ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Good Morning My Love # 4 [KangTeuk]
--FOUR--
แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องผ่านกระจกใสเข้ามาในห้องทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ คนกำลังหลับสบายเลยเชียว! คังอินขยับพลิกตัวหันหลังให้แสงแดดเจ้าปัญหา แต่ก็ไม่วายเจอปัญหาใหม่ ทำไมวันนี้หมอนหนุนถึงได้แปลกไปจากทุกครั้งนะ?
“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนเจ้าหมีขี้เซา วันนี้พวกเรามีซ้อมตอนสามโมงเช้านะ” เสียงหวานคุ้นหูเอ่ยขึ้นเหมือนจะดุแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเอ็นดู
“หือ?” คนขี้เซาที่ว่าปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลุกพรวดขึ้นเมื่อเห็นแจ้งแล้วว่าหมอนหนุนที่ว่าที่แท้ก็ตักของอีทึก แต่เนื่องด้วยเจ้าตัวคงจะลืมไปว่าไอ้ที่นอนอยู่นั่นหน่ะเป็นโซฟาและพื้นที่ก็ไม่ใช่ว่ามีมากมาย การที่ขยับลุกขึ้นด้วยความเร็วสูงและไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้คังอินหงายหลังลงไปหัวเกือบฟาดพื้น แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือมือเจ้ากรรมดันคว้าร่างบางร่วงลงมาด้วยกัน จึงทำให้ตอนนี้อีทึกทับอยู่ตัวคังอินอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เกือบไปแล้ว พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะรีบถามคนที่ถูกลากตกลงมาด้วยอย่างเป็นห่วง
“ไม่ ไม่เป็นอะไร” ร่างบางซุกหน้าเข้ากับอกกว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขืนตัวออกมา เมื่อรู้สึกว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ ร่างสูงลอบถอนใจอย่างเสียดาย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่ให้ผมนอนหนุนตักทั้งคืนเลยหรอ?”
“ก็ใช่หน่ะสิ ตอนนี้ขาฉันหมดความรู้สึกไปแล้วมั้งเนี่ย” คนใจดีพยายามขยับขาข้างที่เหน็บกินจนชาไปมา
“แล้วทำไมไม่ปลุกผมล่ะ” ร่างสูงพูดพลางช่วยนวดต้นขาให้ด้วยความเป็นห่วง
“ก็เมื่อคืนอ้อนอย่างกับลูกแมวซะขนาดนั้น ถ้าปลุกขึ้นมาแล้วนายโกรธจะทำยังไงล่ะ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย” คนสวยยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมากมาย
“พี่นี่บ้าจริงเลย! ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง หายชาหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะ” อีทึกยิ้มกว้างตามประสา ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเดินกะย่องกะแย่งไปเข้าครัว
“นั่นพี่จะไปไหน” เห็นแบบนั้นก็อดที่จะเดินตามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เตรียมมื้อเช้า นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“พี่โอเคนะ”
“แหม~ แค่ขาชาไม่ถึงกับตายหรอก” อีทึกหัวเราะให้กับท่าทางห่วงจนเกินเหตุของรุ่นน้อง ขนมปังปิ้งทาแยมกับกาแฟถูกนำมาเป็นมื้อเช้าในช่วงเวลาเร่งด่วน มีซ้อมสามโมงเช้าแต่กลับตื่นกันสองโมงมันก็คงจะต้องกินแบบนี้แหละ
“นายกินไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน” เจ้าของห้องจัดโต๊ะให้เสร็จก็แวบหายเข้าห้องไป คังอินเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารหยิบขนมปังเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ซักพักหัวหน้าวงคนเก่งก็เดินออกมาร่วมโต๊ะด้วย
“ทำไมมองพี่แบบนั้นล่ะ” ร่างบางเอียงคอมองเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป เขาผิดปกติตรงไหนหรอ?
“ป...เปล่า แค่ไม่เคยเห็นพี่ใส่เสื้อตัวนี้เท่านั้นเอง”
“นาย...รู้ได้ไง?”
“รู้ก็แล้วกัน”
“ฉลาดเกินไปแล้วนะเนี่ย เอ้า! รีบๆกินเข้า จะได้ไปทำงาน” อีทึกจิบกาแฟอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถเตรียมออกจากบ้าน
“ไปเลยหรอ?” คังอินถามขึ้นเมื่อเห็นจานขนมปังกับถ้วยกาแฟยังวางอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวกลับมาค่อยล้าง ตอนนี้รีบไปก่อนเถอะอีก 15 นาทีเอง” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองนาฬิกาอย่างร้อนรน คังอินจึงส่ายหน้าช้าๆ อีทึกยังคงแคร์เขาคนนั้นไม่เปลี่ยน
“อืม...ไปสิ ผมก็ขี้เกียจโดนเทศน์ตอนเช้าเหมือนกัน”
“นั่นแหละ...ตรงกับที่พี่คิดไว้เลย” อีทึกหัวเราะคิกแล้วเดินนำไป ร่างสูงมองตามแผ่นหลังนั้นแล้วถอนใจเบาๆ
“พี่ยังลืมเขาไม่ได้จริงๆด้วย ผมต้องให้ทำยังไงนะพี่ถึงจะลืมเขาได้”
เสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาที่ห้องซ้อมอย่างเร่งรีบ ก่อนประตูจะเปิดผางออกด้วยความเร็วสูง ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีสดใสเข้ากับกางเกงยีนส์ฟอกสีซีด รีบก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับมองนาฬิกาฝาผนังเพื่อเช็คสถิติ
“เก้าโมงตรงเป๊ะ ยังไม่สายใช่ไหม?” ฮยอกแจหันไปถามเพื่อนร่วมวงที่รวมตัวกันอยู่ในห้องอย่างหอบๆ ความจริงก็มาด้วยกันแหละ แต่หิวจนทนไม่ไหวเลยแวบไปหาอะไรรองท้องมาก่อน รู้ตัวอีกทีก็เกือบสายแล้ว
“นายไม่สาย เพราะมีคนมาสายกว่านายอีกสองคน” ชินดงตอบแทนชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจนแทบจะเปลี่ยนข้างกันอยู่แล้ว
“ใครอ่ะ?” ไม่ต้องหาคำตอบให้ยุ่งยาก เมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงวิ่งเข้ามาในห้องในสภาพไม่แตกต่างกัน
“สายไปสามนาทีแหนะ” ร่างสูงหันไปบอกคนที่ยืนหอบอยู่ข้างๆ มือของทั้งสองกุมกันเอาไว้แน่นเพราะคังอินเป็นคนวิ่งลากอีทึกมาเพื่อให้ทันเวลาซ้อม
“ก็เพราะใครล่ะ?”
“อ้าว! แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผมล่ะ”
“ก็เห็นหลับสบายอยู่นี่ ใครอยากจะขัดจังหวะคนนอนหลับสบายบ้างล่ะ”
“มาครบแล้ว เริ่มซ้อมเลยแล้วกัน” ซึงฮวานพูดแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งที่มุมเครื่องเสียงเพื่อดูการซ้อมของสมาชิก แผ่นกระดาษที่ถืออยู่แทบจะยับคามือ ทั้งที่ทำใจแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้
“เป็นอะไรของเขาวะ?” คังอินมองอาการเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ พวกเขามาสายแค่สามนาทีเองนะ
“หรือว่าหึงที่นายกับพี่ทึกมาด้วยกัน?” ชินดงโผล่หน้าเข้ามาแสดงความคิดเห็นทันที
“ไม่หรอก...สำหรับเขา พี่คงไม่มีตัวตนอยู่ในใจเขาอีกแล้วล่ะ” ร่างบางก้มหน้านิ่ง นั่นสินะ สำหรับพี่ซึงฮวานเขาคงหมดความหมายไปตั้งนานแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางหึงเขาหรอก คงมีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นมามากกว่า ถึงได้ดูอารมณ์เสียแบบนั้น น่าอิจฉาเธอคนนั้นจริงๆ
“พี่ทึก...ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้พี่คิดมากนะ” ชินดงหน้าเจื่อนไปทันที ชายหนุ่มรีบขอโทษขอโพยรุ่นพี่ของเขาอย่างสำนึกผิด ยิ่งเห็นสายตาคาดโทษจากคังอินยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่ เมื่อไหร่จะคิดก่อนพูดซักทีวะเนี่ย!!
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก เริ่มซ้อมเถอะเดี๋ยวเขาจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้” หัวหน้าวงคนสวยรีบเดินไปประจำตำแหน่งที่กลางห้อง ถ้าขืนพูดกันมากกว่านี้เขาอาจจะแสดงความอ่อนแอออกมาอีกก็ได้
“ฉันหมดหวังแล้วใช่ไหม” ร่างสูงพูดขึ้นลอยๆ ชินดงหันมามองก่อนจะตบไหล่หนาเป็นเชิงปลอบ
“บ้าหน่า! แค่นี้นายก็คิดถอยแล้วหรอ? ฉันล่ะผิดหวังในตัวนายจริงๆ”
“นายก็เห็น”
“ฟังฉันนะคังอิน พี่ทึกกำลังหลงทาง นายต้องช่วยพาพี่เขาออกมา ด้วยความรักของนาย”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะอ้วกไปแล้ว แต่ตอนนี้...ไอ้ที่นายพูดมันช่วยทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย” ชายหนุ่มยิ้มบางๆแต่ก็ฉายแววกวนอยู่ไม่น้อย
“ทำไมคำชมมันทะแม่งๆวะ? เอาเถอะ ทุกคนยืนรอนานแล้ว ประจำที่กันซักที เดี๋ยวจะโดนสวด”
[ R R R ]
ร่างบางรีบเบาเสียงโทรทัศน์ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บ้านมารับ
“ครับ อีทึกครับ”
[ไง...ไอ้ตัวดี แกสร้างวีรกรรมบรรเจิดอะไรวะเนี่ย!!]
“พี่ยองจุน? พี่โกรธใครมาครับเนี่ย แล้วใครสร้างวีรกรรมให้พี่?” คนจับต้นชนปลายไม่ถูกนั่งมึนตึ๊บ ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของพี่นะครับ
[นี่แสดงว่าไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าแกทำอะไรไว้]
“ถ้ารู้แล้วผมจะถามให้หงุดหงิดกันไปทำไมครับ”
[แกปล่อยให้ซึงฮวานมันมาเมาแอ๋อยู่บ้านฉันได้ไงวะ รีบมารับมันไปเดี๋ยวนี้เลย]
“นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของผมแล้ว พี่ก็โทรไปบอกภรรยาเขาสิมาโทรบอกผมทำไม พี่ก็รู้ว่าผมกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว หรือว่าพี่ลืม?”
[ไม่ได้ลืมเว้ย...แต่ฉันไม่คิดจะโทรไปบอกผู้หญิงคนนั้นหรอก]
“เพราะอะไรครับ?”
[ฉันไม่อยากทำร้ายเขาว่ะ...ไอ้ซึงฮวานเล่นเพ้อเรียกแต่...อีทึกพี่ขอโทษ อีทึกพี่รักนาย...ถ้าแกเป็นเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ]
“ก็แค่คนเมา พี่จะไปถือสาอะไร” ปากก็พูดไปอย่างนั้นแต่ใจหน่ะเต้นโลดแค่ไหนทำไมจะไม่รู้ นี่แสดงว่าพี่ซึงฮวานยังรักเขาอยู่?
[แกมาบ้านฉันหน่อยได้ไหม?]
“ทำไมผมต้องไป”
[ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย บางทีฉันก็อยากจะทำอะไรซักอย่างเพื่อพวกแก]
“ ขอเวลาซักครู่แล้วกันนะครับ” อีทึกเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลง เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปความเงียบก็เข้าครอบคลุมไปทั่วห้อง เขากำลังพบกับความสับสนครั้งใหญ่
ตกลงพี่ซึงฮวานคิดกับเขายังไงกันแน่?
TBC.
แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องผ่านกระจกใสเข้ามาในห้องทำให้ชายหนุ่มย่นคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ คนกำลังหลับสบายเลยเชียว! คังอินขยับพลิกตัวหันหลังให้แสงแดดเจ้าปัญหา แต่ก็ไม่วายเจอปัญหาใหม่ ทำไมวันนี้หมอนหนุนถึงได้แปลกไปจากทุกครั้งนะ?
“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนเจ้าหมีขี้เซา วันนี้พวกเรามีซ้อมตอนสามโมงเช้านะ” เสียงหวานคุ้นหูเอ่ยขึ้นเหมือนจะดุแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความเอ็นดู
“หือ?” คนขี้เซาที่ว่าปรือขึ้นเล็กน้อยก่อนจะลุกพรวดขึ้นเมื่อเห็นแจ้งแล้วว่าหมอนหนุนที่ว่าที่แท้ก็ตักของอีทึก แต่เนื่องด้วยเจ้าตัวคงจะลืมไปว่าไอ้ที่นอนอยู่นั่นหน่ะเป็นโซฟาและพื้นที่ก็ไม่ใช่ว่ามีมากมาย การที่ขยับลุกขึ้นด้วยความเร็วสูงและไม่ทันตั้งตัวนั้นทำให้คังอินหงายหลังลงไปหัวเกือบฟาดพื้น แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือมือเจ้ากรรมดันคว้าร่างบางร่วงลงมาด้วยกัน จึงทำให้ตอนนี้อีทึกทับอยู่ตัวคังอินอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เกือบไปแล้ว พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” ถอนใจอย่างโล่งอกก่อนจะรีบถามคนที่ถูกลากตกลงมาด้วยอย่างเป็นห่วง
“ไม่ ไม่เป็นอะไร” ร่างบางซุกหน้าเข้ากับอกกว้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขืนตัวออกมา เมื่อรู้สึกว่ามันไม่เหมาะเท่าไหร่ ร่างสูงลอบถอนใจอย่างเสียดาย ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่ให้ผมนอนหนุนตักทั้งคืนเลยหรอ?”
“ก็ใช่หน่ะสิ ตอนนี้ขาฉันหมดความรู้สึกไปแล้วมั้งเนี่ย” คนใจดีพยายามขยับขาข้างที่เหน็บกินจนชาไปมา
“แล้วทำไมไม่ปลุกผมล่ะ” ร่างสูงพูดพลางช่วยนวดต้นขาให้ด้วยความเป็นห่วง
“ก็เมื่อคืนอ้อนอย่างกับลูกแมวซะขนาดนั้น ถ้าปลุกขึ้นมาแล้วนายโกรธจะทำยังไงล่ะ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย” คนสวยยักไหล่อย่างไม่คิดอะไรมากมาย
“พี่นี่บ้าจริงเลย! ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง หายชาหรือยัง?”
“ดีขึ้นแล้วล่ะ ขอบใจนะ” อีทึกยิ้มกว้างตามประสา ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเดินกะย่องกะแย่งไปเข้าครัว
“นั่นพี่จะไปไหน” เห็นแบบนั้นก็อดที่จะเดินตามด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“เตรียมมื้อเช้า นายไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“พี่โอเคนะ”
“แหม~ แค่ขาชาไม่ถึงกับตายหรอก” อีทึกหัวเราะให้กับท่าทางห่วงจนเกินเหตุของรุ่นน้อง ขนมปังปิ้งทาแยมกับกาแฟถูกนำมาเป็นมื้อเช้าในช่วงเวลาเร่งด่วน มีซ้อมสามโมงเช้าแต่กลับตื่นกันสองโมงมันก็คงจะต้องกินแบบนี้แหละ
“นายกินไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปอาบน้ำก่อน” เจ้าของห้องจัดโต๊ะให้เสร็จก็แวบหายเข้าห้องไป คังอินเดินมานั่งที่โต๊ะอาหารหยิบขนมปังเข้าปากเคี้ยวตุ้ย ซักพักหัวหน้าวงคนเก่งก็เดินออกมาร่วมโต๊ะด้วย
“ทำไมมองพี่แบบนั้นล่ะ” ร่างบางเอียงคอมองเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไป เขาผิดปกติตรงไหนหรอ?
“ป...เปล่า แค่ไม่เคยเห็นพี่ใส่เสื้อตัวนี้เท่านั้นเอง”
“นาย...รู้ได้ไง?”
“รู้ก็แล้วกัน”
“ฉลาดเกินไปแล้วนะเนี่ย เอ้า! รีบๆกินเข้า จะได้ไปทำงาน” อีทึกจิบกาแฟอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหยิบกุญแจรถเตรียมออกจากบ้าน
“ไปเลยหรอ?” คังอินถามขึ้นเมื่อเห็นจานขนมปังกับถ้วยกาแฟยังวางอยู่บนโต๊ะ
“เดี๋ยวกลับมาค่อยล้าง ตอนนี้รีบไปก่อนเถอะอีก 15 นาทีเอง” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองนาฬิกาอย่างร้อนรน คังอินจึงส่ายหน้าช้าๆ อีทึกยังคงแคร์เขาคนนั้นไม่เปลี่ยน
“อืม...ไปสิ ผมก็ขี้เกียจโดนเทศน์ตอนเช้าเหมือนกัน”
“นั่นแหละ...ตรงกับที่พี่คิดไว้เลย” อีทึกหัวเราะคิกแล้วเดินนำไป ร่างสูงมองตามแผ่นหลังนั้นแล้วถอนใจเบาๆ
“พี่ยังลืมเขาไม่ได้จริงๆด้วย ผมต้องให้ทำยังไงนะพี่ถึงจะลืมเขาได้”
เสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาที่ห้องซ้อมอย่างเร่งรีบ ก่อนประตูจะเปิดผางออกด้วยความเร็วสูง ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดสีสดใสเข้ากับกางเกงยีนส์ฟอกสีซีด รีบก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับมองนาฬิกาฝาผนังเพื่อเช็คสถิติ
“เก้าโมงตรงเป๊ะ ยังไม่สายใช่ไหม?” ฮยอกแจหันไปถามเพื่อนร่วมวงที่รวมตัวกันอยู่ในห้องอย่างหอบๆ ความจริงก็มาด้วยกันแหละ แต่หิวจนทนไม่ไหวเลยแวบไปหาอะไรรองท้องมาก่อน รู้ตัวอีกทีก็เกือบสายแล้ว
“นายไม่สาย เพราะมีคนมาสายกว่านายอีกสองคน” ชินดงตอบแทนชายหนุ่มที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดจนแทบจะเปลี่ยนข้างกันอยู่แล้ว
“ใครอ่ะ?” ไม่ต้องหาคำตอบให้ยุ่งยาก เมื่อคนที่ถูกกล่าวถึงวิ่งเข้ามาในห้องในสภาพไม่แตกต่างกัน
“สายไปสามนาทีแหนะ” ร่างสูงหันไปบอกคนที่ยืนหอบอยู่ข้างๆ มือของทั้งสองกุมกันเอาไว้แน่นเพราะคังอินเป็นคนวิ่งลากอีทึกมาเพื่อให้ทันเวลาซ้อม
“ก็เพราะใครล่ะ?”
“อ้าว! แล้วทำไมพี่ไม่ปลุกผมล่ะ”
“ก็เห็นหลับสบายอยู่นี่ ใครอยากจะขัดจังหวะคนนอนหลับสบายบ้างล่ะ”
“มาครบแล้ว เริ่มซ้อมเลยแล้วกัน” ซึงฮวานพูดแค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นไปนั่งที่มุมเครื่องเสียงเพื่อดูการซ้อมของสมาชิก แผ่นกระดาษที่ถืออยู่แทบจะยับคามือ ทั้งที่ทำใจแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้
“เป็นอะไรของเขาวะ?” คังอินมองอาการเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ พวกเขามาสายแค่สามนาทีเองนะ
“หรือว่าหึงที่นายกับพี่ทึกมาด้วยกัน?” ชินดงโผล่หน้าเข้ามาแสดงความคิดเห็นทันที
“ไม่หรอก...สำหรับเขา พี่คงไม่มีตัวตนอยู่ในใจเขาอีกแล้วล่ะ” ร่างบางก้มหน้านิ่ง นั่นสินะ สำหรับพี่ซึงฮวานเขาคงหมดความหมายไปตั้งนานแล้ว ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางหึงเขาหรอก คงมีเรื่องกับผู้หญิงคนนั้นมามากกว่า ถึงได้ดูอารมณ์เสียแบบนั้น น่าอิจฉาเธอคนนั้นจริงๆ
“พี่ทึก...ผมไม่ได้ตั้งใจพูดให้พี่คิดมากนะ” ชินดงหน้าเจื่อนไปทันที ชายหนุ่มรีบขอโทษขอโพยรุ่นพี่ของเขาอย่างสำนึกผิด ยิ่งเห็นสายตาคาดโทษจากคังอินยิ่งรู้สึกผิดไปกันใหญ่ เมื่อไหร่จะคิดก่อนพูดซักทีวะเนี่ย!!
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก เริ่มซ้อมเถอะเดี๋ยวเขาจะอารมณ์เสียไปมากกว่านี้” หัวหน้าวงคนสวยรีบเดินไปประจำตำแหน่งที่กลางห้อง ถ้าขืนพูดกันมากกว่านี้เขาอาจจะแสดงความอ่อนแอออกมาอีกก็ได้
“ฉันหมดหวังแล้วใช่ไหม” ร่างสูงพูดขึ้นลอยๆ ชินดงหันมามองก่อนจะตบไหล่หนาเป็นเชิงปลอบ
“บ้าหน่า! แค่นี้นายก็คิดถอยแล้วหรอ? ฉันล่ะผิดหวังในตัวนายจริงๆ”
“นายก็เห็น”
“ฟังฉันนะคังอิน พี่ทึกกำลังหลงทาง นายต้องช่วยพาพี่เขาออกมา ด้วยความรักของนาย”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงจะอ้วกไปแล้ว แต่ตอนนี้...ไอ้ที่นายพูดมันช่วยทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นเยอะเลย” ชายหนุ่มยิ้มบางๆแต่ก็ฉายแววกวนอยู่ไม่น้อย
“ทำไมคำชมมันทะแม่งๆวะ? เอาเถอะ ทุกคนยืนรอนานแล้ว ประจำที่กันซักที เดี๋ยวจะโดนสวด”
[ R R R ]
ร่างบางรีบเบาเสียงโทรทัศน์ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์บ้านมารับ
“ครับ อีทึกครับ”
[ไง...ไอ้ตัวดี แกสร้างวีรกรรมบรรเจิดอะไรวะเนี่ย!!]
“พี่ยองจุน? พี่โกรธใครมาครับเนี่ย แล้วใครสร้างวีรกรรมให้พี่?” คนจับต้นชนปลายไม่ถูกนั่งมึนตึ๊บ ผมไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของพี่นะครับ
[นี่แสดงว่าไม่รู้ตัวใช่ไหมว่าแกทำอะไรไว้]
“ถ้ารู้แล้วผมจะถามให้หงุดหงิดกันไปทำไมครับ”
[แกปล่อยให้ซึงฮวานมันมาเมาแอ๋อยู่บ้านฉันได้ไงวะ รีบมารับมันไปเดี๋ยวนี้เลย]
“นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของผมแล้ว พี่ก็โทรไปบอกภรรยาเขาสิมาโทรบอกผมทำไม พี่ก็รู้ว่าผมกับเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว หรือว่าพี่ลืม?”
[ไม่ได้ลืมเว้ย...แต่ฉันไม่คิดจะโทรไปบอกผู้หญิงคนนั้นหรอก]
“เพราะอะไรครับ?”
[ฉันไม่อยากทำร้ายเขาว่ะ...ไอ้ซึงฮวานเล่นเพ้อเรียกแต่...อีทึกพี่ขอโทษ อีทึกพี่รักนาย...ถ้าแกเป็นเขาจะรู้สึกยังไงล่ะ]
“ก็แค่คนเมา พี่จะไปถือสาอะไร” ปากก็พูดไปอย่างนั้นแต่ใจหน่ะเต้นโลดแค่ไหนทำไมจะไม่รู้ นี่แสดงว่าพี่ซึงฮวานยังรักเขาอยู่?
[แกมาบ้านฉันหน่อยได้ไหม?]
“ทำไมผมต้องไป”
[ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย บางทีฉันก็อยากจะทำอะไรซักอย่างเพื่อพวกแก]
“ ขอเวลาซักครู่แล้วกันนะครับ” อีทึกเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะตอบตกลง เมื่ออีกฝ่ายวางสายไปความเงียบก็เข้าครอบคลุมไปทั่วห้อง เขากำลังพบกับความสับสนครั้งใหญ่
ตกลงพี่ซึงฮวานคิดกับเขายังไงกันแน่?
TBC.
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น