ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ผีครับมีเรื้อยๆ

    ลำดับตอนที่ #24 : (นอกเรื่องนะครับ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 100
      0
      21 พ.ค. 50

    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ จอมชำแหละพิสดาร

    เขาคือฆาตกรที่คนรู้จักกันทั่วโลก เขาคือฆาตกรที่มีแฟนคลับมากที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่คดีที่เขาก่อเทียบไม่ได้กับความโหดในยุคปัจจุบัน แต่จุดเด่นคือความลึกลับ ปริศนาที่พยานหลายคนให้การต่าง ๆ ไม่เหมือนกันเลยสักคน เขาคือใครกันแน่ ทำแบบนี้เพื่ออะไร และทำไมเขาถึงหายไปหลังจากจัดการเหยื่อรายสุดท้าย ?


    รู้จักสถานที่เกิดเหตุคดีในตำนานดีกว่า
    ย้อนไปใน ลอนดอน เมื่อ ค.ศ. 1888 เป็นช่วงเวลาของ เจ้าหญิงวิคตอเรีย เป็นยุคที่ถือว่า เจริญรุ่งเรือง มาใน ลอนดอน ยุคนั้น แต่อีกด้านนึงคือ ตรอกไวท์แช็พเพล สถานที่นี้อยู่ในเขตอีสต์เอ็นต์ของลอนดอน บริเวณดังกล่าวขึ้นชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่ยากจนที่สุดของลอนดอนและเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่อัปยศหดหู่ที่สุดในประเทศ จนได้รับฉายาว่าเป็นแผลเน่าบนความยิ่งใหญ่ของลอนดอนเมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก
    ประชากรที่นี้อาศัยอยู่ราว 90,000 คน คนส่วนใหญ่ในย่านนี้ว่างงานและยากจน ต้องหาเช้ากินค่ำมีชีวิตไปวัน ๆ อาชีพที่นิยมในย่ามนี้คือขายบริการโดยเฉพาะผู้หญิง รวมทั้งหัวขโมย นักย่องเบา คนจรจัดที่ไร้ที่อยู่อาศัย
    ในปี 1888 ที่เกิดคดีสังหารต่อเนื่องขึ้น ทั่วกรุงลอนดอนมีโสเภณี 1200 คน อยู่ในเขตอี๊สต์ มีถึง 237 โสเภณีมักถูกคุกคามจากพวกแก๊งจารชน ฆาตกรที่หวังทรัพย์สินของผู้ตาย หากพวกเธอขัดขืนก็ถูกฆ่าตาย ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งมาก แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจกับเหตุการณ์นี้มากนัก เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยในย่านนี้
    จนกระทั้งมันเกิดคดีนี้ขึ้น และมันทำให้ไว้ท์แซ็พเพลเป็นที่รู้จักกันไปทั่วโลกขึ้นมาทันใด

    เหยื่อรายที่ 1 จุดเริ่มต้น
    แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ เกิดเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 1845 เธอแต่งงาน กับ วิลเลี่ยม นิคอลส์ ในปี 1864 มีลูกด้วยกัน 5 คน เขาและแมรี่ แยกทางกัน แมรี่ จึงไปเป็น โสเภณี เพื่อเลี้ยงดูชีพ ในระหว่างปี 1883-87 เธอไปอยู่กับพ่อของเธอ............ จนกระทั้ง วันที่ 31สิงหาคมค.ศ.1888

    ชารล์ส คร้อสส์ พนักงานขับรถ กำลังเดินผ่านบริเวณคอกแพะตอนตี 4 ของวันที่ ตอนนั้นยังไม่สว่างเท่าไหร่นัก และอากาศยังชื้นอยู่ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปกติของกรุงลอนดอน ตอนที่ชารล์สกำลังจะเดินเข้าบ้านนั้น ก็ได้เห็นบางสิ่งนอนอยู่บนพื้นดินบริเวณหน้าบ้าน ซึ่งดูคล้ายกับผ้าใบหรืออะไรสักอย่าง จึงได้เดินเข้าไปดู จึงได้เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ และเห็นชายอีกคนกำลังเดินมาทางนี้ ชารล์สจึงเรียกชายคนนั้น(ภายหลังก็รู้ว่า โรเบิร์จ พอล พนักงานขับรถเหมือนกัน) คือเพื่อที่จะให้มาช่วยกันเพราะนึกว่าผู้หญิงที่นอนอยู่กำลังเมาหรืออาจจะโดนทำร้าย ทั้งสองจึงพยายามที่จะช่วยเธอในบริเวณนั้นที่ยังมืดอยู่ แต่พอทั้งคู่เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีบาดแผลที่บริเวณลำคอที่เกือบทำให้ศีรษะขาด จึงตกใจมากและรีบไปแจ้งตำรวจ และไม่กี่นาทีต่อมาก็พาตำรวจมายังบริเวณที่เกิดเหตุ นายตำรวจ จอห์น นีล ก็ได้เห็นถึงสภาพอันน่ากลัวของเธอ มีรอยเลือดไหลออกมาจากลำคอที่เกือบขาดและหู ดวงตาของเธอเบิกกว้าง มือและเท้าเริ่มเย็น เมื่อเห็นว่าไม่ได้การแน่แล้ว นีล จึงเรียกตำรวจและหมอกับรถพยาบาลมายังที่เกิดเหตุ จากนั้นจึงเดินไปยังบ้านละแวกใกล้เคียงเพื่อสอบถามถึงสิ่งหรือเสียงที่ผิดปกติหรือน่าสงสัยแต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร

    ต่อมา นายแพทย์รัส์ ร้าล์ฟ ลิเวนลีน ก็มาถึงและลงมือชันสูตร และชี้ถึงสาเหตุการตายว่าคือบาดแผลฉกรรจ์ที่ลำคอจนทำให้เธอถึงแก่ความตาย แต่ทว่ายังมีบางส่วนต่างของร่างกายของเธอยังอุ่นอยู่ และตายไม่เกินกว่า 1 - 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่นายชารล์ส เดินมาพบเธอก็ได้ ซึ่งตรงนั้นน่าจะเป็นบริเวณที่เธอถูกฆาตกรรม ซึ่งมีเลือดเปรอะพื้นอยู่ และเสื้อผ้าของเธอก็ชุ่มไปด้วยเลือด บนคอของเธอมีรอยกรีดด้วยของมีคมถึง 2 ครั้งด้วยกัน เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดและเยื่อบุช่องท้องได้รับบาดเจ็บ

    จากผลการชันสูตรได้พบรอยถลอกบนขากรรไกรเหลืออยู่บาดแผลที่ช่องท้องที่แสดงรอยมีดที่ขรุขระและลึก ซึ่งคาดว่าผู้ที่ลงมือน่าจะถนัดซ้ายเพราะจากบาดแผลเหล่านี้และความยาวใบมีด เห็นได้ชัดว่าฆาตกรน่าจะมีความรู้ด้านกายวิภาคไม่น้อย
    ภายหลังหมอชันสูตรศพเสร็จแล้ว ตำรวจได้พา วิลเลี่ยม นิคอลส์กับลูกชายคนที่ 3 มาตรวจศพ เมื่อวิลเลี่ยมเห็นสภาพศพที่ถูกทำลายยับเยินถึงกับเอ่ยว่า
    "เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้ว ฉันยกโทษในสิ่งที่เธอทำมาในอดีตทั้งหมดเลย"
    ศพของแมรี่ แอนน์ นิคอลส์ถูกฝังในสุสารวิลฝอร์ดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1888
    ขณะตำรวจกำลังมืดแปดด้าน ก็มีชายผู้หนึ่งให้ความช่วยเหลือ บอกว่า สงสัยว่าจะเป็นชายอันธพาลคนหนึ่งที่มีฉายา "ผ้ากันเปื้อนหนัง" ชอบรีดไถโสเภณี และขู่ว่าจะฆ่า หลายต่อหลายครั้ง ตำรวจทราบจึงจะเข้าจับคุม แต่คนร้ายไหวตัวทันหนีไปหลบ ในบ้านญาติ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับตัวได้
    และหลังจากนั้น 8 วัน หลังเหตุการณ์ แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ก็เกิดคดีแบบนี้ขึ้นอีกและตำรวจก็พบหลักฐานชิ้นเดียวของคดีฆาตกรรมต่อเนื่องนี้
    "เศษผ้ากันเปื้อน"

    เหยื่อรายที่ 2

    แอนนี่ แช๊ปแมน เธออาศัยอยู่กับ สามี ของเธอ จอห์น แช๊ปแมน เธอมีลูกด้วยกัน 3 คน ลูกคนแรกเธอ เอมิลี่ เสียชีวิต จากโรคเหยื่อสมองอักเสบ เมื่ออายุ 12 ปี ลูกชายของเขา จอห์น พิการและถูกส่งไปยังสถานรับเลี้ยงคนพิการ ลูกคนที่สามของเธอ จอร์จิน่า ถูกส่งไปยังสถาบันที่ฝรั่งเศษ แอนนี่ เป็นหญิงที่ฝันเฟื่อง เมื่อลูกสาวเสียชิวิต เธอจึงออกจากครอบครัว มาอาศัยอยู่กับช่างทำตะแกรงเหล็ก แต่ไม่นาน เมื่อ ช่างทำตะแกรงเหล็กรู้ว่าเธอ ดื่มหนักมาก ทั้งสองจึงหย่าร้างกัน ปีที่เกิดเหตุแอนนี่ อายุได้ 47 ปี สูง 5 ฟุต สุขภาพของเธอไม่ค่อยดีนักเป็นโรคปอด และ เนื้อเหยื่อสมองอักเสบ เธอมีชิวิตอยู๋ได้ไม่นาน แต่ก็ไม่ได้จบชีวิตเพราะโรคร้าย โดย ฝีมือ ของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ วันที่ 7 กันยายน 1888 05.20-05.30 น. ช่างไม้ที่อาศัยอยู่บริเวณ ถนน ฮันเบอรี่ ได้ยินเสียงคนคุยกันบริเวณ ลานหน้าบ้าน เป็นเสียงของคนถกเถียงกัน แล้วก็มีเสียง คน หรือ อะไรบางอย่าง กระแทกเข้ากับไม้อย่างแรง แต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจอะไร เพราะนึกว่าเป็นแค่เสียงคนทะเลาะกัน ต่อมา 05.45 น. - 06.00 จากนั้น จอห์น เดวิส พนักงานขับรถ บนถนนฮันเบอรี่ ซึ่งพักอยู่ในบ้านเลขที่ 29 ถนนฮันเบอรี่ ลงมาที่ชั้นล่าง และเข้าไปในลานบ้าน ได้พบกับร่างของ แอนนี่ แช็ปแมน เธอนอนขนาบกับ แนวรั้วบ้าน ศีรษะห่างจากบันได 6 นิ้ว แขนซ้ายวางพาดหน้าอกซ้าย หน้าเจ็มไปด้วยเลือด และ ลำคอ ถูกเชือดแผลเหวอะหวะ กระโปงถูกถกขึ้นถึงหัวเข่า พอเห็นดังนั้นจึงตะโกนเรียกคนใด ทุกคนรุมดูสภาพศพที่น่ากลัวนอนจมกองเลือด

    ใน ช่วงเช้า หมอได้ชันสูตรเบื้องต้นเห็นใบหน้าที่บวมเป่ง ลิ้นซึ่งบวมเช่นกัน แลบออกมาระหว่างฟัน แขนขาเริ่มแข็ง ลำคอถูกเชือดแผลลึกประมาณ 2 นิ้ว และตายมาอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เห็นชัดว่าฆาตกรได้จับขากรรไกลล่างเพื่อปาดคอ ช่องท้องเปิดอ้าและลำไส้ถูกควักออกมาวางไว้เหนือไหล่ บางส่วนของเนื้อท้องทั้งสองด้านของอวัยวะเพศ สะดือและมดลูกและสองในสามของกระเพาะปัสสาวะถูกควักออกจากร่างกายและหายไปจากที่เกิดเหตุ เขาคิดว่า น่าจะฆาตกรรมบนลานบ้านเพราะบริเวณอื่นไม่มีรอยเลือด

    ต่อมาได้กระทำการสำรวจบริเวณพบศพ กระเป๋าของแอนนี่ ซึ่งเปิดอ้าอยู่ตกอยู่ใกล้ๆ และยังมีข้าวของอื่นๆ ผ้ามัสลินเนื้อหยาบผืนหนึ่ง หวี ซองจดหมายเก่าๆ ใส่ยาสองเม็ดและที่ซองมี อักษร เอ็ม นอกจากนั้นยังมี แหวนทองเหลืองสองสามวงที่เพื่อนเธอให้ไว้ บรรดาตำรวจ นักสืบ ได้ปรึกษาและวิเคราะห์คดีและได้ลงความเห็นว่า เป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกับคดี ฆ่า แมรี่ แอนน์ นิคอลส์ และได้รีบทำการค้นหาตัวผู้ต้องสงสัยในทันที

    ผู้ต้องสงสัย ในคดี แอนนี่ แช็ปแมน มีหลายรายแต่ รายที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดคือ ไพเซอร์ ฉายา ผ้ากันเปื้อนหนัง เป็นชาวยิวโปลิช และเป็นช่างทำรองเท้า วัย 30 หลังจากตำรวจไล่ล่าอยู่อาทิตย์กว่า ในที่สุดวันที่ 10 กันยายน เขาก็จนมุมในบ้านญาติเลขที่ 22 ถนนมัลเบอรี่ และถูกนำตัวไปสถานนีตำรวจ ตำรวจพบ มีดยาว 5 เล่มในบ้านพักของ ไพเซ่อร์ แต่ ไพเซ่อร์ยังอ้างว่า เป็นมีดที่เขาไว้ทำรองเท้าหนัง อันเป็นอาชีพของเขา หลังจากถูกขัง อยู่ 2 วัน ไพเซ่อร์ ได้ถูกปล่อยตัวจากห้องขัง เนื่องจาก การสอบสวนเขา มีพยานหลักฐานในวันที่ และ เป็นความจริง ในช่วงสองสามวันตำรวจได้จับผู้ต้องหา 7 ราย แต่คนที่ตำรวจหามากที่สุดคือ กุ๊ก เฮนรี่ พิกก๊อทท์ วัย 53 ปี เพราะมีคนพบเขาในวันเกิดเหตุคดีแรกที่ ไวท์แชมเพล แต่ พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ชี้ว่า คนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับคนในคดีแรก พิกกอทท์ จึงถูกปล่อยตัว ต่อมา จากการกดดัน จากหนังสือพิมพ์ กระทรวงมหาดไทยเลย สั่งให้ปิดคดีให้เร็วที่สุด โดยมีเงินรางวัล สำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแส ให้กับทางตำรวจ จากนั้นก็จับผู้ต้องหาอีก 2-3 คนแต่ทั้งหมด มีอาการทางประสาท เกือบทั้งหมด และ ก็มีพยานหลักฐานครบถ้วน

    ยิ่งสอบสวนยิ่งน่าอัศจรรย์ใจที่ว่าฆาตกรสามารถหลบหนีลอยนวลอย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ๆ ที่มือเขาโชกเลือดและถือมีดและหอบอวัยวะภายในเหยื่อไปด้วย
    เอาอวัยวะเหยื่อไปทำไม ?
    ศพของแอนนี่ แช็ปแมน ได้รับการยืนยันจากอามีเลีย ปาล์มเมอร์ และทิโมธี โดนแวนน้องชายของเธอ เธอถูกฝังเงียบ ๆ ในสุสานเนเนอร์พาร์คในวันที่ 14 กันยายน

    แต่ดูเหมือนว่า ในคดี แอนนี่ แช็ปแมน จะยังไม่โหดพอสำหรับให้ชาวลอนดอน เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน ต่อจากนั้น เกิดคดี ฆาตกรรมสยองขวัญมากที่สุดในลอนดอน เป็นการฆาตกรรมแบบ 2 ราย ในคืนเดียว และทั้งสองศพ เวลาการตายห่างกันไม่ถึง ชม.

    เหยื่อรายที่ 3 อลิซาเบ็ธ สไตรค์

    อลิซาเบ็ธ สไตรค์ เธฮเกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษจิกายน 1843 และเธอ ได้ขึ้นทะเบียนเป็น โสเภณี หมายเลข 97 ในวันที่ 29 กันยายน เวลา 18.30 น. อลิซาเบ็ธ แทนเน่อร์ กับ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ได้ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ในเวลา 23.45 น. วิลเลี่ยม มาแชล ซึ่งเป็น กรรมกร เขาเห็น การสนทนาของหญิงชายคู่หนึ่ง แล้วทั้งสองฝ่ายก็จูบกันแล้วฝ่ายชายก็พูดขึ้นว่า "เธอจะพูดอะไรก็ได้ ยกเว้น สวดมนต์" และทั้งสองก็เดินไป สู่ ดั๊ทฟิลด์สย้าร์ด

    30 กันยายน เวลา 01.00 น.
    หลุยส์ ดีมชูทซ์ เป็นชาวยิว รัสเซีย เป็นพนักงานสโมสรการศึกษาวิชาชีพ ของกลุ่มคนนิยมชาวยิวก่อนที่ดีมชูทซ์จะนำม้าไปเก็บในคอกที่จอร์จยาร์ด

    แต่ม้าไม่เต็มใจเข้าไปในลาน มันกลับเลี้ยวไปทางซ้าย ดีมชูทซ์มองไปที่พื้น พบสิ่งแปลกประหลาดอย่างหนึ่งจึงลองเขี่ยดู ด้วยด้ามแส้ จากนั้นก็จุดไม้ขีดขึ้น แล้วส่องดู ปรากฏว่าเป็นร่างของหญิงสาว ดีมชูทซ์ รีบวิ่งเข้าไปในสโมสร เพราะกลัวว่าคนร้ายยังอยู่แถวนั้น และจากนั้นเขา ได้เห็น ฆาตกรวิ่งหนี ไปเมื่อตอนที่เขาวิ่งเข้ามาในสโมสร จากนั้น ดีมชูทซ์ รีบวิ่งขึ้นไปดู ภรรยาชั้นบนทันทีด้วยความเป็นห่วง แต่หล่อนยังอยู๋กับคนอื่นๆ จากนั้น ดีมชูทซ์ เล่าเรื่องให้คนอื่นๆ ฟัง ว่าไม่รู้ว่า ผู้หญิงคนนั้น เมาหลับไป หรือ ตายแล้ว พวกเขาจึงไปดูศพ เห็น ผู้หญิงแขนวางผาดเหนือท้องนิดหน่อย และข้อมือชุ่มไปด้วยเลือด ที่ลำคอถูกกรีด เป็นทางยาว พวกเขาจึงรีบเรียกตำรวจมาดูแพทย์สองนาย ได้มาตรวจดูศพของ อลิซาเบ็ธ สไตรค์ มีรอยแผลที่คอถูกกรีดยาว 6 นิ้ว เริ่มจากด้านซ้ายต่ำกว่า ขากรรไกร 2.5 นิ้ว กรีดตัดหลอดลมขาด สภาพศพเหมือนกับ แอนนี่ แช็ปแมน
    ในช่วงรุ่งเช้า 30 กันยายน 1888 ขณะตำรวจกำลังวุ่นวายกับการชันสูตรและชันสูตรลิซาเบ็ธ สไตรด์ ฆาตกรได้ลงมือจัดการเหยื่อต่อไปอย่างท้าทาย ไม่ถึงชั่วโมง และสนองต่อความปรารถนาค้างคาใจของเขา

    เหยื่อรายที่ 4 คัทรีน เอ๊ดโดว์ส

    คัทรีน เอ๊ดโดว์ส เกิดในเมือง วู๊ล์ฟเวอร์ แฮมตั้น เมื่อวันที่ 14 เมษายน 1842 ขณะที่เสียชีวิต คัทรีน อายุ 47 ปี เธฮสูง 5 ฟุต วันเกิดเหตุ เธอสวมหมวกฟางสีดำ ขลิบกำมะหยี่ เขียวและดำ สวมร้อยลูกปัดสีดำ และคาดผ้ากันเปื้อนสีขาว

    29 กันยายน เวลา 20.30
    ตำรวจผู้หนึ่ง พบ คัทรีน เดินอยู่บนถนน และทำเสียง เลียนสัญญาณดับเพลิง และเดินเซไปเซมา ตำรวจถามชื่อของเธอ เธอตอบว่า ไม่มี ตำรวจจึง นำตัวเธอไปขังในห้องขังเพื่อ สงบสติอารมณ์ วันที่ 30 กันยายน 00.50 คัทรีน ถูกปล่อยตัว ตำรวจถามชื่อเธฮอีกครั้งเธอตอบว่า แมรี่ แอนน์ แคลลี่ 01.00 (เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พบศพอลิซาเบ็ธ สไตร์ค บนถนนเบอร์เน่อ) ก่อนออกจากโรงพัก ตำรวจวานให้เธฮปิดประตูหน้าให้ด้วย เธอจึงตอบว่า
    "ได้จ้ะ พ่อไก่แก่"

    นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ได้ยินจากปากของ คัทรีน เธอยังคงพาดผ้ากันเปื้อน เดินตรงไปยัง จตุรัสมิตร 01.45 น. (45 นาทีหลังจากพบศพของ อลิซาเบ็ธ สไตร์ค) พลตำรวจ เอ๊ดเวิร์ด วัทกิ้นส์ ได้เดินเข้าไปตรวจ ในจตุรัสมิตร เป็นพื้นที่ 4 เหลี่ยม ที่สามารถ เข้า-ออก ได้ 3 ทาง เขาพบกับ ศพของหญิงสาวนอนจมกองเลือด อยู่ทางใต้ของจตุรัสมิตร วัทกิ้นส์ ถูกเชือดคอ และ ถกกระโปรงขึ้นมาเหนือสะเอว ท้องถูกกรีด ลำไส้ทะลัก วัทกิ้นส์ได้กล่าวว่า "ผมเป็นตำรวจมานาน แต่ไม่เคยเห็นภาพน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน รอยแผลถูกปาดอ้าขึ้นมาเหมือนหมูในตลาด"

    และในบริเวณใกล้เคียงมีการเขียนข้อความด้วยชอล์กในกำแพงตึกว่า "The Juwes are the men that will not be blamed for nothing" แปลเป็นไทยว่า ชาวยิวไม่มีความผิด พวกเขาไม่สมควรถูกตำหนิ

    ภายหลังหลายฝ่ายได้ให้ความเห็นว่าข้อความนี้คนเขียนอาจไม่ใช้ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์แต่มันมีอยู่ก่อนแล้ว

    การไต่สวนหาสาเหตุการตายในวันที่ 4 ตุลาคม 1888 แพทย์ทั้งหมดที่ทำการชันสูตรได้พูดตรงกันหมดเรื่อง ฆาตกร มีความสามารถทางกายภาพหรือเป็นหมอผ่าตัด เพราะบริเวณที่ทำการเชือดนั้น ทำให้เครื่องในร่างกายไม่เสียหาย เพียงแต่นำมันออกมาจากร่างกาย ตำรวจจึงชี้ประเด็นไปที่ นำอวัยวะไปขายให้กับ โรงพยาบาล แต่จากการสืบสวน ไม่มีโรงพยาบาลที่ได้รับการขายอวัยวะ แต่ตำรวจยังคงสงสัยกับการที่คนร้ายสามารถเดินไปเดินมาบนถนนโดยที่ตัวชุ่มเลือด ได้อย่างไร ทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ และ สื่อมวลชน ต่างตื่นตระหนก กับเหตุการณ์ ดังกล่าว จึงเริ่มมีผู้แจ้งเบาะแส บางกลุ่มก็เรียก ฆาตกรรณรายนี้ว่า ฆาตกรไวท์แชมเพล บ้าง ฆาตกรฆ่าโสเภณี บ้าง แต่ชื่อที่ถูกยอมรับมากที่สุดคือ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ แต่ในที่สุดก็มีนายแพทย์ ซอนเดอร์ส เชื่อว่า การชำแหละร่างกาย ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าคนร้าย มีทักษะทางกายภาพแต่อย่างใด และยังบอกอีกว่า จุดมุ่งหมายยังคงเป็นการขโมยอวัยวะสำคัญ

    ต่อมาการสืบสวนสอบสวนผู้คนในจตุรัสมิตรในคดีของคัทรีน ไม่มีใครพบเห็นผู้ต้องสงสัยหรือคนร้ายเลย มีก็แต่ ผู้พบศพคนแรกเท่านั้นแต่เนื่องจากมืดมากทำให้ไม่เห็นว่า เป็นหญิงหรือชาย สูงเท่าไร แต่งกายอย่างไร ทั้ง ๆ ที่ฆาตกรหอบหิ้วมีด เศษผ้ากันเปื้อน ไตและมดลูกหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    ความจริงแล้วคำว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ไม่ใช้ฉายาที่ตั้งโดยตำรวจหรือผู้เชื่ยวชาญแต่อย่างไร แต่มันเป็นนามปากกา จากจดหมายลึกลับฉบับหนึ่ง

    ทำไมเขาถึงตั้งฉายาแบบนี้ นักวิเคราะห์ตอบง่าย ๆ ว่าคำว่า "แจ๊ค" เป็นชื่อสามัญที่เรารู้จักกันดี และยังเป็นการได้รับแรงบันดารใจจากฆาตกรผู้โด่งดัง คือ แจ๊ค สันเท้าสปิงค์ ส่วน "ริปเปอร์" แปลว่า ผู้ตัด ฉีก ทิ้ง อันเป็นพฤติกรรมที่กระทำต่อเหยื่อเขานั้นเอง

    หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งแรกในไว้ท์แช็พเพล ตำรวจและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ได้รับจดหมายเป็นจำนวนนับพันฉบับ แต่จดหมาย(และไปรษณียบัตร)จากผู้อ้างตัวเป็นฆาตกรได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดมี 3 ฉบับ เท่านั้นคือ เจ้านายที่เคารพ แจ๊คจอมซ่า และจากนรก แต่ใช้ว่าทั้งสามฉบับนี้เป็นจดหมายสำหรับคนเดียวกัน ทั้งคนเขียนจดหมายทั้งสามฉบับอาจไม่ใช้ฆาตกรก็ได้ แต่ทั้งสามฉบับนี้มีเนื้อหาที่น่าสนใจเท่านั้นเอง
    และเนื้อหาจดหมายมันเขียนว่าอะไรล่ะ ...............

    จดหมาย "เจ้านายที่เคารพ"

    จดหมาย "เจ้านายที่เคารพ" เป็นฉบับแรก ที่กล่าวถึง นามว่า "แจ๊ด เดอะ ริปเปอร์ เป็นจดหมายลงวันที่ 28 กันยายน 1888 ไปยังสำนักข่าวเซ็นทรัล หลังจากฆาตกรรม แอนนี่ แซ็ปแมน 17 วัน เขียนด้วยลายมือหมึกแดง มีข้อความดังนี้

    25 กันยายน 1888
    เจ้านายที่เคารพ
    ผมได้ยินอยู่เรื่อยว่าตำรวจจะจับผม แต่พวกเขายังหาตัวผมไม่ได้เลย ผมได้แต่หัวเราะเมื่อดูพวกเขาช่างฉลาดล้ำและคุยโวว่ากำลังตามตัวไปถูกทาง เรื่องตลกเกี่ยวกับ ผ้ากันเปื้อนหนัง ทำให้อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ ผมอยากกำจัดพวกโสเภณีและผมไม่สามารถหยุดเชือดพวกหล่อนได้จนกว่าจะเอาพวกหล่อนมาคาดรอบพุง งานชิ้นสุดท้ายช่าง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ผมไม่ให้โอกาสสุภาพสตรีผู้นั้นร้องแม้แต่แอะเดียวตำรวจจะจับผมได้อย่างไรกัน ผมรักงานของผมและอยากจะลงมืออีก ในไม่ช้า คุณ จะได้ยินเรื่องราวของผมอีก เล็กๆน้อยๆ เป็นงานอันสนุกของผม ผมอุส่าเกบเลือดไว้ในขวดเบียร์เพื่อเอาไว้ใช้เขียน แต่มันข้นเหมือนกาวผมเลยใช้มันไม่ได้ แค่หมึกแดงก็เพียงพอแล้วสำหรับผม ฮ่าๆๆๆ งานต่อไปของผมก็คือ ผมจะตัดหูของสุภาพสตรีส่งให้

    (ด้านหลัง) เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อความสนุกน่ะ คุณว่าไหมขอให้เก็บจดหมายนี่ไว้ก่อน จนกว่าผมจะทำงานเล็กๆน้อยๆเสร็จก่อน แล้วค่อยส่งให้ตำรวจทันที มีดของผมคมมากและน่าใช้ จนผมต้องออกไปทำงานเดียวนี้ ขอให้โชคดี
    ด้วยความจริงใจ
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

    คงไม่ว่านะที่ผมจะใช้ยี่ห้อประจำตัว ถัดลงมา ตรงมุมซ้ายของหน้ากระดาษ เขียนไว้ว่า คงไม่ดีนักที่จะส่งจดหมายนี้ก่อนที่หมึกแดงจะหลดออกจากมือ โชคยังไม่มีเลย อ้อ พวกเขาว่าผมเป็นหมดด้วยล่ะฮ่า ๆ

    ไปรษณีย์แจ็คจอมซ่า

    วันเดียวกับการเกิดคดีฆาตกรรมสองครั้งซ้อน สำนักข่าวเซ็นทรั่ลได้รับไปรษณียบัตรเปื้อนเลือดสกปรก ไม่ลงวันที่ แต่ประทับตราต้นทางไว้ที่ 1 ตุลาคม ลายมือและทำนองเหมือนฉบับแรกใจความว่า

    ฉันไม่ได้เข้าประจบนายเก่าของฉันตอนหรอกน่ะ ที่ฉันให้รางวัลนี้แก่คุณเพิ่มคุณคงได้เห็นงานของแจ็คจอมซ่า เมื่อวานนี้ คราวนี้ฉันทำถึงสองงานซ้อนเชียวนะ งานแรกมีเสียงร้องออกมานิดหน่อย งานเลยไม่เสร็จเรียบร้อย ไม่มีเวลาตัดหูมาให้ตำรวจเลย ขอบคุณที่เก็บจดหมายฉบับก่อนไว้จนฉันทำงานอีกครั้ง
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์

    อย่างไรก็ตามคนเขียนไปรษณีย์บัตรนี้อาจไม่ใช้ฆาตกรก็ได้ เพราะอาจฟังข่าวในเช้าที่เกิดเหตุ และส่งถึงสำนักงานข่าวเซ็นทรัสเลยก็ได้ ปัจจุบันไปรษณีย์ของจริงนี้สูญหายอย่างลึกลับ ไม่มีใครได้พบเห็นไปรษณีย์บัตรฉบับนั้นอีกเลย
    ........................
    จากนรก

    วันอังคารที่ 16 ตุลาคม 1888 จ๊อร์จ เอคิ่น ลัสก์ ประธานกรรมการป้องกันภัยของไวท์แช็พเพลได้รับพัสดุกล่องเล็ก ๆ ห่อด้วยกระดาษสีน้ำตาล เมื่อเขาเปิดออกดเขาตกตะลึงเมื่อพบ......
    ไตครึ่งซีกส่งกลิ่นเหม็นมันถูกตัดแบ่งเป็นทางยาว มีจดหมายแนบใจความว่า

    จากนรก
    มิสเตอร์ลัสก์
    ท่านที่เคารพ
    ผมได้ส่งครึ่งหนึ่งของไตที่เอามาจากผู้หญิงคนหนี่งและเก็บรักษาแบ่งให้คุณ ส่วนอีกส่วนได้ทอดและกินไปแล้ว มันช่างอร่อยมาก ผมจะส่งมีดเปื้อนเลือดที่หั่นมันออกมา ถ้าคุณรออีกสักพัก

    ลงชื่อ จับฉันเลยเมื่อ
    คุณสามารถจับได้
    มิสเตอร์ลัสก์

    แต่เขาเก็บเรื่องนี้เอาไว้และบอกสมาชิกในคณะเช้ารุ่งขึ้น

    และจากการตรวจสอบก็พบว่ามันเป็นไตของคนจริง ๆ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของใดเป็นใครกันแน่ อาจเป็นศพที่โรงบาลแพทย์ หรือ อาจเป็นไตจากศพของนางคัทรีนที่ศพพบว่าไตหายได้สูญหายไป

    ตำรวจที่สืบสวนคดีนี้สืบหาที่มาของจดหมายทั้งสามฉบับ ทั้งตั้งรางวัลนำจับหรือแจ้งเบาะแสและ ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แต่จนแล้วจนรอดคดีก็ไม่คืบหน้า จนกระทั้ง.......................

    เหยื่อรายสุดท้าย

    พวกแฟนพันธุ์แท้ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ มักถกเถียงกันในเรื่อง เหยื่อของแจ๊ค อยู่เสนอ ว่าแท้ที่จริงแล้วแจ๊คสังหารผู้หญิงรวมทั้งหมดกี่คนกันแน่

    บ้างก็ว่า 7 บ้างก็ว่า 13 ราย บ้างก็ว่า 4 ราย (ซึ่งลำดับเหยื่อที่ผมมาไว้บทความนี้ พวกแฟนพันธุ์แท้มี ความเห็นตรงกันว่าเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกันอย่างแน่นอน) แต่อย่างไรก็ตามหลายฝ่ายล้วนความเห็นตรงกันว่า แมรี่ เจน เคลลี่ คือเหยื่อคนหนึ่งของเขาแน่นอน ไม่ว่าเธอจะเป็นเหยื่ออันดับที่เท่าไร หรือเขาได้สังหารเหยื่อรวมกี่รายก็ตาม

    นี้เป็นการฆาตกรรมที่โหดสำหรับแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ และเป็นปริศนาทั้งหมด ทั้งปอง ที่ตามมว่า เช่น เขาคือใคร ทำไมถึงต้องฆ่า เขาหายไปไหนกันแน่หลังจากฆ่าเหยื่อรายสุดท้าย

    แมรี่ เจน เคลลี่
    เธอเกิดเมื่อปี 186 เธอแต่งงานเมื่ออาย 1 6 ปี กับคนงานขุดถ่านหินชื่อ จอนห์ เดวี่ร์ แต่สามปีต่อมา เขาก็ตายเนื่องจากถ่านหินถล่ม และเธอจึงเริ่มยึดอาชีพ โสเภณี

    ต่อมาเคลลี่ก็ได้ทำงานในราชสำนักของอังกฤษ เป็นพี่เลี้ยงให้ทารกสาวน้องให้แก่เจ้าชาย อัลเบิร์ต วิคเตอร์ แต่เธอถูกจับได้ว่าทำงานพิเศษเป็นโสเภณี จึงถูกไล่ออก และเข้ามาอาศัยในมิลเลอร์คอร์ด ห้องเดี่ยวหมายเลขที่ 13 และเธอค้างค่าเช่าห้องประจำ เมื่อจนแต้มเธอก็กลับยึดอาชีพ โสเภณีอีก

    ในปีที่ถูกฆาตกรรม แมรี่ เจน อยู่ในวัยเบญจเพสพอดี เธอสูง 5 ฟุต 7 นิ้ว เธอเป็นคนสวย ต่างจากเหยื่อรายอื่น ๆ ของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ที่มีแต่คนแก่ หน้าตาอัปลักษณ์

    และนี้คือคำถามต่อมาว่า ทำไมการลงมือครั้งนี้ของ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ถึงได้โหดเ!้ยมนัก เธอมีอะไรที่แปลกกว่าคนอื่นที่ผ่านมาของเขาหรือ หรือว่า.......................
    ...................................
    เกิดเหตุ
    ผู้ชายคนสุดท้ายก่อนที่เธอจะตายคือ จอร์ซ ฮัทซิ่งสัน ผู้ที่เธอไปขอเงินเขา แต่เขาไม่ให้ เธอจึงผละออกไปหาชายผู้สวมหมวกยาวสีดำ ผอมสูง ปริศนา

    น่าแปลกที่จ๊อร์จไม่ให้ข้อมูลนี้แก่ตำรวจจนกระทั้งวันที่ 12พฤศจิกายน

    และนั่นคือครั้งสุดท้ายที่เธอมีชีวิตอยู่..................

    เช้าวันที่ 9 พฤศจิกายน โธมัส ผู้ช่วยของจอห์น แม็คคาธี่ เจ้าของห้องเช่า เคาะห้องหมายเลข 13 เพื่อเรียกแมรี่ เจน เขาเคาะหลายที่แต่ไม่มีใครเปิดประตู จนกระทั้งเขาแอบมองรูกุญแจ และเอามือสอดเขาไปในกระจกและรูดม่านออก จนกระทั้งเขาก็ได้เห็น.............................
    เนื้อสด ๆ สองก้อนบนหัวเตียงและร่างชำแหละยับเยินของแมรี่ เจน!
    "มันเหมือนงานของปีศาจมากกว่าน้ำมือของมนุษย์"
    เมื่อพังประตูเข้าไปยิ่งเห็นสภาพศพชัดเจน

    แมรี่ เจน นอยหงายบนเตียงในชุดผ้าชั้นในผ้าลินิน ศีรษะหันไปทางซ้าย แขนขวาแนบลำตัวแต่ท่อนแขนวางทับท้องน้อย ส่วนแขนขวาวางบนในสภาพงอข้อศอกและกำหมัดแน่น หมอนและผ้าปูที่นอนชุ่มด้วยเลือด

    ในสภาพห้องยังมีจุดน่าสงสัยหลายจุดเช่น พบเศษเสื้อผ้าที่ถูกเผารวมกับหมวกสตรี กา และหูกาน้ำบนเตา ฆาตกรทำอย่างนี้ทำไม (สันนิษฐานว่าฆาตกรจุดเพื่อให้เกิดความสว่างในการแล่ศพได้ถนัด)

    จากการชันสูตรศพโดยนายแพทย์พิลิปส์เจ้าเก่าและคณะ ก็ได้ข้อมลที่น่าขนลุก

    เหยื่อถูกเชือดลำคอจากใต้หูหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง ลึกจนถึงกระดูกคอ ใบหน้าถูกทำลายยับเยินจนแทบจำไม่ได้ เต้านมถูกตัดออกทั้งสองข้าง แขนขามีแผลเหวอะหวะทั้งสองแผล ขาแยกออกจากกัน เนื้อท้องน้อยและต้นขาถูกเฉือน ท้องถูกชำแหละจนไม่เหลืออวัยวะใด ๆ กระเพาะปัสสาวะและไตถูกควักออกมาวางบนเต้าทั้งสองข้างที่อยู่ใต้ศีรษะ ลำไส้ถกวางอยู่ด้านขวา ม้านอยู่ด้านซ้าย เนื้อส่วนท้องถูกเฉือนและเนื้อต้นขวากองอยู่บนโต๊ะ............................

    จากการสืบสวนก็พบปริศนาหนึ่งคือฆาตกรหลบหนีไปได้อย่างไรเพราะห้องของแมรี่ เจน ติดกับห้องอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเต็มไปด้วยเลือดและอวัยวะที่ควักออกมากับศพ และเสี่ยงมากถ้ามีคนเปิดประตูไปเจอเขาออกจากห้อง ทำไมไม่มีใครได้ยินเสียงแปลก หรือสงสัยอะไรบ้าง มันเป็นไปได้อย่างไร..........

    การดำเนินคดีถึงทางตันและหยุดการสืบสวนในระยะเวลาต่อมา
    แมรี่ เจน เคลลี่ถูกฝังในสุสานแคธอลิเคลีย์สโตนในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1888

    และหลังจากสังหารแมรี่ เจน แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ก็หยุดพฤติกรรมโหด และหายไปจากไวท์ตลอดกาล ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น หรือว่าเขาชำแหละแมรี่ เจน อย่างเมามันจนสนองความกระหายอย่างเต็มที่ หรือ เขาเดินทางหนีไปเมืองนอก หรือเขาฆ่าตัวตาย หรือตายแล้ว

    แต่บทสรุปที่ได้ในการสืบสวนของตำรวจคือ คดีฆาตกรรมในไวท์แช็พเพล ไม่สามารถคลี่คลายได้ ว่าใครคือฆาตกรต่อเนื่องที่ลึกลับ การค้นหาตัวฆาตกรเต็มไปด้วยความลำบากยากเย็น มืดมน สับสน ซับซ้อน แม้มี คนเห็นคนต้องสงสัย แต่หลายคนกลับให้การไม่ตรงกัน ที่สำคัญฆาตกรก็ไม่ทิ้งหลักฐานใด ๆ ที่บ่งบอกถึงแรงจูงใจในการฆ่าเหยื่อทั้งห้ารายเลย
    หรือว่าเพราะอิทธิพลของผู้มีอำนาจในขณะนั้นที่สั่งให้หยุดการสืบสวน และจัดฉากกันแน่

    "ลึก ๆ แล้วฉันเชื่อว่า แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นบุคคลสาธารณะ ที่มีชื่อเสียงไปแล้ว คำพูดของเขา บุคลิกของเขาเป็นข่าวควบคู่กับความโหดร้ายที่เดียว"
    เอ.เจ.แร๊ฟเฟลล์ นักเขียน

    "แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ที่แสนน่ารักนั้นหรือ ผมไม่ต้องการให้เขาถูกจับเลย เขาทำให้หนังสือพิมพ์ผมขายได้มากกว่าตอนที่มีพิธีฝังของกษัตริย์และพิธีราชาภิเษกรวมกันเสียอีก"
    ปีเต้อร์ ลัฟซี่ย์ ตัวละครจากเรื่องปัญหาในห้องพักหมายเลข 10

    คำบอกเล่า

    จากคำบอกเล่าของพยานแต่ละฝ่ายพบว่า ผู้ต้องสงสัยที่พบกับเหยื่อ มีลักษณะแตกต่างกัน
    ทำให้หลายฝ่ายต้องวาดภาพ แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ว่าเขาเป็นคนเช่นใดกันแน่เพื่อหาผู้ต้องสงสัย เช่น

    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ รู้จักลู่ทางในย่านอี๊สต์เอ็นด์เป็นอย่างดี สามารถหลบหนีได้คล่องตัวหลังก่อการฆาตกรรรม โดยเฉพาะคดีสองศพซ้อน
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ รู้จักเหยื่อทุกราย สามารถตีสนิทกับเหยิ่อได้ไม่ยาก เหยื่อตายโดยไม่ต่อสู้ขัดขืนเลย
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นคนแข็งแรง มีความรู้ด้านกายวิภาคไม่น้อย
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อายุราว 30 ปี สูง 5 ฟุต 7 นิ้ว รูปร่างสนทัด ผิวขาว และไว้หนวด
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ เป็นคนฉลาด แต่กับทำงานไม่สมกับความรู้
    แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ มาจากครอบครัวที่ล้มเหลว มีความเคลียดรุนแรง
    ฯลฯแต่นั้นมันแค่การสันนิษฐานเพราะถึงอย่างไรสิ่งทำสำคัญที่สุดของแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ คือไม่มีหลักฐานจะเอาผิดใด ๆ กับใครทั้งสิ้น
    ......................................
    ใครกันแน่
    จากการศึกษาของหลาย ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องพบว่าผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมไวท์มีมากเหลือเกิน บางคนเป็นหมอ โจร พ่อค้า คนเร่ร่อนคนไข้โรคจิต หรือแม้แต่เจ้าชาย!

    เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด อัลเบิร์ต วิคเตอร์ (เบื้องหลังราชวงค์ที่นำไปทำหนัง)
    หรือเจ้าชายเอดดี ดยุคแห่งแคลเรนซ์ หนังสือหลายเล่มอ้างว่าพระองค์เคยเสด็จไปเที่ยวซ่องในย่านอีสต์เอนด์ และสันนิษฐานว่าพระองค์เรียนรู้เทคนิคในการชำแหละมาจากการล่า! และทรงติดเชื้อซิฟิลิส ขณะที่สาเหตุอย่างเป็นทางการระบุว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากอาการปอดอักเสบ หนังสือหลายเล่มชี้ว่าพระองค์เป็นผู้ลงมือเองหรือไม่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมเพื่อปิดปังพฤติกรรมอันเหลวแหลก ทฤษฎีนี้แพร่หลายมากเพราะนักประวัติศาสตร์มีชื่อ อย่างไรก็ตามสาวกของแจ็คส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย เนื่องจากบันทึกเกี่ยวกับพระกรณียกิจของเจ้าชายยืนยันว่าในขณะที่การฆาตกรรมเกิดขึ้นพระองค์ไม่ได้ประทับอยู่ในลอนดอนเลย อย่างไรก็ตามกลุ่มที่เชื่อทฤษฎีนี้โต้ว่าเจ้าชายเอดดีอาจจะแอบมาลอนดอน หรือมิเช่นนั้นบันทึกของทางการอาจจะเป็นสิ่งที่ "แต่ง" ขึ้นมาก็ได้

    มองตาผมว์ จอหน์ ดรูอิทท์ (การตายของเขาทำให้แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์หายไป)
    เขาเป็นครูและศึกษาด้านการแพทย์ขณะที่สอบได้เนติบัณทิตแล้ว ดริตต์มาจากครอบครัวที่ดีและมีการศึกษาแต่กลับมีอาการวิกลจริต สองวันหลังจากที่เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนแบล็กเฮลท์เขาก็ฆ่าตัวตายด้วยการถ่วงตัวเองให้จมน้ำด้วยหินที่ซุกไว้ตามกระเป๋า และทิ้งข้อความลาตายไว้ว่า "ตั้งแต่วันศุกร์แล้วผมรู้สึกว่ากำลังจะเป็น (บ้า)เหมือนแม่ และการตายคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผมในตอนนี้" ตำรวจพบกระดาษโน้ตจากศพของเขาที่ลอยมาตามแม่น้ำเทมส์เมื่อ 31 ธันวาคม ปี 1888 ทั้งนี้ เขาหายตัวไปหลังจากที่พบศพเหยื่อรายที่ 5 ได้ไม่นาน การสอบสวนของตำรวจระบุว่าเขาฆ่าตัวตายเนื่องจากอาการซึมเศร้า และสรุปว่าเขาคือแจ็คเดอะริปเปอร์ ตำรวจปิดคดีได้สำเร็จโดยที่เขาตกเป็นแพะรับบาป มีคนตั้งข้อสงสัยว่าเขาฆ่าตัวตายหรือถูกฆาตกรรมเสียเองกันแน่ ขณะที่การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ซึ่งแสดงต่อศาลระบุว่าการตายของเคลลีและการตายของดริตต์มีความเกี่ยวโยงกัน บ้างระบุว่าดริตต์มีอาการป่วยทางจิตหลังจากการสังหารเหยื่อรายที่ 5 ของเขา

    อารอน โคสมินสกี้ (คนจรจัด)
    คนจรจัด ไม่มีใครทราบประวัติของเขามากนัก เขาเคยเป็นช่างตัดผมชาวยิว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×