ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : What the hell happened!! # 11.2
Title :: What the hell happened!!
Part :: 11.2
Pairing :: WonHyuk
Author :: kobamura
Rating :: PG-13
Author’s Note :: เรื่องทุกอย่างก็เป็นเพียงเหตุการณ์สมมติขึ้นเท่านั้น อ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ
ไม่หลับไม่นอน...
พาพาร์ท 11.2 มาต่อแล้วนะคะ
งานที่ว่าวุ่นอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีกเมื่อนักแสดงจากประเทศจีนเริ่มทยอยเดินทางมา โชคดีที่ทางโรงเรียนมีหอพักเอาไว้สำหรับเวลาเข้าค่ายถึงไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการจองโรงแรม กรรมการนักเรียนทั้งชุดใหม่ชุดเก่าถูกเรียกมาใช้งานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ใครพูดภาษาจีนได้ก็สบายตัวไป หากใครภาษาจีนไม่กระดิกซักนิดแบบคิมฮีซอลก็ต้องมีล่ามเป็นเด็กศิลป์ภาษาเดินตามประกบตลอดเวลา
“ยอดจำนวนจริงเท่าไหร่?” อีทึกหันมาถามเพื่อนสนิทที่เพิ่งผละออกมาจากแผนกลงทะเบียน ฮีซอลเปิดสมุดบันทึกส่วนตัวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“ห้าสิบคนทั้งตัวแสดงและนักดนตรี สต๊าฟต่างหากอีกสิบคนรวมแล้วหกสิบคน ส่วนที่จะมาเรื่องบูธเห็นว่าจะทยอยมาทีหลังพร้อมอุปกรณ์ครบมือ”
“ตอนแรกหานเกิงแจ้งยอดมาร้อยคนนี่”
“พอดีฉันตกลงกับหมอนั่นว่าทางเราจะร่วมแสดงด้วยหน่ะ ก็เลยตัดยอดกันครึ่งๆ” คนฟังพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถามต่อ
“นายคัดคนไว้แล้วใช่ไหม? เอาคนที่เรียนรู้ไวหน่อยก็ดีนะ เรามีเวลาแค่อาทิตย์กว่าๆคงต้องซ้อมกันหนักหน่อย”
“คัดแล้ว~”
“ตกลงว่าอุปรากรจีนใช่ไหม? ไหวหรือเปล่า?” เล่นงิ้วนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ จะทำเป็นสนุกก็ไม่ได้เพราะงานนี้ผู้อำนวยการย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องเป็นจริงเป็นจัง ไม่งั้นป่านนี้ฮีซอลคงจะเอาเรื่องสโนว์ไวท์หรือไม่ก็ซินเดอเรลล่ามาเล่นโดยแต่งงิ้วไปแล้ว
“ไหวอยู่ เพราะทางนั้นเค้าเลือกเรื่องไม่ยาก”
“เรื่องอะไร?”
“หมู่ ตัน ถิง”
“ห๊ะ? อะไรนะ?” อดีตประธานนักเรียนหันมามองเพื่อนรักก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
“อย่าให้พูดซ้ำได้ไหมเดี๋ยวมันเพี้ยน!”
“แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะเรื่องนี้หน่ะ”
“เก๋ง โบตั๋น...อย่าได้ถามอีกว่าแปลว่าอะไรเพราะผีจีนนั่นบอกฉันมาแค่นี้” อีทึกได้แต่กลั้นหัวเราะ ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่หานเกิงมาเป็นแขกของพวกเขา รู้สึกว่าจะมีฉากปะทะกันระหว่างผีจีนกับนางมารให้เห็นกันอยู่เนืองๆ จะว่าไปก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนกล้างัดข้อกับคนอย่างคิมฮีซอล
เห็นหน้าเอ๋อๆแบบนั้นใครจะไปคิดว่าเจ๋งไม่ใช่น้อย
“แล้วนี่จะเริ่มซ้อมกันเมื่อไหร่” เมื่อเห็นว่าลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งยังพาคณะที่เดินทางมาไปยังหอพักแล้ว อีทึกจึงปลีกตัวกลับขึ้นไปที่ห้องสภานักเรียนโดยมีฮีซอลเดินตามไปด้วยกัน
“เย็นนี้ที่ห้องชมรมการแสดง”
“ไวจัง”
“จะคัดตัวแสดงด้วยหน่ะ”
“ต้องไปช่วยไหม?”
“ถ้ามีน้ำใจก็มาแล้วกัน” มือเรียวชะงักที่จะเปิดประตูห้องแล้วหันมามองเพื่อน นึกอยากจะร่อนแฟ้มใส่หน้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังสุดติ่งตับเมื่อเห็นอีกฝ่ายยักคิ้วกวนๆกลับมา
ฉันจะช่วยผีจีนปราบนางมารให้สิ้นฤทธิ์เลยคอยดู!
“งานท่าจะใหญ่จริงๆนะเนี่ย” เป็นอีกครั้งที่สมาชิกภายในชมรมฟุตบอลจะต้องพร้อมใจกันหันหน้าตามเยซองไป ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าชายก้อนเมฆ เพราะสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของโรงเรียนที่ตอนนี้ถูกเนรมิตเป็นเมืองโบราณของจีนไปเสียแล้ว เสียงจ้อกแจ้กของภาษาที่ไม่คุ้นหูดังมาเป็นระยะ ผู้คนหน้าตาไม่คุ้นเดินกันให้ขวักไขว่ งานนี้ถ้าไม่เรียกว่ายิ่งใหญ่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยแล้ว
“เห็นฮีซอลบอกว่าผู้อำนวยการจริงจังมาก ทุ่มงบให้ไม่อั้นเลย” ร่างสูงยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยตอบให้ลูกทีมคลายความสงสัย
“ท่าจะสนุกแฮะ”
“สนุกแน่ เพราะงานนี้พวกแกจะได้เห็นคิมฮีซอลเป็นนางเอกงิ้ว” คังอินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นสีหน้าของสมาชิกภายในชมรมแต่ละคน บ้างก็อ้าปากค้าง บ้างก็ตาเหลือกจนลูกตาจะกระเด้งออกมานอกเบ้าให้ได้ ตกใจอะไรขนาดนั้น...
“ผมไม่เห็นรู้เลย” ฮยอกแจเด้งตัวขึ้นมาจากการนอนหนุนตักไอ้ลูกหมาป่า แล้วรีบพาตัวเองมานั่งข้างๆคุณพ่อทันที
“เขาปิดกันให้แซ่ด” หัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่น มือหนาจึงตบไหล่ลูกรักเบาๆก่อนจะอธิบายให้เข้าใจ
“เมื่อวานพี่ไปรับอีทึกที่ชมรมการแสดงมาหน่ะ เลยไปทันตอนที่นางมารกำลังอาละวาดใส่ประธานทางฝ่ายจีนอยู่ แต่ไม่รู้โวยวายกันอีท่าไหน สุดท้ายได้ผลสรุปว่าฮีซอลจะเล่นเป็นนางเอกแล้วประธานชมรมการแสดงของจีนเป็นพระเอก”
“พี่ฮีซอลกับพี่หานเกิงหรอครับ? สนุกแน่ๆเลย”
“หืม? แต่พี่ว่ามันก้ำกึ่งระหว่างคำว่าประสบความสำเร็จกับวินาศสันตะโรนะ” เอ่ยยิ้มๆก่อนจะหันไปนัดตารางซ้อมกับสมาชิกที่ยังนอนกลิ้งเกลือกกันอยู่ที่สนามหญ้า เมื่อเสร็จสิ้นก็สั่งแยกย้ายเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว อีกอย่าง...วันนี้เขาสัญญาว่าจะพาอีทึกไปซื้อของเข้าบ้านเสียด้วย
“คุณนายชเว~!” คนตัวเล็กชะงักเท้าก่อนจะหันไปตีหน้ายุ่งใส่รุ่นน้องที่ชักจะลามปามเขาขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ได้เพื่อนของเขาไปเป็นแม่ทูนหัว คยูฮยอนเดินยิ้มกว้างมาหาก่อนจะตบไหล่บางแปะๆ
“ซองมินคิดถึง แวะไปชมรมคหกรรมบ้างสิ”
“จะเอาฉันไปเป็นก้างทำไม?” เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นๆแต่คนฟังถึงกับหัวเราะร่า
“โอ้ย...คุณนายก็น่าจะรู้ว่าผมไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว” ร่างบางอดที่จะทำเสียงขึ้นจมูกไม่ได้ หมั่นไส้ว่ะ แต่พอพูดถึงซองมินก็อดที่จะนึกถึงอีกคนไม่ได้
“ตอนนี้ทงเฮคงยุ่งมากแน่ๆเลย ไม่รู้ว่ามันบ้าไปแล้วหรือยัง” ถึงเขากับทงเฮจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่ช่วงนี้ทงเฮมักจะขาดเรียนเพราะต้องไปช่วยกิจกรรมของโรงเรียน ซึ่งอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมีหนังสือจากผู้อำนวยการแจ้งเรื่องการขอแรงจากนักเรียนไปยังอาจารย์ทุกท่านอยู่แล้ว
“กำลังใจดี ไม่ต้องห่วง” คำพูดกำกวมเรียกความสนใจได้ไม่ยาก เจ้าหมาป่ายักคิ้วอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยจากร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ
“อะไร? กำลังใจดี?”
“อ้าว...คุณนายนี่ไม่ไหวเลยนะ มัวแต่สนใจประธานชเวจนไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทมีเด็กดำเป็นของตัวเองแล้ว ตกข่าวขั้นร้ายแรงเลยนะเนี่ย”
“หือ? เด็กดำ?” พูดให้รู้เรื่องหน่อยก็ไม่ได้ไอ้เด็กบ้านี่ เด็กดงเด็กดำอะไรเขาไม่เข้าใจจริงๆ
“คยูฮยอน...ถ้านายยังพูดไม่รู้เรื่องฉันจะฟาดปากนายด้วยรองเท้าสตั๊ดแล้วนะ” ยกรองเท้าคู่ชีพขึ้นขู่ว่าเอาจริงแน่งานนี้
“ดุจริงเลย ไม่แหย่แล้วก็ได้” ร่างสูงรีบยกมือยอมแพ้ก่อนจะรายงานข่าวยาวเป็นหางว่าว
“คุณนายจำเรื่องที่มีคนแอบเอารูปถ่ายมาให้เตี้ยบ่อยๆได้ไหม?”
“อ่อ...อือๆ” พยักหน้ารับก่อนจะยืนกอดอกฟังอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้หมอนั่นเปิดเผยตัวแล้ว แถมยังเป็นคนที่เหนือความคาดหมายมากๆ ตอนที่ซองมินรู้ตอนแรกนะ...ที่รักผมช็อคไปเลย เพราะเคยแช่งให้เตี้ยเจอของดำ แล้วก็เจอจริงๆ” พูดเองก็หัวเราะเอง เพราะเขายังจำวันที่เด็กดำของทงเฮมาเปิดเผยตัวตามคำท้าที่ทงเฮเขียนเอาไว้หน้าชมรมคหกรรมได้ดี ไม่ว่าทงเฮหรือแม้กระทั่งซองมินต่างยืนอ้าปากพะงาบๆพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายหน้าที่สัมภาษณ์หนุ่มลึกลับคนนั้นเลยกลายเป็นเขาแทน
“แล้วตกลงว่าเด็กดำนั่นใคร?” มือเรียวกระตุกชายเสื้อรุ่นน้องให้เฉลยคำตอบเร็วๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ชอบรออะไรนานๆ แต่หมอนี่ก็ยังกวนเขาได้จนหยดสุดท้ายจริงๆ
“คุณนายก็รู้จัก เจอออกบ่อยไป”
“แล้ววันหนึ่งฉันเจอคนอยู่คนเดียวหรือไงฉันถึงรู้ว่าเป็นใครหน่ะห๊ะ? บอกมาเดี๋ยวนี้ไอ้หมาป่า หรือว่าเย็นนี้อยากได้รองเท้าสตั๊ดเป็นอาหาร?!”
“เพื่อนประธานชเวนั่นแหละ” คำใบ้นี้เริ่มตีวงแคบเข้ามาหน่อย มือเรียวปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะยืนขบคิดปัญหา เด็กดำ ถ่ายรูป เพื่อนซีวอน
เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!!!!
“คิมคิบอม?!” เด็กหนุ่มยิ้มร่าก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กข้างหน้าเริ่มมีระบบประมวลผลของสมองที่ไวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หรือเพราะว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากประธานชเวนะ? อ่า...หรือนี่คือข้อดีของการมีแฟน?
แล้วทำไมทั้งที่เขาเป็นคนรักของซองมิน
รามยอนซักชามก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดีล่ะ?
“ไปคบกันตอนไหนเนี่ย?” ถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆเหมือนถามตัวเอง แต่หูหมาป่าก็กระดิกไวพอที่จะจับใจความทั้งหมดได้
“ก็หลังจากวันนั้นแหละ ช่วงนี้ช่วงโปรโมชั่นปาท่องโก๋” ยักคิ้วกวนๆใส่รุ่นพี่ตัวเล็กไปอีกทีก่อนจะขยายความต่อ
“ก็เหมือนประธานชเวกับคุณนายไง พอประธานชเวประกาศตัวต่อสาธารณะชนปุ๊บ ก็เกิดโปรโมชั่นคู่รักขึ้นทันที แต่คู่ประธานกับคุณนายเนี่ยโปรยาวดีจังเลย ใครๆก็อิจฉา”
“แล้วทำไมมันวกมาที่ฉันได้ล่ะ?”
“ที่วกมาหาเพราะผมแปลกใจ” ขาเรียวชะงักก่อนจะหันมามองคนตัวสูงที่เริ่มมีสีหน้าเข้าโหมดจริงจัง
“อะไร?”
“โปรกำลังจะหมดหรือไงคุณนาย”
“พูดอะไรของนายเนี่ยคยูฮยอน?”
“ก็ปกติถ้าเราเลิกชมรมแล้วประธานจะรีบโทรหาเลยไม่ใช่หรอ? แค่พวกเราลุกขึ้นจากสนามหญ้าโทรศัพท์มือถือคุณนายก็ดังแล้ว แต่ช่วงสองสามวันมานี่...เงียบแฮะ แถมคุณนายยังกลับบ้านพร้อมพี่อีทึกอีก มีปัญหากันหรอ?” ท่าทีที่เงียบไปของรุ่นพี่ทำให้เด็กหนุ่มพอจะเดาปัญหาที่กำลังเกิดได้ไม่ยาก ถึงเขาจะอาวุโสน้อยกว่าแต่อะไรที่พอจะเตือนได้เขาก็อยากจะเตือน
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างคุณนายกับประธานยังไม่เลื่อนขึ้นเป็นคนรักกันซักที ทั้งที่ประธานเองก็ออกจะเปิดเผยว่ารักคุณนายมากซะขนาดนั้น ผมเองจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้เพราะผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความรักของคุณนาย แต่ว่านะ...คุณนายไม่เหงาบ้างหรอที่ห่างกันแบบนี้หน่ะ?” ตั้งคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิด แต่แล้วคยูฮยอนก็ต้องแปลกใจเมื่อรุ่นพี่ร่างบางพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำถามเขา หนุ่มน้อยกร้านโลก(?)ได้แต่ลอบถอนใจก่อนจะยื่นกล่องขนาดย่อมให้คนตรงหน้าซึ่งฮยอกแจก็รับมาอย่างไม่เข้าใจนัก
“ขนมเค้กที่ซองมินทำให้ผม แต่ผมยกให้คุณนายก่อนก็ได้ ถ้ายังคิดหาเหตุผลที่จะไปหาไม่ได้จะเอาซองมินไปเป็นข้ออ้างก่อนผมก็ไม่ว่าหรอกนะ” เอ่ยยิ้มๆก่อนจะเดินผิวปากไปทางตึกคหกรรม ปล่อยให้อีกคนยืนถือกล่องเค้กไว้อย่างนั้น ร่างบางถอนใจหนักๆก่อนจะเหลือบมองไปทางตึกของสภานักเรียน
จะกลับไปหรือยังนะ?
“น่ารักขึ้นเยอะเลยแฮะ” ปลายปากกาที่กำลังเซ็นรับรองเรื่องการเบิกจ่ายเงินสำหรับงานโรงเรียนชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงจากใครอีกคนดังมาจากตรงหน้าต่าง
“ฮยอกแจน่ารักตั้งนานแล้วแต่พี่มองไม่เห็นเอง” คนฟังถึงกับหัวเราะฮึทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากร่างขาวๆที่วิ่งอยู่กลางสนาม ที่ฉันบอกว่าน่ารักเพราะระยะมันไกลต่างหากเล่า! ถ้าเห็นใกล้ๆก็คงยังแคระแกร็นเหมือนตอนเด็กนั่นล่ะมั้ง
“นั่นสิ...ฉันนี่ตาไม่ถึงเลยที่มองไม่เห็นผีเสื้อแสนสวยที่ฟักตัวอยู่ในดักแด้” แฟ้มงานถึงปิดดังปึงใหญ่บ่งบอกอารมณ์ของผู้กระทำได้เป็นอย่างดี ซีวอนลุกขึ้นมาประจันหน้ากับพี่ชายต่างมารดาแล้วเค้นเสียงรอดไรฟัน
“อย่าพูดถึงฮยอกแจแบบนั้นอีก”
“หวงจริงนะ แล้วเป็นไงล่ะ? ตอนนี้น้องฮยอกแจเขาหันมามองแกบ้างหรือยัง? พี่ซือหยวนที่ถูกมองข้าม” จงใจเน้นประโยคหลังกวนโมโหเล่นๆก่อนจะเดินไปนั่งอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟารับแขก
“ที่ผมขอให้พี่มาเกาหลีเพราะอยากให้พี่เคลียร์เรื่องตัวเองกับฮยอกแจซะ พี่เองก็มีคนรักอยู่ที่จีนอยู่แล้ว ผมขอร้อง...พี่เลิกให้ความหวังกับฮยอกแจซักที”
“ความหวัง? ฉันเคยให้ด้วยหรอ? เด็กนั่นคิดไปเองต่างหาก”
“พี่ซือเหวิน!” ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะตรงเข้าไปกระชากอีกฝ่ายขึ้นมาชกซักหมัด ทำไมกันนะ...ทำไมเขาถึงมีพี่ชายที่นิสัยไม่ดีแบบนี้
“ฉันพูดผิดตรงไหน? เด็กนั่นมาตามติดฉันเองนะ ฉันไม่ได้ไปหลอกล่ออะไรเสียหน่อย คนมันมีเสน่ห์ก็แบบนี้แหละ ใครจะไปเหมือนเด็กแว่นหนาเตอะหัวเรียบแปล้ไร้ซึ่งความมั่นใจคนนั้นกันล่ะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ...”
“จะว่าไปพวกนายสองคนก็เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งก็เด็กเชยสะบัด อีกคนก็เด็กก้างมีแต่กระดูก”
“ผมบอกให้พี่หยุดพูดเดี๋ยวนี้ไงล่ะ!” ซีวอนแทบจะถลาเข้าไปกระชากพี่ชายขึ้นมาซัดให้หายปากดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาพอดี เขาจะไม่อะไรเลยถ้าคนๆนั้นไม่ใช่...
“ฮยอกแจ...” ซือเหวินถอนใจก่อนจะมองไปที่ประตูอย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะเขายังไม่อยากเจอเด็กก้างนั่นตอนนี้เลย แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนิ่งไปเมื่อเห็นร่างขาวผ่องนั้นเต็มตา ซือเหวินถึงกับหลุดยิ้มออกมาเมื่อคนตัวเล็กมองมาที่เขาก่อนจะยิ้มแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อย
เด็กก้างนั่นน่ารักได้ขนาดนี้เลยหรอ?
“ฉันเข้ามากวนอะไรหรือเปล่า” เอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้ามาทั้งสองคนคงกำลังมีเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ เพราะสีหน้าของซีวอนเหมือนจะโมโหอยู่ไม่น้อย
“ไม่หรอก มีอะไรหรือเปล่า?” ร่างสูงเป็นฝ่ายผละมาจากพี่ชายเมื่อเห็นว่าฮยอกแจยังเกรงใจที่จะเดินเข้ามาในห้อง
“เอ่อ...คือ...คือว่าซองมินทำขนมเค้กเผื่อนาย ฉันก็เลยเอามาให้หน่ะ” ยื่นกล่องขนมที่ตัวเองประคองมาอย่างดีตลอดทางให้ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยิ้มร่างบางก็พลอยยิ้มไปด้วย
“ถ้ามีธุระอยู่ก็ไม่รบกวนล่ะนะ เดี๋ยวคืนนี้โทรหาแล้วกัน”
“ใจร้ายจังนะ” คนที่กำลังหันหลังจะกลับต้องหันหน้ากลับมามองอย่างไม่เข้าใจเมื่อคนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่ซีวอน แต่กลับเป็นชายหนุ่มอีกคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆร่างสูง เช่นเดียวกับซีวอนที่หันไปมองพี่ชายตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นแววตาเป็นประกายของอีกฝ่ายเขาก็พอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ครับ? ผมหรอ?” ฮยอกแจได้แต่ชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ เขาไปใจร้ายกับผู้ชายคนนี้เมื่อไหร่กัน
“น้องฮยอกแจจำพี่ไม่ได้หรอครับ? พี่อุตส่าห์ตั้งใจมาหาน้องฮยอกแจเลยนะ แบบนี้มันน่าน้อยใจจริงๆ” คนฟังได้แต่เอียงคองงๆ ก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะเบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนี้เขาไม่มีวันลืมเด็ดขาด เวลาห้าปีที่ผ่านไปไม่เคยเปลี่ยนรอยยิ้มนี้ได้จริงๆ
“พี่ชาย...”
TBC.
เปิดตัวพี่ซือเหวินอย่างเป็นทางการ แต่งเองก็โมโหเอง =w=
รู้สึกเหมือนหลายคนจะงงว่าซือเหวินเป็นใครเนอะ ชื่อนี้คิดขึ้นมาเองค่ะ
แต่ถ้าถามว่าเอาคาแรคเตอร์มาจากใคร ก็...คนนี้แหละ
ชเวซึงฮยอน...หรือท็อปเท็มโป =3=
ไม่ใช่ว่าปอไม่ชอบท็อปนะ แต่พอดีอิมเมทเขาเป๊ะดี เลยยืมตัวมา คึ~
Part :: 11.2
Pairing :: WonHyuk
Author :: kobamura
Rating :: PG-13
Author’s Note :: เรื่องทุกอย่างก็เป็นเพียงเหตุการณ์สมมติขึ้นเท่านั้น อ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ
ไม่หลับไม่นอน...
พาพาร์ท 11.2 มาต่อแล้วนะคะ
งานที่ว่าวุ่นอยู่แล้วยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีกเมื่อนักแสดงจากประเทศจีนเริ่มทยอยเดินทางมา โชคดีที่ทางโรงเรียนมีหอพักเอาไว้สำหรับเวลาเข้าค่ายถึงไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการจองโรงแรม กรรมการนักเรียนทั้งชุดใหม่ชุดเก่าถูกเรียกมาใช้งานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ใครพูดภาษาจีนได้ก็สบายตัวไป หากใครภาษาจีนไม่กระดิกซักนิดแบบคิมฮีซอลก็ต้องมีล่ามเป็นเด็กศิลป์ภาษาเดินตามประกบตลอดเวลา
“ยอดจำนวนจริงเท่าไหร่?” อีทึกหันมาถามเพื่อนสนิทที่เพิ่งผละออกมาจากแผนกลงทะเบียน ฮีซอลเปิดสมุดบันทึกส่วนตัวก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ
“ห้าสิบคนทั้งตัวแสดงและนักดนตรี สต๊าฟต่างหากอีกสิบคนรวมแล้วหกสิบคน ส่วนที่จะมาเรื่องบูธเห็นว่าจะทยอยมาทีหลังพร้อมอุปกรณ์ครบมือ”
“ตอนแรกหานเกิงแจ้งยอดมาร้อยคนนี่”
“พอดีฉันตกลงกับหมอนั่นว่าทางเราจะร่วมแสดงด้วยหน่ะ ก็เลยตัดยอดกันครึ่งๆ” คนฟังพยักหน้าเข้าใจแล้วเอ่ยถามต่อ
“นายคัดคนไว้แล้วใช่ไหม? เอาคนที่เรียนรู้ไวหน่อยก็ดีนะ เรามีเวลาแค่อาทิตย์กว่าๆคงต้องซ้อมกันหนักหน่อย”
“คัดแล้ว~”
“ตกลงว่าอุปรากรจีนใช่ไหม? ไหวหรือเปล่า?” เล่นงิ้วนี่ไม่ใช่เล่นๆเลยนะ จะทำเป็นสนุกก็ไม่ได้เพราะงานนี้ผู้อำนวยการย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องเป็นจริงเป็นจัง ไม่งั้นป่านนี้ฮีซอลคงจะเอาเรื่องสโนว์ไวท์หรือไม่ก็ซินเดอเรลล่ามาเล่นโดยแต่งงิ้วไปแล้ว
“ไหวอยู่ เพราะทางนั้นเค้าเลือกเรื่องไม่ยาก”
“เรื่องอะไร?”
“หมู่ ตัน ถิง”
“ห๊ะ? อะไรนะ?” อดีตประธานนักเรียนหันมามองเพื่อนรักก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย
“อย่าให้พูดซ้ำได้ไหมเดี๋ยวมันเพี้ยน!”
“แล้วมันแปลว่าอะไรล่ะเรื่องนี้หน่ะ”
“เก๋ง โบตั๋น...อย่าได้ถามอีกว่าแปลว่าอะไรเพราะผีจีนนั่นบอกฉันมาแค่นี้” อีทึกได้แต่กลั้นหัวเราะ ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่หานเกิงมาเป็นแขกของพวกเขา รู้สึกว่าจะมีฉากปะทะกันระหว่างผีจีนกับนางมารให้เห็นกันอยู่เนืองๆ จะว่าไปก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบเพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนกล้างัดข้อกับคนอย่างคิมฮีซอล
เห็นหน้าเอ๋อๆแบบนั้นใครจะไปคิดว่าเจ๋งไม่ใช่น้อย
“แล้วนี่จะเริ่มซ้อมกันเมื่อไหร่” เมื่อเห็นว่าลงทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งยังพาคณะที่เดินทางมาไปยังหอพักแล้ว อีทึกจึงปลีกตัวกลับขึ้นไปที่ห้องสภานักเรียนโดยมีฮีซอลเดินตามไปด้วยกัน
“เย็นนี้ที่ห้องชมรมการแสดง”
“ไวจัง”
“จะคัดตัวแสดงด้วยหน่ะ”
“ต้องไปช่วยไหม?”
“ถ้ามีน้ำใจก็มาแล้วกัน” มือเรียวชะงักที่จะเปิดประตูห้องแล้วหันมามองเพื่อน นึกอยากจะร่อนแฟ้มใส่หน้าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังสุดติ่งตับเมื่อเห็นอีกฝ่ายยักคิ้วกวนๆกลับมา
ฉันจะช่วยผีจีนปราบนางมารให้สิ้นฤทธิ์เลยคอยดู!
“งานท่าจะใหญ่จริงๆนะเนี่ย” เป็นอีกครั้งที่สมาชิกภายในชมรมฟุตบอลจะต้องพร้อมใจกันหันหน้าตามเยซองไป ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าชายก้อนเมฆ เพราะสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้าคือลานกิจกรรมขนาดใหญ่ของโรงเรียนที่ตอนนี้ถูกเนรมิตเป็นเมืองโบราณของจีนไปเสียแล้ว เสียงจ้อกแจ้กของภาษาที่ไม่คุ้นหูดังมาเป็นระยะ ผู้คนหน้าตาไม่คุ้นเดินกันให้ขวักไขว่ งานนี้ถ้าไม่เรียกว่ายิ่งใหญ่ก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบเปรยแล้ว
“เห็นฮีซอลบอกว่าผู้อำนวยการจริงจังมาก ทุ่มงบให้ไม่อั้นเลย” ร่างสูงยกน้ำขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยตอบให้ลูกทีมคลายความสงสัย
“ท่าจะสนุกแฮะ”
“สนุกแน่ เพราะงานนี้พวกแกจะได้เห็นคิมฮีซอลเป็นนางเอกงิ้ว” คังอินหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นสีหน้าของสมาชิกภายในชมรมแต่ละคน บ้างก็อ้าปากค้าง บ้างก็ตาเหลือกจนลูกตาจะกระเด้งออกมานอกเบ้าให้ได้ ตกใจอะไรขนาดนั้น...
“ผมไม่เห็นรู้เลย” ฮยอกแจเด้งตัวขึ้นมาจากการนอนหนุนตักไอ้ลูกหมาป่า แล้วรีบพาตัวเองมานั่งข้างๆคุณพ่อทันที
“เขาปิดกันให้แซ่ด” หัวเราะอีกครั้งเมื่อเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่น มือหนาจึงตบไหล่ลูกรักเบาๆก่อนจะอธิบายให้เข้าใจ
“เมื่อวานพี่ไปรับอีทึกที่ชมรมการแสดงมาหน่ะ เลยไปทันตอนที่นางมารกำลังอาละวาดใส่ประธานทางฝ่ายจีนอยู่ แต่ไม่รู้โวยวายกันอีท่าไหน สุดท้ายได้ผลสรุปว่าฮีซอลจะเล่นเป็นนางเอกแล้วประธานชมรมการแสดงของจีนเป็นพระเอก”
“พี่ฮีซอลกับพี่หานเกิงหรอครับ? สนุกแน่ๆเลย”
“หืม? แต่พี่ว่ามันก้ำกึ่งระหว่างคำว่าประสบความสำเร็จกับวินาศสันตะโรนะ” เอ่ยยิ้มๆก่อนจะหันไปนัดตารางซ้อมกับสมาชิกที่ยังนอนกลิ้งเกลือกกันอยู่ที่สนามหญ้า เมื่อเสร็จสิ้นก็สั่งแยกย้ายเพราะเห็นว่าไม่มีอะไรแล้ว อีกอย่าง...วันนี้เขาสัญญาว่าจะพาอีทึกไปซื้อของเข้าบ้านเสียด้วย
“คุณนายชเว~!” คนตัวเล็กชะงักเท้าก่อนจะหันไปตีหน้ายุ่งใส่รุ่นน้องที่ชักจะลามปามเขาขึ้นเรื่อยๆตั้งแต่ได้เพื่อนของเขาไปเป็นแม่ทูนหัว คยูฮยอนเดินยิ้มกว้างมาหาก่อนจะตบไหล่บางแปะๆ
“ซองมินคิดถึง แวะไปชมรมคหกรรมบ้างสิ”
“จะเอาฉันไปเป็นก้างทำไม?” เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นๆแต่คนฟังถึงกับหัวเราะร่า
“โอ้ย...คุณนายก็น่าจะรู้ว่าผมไม่แคร์สื่ออยู่แล้ว” ร่างบางอดที่จะทำเสียงขึ้นจมูกไม่ได้ หมั่นไส้ว่ะ แต่พอพูดถึงซองมินก็อดที่จะนึกถึงอีกคนไม่ได้
“ตอนนี้ทงเฮคงยุ่งมากแน่ๆเลย ไม่รู้ว่ามันบ้าไปแล้วหรือยัง” ถึงเขากับทงเฮจะเรียนอยู่ห้องเดียวกัน แต่ช่วงนี้ทงเฮมักจะขาดเรียนเพราะต้องไปช่วยกิจกรรมของโรงเรียน ซึ่งอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะมีหนังสือจากผู้อำนวยการแจ้งเรื่องการขอแรงจากนักเรียนไปยังอาจารย์ทุกท่านอยู่แล้ว
“กำลังใจดี ไม่ต้องห่วง” คำพูดกำกวมเรียกความสนใจได้ไม่ยาก เจ้าหมาป่ายักคิ้วอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยจากร่างบางที่เดินอยู่ข้างๆ
“อะไร? กำลังใจดี?”
“อ้าว...คุณนายนี่ไม่ไหวเลยนะ มัวแต่สนใจประธานชเวจนไม่รู้ว่าเพื่อนสนิทมีเด็กดำเป็นของตัวเองแล้ว ตกข่าวขั้นร้ายแรงเลยนะเนี่ย”
“หือ? เด็กดำ?” พูดให้รู้เรื่องหน่อยก็ไม่ได้ไอ้เด็กบ้านี่ เด็กดงเด็กดำอะไรเขาไม่เข้าใจจริงๆ
“คยูฮยอน...ถ้านายยังพูดไม่รู้เรื่องฉันจะฟาดปากนายด้วยรองเท้าสตั๊ดแล้วนะ” ยกรองเท้าคู่ชีพขึ้นขู่ว่าเอาจริงแน่งานนี้
“ดุจริงเลย ไม่แหย่แล้วก็ได้” ร่างสูงรีบยกมือยอมแพ้ก่อนจะรายงานข่าวยาวเป็นหางว่าว
“คุณนายจำเรื่องที่มีคนแอบเอารูปถ่ายมาให้เตี้ยบ่อยๆได้ไหม?”
“อ่อ...อือๆ” พยักหน้ารับก่อนจะยืนกอดอกฟังอย่างตั้งใจ
“ตอนนี้หมอนั่นเปิดเผยตัวแล้ว แถมยังเป็นคนที่เหนือความคาดหมายมากๆ ตอนที่ซองมินรู้ตอนแรกนะ...ที่รักผมช็อคไปเลย เพราะเคยแช่งให้เตี้ยเจอของดำ แล้วก็เจอจริงๆ” พูดเองก็หัวเราะเอง เพราะเขายังจำวันที่เด็กดำของทงเฮมาเปิดเผยตัวตามคำท้าที่ทงเฮเขียนเอาไว้หน้าชมรมคหกรรมได้ดี ไม่ว่าทงเฮหรือแม้กระทั่งซองมินต่างยืนอ้าปากพะงาบๆพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายหน้าที่สัมภาษณ์หนุ่มลึกลับคนนั้นเลยกลายเป็นเขาแทน
“แล้วตกลงว่าเด็กดำนั่นใคร?” มือเรียวกระตุกชายเสื้อรุ่นน้องให้เฉลยคำตอบเร็วๆ รู้ทั้งรู้ว่าเขาเป็นคนไม่ชอบรออะไรนานๆ แต่หมอนี่ก็ยังกวนเขาได้จนหยดสุดท้ายจริงๆ
“คุณนายก็รู้จัก เจอออกบ่อยไป”
“แล้ววันหนึ่งฉันเจอคนอยู่คนเดียวหรือไงฉันถึงรู้ว่าเป็นใครหน่ะห๊ะ? บอกมาเดี๋ยวนี้ไอ้หมาป่า หรือว่าเย็นนี้อยากได้รองเท้าสตั๊ดเป็นอาหาร?!”
“เพื่อนประธานชเวนั่นแหละ” คำใบ้นี้เริ่มตีวงแคบเข้ามาหน่อย มือเรียวปล่อยคอเสื้อของอีกฝ่ายก่อนจะยืนขบคิดปัญหา เด็กดำ ถ่ายรูป เพื่อนซีวอน
เฮ้ยยยยยยยยยยยย!!!!!
“คิมคิบอม?!” เด็กหนุ่มยิ้มร่าก่อนจะพยักหน้ารับเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กข้างหน้าเริ่มมีระบบประมวลผลของสมองที่ไวขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หรือเพราะว่าได้รับการถ่ายทอดมาจากประธานชเวนะ? อ่า...หรือนี่คือข้อดีของการมีแฟน?
แล้วทำไมทั้งที่เขาเป็นคนรักของซองมิน
รามยอนซักชามก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดีล่ะ?
“ไปคบกันตอนไหนเนี่ย?” ถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาๆเหมือนถามตัวเอง แต่หูหมาป่าก็กระดิกไวพอที่จะจับใจความทั้งหมดได้
“ก็หลังจากวันนั้นแหละ ช่วงนี้ช่วงโปรโมชั่นปาท่องโก๋” ยักคิ้วกวนๆใส่รุ่นพี่ตัวเล็กไปอีกทีก่อนจะขยายความต่อ
“ก็เหมือนประธานชเวกับคุณนายไง พอประธานชเวประกาศตัวต่อสาธารณะชนปุ๊บ ก็เกิดโปรโมชั่นคู่รักขึ้นทันที แต่คู่ประธานกับคุณนายเนี่ยโปรยาวดีจังเลย ใครๆก็อิจฉา”
“แล้วทำไมมันวกมาที่ฉันได้ล่ะ?”
“ที่วกมาหาเพราะผมแปลกใจ” ขาเรียวชะงักก่อนจะหันมามองคนตัวสูงที่เริ่มมีสีหน้าเข้าโหมดจริงจัง
“อะไร?”
“โปรกำลังจะหมดหรือไงคุณนาย”
“พูดอะไรของนายเนี่ยคยูฮยอน?”
“ก็ปกติถ้าเราเลิกชมรมแล้วประธานจะรีบโทรหาเลยไม่ใช่หรอ? แค่พวกเราลุกขึ้นจากสนามหญ้าโทรศัพท์มือถือคุณนายก็ดังแล้ว แต่ช่วงสองสามวันมานี่...เงียบแฮะ แถมคุณนายยังกลับบ้านพร้อมพี่อีทึกอีก มีปัญหากันหรอ?” ท่าทีที่เงียบไปของรุ่นพี่ทำให้เด็กหนุ่มพอจะเดาปัญหาที่กำลังเกิดได้ไม่ยาก ถึงเขาจะอาวุโสน้อยกว่าแต่อะไรที่พอจะเตือนได้เขาก็อยากจะเตือน
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างคุณนายกับประธานยังไม่เลื่อนขึ้นเป็นคนรักกันซักที ทั้งที่ประธานเองก็ออกจะเปิดเผยว่ารักคุณนายมากซะขนาดนั้น ผมเองจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้เพราะผมไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับความรักของคุณนาย แต่ว่านะ...คุณนายไม่เหงาบ้างหรอที่ห่างกันแบบนี้หน่ะ?” ตั้งคำถามเพื่อให้อีกฝ่ายได้คิด แต่แล้วคยูฮยอนก็ต้องแปลกใจเมื่อรุ่นพี่ร่างบางพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับคำถามเขา หนุ่มน้อยกร้านโลก(?)ได้แต่ลอบถอนใจก่อนจะยื่นกล่องขนาดย่อมให้คนตรงหน้าซึ่งฮยอกแจก็รับมาอย่างไม่เข้าใจนัก
“ขนมเค้กที่ซองมินทำให้ผม แต่ผมยกให้คุณนายก่อนก็ได้ ถ้ายังคิดหาเหตุผลที่จะไปหาไม่ได้จะเอาซองมินไปเป็นข้ออ้างก่อนผมก็ไม่ว่าหรอกนะ” เอ่ยยิ้มๆก่อนจะเดินผิวปากไปทางตึกคหกรรม ปล่อยให้อีกคนยืนถือกล่องเค้กไว้อย่างนั้น ร่างบางถอนใจหนักๆก่อนจะเหลือบมองไปทางตึกของสภานักเรียน
จะกลับไปหรือยังนะ?
“น่ารักขึ้นเยอะเลยแฮะ” ปลายปากกาที่กำลังเซ็นรับรองเรื่องการเบิกจ่ายเงินสำหรับงานโรงเรียนชะงักกึกเมื่อได้ยินเสียงจากใครอีกคนดังมาจากตรงหน้าต่าง
“ฮยอกแจน่ารักตั้งนานแล้วแต่พี่มองไม่เห็นเอง” คนฟังถึงกับหัวเราะฮึทั้งที่สายตายังไม่ละไปจากร่างขาวๆที่วิ่งอยู่กลางสนาม ที่ฉันบอกว่าน่ารักเพราะระยะมันไกลต่างหากเล่า! ถ้าเห็นใกล้ๆก็คงยังแคระแกร็นเหมือนตอนเด็กนั่นล่ะมั้ง
“นั่นสิ...ฉันนี่ตาไม่ถึงเลยที่มองไม่เห็นผีเสื้อแสนสวยที่ฟักตัวอยู่ในดักแด้” แฟ้มงานถึงปิดดังปึงใหญ่บ่งบอกอารมณ์ของผู้กระทำได้เป็นอย่างดี ซีวอนลุกขึ้นมาประจันหน้ากับพี่ชายต่างมารดาแล้วเค้นเสียงรอดไรฟัน
“อย่าพูดถึงฮยอกแจแบบนั้นอีก”
“หวงจริงนะ แล้วเป็นไงล่ะ? ตอนนี้น้องฮยอกแจเขาหันมามองแกบ้างหรือยัง? พี่ซือหยวนที่ถูกมองข้าม” จงใจเน้นประโยคหลังกวนโมโหเล่นๆก่อนจะเดินไปนั่งอย่างสบายอารมณ์ที่โซฟารับแขก
“ที่ผมขอให้พี่มาเกาหลีเพราะอยากให้พี่เคลียร์เรื่องตัวเองกับฮยอกแจซะ พี่เองก็มีคนรักอยู่ที่จีนอยู่แล้ว ผมขอร้อง...พี่เลิกให้ความหวังกับฮยอกแจซักที”
“ความหวัง? ฉันเคยให้ด้วยหรอ? เด็กนั่นคิดไปเองต่างหาก”
“พี่ซือเหวิน!” ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะตรงเข้าไปกระชากอีกฝ่ายขึ้นมาชกซักหมัด ทำไมกันนะ...ทำไมเขาถึงมีพี่ชายที่นิสัยไม่ดีแบบนี้
“ฉันพูดผิดตรงไหน? เด็กนั่นมาตามติดฉันเองนะ ฉันไม่ได้ไปหลอกล่ออะไรเสียหน่อย คนมันมีเสน่ห์ก็แบบนี้แหละ ใครจะไปเหมือนเด็กแว่นหนาเตอะหัวเรียบแปล้ไร้ซึ่งความมั่นใจคนนั้นกันล่ะ”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ...”
“จะว่าไปพวกนายสองคนก็เหมาะกันดีนะ คนหนึ่งก็เด็กเชยสะบัด อีกคนก็เด็กก้างมีแต่กระดูก”
“ผมบอกให้พี่หยุดพูดเดี๋ยวนี้ไงล่ะ!” ซีวอนแทบจะถลาเข้าไปกระชากพี่ชายขึ้นมาซัดให้หายปากดีอยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่ามีคนเปิดประตูเข้ามาพอดี เขาจะไม่อะไรเลยถ้าคนๆนั้นไม่ใช่...
“ฮยอกแจ...” ซือเหวินถอนใจก่อนจะมองไปที่ประตูอย่างไม่สบอารมณ์นัก เพราะเขายังไม่อยากเจอเด็กก้างนั่นตอนนี้เลย แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องนิ่งไปเมื่อเห็นร่างขาวผ่องนั้นเต็มตา ซือเหวินถึงกับหลุดยิ้มออกมาเมื่อคนตัวเล็กมองมาที่เขาก่อนจะยิ้มแล้วก้มศีรษะให้เล็กน้อย
เด็กก้างนั่นน่ารักได้ขนาดนี้เลยหรอ?
“ฉันเข้ามากวนอะไรหรือเปล่า” เอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าก่อนที่เขาจะเปิดประตูเข้ามาทั้งสองคนคงกำลังมีเรื่องที่กำลังถกเถียงกันอยู่ เพราะสีหน้าของซีวอนเหมือนจะโมโหอยู่ไม่น้อย
“ไม่หรอก มีอะไรหรือเปล่า?” ร่างสูงเป็นฝ่ายผละมาจากพี่ชายเมื่อเห็นว่าฮยอกแจยังเกรงใจที่จะเดินเข้ามาในห้อง
“เอ่อ...คือ...คือว่าซองมินทำขนมเค้กเผื่อนาย ฉันก็เลยเอามาให้หน่ะ” ยื่นกล่องขนมที่ตัวเองประคองมาอย่างดีตลอดทางให้ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังยิ้มร่างบางก็พลอยยิ้มไปด้วย
“ถ้ามีธุระอยู่ก็ไม่รบกวนล่ะนะ เดี๋ยวคืนนี้โทรหาแล้วกัน”
“ใจร้ายจังนะ” คนที่กำลังหันหลังจะกลับต้องหันหน้ากลับมามองอย่างไม่เข้าใจเมื่อคนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ไม่ใช่ซีวอน แต่กลับเป็นชายหนุ่มอีกคนที่เดินมายืนอยู่ข้างๆร่างสูง เช่นเดียวกับซีวอนที่หันไปมองพี่ชายตัวเองอย่างไม่เข้าใจ แต่พอเห็นแววตาเป็นประกายของอีกฝ่ายเขาก็พอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ครับ? ผมหรอ?” ฮยอกแจได้แต่ชี้หน้าตัวเองอย่างงงๆ เขาไปใจร้ายกับผู้ชายคนนี้เมื่อไหร่กัน
“น้องฮยอกแจจำพี่ไม่ได้หรอครับ? พี่อุตส่าห์ตั้งใจมาหาน้องฮยอกแจเลยนะ แบบนี้มันน่าน้อยใจจริงๆ” คนฟังได้แต่เอียงคองงๆ ก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะเบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายยิ้มให้อย่างอ่อนโยน รอยยิ้มนี้เขาไม่มีวันลืมเด็ดขาด เวลาห้าปีที่ผ่านไปไม่เคยเปลี่ยนรอยยิ้มนี้ได้จริงๆ
“พี่ชาย...”
TBC.
เปิดตัวพี่ซือเหวินอย่างเป็นทางการ แต่งเองก็โมโหเอง =w=
รู้สึกเหมือนหลายคนจะงงว่าซือเหวินเป็นใครเนอะ ชื่อนี้คิดขึ้นมาเองค่ะ
แต่ถ้าถามว่าเอาคาแรคเตอร์มาจากใคร ก็...คนนี้แหละ
ชเวซึงฮยอน...หรือท็อปเท็มโป =3=
ไม่ใช่ว่าปอไม่ชอบท็อปนะ แต่พอดีอิมเมทเขาเป๊ะดี เลยยืมตัวมา คึ~
แจ้งผังบูทงาน KFC อีกครั้งค่ะ (และจะแจ้งต่อไปจนกว่าจะถึงวันงาน ฮ่า~)
อย่างในรูปเลยนะคะ kobamura จะสิงสถิตอยู่บูท G3 ติดกับประตูหาง่ายมาก ไปทักทายกันได้นะคะ ช็อปเสร็จแล้วมานั่งคุยกันก็ได้ ยังไงปอก็ชิวๆ แต่ไม่เอาแบบปีที่แล้วนะ ที่มายืนหน้าบูทปอแล้วกรี๊ดบอกว่ารับวอนฮยอกไม่ได้หน่ะ ปอไม่เอาแบบนั้นแล้วนะคะ ชอบคู่ไหนเราไม่ว่าแต่ขอให้อยู่กันอย่างเป็นมิตรนะคะ ไม่กระทบกระทั่งกันเน้อ
ส่วนฟิคที่จะนำไปวางก็...มี 4 เรื่องค่ะ
Love Accident [WonHyuk] ราคาเล่มละ 250 บาท
Two Tone # 1 [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200 บาท
Two Tone # 2 [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200 บาท
Do You Feel Love? [KangTeuk] ราคาเล่มละ 300 บาท
What the hell happended!! [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200-300 บาท เรื่องนี้ไปเปิดตัวที่งานเลยนะคะ ไม่มีการเปิดจองล่วงหน้า เรื่องราคาขอประมาณไว้ก่อนนะคะ แต่ไม่เกินราคานี้
แล้วก็มีกิ๊ฟช็อปเล็กน้อยๆไปวางขายสำหรับใครชื่นชอบของสะสมนะคะ ^^
เจอกันวันที่ 23 สิงหาคมนะคะ สำหรับทางบอร์ด fixland จะมีของสมนาคุณให้กับผู้ที่มาเยี่ยมเยียนค่ะ อย่าลืมแวะไปน๊า~
อย่างในรูปเลยนะคะ kobamura จะสิงสถิตอยู่บูท G3 ติดกับประตูหาง่ายมาก ไปทักทายกันได้นะคะ ช็อปเสร็จแล้วมานั่งคุยกันก็ได้ ยังไงปอก็ชิวๆ แต่ไม่เอาแบบปีที่แล้วนะ ที่มายืนหน้าบูทปอแล้วกรี๊ดบอกว่ารับวอนฮยอกไม่ได้หน่ะ ปอไม่เอาแบบนั้นแล้วนะคะ ชอบคู่ไหนเราไม่ว่าแต่ขอให้อยู่กันอย่างเป็นมิตรนะคะ ไม่กระทบกระทั่งกันเน้อ
ส่วนฟิคที่จะนำไปวางก็...มี 4 เรื่องค่ะ
Love Accident [WonHyuk] ราคาเล่มละ 250 บาท
Two Tone # 1 [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200 บาท
Two Tone # 2 [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200 บาท
Do You Feel Love? [KangTeuk] ราคาเล่มละ 300 บาท
What the hell happended!! [WonHyuk] ราคาเล่มละ 200-300 บาท เรื่องนี้ไปเปิดตัวที่งานเลยนะคะ ไม่มีการเปิดจองล่วงหน้า เรื่องราคาขอประมาณไว้ก่อนนะคะ แต่ไม่เกินราคานี้
แล้วก็มีกิ๊ฟช็อปเล็กน้อยๆไปวางขายสำหรับใครชื่นชอบของสะสมนะคะ ^^
เจอกันวันที่ 23 สิงหาคมนะคะ สำหรับทางบอร์ด fixland จะมีของสมนาคุณให้กับผู้ที่มาเยี่ยมเยียนค่ะ อย่าลืมแวะไปน๊า~
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น