอย่างที่เป็นตลอดโดยมา

         "เหรินเฟิ่งคารวะท่านปู่เจ้าค่ะ"

         อันที่จริงการมาถึงของเจ้าของงานควรจะเป็นที่สนใจยิ่ง เพราะแขกในงานล้วนเดินทางมาก็เพื่อร่วมฉลองพิธีปักปิ่นของคุณหนูรอง ทว่าในเวลานี้ทุกสายตาภายในงานกลับกำลังจับจ้องสนใจปรมาจารย์เทาจินและศิษย์ทั้งสี่มากกว่า

         โดยเฉพาะศิษย์คนเล็กของปรมารจาย์แห่งสำนักยอดเขาดอกชาผู้นั้น

         คุณหนูใหญ่เยวี๋ยนเฟิ่ง

         หงส์ปีกบิ่นที่ไม่เคยปรากฏโฉมที่ใดมาก่อน!

         แขกในงานกระซิบกระซาบ ใบหน้าของคุณหนูใหญ่เยวี๋ยนเฟิ่งทำให้พวกเขานึกถึงชิงไย่จู มารดาของนางที่ลาโลกไปเนินนานผู้นั้น 

         ยอดหญิงงามไย่จู ไข่มุกกลางฝ่ามือของเหล่าเชื้อพระวงศ์สกุลชิง สกุลซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สกุลผู้สืบทอดฌานวิเศษของสัตว์เทพประจำทิศทั้งสี่

         ชิง สืบทอดฌานมังกรฟ้า เทพแห่งทิศตะวันออก 

         เฟย สืบทอดฌานวิหคเพลิง เทพแห่งทิศใต้ 

         หู่ สืบทอดฌานพยัคฆ์ขาว เทพแห่งทิศตะวันตก

         และสุดท้าย อู๋ สืบทอดฌานนักกะดำ เทพแห่งทิศเหนือ

         รวมกันเป็นสี่สกุลซื่อหลิง ปกป้องนครเหล่ยชิง ปกป้องราชวงศ์มังกรสวรรค์หยางจงแห่งองค์จักรพรรดิ (ซื่อหลิง : แปลว่าสัตว์เทพประจำทิศทั้ง 4 ตามตำนานจีนโบราณ)

         กล่าวกันว่าเหล่ยชิงยืนยงอย่างสงบสุขมานับพันๆปีได้ ก็เพราะมีสี่สกุลซื่อหลิงคอยค้ำจุนองค์จักพรรดิ อยู่เหนือคนทั้งใต้หล้า แต่จงรักภัคดีภายใต้คนเพียงคนเดียว เพราะงั้น เมื่อคราวที่ท่านหญิงชิงไย่จูแห่งสกุลชิงแต่งกับเฟยสือคุณชายใหญ่แห่งสกุลเฟย ใต้หล้าจึงนับเป็นเรื่องมงคลและรวมยินดียิ่ง 

        จำได้ว่าเมื่อครั้งนั้น พิธีแต่งงานเป็นที่สนใจของคนทั้งใต้หล้า ชายงามหญิงงาม สมกันราวกิ่งทองใบหยก แต่จะแต่งด้วยรักไหมคงไม่ต้องพูดถึง เพราะเพียงท่านหญิงไย่จูคลอดบุตรสาวและตายจากไป ในคืนเดียกันนั้น คุณชายใหญ่เฟยสือก็พาจื่อฮูหยินเข้าจวนมาแทนที่แล้ว ซ้ำยังมีบุตรในครรถ์ติดมาด้วยอีกคน

         ไม่ต้องบอกก็คงทราบ ว่าทั้งคู่แอบลับลอบพบเจอกันมานานเท่าไร หรือบางที คุณชายเฟยสืออาจจะมีจื่อฮูหยินมาก่อนภรรยาเอกที่แต่งเข้ามาอย่างถูกต้องเสียด้วยซ้ำ...แต่ที่รู้ๆ การกระทำในครั้งนั้นของเฟยสือสร้างความไม่พอใจให้เหล่าเชื้อพระวงศ์สกุลชิง สี่สกุลซื่อหลิงจากที่กลมเกลียวดุจพี่น้อง ก็พากันห่างเหิน เนินนานเข้าจึงไม่ได้ไปมาหาสู่กันอีก

         ทว่าหากท่านหญิงไย่จูยังคงอยู่หรือรับรู้ได้นางคงต้องเสียหน้าแล้ว เพราะตอนนี้บุตรสาวเพียงคนเดียวของนางนั้นงามล้ำกว่ามารดาไปขั้นหนึ่ง ช่วงชิงตำแหน่งยอดหญิงงามของแคว้นเหล่ยชิงไปได้อย่างหลุดหลุ้ยเลย

         ทว่า กลิ่นอายบางอย่างในตัวคุณหนูใหญ่เยวี๋ยนเฟิ่งซึ่งเป็นที่โจษจันไปทั้งแผ่นดินผู้นี้กลับไม่ได้แผดเผาฉูดฉาดอย่างสตรีในสกุลเฟย นางกลับให้กลิ่นอายเรียบง่ายสบายตา ผิดจากเสียงลำลือที่พวกเขาต่างได้ยินมาว่า คุณหนูใหญ่นั้นงดงามแต่ดุดันจนน่าหวาดหวั่นใจ

         นี่ข่าวลือที่ได้ฟังมาผิดพลาด หรือเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ที่...เปลี่ยนไปกัน

         เฟยกวางกงไม่ได้รับรู้ถึงความสงสัยของแขกหรื่อในงาน ผู้นำตระกูลเฟยเพียงเหลือบมองหลานสาวคนรองที่ทำท่าจะเดินเข้ามาแทรกการสนทนาระหว่างผู้อาวุโส แต่ไม่ทันได้เอ่ยห้ามปราม อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามากลางโถงพิธีเสียแล้ว

         เหรินเฟิ่งแย้มยิ้มคาวระผู้คนในงาน ก่อนจะหันอย่างเอียงอายไปทางไท่จื้อหยางจงอี้คุณที่กำลังยกชาขึ้นจิบ

          อันที่จริงถึงแม้นางจะถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อฝึกตบะในฐานะคู่หมั้นไท่จื่อตั้งแต่สามปีก่อน แต่นางกลับเจอเขานับครั้งได้ เพราะอีกฝ่ายต้องเก็บตัวเข้าฌาณเร่งเพิ่มพูนตบะ เพื่อย่นระยะสู่การเข้าถึงขั้นว่างเปล่าให้ได้มากที่สุด การที่ได้พบกันครั้งนี้ นางจึงดีใจมาก 

         "เหรินเฟิ่งคาระวะไท่จื่อเจ้าค่ะ ปิ่นหงส์ที่ทรงมอบให้ เหรินเอ๋อชอบมากเจ้าค่ะ ขอบพระทัยที่ทรง..."

         "เจ้าเด็กนี่! เอาแต่พูดจาฉอเลาะบุรุษ เจ้าไม่เห็นหัวข้าที่ยืนอยู่เลยงั้นรึ!"

         ทว่า ไม่ทันที่เหรินเฟิ่งจะได้กล่าวกับไท่จื้อจนจบประโยค เสียงวาวโรจน์ของปรมาจารย์เทาจินก็ดังขึ้น ว่าไปก็เงยมองไปทางเฟยกวางกงที่นั่งขมวดคิ้วอยู่บนตำแหน่งประธาน

         "เจ้าเด็กน้อยกวาง! นี่เจ้าสอนสั่งหลานสาวให้กล้าเมินเฉยต่อการมาของข้าเชียวรึ! ข้ากำลังพูดอยู่ หลานสาวเจ้ากล้ามาขัดได้อย่างไร!"

         ผู้เฒ่ากวางกงส่ายหน้าเครียด ไม่อยากมีปัญหากับผู้อาวุโสจอมอันธพาลอย่างปรมาจารย์เทาจิน จึงปัดมือเป็นสัญญาณให้เหรินเฟิ่งถอยออกไป

         คุณหนูรองเห็นกิริยานั้นถึงกับหน้าถอดสี งานของนางแท้ๆ แต่ท่านปู่ถึงกลับไล่นาง ทำให้นางเสียหน้าต่อหน้าทุกคน!

         จื่อฮูหยินเห็นท่าทางไม่ดีของบุตรสาวจึงรีบลุกขึ้นไปดึงตัวให้มานั่งเคียงข้าง แม้บุตรสาวจะทะเล่อทะล่าเข้ามาไม่ถูกจังหวะ แต่ยังไงมารดาเช่นนางก็ไม่คิดโทษว่าเป็นความผิดของบุตรสาวแต่อย่างใด

         ในขณะที่เฟยสือกลับทำเพียขมวดคิ้ว เขาเป็นอีกหนึ่งคนในงานที่ไม่ได้สนใจมองบุตรสาวคนรองของตน แต่พินิจมองเยวี๋ยนเฟิ่งบุตรสาวคนโตแทน หากแต่ไม่ใช่สายตาของบิดามองบุตรสาว สายตานี่อยู่ห่างไกลจากคำว่าเอ็นดูหรืออาวรณ์มากนัก

         "ขออภัยท่านปรมาจารย์เทาจินด้วย เหรินเอ๋อยังเด็กจึงไม่รู้มารยาท อีกอย่างวันนี้เป็นพิธีฉลองวัยปักปิ่นของนาง ท่านก็อภัยให้นางซักครั้งเถอะ"

         "ข้าไม่ให้อภัย! พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าที่ข้าตอบรับคำเชิญยอมเดินทางมาเมืองเฟยเพราะอยากมาร่วมพิธีอะไรนี่ ที่มาเพราะข้าเห็นแก่ศิษย์เล็กของข้า คิดว่านางคงอยากจะมาเจอครอบครัวบ้างเท่านั้น แต่รู้ไหม ทันทีที่มาถึงเมืองนี้ สิ่งที่ข้าได้ยินกลับเป็นเรื่องติฉินนินทาว่าร้ายศิษย์ข้า ผู้คนในเมืองของเจ้าล้วนไม่ให้เกียรตินาง หลานคนรองของเจ้าก็ยังกล้ามาข้ามหน้าข้าอีก! เมืองเฟยจะหยามเกียรติคนของสำนักยอดเขาดอกชามากไปแล้ว! ในเมื่อพวกเจ้าไม่เห็นพวกข้าอยู่ในสายตา วันนี้คงไม่ว่ากระไร หากข้าจะลงแรงสั่งสอนพวกคนในเมืองเฟยด้วยตัวเอง!"

         เยวี๋ยนเฟิ่งที่ยืนเงียบมาตั้งแต่ตนและไม่คิดจะเงยมองใครต่อใครถอนใจเฮือก หญิงสาวหันมองศิษย์พี่รองของตน ทำหน้าขอให้ช่วย

         ไฉลู่คงเข้าใจแน่นอน จึงก้าวขึ้นมาข้างหน้า ก่อนจะกระซิบเสียงเบากับอาจารย์ เป็นประโยคที่รู้แน่ว่าทำให้เจ้าสำนักยอดเขาดอกชาหยุดอาละวาดได้ 

         "อาจารย์ท่านหยุดโวยวายเถอะ น้องสี่น่ะ...ถ้ายืนนานกว่านี้อาการของนางจะเริ่มแย่อีกแล้วนะขอรับ"

         "ห๊า จะสำรอกเลือดอีกแล้วรึ! เจ้าสามรีบดูอาการให้เจ้าหงส์น้อยของเราเร็ว!"

         คำประกาศและท่าทีที่ดูเดือนร้อนใจของเจ้าสำนักยอดเขาดอกชาทำให้ทุกคนในงานสะดุดใจ ไม่เว้นแม้แต่หยางจงอี้คุณที่ชะงักจังหวะดื่มชาไปชั่วครู่ ก่อนเหลือบมองมาทางเยวี๋ยนเฟิ่งอย่างสำรวจ

         ทางด้านคนในตระกูลเฟยที่ดูตกใจมากกว่าใครคือฮูหยินผู้เฒ่า ที่ถึงกับยืนขึ้นมองมาทางหลานสาวคนโตที่ไม่ได้พบหน้ามานานหลายปี 

         "บาดเจ็บหรือ! เยวี๋ยนเอ๋อ! เจ้าบาดเจ็บที่ใดกัน!"

        เยวี๋ยนเฟิ่งมองผู้เป็นย่า 

         หากจะกล่าวถึงตระกูลเฟย บุคคลที่นางผูกพันกว่าใครคงเป็นท่านย่า เพราะตั้งแต่มารดาคลอดนางแล้วตายจากไป ผู้ที่เลี้ยงดูนางก็คือฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ 

         พลันนั้นนางรู้สึกผิดขึ้นมา ไม่คิดว่าการอ้างมั่วๆของศิษย์พี่ จะทำให้ผู้เป็นย่ากังวล

         อันที่จริงแผลที่อกซ้ายของนางควรจะหายดีแล้ว เพราะเหตุการนั้นก็ผ่านมาปีกว่าเข้าไปแล้ว ศิษย์พี่ของนางก็แค่ต้องการหยุดการโวยวายของอาจารย์เท่านั้น

         อาจารย์ ท่านไม่อายแต่ข้าอายแทนเจ้าค่ะ ช่วยเงียบเสียงลงทีเถอะ

         หญิงสาวหันไปทางผู้เป็นย่า ยิ้มปลอบใจน้ำเสียงอ่อนหวานถูกส่งไปหาฮูหยินผู้เฒ่า "เยวี๋ยนเยวี๋ยนไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านย่า"

         ก่อนหันไปกระตุกชายเสื้อเจ้าสำนักยอดเขาดอกชา "ท่านรีบให้ของขวัญน้องรองของขาเถอะอาจารย์ เราจะได้ไปหาที่นั่งกัน ท่านอย่าลืมสิว่าพวกเรามาที่เมืองเฟยเพราะอะไร"

         ปรมาจารย์เถาจินทำสีหน้าไม่พอใจแต่ก็ยอมหันไปเอ่ยกับเฟยกวางกง "ก็ได้! เห็นแก่ศิษย์เล็กของข้านะ"

         เจ้าสำนักยอดเขาดอกชาเชิดหน้าไปอีกทาง ทิ้งให้เหล่าศิษย์เดินนำหน้าขึ้นมาแทนที่เพื่อมอบของขวัญแก่เหรินเฟิ่ง

         ศิษย์พี่ใหญ่เล่อหานมอบตำราชั้นเลิศ

         ศิษย์พี่รองลู่คงและศิษย์พี่สามลู่ชิง สองคู่แฝดชายหญิงตระกูลไฉ มอบพินเจ็ดสายที่ทำจากไม้ชิงชันทอง

         ส่วนน้องเล็กเช่นนางมอบเพียง...ปลาน้อยตัวหนึ่ง

         ทว่ากลับเป็นของขวัญที่คุณหนูรองสนใจยิ่งนัก นางมองลงไปในอ่างหยกใบเล็กในมือพี่สาวต่างมารดา แม้รู้สึกว่าเป็นของขวัญที่ไร้ค่าเช่นเดียวกับคนให้ แต่นางกลับแสนสนใจ

         "ของขวัญวัยปักปิ่นของข้า แต่พี่ใหญ่กลับมอบให้แต่เพียงปลาหลีฮื้อตัวหนึ่งเท่านั้นหรือเจ้าคะ"

         "ของดีมีราคาเจ้าล้วนมีหมดแล้ว อนาคตเมื่อแต่งกับไท่จื่อขึ้นเป็นพระชายา เจ้าก็จะมีมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่หรอกหรือ"

         นางกล่าวออกไปอย่างจริงใจ และไม่รู้สึกว่าคำที่พูดจะแสลงใจแต่อย่างใด 

         "แต่ปลาหลีฮื้อตัวนี้ข้ามอบให้เจ้าเพื่อให้มันอยู่เป็นเพื่อนเจ้า หนทางฝึกบำเพ็ญนั้นยาวนานยิ่ง ถ้าวันใดที่เจ้าอ้างว้าง โดดเดี่ยว เจ้าจะได้มีมันอยู่เป็นเพื่อน"

         เหรินเฟิ่งรับอ่างหยกมาไว้ในมือแต่โดยดี นางคำนับพี่สาวต่างมารดาพรางแย้มยิ้มงาม

         "ขอบคุณเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่มีวันอ้างว้างหรอกเจ้าค่ะ...อีกอย่าง" มือบางยกขึ้นลูบปิ่นหงส์ที่ปักอยู่บนมวยผมแล้วยิ้มกว้างให้เยวี๋ยนเฟิ่ง "แต่นี้ต่อไปปิ่นหงส์สยายเล่มนี้จะอยู่เป็นเพื่อนใจข้า แล้วข้าจะอ้างว้างไปได้อย่างไร"


    ………………


    หึ อีตัวดี! 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×