ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สถานการณสิ่งแวดล้อมประเทศไทย

    ลำดับตอนที่ #4 : แผนพัฒนาฯ กับสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรชีวภาพไทย 2000++

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 49


    แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2540-2544)   แตกต่างจากแผนฯ
    ฉบับที่ 1-7 ที่ผ่านมา  จึงนับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการวางแผนพัฒนาประเทศ
    ทั้งในด้านแนวคิดใหม่ที่เปลี่ยนมาเน้นให้ " คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา" และใช้เศรษฐกิจ
    เป็นเครื่องมือช่วยพัฒนาให้คนมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  
    และในด้านกระบวนการทำแผนที่เปิดโอกาสให้คนไทยทุกสาขาอาชีพทั้งในส่วนกลางและ
    ส่วนภูมิภาคทั่วประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการทำแผนเพื่อพัฒนาไปสู่สังคมไทยที่พึงปรารถนา
    ในอนาคต ขณะเดียวกันก็มีการวางแนวคิดและยุทธศาสตร์ใหม่ในการพัฒนาประเทศ
    แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 ได้กำหนดยุทธศาสตร์ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
    ที่ครอบคลุมถึงการฟื้นฟูบูรณะ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ และทะเล  รวมทั้งป้องกันสภาวะแวดล้อมในชนบทและในเมือง  เมื่อแผนฯ ฉบับที่ 8 ได้ผ่านไปครึ่งทาง
    เราพบว่า สถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ มีดังต่อไปนี้

    1. ทรัพยากรดินเพื่อการเกษตรเสื่อมโทรมลง

    นอกจากดินที่มีสภาพธรรมชาติไม่เหมาะต่อการเพาะปลูก เช่น ดินเค็ม ดินทราย
    ดินเปรี้ยว และดินตื้น  ซึ่งมีจำนวนถึง 182 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 57
    ของพื้นที่ประเทศแล้วความอุดมสมบูรณ์ของดินยังถูกทำลาย
    จากการชะล้างพังทลายถึง 40.4 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 13 ของพื้นที่ประเทศ
    และดินถูกทำลายจากการใช้เพาะปลูกพืชอย่างต่อเนื่อง
    โดยขาดการปรับปรุงบำรุงดินอย่างเหมาะสม  นอกจากนี้ยังมีการนำ
    พื้นที่ดินที่มีคุณสมบัติเหมาะกับการเพาะปลูกพืชไปใช้เพื่อกิจกรรมอื่น
    แทน เช่น ที่อยู่อาศัยและโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น

    2. ทรัพยากรน้ำมีแนวโน้มขาดแคลนมากขึ้น

    การขยายตัวของประชากรจนมีมากถึง 60 ล้านคนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
    ทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้นิสัยการใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือยของประชาชน
    และภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานส่งผลให้สภาพการขาดแคลนน้ำมีแนวโน้ม
    รุนแรงขึ้น  จากการศึกษาข้อมูลและศักยภาพการพัฒนาลุ่มน้ำทั่วราชอาณาจักร
    ทำให้คาดได้ว่า การขาดแคลนน้ำจะเพิ่มขึ้นจาก 5700 ล้านลูกบาศก์เมตร/ ปีในปี 2536
    เป็น 6240 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปีในปี 2549  นอกจากนี้ การนำน้ำบาดาลมาใช้อย่างมาก
    ได้ก่อให้เกิดการทรุดตัวของแผ่นดินและการแทรกซึมของน้ำเค็ม  โดยเฉพาะ
    ในเขตจังหวัดสมุทรปราการและสมุทรสาครมีอัตราการทรุดตัวลงถึง 3 เซนติเมตรต่อปี 
    และบริเวณมหาวิทยาลัยรามคำแหงทรุดไปแล้ว 1 เมตร และยังคงลดต่ำลงปีละ 1 เซนติเมตร

    3. ป่าไม้และป่าชายเลนเสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง

    พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลายและลดลงจากจำนวน 171.0 ล้านไร่ หรือ ร้อยละ 53.3 ของพื้นที่ประเทศ
    ในปี 2504 เหลือเพียง 81.1 ล้านไร่ หรือร้อยละ 25.3 ของพื้นที่ประเทศในปี 2541
    ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่อยู่ในขั้นเสี่ยงอันตรายต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
    ที่ควรมีพื้นที่ป่าไม้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมด  

    สำหรับป่าชายเลน มีพื้นที่ลดลงจาก 2.23 ล้านไร่ในปี 2504 เหลือ 1.05 ล้านไร่ในปี 2539
    หรือลดลงถึงร้อยละ 50 เนื่องจากถูกนำไปใช้ประโยชน์เพื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
    อาทิ การเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ การทำนาเกลือ และเป็นที่ตั้งของชุมชน ส่งผลกระทบต่อ
    ระบบนิเวศชายฝั่งทะเลซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำขนาดเล็กที่เป็นห่วงโซ่อาหาร
    ของสัตว์ทะเลต่างๆ

    4. มลพิษทางน้ำ อากาศ และเสียง มีแนวโน้มสูงขึ้น

    จากการสำรวจในปี 2541 พบว่า คุณภาพน้ำในแหล่งน้ำโดยรวมทั้งประเทศ ประมาณ
    ร้อยละ 19 อยู่ในเกณฑ์ดี เหมาะแก่การดำรงชีวิตของสัตว์น้ำหรืออุปโภคตามปกติ
    ร้อยละ 53 อยู่ในเกณฑ์พอใช้เพื่อการเกษตรหรืออุปโภคทั่วไป  ที่เหลืออีกร้อยละ 28 เป็น
    แหล่งน้ำที่มีคุณภาพต่ำ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำทั่วไปก่อนนำมาใช้ 

    คุณภาพอากาศในเขตเมืองใหญ่ๆ  เมืองอุตสาหกรรม เมืองที่มีการก่อสร้างและที่มี
    การจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครมีฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10
    ไมครอน ที่สามารถเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจชั้นในได้ มีปริมาณสูงสุด 225
    ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร  ซึ่งสูงเป็น 1.9 เท่าของมาตรฐาน (120 ไมโครกรัม/ลบ ม.)
    ส่วนก๊าซโอโซนพบว่าเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานเพียงเล็กน้อย   สำหรับก๊าซคาร์บอน-
    มอนอกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์  และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
    ส่วนในพื้นที่ปริมณฑลและต่างจังหวัดนั้น ฝุ่นละอองเป็นปัญหาหลัก รองลงมาคือ ก๊าซโอโซน

    มลพิษทางเสียง  บริเวณชุมชนใกล้ถนนและที่มีการจราจรหนาแน่นหลายแห่ง
    ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  มีระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมงเกินมาตรฐาน
    70
    เดซิเบล  ส่วนในภูมิภาคระดับเสียงส่วนใหญ่ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน

    5. ของทิ้งเสียมีปริมาณมากขึ้น ขณะที่ขีดความสามารถในการกำจัดมีจำกัด

    ในปี 2541 ขยะมูลฝอยจากชุมชนมีปริมาณ 13.6 ล้านตัน  หรือ 37,250 ตัน/วัน  โดย
    ในหลายๆ พื้นที่ยังคงมีปัญหาขยะตกค้างไม่สามารถกำจัดหมด  ของเสียอันตรายจาก
    อุตสาหกรรม มีจำนวน 1.4 ล้านตัน  ถูกส่งไปกำจัดที่ศูนย์บริการกำจัดกากอุตสาหกรรม-
    มาบตาพุด จังหวัดระยอง  และศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแสมดำ
    ราชบุรี เป็นหลัก  ซึ่งสามารถกำจัดได้เพียงร้อยละ 14.8 ของของเสียทั้งหมด 
    ของเสียอันตรายจากชุมชนมีปริมาณ  332,000 ตัน ส่วนใหญ่ถูกทิ้งอยู่รวมกับ
    ขยะมูลฝอยทั่วไป  แม้จะมีการรณรงค์ให้คัดแยกของเสียอันตรายทิ้งในถังขยะอันตราย
    ที่กรุงเทพมหานครจัดไว้ตามแหล่งชุมชนต่างๆ  แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่ประสบ
    ผลสำเร็จเท่าที่ควร   ส่วนมูลฝอยติดเชื้อจากสถานพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ
    มีการกำจัดโดยเตาเผามูลฝอยติดเชี้อประจำโรงพยาบาลต่างๆ ที่ได้จัดสร้างแล้ว 770 แห่ง
    สามารถกำจัดได้ร้อยละ 91 ของปริมาณ

              จากการพัฒนาในระยะ 3 ปีของแผนฯ ฉบับที่ 8 ได้มีการสรุปถึงสถานการณ์ภาพรวมและ
    ผลกระทบการพัฒนาที่สำคัญในด้านต่างๆ  แต่ที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้จะนำมาเฉพาะเรื่อง
    ที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง
    สถานการณ์ความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศไทย ได้เป็นอย่างดี

              ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยยังคงเป็นปัญหาต่อเนื่อง เช่น
    คุณภาพน้ำของแหล่งน้ำโดยรวมยังมีปัญหาอยู่   คุณภาพอากาศเริ่มดีขึ้นแต่ยังมีความรุนแรง
    เกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานโดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่  ปัญหาขยะลดลงแต่ปริมาณของเสียอันตราย
    จากอุตสาหกรรมและชุมชนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  ปัญหาที่สำคัญ คือ พื้นที่ป่าไม้ถูกทำลาย
    และลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือเพียงร้อยละ 25 ของพื้นที่ทั้งประเทศ จนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นวิกฤต
    ที่เสี่ยงต่อการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ที่มีผลโดยตรง
    ต่อคุณภาพชีวิตของคนและชุมชนโดยรอบ

              การอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังดำเนินการได้ช้ามาก
    ไม่ทันกับปัญหาความเสื่อมโทรมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยในช่วงปี 2538-2541 พื้นที่ป่าไม้ลงลง
    เฉลี่ยปีละประมาณ 3 แสนไร่  แต่การปลูกป่าทำได้เพียงปีละประมาณ 127,500 ไร่   สำหรับการ
    ฟื้นฟูทรัพยากรประมง ผลดำเนินงานยังไม่ชัดเจนและยังคงมีปัญหาความขัดแย้งระหว่าง
    ชาวประมงขนาดใหญ่และชาวประมงพื้นบ้าน  ส่วนเรื่องป่าไม้ได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติ
    ป่าชุมชน ซึ่งเป็นกฏหมายแม่บทให้ชุมชนมีสิทธิในการบริหารป่าชุมชนและสนับสนุนการฟื้นฟู
    ป่าไม้   มีการระงับเลี้ยงกุ้งกุลาดำในเขตน้ำจืด  และการยกร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ 
    รวมทั้งการอนุมัติแผนปฏิบัติการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ
    อย่างยั่งยืน พ.ศ.2541-2545  ซึ่งยังไม่ดำเนินการเป็นรูปธรรมเท่าที่ควร ในขณะที่ท้องถิ่น
    ชุมชน และประชาชนเริ่มตื่นตัวให้ความสำคัญ และมีบทบาทในการจัดการสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น

    แนวทางดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 (พ.ศ.2543-2544)
    จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ ฟื้นฟู
    ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดผลทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
    โดยเฉพาะการลดความขัดแย้งของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
    และการเพิ่มประสิทธิภาพการกำจัดมลพิษ
    เพราะทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นปัจจัยส่วนหนึ่ง
    ในการดำรงชีวิตของประชาชน  มีแนวโน้มที่จะเสื่อมโทรมและขาดแคลนมากขึ้น
    รวมทั้งมีการใช้ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมในการกีดกันทางการค้ามากขึ้น
    หรือ แนวโน้มการค้าโลกจะผลักดันเงื่อนไขเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ
    และสิ่งแวดล้อมเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศมากขึ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×