ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic SJ] What's the hell happened!! [WonHyuk]

    ลำดับตอนที่ #11 : What’s the hell happened!! # 10

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 52


    Title :: What the hell happened!!
    Part :: 10
    Pairing :: WonHyuk
    Author :: kobamura
    Rating :: PG-13
    Author’s Note :: เรื่องทุกอย่างก็เป็นเพียงเหตุการณ์สมมติขึ้นเท่านั้น อ่านเพื่อความบันเทิงนะคะ


    คือว่า...หายไปชาติเศษ =w=
    ทอร์คท้ายเรื่องแล้วกันนะคะ...















    ‘เป็นเด็กดีนะ แล้วพี่จะพยายามมาหาบ่อยๆ’







    พยายามมาหา?

    ที่ผ่านมาพี่พยายามที่สุดแล้วใช่ไหม?











    นัยน์ตาเรียวเหลือบมองการ์ดใบเล็กที่ถูกอัดกรอบอย่างดีตรงหัวเตียงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบของขวัญล้ำค่าที่เขาเก็บรักษามาตลอดห้าปี...ห้าปีที่ไร้วี่แววคนที่ให้ ทั้งที่น่าจะติดต่อมาแต่ก็ไม่เคยเลย มีเพียงโทรศัพท์ครั้งแรกที่บอกว่าถึงจีนอย่างปลอดภัยแล้ว และครั้งที่สองที่บอกว่าเรียนหนักมากจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ไม่มีครั้งที่สาม...






    ไม่มีอีกเลย






    “หรือว่าที่ผ่านมาผมตีความหมายของพี่ผิดกันนะ” เอ่ยกับของที่อยู่ในมือ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับสร้อยข้อมือที่ตัวเองใส่อยู่ ตัวสร้อยเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินเรียงต่อกันและที่ปลายด้านหนึ่งของพระจันทร์จะมีดวงดาวเกาะอยู่ ซีวอนให้เขาตอนอยู่ที่ทะเลด้วยกัน



    ‘ใส่เอาไว้นะ มันคือเครื่องรางที่จะทำให้ฮยอกแจได้เจอแต่เรื่องดีๆ’

    เรื่องดีๆที่นายคอยสรรหามาให้ฉันอย่างนั้นหรอซีวอน?




    ยืนมองสร้อยข้อมืออยู่เป็นนานก่อนจะสะดุ้งเมื่อถูกสวมกอดจากด้านหลัง จะเป็นใครถ้าไม่ใช่คนหล่อที่เดี๋ยวนี้มาฝากท้องที่บ้านเขาอยู่ทุกเช้า แถมยังหาญกล้าขึ้นมาห้องเขาโดยไม่คิดจะขออนุญาตอีกต่างหาก

    “กอดทำไมเนี่ย พอไม่ว่าอะไรนี่เอาใหญ่เลยนะ มันอึดอัดนะรู้ไหม?” ตีแขนแกร่งที่กอดเอวอยู่หลวมๆแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าจะอึดอัดอย่างที่พูด ซีวอนเลยยิ่งกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

    “ฮยอกแจไม่ว่า ก็แปลว่าไม่ผิด” ร่างสูงเอ่ยตอบพร้อมกับส่งยิ้มจนแก้มบุ๋ม ไม่พอ...ยังไม่หมด จมูกโด่งกดลงแก้มนุ่มแทนการเอ่ยอรุณสวัสดิ์เสียงดังฟอดใหญ่ คนถูกขโมยหอมแก้มได้แต่ยกมือทาบแก้มแล้วก้มหน้างุด

    “ไปทานข้าวกันดีกว่า” บอกกับคนในอ้อมกอดยิ้มๆก่อนที่สายตาจะไปสะดุดกับกรอบรูปตรงหัวเตียง ด้านในเหมือนจะเป็นการ์ดใบเล็กที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี อาการนิ่งเงียบไปของซีวอนทำให้ฮยอกแจต้องหันมองตามก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ

    “สิ่งเดียวที่ยึดฉันไว้กับพี่ชายหน่ะ”

    “หรอ...นั่นของพี่ชายที่นายรักเขาหนักหนาหรอ?” ถึงแม้รูปประโยคจะเหมือนการประชด แต่ร่างบางกลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจะดูน้อยเนื้อต่ำใจเสียมากกว่า

    “ไม่เอาหน่าซีวอน ไปกินข้าวกันนะ” ดึงมือหนามากุมไว้ก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพายแล้วลากอีกคนที่ดูจะเงียบขรึมผิดปกติให้เดินตามลงไปชั้นล่าง อาหารเช้าที่พี่อีทึกเตรียมไว้เสร็จพอดี

    “วันนี้ดูเงียบๆนะ” อีทึกเอ่ยขึ้นหลังจากทานเสร็จแล้ว น้องสองคนที่กำลังช่วยกันเก็บโต๊ะหันมามองหน้ากันครู่เดียวก่อนจะเดินเคียงกันไปล้างจานในครัว

    “แปลกแฮะ...” อีทึกได้แต่เปรยกับตัวเองเบาๆแต่ก็ไม่ได้คิดจะซักไซ้อะไร คนเป็นพี่ไม่จำเป็นจะต้องรู้ไปทุกเรื่องก็ได้นี่นา











    นัยน์ตาคมเหลือบมองร่างโปร่งที่เดินวนไปวนมาอยู่ตรงหน้าเขาด้วยอาการนิ่งเงียบ ผิดกับอีกคนที่ดูเครียดอย่างเห็นได้ชัด คิมฮีซอลยกมือขึ้นเสยผมอย่างเซ็งๆ เขาสมควรทำยังไงกับตุ๊กตาผีจีนที่นั่งหน้านิ่งอยู่ในห้องสภานักเรียนนี้ดี ล่ามซักคนก็ไม่มี แล้วจะคุยกันรู้เรื่องไหมวะห๊ะ?!




    ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันมาสายวันนี้เสียอีก แกรีบมาตายพร้อมฉันเดี๋ยวนี้เลยนะปาร์คจองซู!




    “เอ่อ...” ราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร นางพญาของโรงเรียนยืนจังก้าชี้นิ้วให้คนตรงหน้าเงียบปากแทบจะทันที

    “สต็อป! โอเค๊?” รีบพ่นภาษาอังกฤษป้องกันตัวเองไว้ก่อน ก็ยังดีที่พอจะสื่อสารกันรู้เรื่องบ้างเมื่ออีกฝ่ายยอมที่จะเงียบตามที่เขาขอ

    “โอเค...” ชายหนุ่มเลือกที่จะตอบตกลง เพราะดูท่าทีแล้วถ้าเขาพูดอะไรออกไป นอกจากสายตาที่จิกนั่นแล้ว เขาอาจจะโดนอะไรซักอย่างจิกตามมาด้วย





    คนเกาหลีสวยๆนี่น่ากลัวทุกคนเลยหรือไงนะ?





    “เดินวนเป็นหงส์ติดจั่นเชียว ฮีบอมไม่สบายหรือไง?” ทันทีที่ประตูเปิดเสียงทักคุ้นหูก็ช่วยกอบกู้สถานการณ์ตึงเครียดไว้ได้มากโข ฮีซอลรีบโผเข้าไปหาเพื่อนพร้อมทั้งใส่ไฟแขกคนสำคัญเป็นการใหญ่

    “ฉันจะไมเกรนแดกหัวอยู่แล้วไอ้เพื่อนบ้า! อยู่กับผีจีนสองคนในห้อง คุยอะไรกันก็ไม่รู้เรื่อง มาถึงก็อะไรไม่รู้หนีๆห่าวๆ ฉันเลยบอกให้เงียบแล้วรอแกมาจัดการอยู่เนี่ย”

    “อ้าว...แล้วล่ามล่ะ?” อีทึกมองคนที่นั่งอยู่ที่โซฟารับแขกสลับกับเพื่อนอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก ตัวเขาเองนี่ก็ไม่รู้ภาษาจีนเลย แต่สกิลของเขาดีกว่าคิมฮีซอลนิดหน่อยก็ตรงที่รู้ว่า ‘หนีห่าว’ แปลว่าสวัสดี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถสนทนาภาษาจีนกับใครได้หรอกนะ

    “ผมพูดภาษาเกาหลีได้ครับ” ผู้มาเยือนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เพราะจากที่สังเกตพบว่าคนสวยอีกคนที่มาใหม่ดูเป็นมิตรกว่า ฮีซอลถลึงตาใส่ชายหนุ่มทันที ไอ้ผีจีนนี่ปล่อยให้เขาบ้าอยู่ตั้งนาน มันน่าเตะกลับประเทศบ้านเกิดนัก!

    “แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรกห๊ะ? คิดจะลองดีกับคิมฮีซอลคนนี้หรือไง?!” ผละออกจากเพื่อนมายืนเท้าเอวค้ำหัวแขกกิตติมศักดิ์ทันที แต่แล้วก็ต้องผงะถอยมาเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หานเกิงมองคนงามทั้งสองก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงสุภาพ

    “ผมพยายามจะพูดกับคุณ แต่คุณกลับบอกให้ผมเงียบ แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ?” ถึงแม้สำเนียงที่เอ่ยจะแปร่งไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคมากนัก เพราะยังไงพวกเขาก็เป็นเจ้าของภาษา ฮีซอลมีท่าทีฮึดฮัดเมื่อได้ยินคำบอกนั้น ผิดกับอีทึกที่พยักหน้าอย่างเข้าใจ

    “เพื่อนผมก็แบบนี้แหละ คุณคงไม่คิดเล็กคิดน้อยนะ” อดีตประธานนักเรียนคนสวยเอ่ยโดยไม่ทุกข์ร้อนต่อสายตาจิกกัดจากเพื่อนรัก

    “ผมอีทึกครับ”

    “หานเกิงครับ...ยินดีที่ได้รู้จักคุณอีทึกกับคุณฮีซอลนะครับ” คนสวยแสนดียิ้มรับคำทักทายนั้นด้วยความเต็มใจ ส่วนคนสวยปากร้ายอีกคนเพียงแค่ไหวไหล่ก่อนจะเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของห้อง อีทึกมองเพื่อนแล้วส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะอาการแบบนี้เป็นการบอกกรายๆว่า...เรื่องนี้แกนั่นแหละที่ต้องเป็นคนจัดการ




    ถ้าฉันไม่ใช่ประธานนักเรียนฉันไม่มาเป็นเบี้ยนายหรอกนะคิมฮีซอล




    “หานเกิงไม่ต้องเรียกพวกเราว่าคุณก็ได้ ยังไงเราก็รุ่นเดียวกัน” ผายมือเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลงก่อนจะหยิบแฟ้มที่วางไว้บนโต๊ะมาเปิดแล้วเริ่มคุยเรื่องรายละเอียดที่เกี่ยวข้องทันที ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร ดีเสียอีกที่งานคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว














    “ช่วงนี้สภานักเรียนกับชมรมการแสดงดูวุ่นๆนะ” เยซองเปรยขึ้นมากลางวงนักฟุตบอลโรงเรียนที่นอนแผ่หลากันอยู่ข้างสนามหลังจากการซ้อมหฤโหดเพิ่งผ่านพ้นไป

    “เตรียมงานใหญ่กันอยู่หน่ะ” คังอินซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังยืนยืดเส้นยืดสายอยู่เอ่ยตอบทันทีเมื่อรู้สึกถึงสายตานับสิบที่ต่างพร้อมใจกันหันขวับมาหาเขาที่ยืนหัวโด่เป็นประธานอยู่





    พวกแกเนี่ย...ช่วยสนใจเรื่องซ้อมเหมือนสนใจเรื่องคนอื่นหน่อยได้ไหม?






    “เรื่องที่จะจัดการแสดงรำมวยจีนหน่ะหรอครับ?” คยูฮยอนยกมือถาม ตัวเขาเองก็พอได้ยินทงเฮมาบ่นให้ซองมินฟังอยู่บ่อยๆเหมือนกันว่าช่วงนี้งานเข้ามากๆ ทำเอาเขาพลอยรู้เรื่องไปด้วย

    “การแสดงพื้นเมืองของจีนมันไม่ได้มีแค่รำมวยจีนหรอกนะไอ้หมาป่า” มือเรียวเอื้อมไปตบหัวคนที่ตัวเองนอนหนุนตักอยู่เบาๆ เพราะมั่นใจว่ายังไงคยูฮยอนก็ไม่กล้าเอาคืนแรงๆแน่ บอดี้การ์ดของอีฮยอกแจแทบยกชมรมเลยนะขอบอก ฮ่า~









    แต่ทว่า...














    “ทำเป็นรู้ดี เคยมีแฟนเป็นคนจีนหรือไงคุณนายชเว?” บรรยากาศรอบตัวอึมครึมขึ้นมาทันที สมาชิกหลายคนเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังก้าวข้ามเข้าไปในเรื่องที่ไม่สมควรรู้เข้าเสียแล้วเมื่อฮยอกแจผุดลุกขึ้นนั่งมองรุ่นน้องที่เทียบรุ่นขึ้นมาเป็นแฟนเพื่อน

    “ไปชกมวยน่าจะรุ่งกว่านะ...” เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงติดประชดก่อนจะลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องชมรมโดยปล่อยให้เหล่าชายฉกรรจ์มองหน้ากันไปมาอย่างไม่เข้าใจ ฮยอกแจเป็นอะไร?

    “หมัดฮุกเมื่อกี้สวยดีนะ แต่ออกผิดจังหวะไปหน่อย” คังอินเดินไปตบไหล่คยูฮยอนที่ดูยังอึ้งกับสิ่งที่เจอเมื่อครู่ไม่หาย กัปตันทีมคนหล่อกวาดตามองสมาชิกชมรมคนอื่นๆที่มีอาการไม่แพ้เจ้ามักเน่นี่เท่าไหร่ เขาถอนใจเฮือกใหญ่แล้วเดินหนีแบบตัวใครตัวมันเพราะขี้เกียจถูกจับมารีดเอาความจริง เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนนอกรู้ง่ายๆ






    ให้เจ้าตัวเขาเคลียร์ตัวเองก่อนท่าจะดีกว่า






















    ทางแยก...
















    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เขาขึ้นมาชั้นของสภานักเรียนแล้วเท้ามันก้าวไปทางซ้ายตลอด สำหรับหลายคนมันอาจจะฟังดูเหมือนเหตุผลตื้นๆ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่สำคัญมากสำหรับคนอย่างเขา




    หาขนมกิน

    หาที่นอนระหว่างรอกลับบ้านพร้อมพี่อีทึก









    หา...ใครบางคนที่นั่งรออยู่ที่ห้องนั้นเสมอ













    “อ้าว...เจ้าตัวยุ่ง” เสียงทักจากทางฟากขวามือเรียกให้ร่างบางหลุดออกจากภวังค์ เมื่อหันไปก็พบพี่ชายสองคนกำลังเดินมากับคนแปลกหน้า

    “เลิกชมรมแล้วหรอ?” อีทึกเอ่ยถาม โดยที่ฮีซอลยังยืนคุยรายละเอียดกับผู้ชายอีกคนอยู่ข้างๆ ซึ่งคนแปลกหน้าที่ว่าก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้เขาครู่หนึ่งก่อนจะกลับไปสนใจเนื้อหาในแฟ้มต่อ

    “ครับ”

    “วันนี้พี่อาจจะกลับช้าหน่อยนะ ไปรอห้องซีวอนก่อนก็ได้ หรือถ้าอยากกลับก่อนก็กลับพร้อมซีวอนไปเลยก็ได้นะ”

    “อ่า...ครับ” พยักหน้ารับก่อนจะขอตัวไปทางปีกซ้าย ส่วนที่เหลือก็เดินลงไปชั้นล่างเพื่อมุ่งไปยังหอประชุมใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานในครั้งนี้

    “เมื่อกี้ใครหรอครับ?” อีทึกหันมามองคนถามก่อนจะตอบโดยไม่คิดอะไร

    “น้องชายผมเองชื่อฮยอกแจ”

    “ฮยอกแจ?” ฮีซอลปิดแฟ้มงานก่อนจะเงยหน้ามองคนที่เดินอยู่ข้างๆ ด้วยความเป็นคนตรงแบบออกแนวชอบหาเรื่องคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอเห็นอีกฝ่ายทวนชื่อน้องชายพร้อมกับมีสีหน้าครุ่นคิดจึงเอ่ยปากถามแทบจะทันที

    “รู้จัก?”

    “คุ้นๆชื่อหน่ะครับ เหมือนเคยได้ยินชื่อ”

    “ดาราตลกชื่อดังของประเทศเราก็ชื่ออีฮยอกแจนะ” เอ่ยบอกเสียงเรียบแล้วส่งแฟ้มให้ร่างสูงถือก่อนจะเดินไปควงเพื่อนรักให้เดินนำไปด้วยกัน ทิ้งให้แขกคนสำคัญของโรงเรียนยืนทวนความคิดของตัวเองต่อไป









    “ฮยอกแจ...อีฮยอกแจ”














    “ใช่ตัวเล็กของไอ้หยวนมันหรือเปล่านะ...”






















    “อืม...แค่นี้ก่อนนะ” ร่างสูงกดวางสายก่อนจะหันมายิ้มให้คนน่ารักที่ยืนอยู่หน้าประตู ฮยอกแจส่งยิ้มให้อย่างทุกครั้งก่อนจะตรงไปที่มุมขนมที่เขาต้องแวะเวียนมาหาทุกเย็น

    “วันนี้มีทาร์ตไข่ด้วยนะ”

    “ไหนๆๆๆๆ” สอดส่องหาจนทั่วแต่ก็ไม่พบ พอหันไปว่าจะถามก็ได้คำตอบเมื่อซีวอนชูกล่องขนมสุดโปรดให้ดูอยู่ข้างหลัง

    “สาวชมรมไหนให้มาล่ะเนี่ย” รับกล่องขนมมาเปิดก่อนจะถามอย่างไม่นึกใส่ใจนัก เสน่ห์ของซีวอนทำให้เขาได้กินขนมอร่อยมากมาย แต่ทำไมช่วงหลังๆชักจะไม่ค่อยปลื้มเสียแล้วสิ

    “เปล่า พอดีคิบอมออกไปข้างนอกก็เลยฝากซื้อมาหน่ะ เมื่อเช้าบ่นอยากกินไม่ใช่หรอ?”

    “น่ารักจัง”

    “น่ารักแล้วต้องทำยังไง?” คนหล่อถามด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ฮยอกแจทำไม่รู้ไม่ชี้ถือกล่องขนมไปนั่งกินที่โซฟารับแขก แต่เพียงแค่เดินเลยไปหน่อยร่างบางก็เรียกให้ชายหนุ่มหันมาแล้วเขย่งหอมแก้มเร็วๆก่อนจะวิ่งไปนั่งที่โซฟาแล้วทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้อีกฝ่ายได้แต่ยืนอึ้งแล้วหัวเราะเขินอยู่คนเดียว

    “โกโก้ครับ” ชายหนุ่มชงเครื่องดื่มอุ่นๆมาเสิร์ฟให้อย่างที่เคยทำประจำซึ่งก็มักจะได้รับรอยยิ้มหวานกลับมาทุกครั้ง ซีวอนนั่งมองคนน่ารักที่กำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับของหวานสุดโปรดแล้วอดยิ้มเศร้าไม่ได้

    “เป็นอะไร? เหนื่อยหรอ?” เอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงทอดถอนใจจากคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน ถึงแม้จะได้รับการส่ายหน้าปฏิเสธกลับมาแต่เขาก็ไม่อยากจะเชื่อ

    “ซีวอน...”

    “ครับผม”

    “อย่าโกหกฉัน”

    “ฉัน...แค่มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยเท่านั้นเอง”

    “เรื่องของเรา?” ชายหนุ่มสะดุ้งเมื่อแม่เจ้าประคุณจี้ได้ถูกจุดเป๊ะๆ เมื่อเห็นสายตาที่กำลังจ้องมองมาเขาก็เลือกที่จะบอกตามตรง

    “อืม”

    “เรื่องอะไร? ตอนนี้เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรอ?” ตักทาร์ตไข่ป้อนให้คำใหญ่ ซึ่งคนหล่อก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีนั้น ทาร์ตไข่รสหวานมันกลับฝาดเฝื่อนขึ้นมาเสียดื้อๆเมื่อนึกถึงเรื่องที่ตัวเองคิดหนักอยู่ตอนนี้

    “ฮยอกแจ...”

    “หืม?”

















    “ตอนนี้เรารักกันอยู่หรือเปล่า?”






















    TBC.






    ((หลบหลังอึนอึน))

    คือว่าหายไปนานเลยเนอะเรื่องนี้หน่ะ
    เป็นกันบ้างไหมเวลามีอย่างอื่นที่ต้องทำแล้วเรายังทำไม่เสร็จมันจะกังวลจนทำอย่างอื่นไม่ได้
    และปอก็เป็น...ปอแตะฟิคไม่ได้เลยล่ะ ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
    Bad Story No.01 -- 29 Jun 2009 ก็เกือบเดือนเลยเนอะ -*-
    แต่ถ้าหมายถึง what hell กับ love in the ice เนี่ย คงไม่ต้องนับแล้วเนอะ TT^TT
    ตอนนี้ก็เริ่มเข้าที่แล้วค่ะ หนังสือรุ่นที่รับทำคนเดียวเสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะ
    ทำเอาปอเกลียด photoshop ไประยะหนึ่งเลยทีเดียว ปวดตามาก

    จากนี้ไปก็ได้เวลาปั่นฟิคแล้วเนอะ

    แต่ขอหลังจากวันที่ 30 กรกฎาคม แล้วกันนะคะ
    แล้วถ้าใครรักปอ ช่วยอวยพรให้ปอสอบวิชา Thermodynamics ผ่านด้วย
    ไม่น่าลงเรียนกับเด็กปิโตรฯเลย โฮกกกกกกกกกก




    แล้วก็เรื่องสุดท้าย

    หวังว่า what the hell happened จะรวมเล่มทันงาน KFC

    สาธุ~



    คอยติดตามกันด้วยนะคะ~!!



    ปล. อีกที...รวมเล่ม "คังทีก"

    Do you feel love? 

    ดูรายละเอียดได้ที่นี่ >> http://writer.dek-d.com/kobamura/writer/viewlongc.php?id=479490&chapter=5



    ขอบคุณค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×