คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : CHAPTER 41 : ครั้งที่สาม (100%)
บทที่ 41 ครั้งที่สาม
ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา
“เช็คเอ้าท์ห้องสามศูนย์ศูนย์เก้าครับ”
เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษของชายหนุ่มเชื้อสายเอเชีย ทำให้รีเซฟชันสาวที่รับหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรมเริ่มได้สติ เมื่อครู่เธอเผลอมองหน้าแขกวีไอพีที่เข้าพักห้องสวีทของโรงแรมและก็ตกอยู่ในห้วงเสน่ห์ของเขาอย่างมิอาจถอนสายตาได้ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีส่วนสูงไม่แพ้หนุ่มอเมริกันแถมยังมีใบหน้าหล่อเหลาที่สังเกตเห็นได้แม้จะสวมแว่นตากันแดดปกปิด ส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เล่นเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น รีเซพชันสาวก้มหน้าก้มตาทำรายการเช็คเอ้าท์ให้แขกกิตติมศักดิ์เพื่อกลบเกลื่อนความเขิน
เจอแขกผู้ชายมารึก็เยอะ ไม่เห็นมีใครน่ากินขนาดนี้เลย!
คิดในใจแล้วก็คีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ของโรงแรม แต่พอชื่อของแขกที่เข้าพักห้องสามศูนย์ศูนย์เก้าปรากฏบนจอสี่เหลี่ยม สาวเจ้าก็ยกมือปิดปาก ดวงตาสีน้ำข้าวเบิกโพลงอย่างตกใจ
“เอริค แซนเดอร์สัน!”
หญิงสาวตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของชื่อที่ดูจะหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย ซาอิ หรืออีกชื่อก็คือเอริค แซนเดอร์สัน ถอนหายใจอย่างระอา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกับเมื่อคืนเป๊ะ รีเซพชันคนเมื่อคืนก็ตกใจเมื่อเห็นชื่อของเขาเหมือนกัน
“ครับ” เขายอมรับพร้อมกับส่งยิ้ม ค่อนข้างจะเข้าใจอาการตกอกตกใจของรีเซพชันสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย เพราะชื่อของเขา... ไม่สิ นามสกุลของเขา ไม่มีใครในชิคาโกที่ไม่รู้จัก
‘แซนเดอร์สัน’ คือหนึ่งในสี่ตระกูลเก่าแก่ที่เรียกได้ว่าเป็นสี่อภิมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชิคาโก ตระกูลแซนเดอร์สันนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าตั้งรกรากอยู่ที่ชิคาโกมาเป็นร้อยปี จึงเป็นตระกูลที่เป็นเจ้าของที่ดินกว่าหนึ่งในสาม ซึ่งนับได้ว่าครอบครองที่ดินมากที่สุดในชิคาโกเลยก็ว่าได้ และนอกจากจะเป็นตระกูลที่ถือครองที่ดินมากที่สุด แซนเดอร์สันยังเป็นตระกูลที่เป็นเจ้าของเรือสำราญและเรือสินค้าหลายสิบลำ สำหรับให้แขกหรือนักท่องเที่ยวเช่าเพื่อชมบรรยากาศของทะเลสาบมิชิแกน และขนส่งสินค้าระหว่างรัฐ
หลังจากเช็คเอ้าท์ที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบินเสร็จ ซาอิก็มานั่งรอคนจากคฤหาสน์แซนเดอร์สันที่จะมารับเขากลับ ‘บ้าน’ อยู่ที่ร้านกาแฟในโรงแรม ร่างสูงเอามือนวดขมับเบาๆบรรเทาอาการปวดศีรษะตุบๆและคลายความง่วงไปในตัว เป็นเพราะเมื่อคืนกว่าจะมาถึงชิคาโกก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม เขาไม่อยากรบกวนให้คนที่คฤหาสน์มารับตอนดึกๆจึงเช็คอินที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน แต่พอรุ่งเช้าก็ต้องรีบขุดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนเพราะนัดกับพ่อบ้านเอาไว้ตอนเก้าโมงเช้า ทั้งที่ร่างกายยังอยู่ในสภาพร่อแร่เพราะมีอาการเจ็ทแล็ก ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับคนที่เดินทางข้ามประเทศแล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน
“คุณหนู!”
เสียงแหบๆของชายวัยเกือบชราทำให้คนที่กำลังหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมหันไปมอง ชายในชุดพอบ้านกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขาโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่น่าจะประจำตำแหน่งพนักงานขับรถวิ่งตามกันมา
“ไม่ได้เจอกันนานนะครับอัล”
เขาทักทายพ่อบ้านวัยหกสิบพร้อมกับยิ้ม ดวงตาสีน้ำข้าวของชายแก่มอง ‘คุณหนู’ ที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กด้วยความคิดถึงก่อนจะโผเข้ากอด ซาอิยืนยิ้มปนขำ อัลเบิร์ต บราวเออร์ มักจะแสดงความรู้สึกแบบเปิดเผยกับเขาเสมอ
“สองปีได้แล้วมั้งครับ ตั้งแต่ที่ผมไปเยี่ยมคุณหนูที่แมสซาชูเซตส์เมื่อตอนนั้น คุณหนูก็ไม่ยอมให้ผมไปพบอีกเลย” พ่อบ้านวัยดึกเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจหลังผละจากตัวเจ้านายหนุ่ม ซาอิยิ้ม...
“คุณก็รู้นี่ครับ ว่าผมมีเหตุผล”
“แต่คุณหนูครับ การแก้แค้น... มันสำคัญกับคุณหนูมากกว่าพวกเราหรือครับ” ‘พวกเรา’ ที่ชายแก่หมายถึงคือคนที่คฤหาสน์แซนเดอร์สัน ร่างสูงยังคงระบายยิ้ม หากแต่รอยยิ้มนั้นช่างดูเศร้าสร้อย
“คุณเคยถามคำถามนี้กับผมแล้วนะครับ และคำตอบของผมก็เหมือนเดิม... พวกคุณคือชีวิตของผม...”
“ ‘แต่การแก้แค้นคือเหตุผลที่ทำให้คุณหนูมีชีวิตอยู่’ ไม่ว่าจะคิดยังไง พวกเราก็ไม่สำคัญสำหรับคุณหนูเท่ากับการแก้แค้น”
“อย่าคิดแบบนั้นสิครับ” เขาว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ
“และที่สำคัญตอนนี้มันจบแล้วครับอัล ทุกอย่างจบแล้ว... ผมจะกลับมาเป็นเอริค แซนเดอร์สัน คุณหนูของคุณเหมือนเดิม”
.
.
.
“เอริค! ลูกกลับมาแล้ว!”
เสียงร้องทักที่เต็มไปด้วยความดีใจของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวขาเหยียบพื้นอิฐอันเป็นส่วนหนึ่งของลานกว้างหน้าคฤหาสน์สไตล์ตะวันตก และยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวขาไปไหน เจ้าของใบหน้าสวยสง่าที่ความงามไม่ได้ลดน้อยลงเลยจากเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ปรากฏตรงหน้า ‘มิเชล แซนเดอร์สัน’ แม่บุญธรรมของเขานั่นเอง
“คุณแม่...”
“คราวนี้ล่ะแม่ไม่ยอมให้ไปไหนแล้วนะ!”
“ครับ ผมไม่ไปไหนแล้วครับคุณแม่” ซาอิว่าพลางโอบกอดร่างผอมบางของอีกฝ่ายด้วยความคิดถึง แถมโบนัสด้วยการจุ๊บแก้มซ้ายขวาของมารดาอย่างเอาอกเอาใจ มิเชลตีแขนลูกชายเบาๆ
“ไม่ต้องมาอ้อนแม่เลย รีบเข้าบ้านกันเถอะ พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย” พูดจบก็ฉุดลากตัวพ่อลูกชายตัวดีเข้าบ้าน
ซาอิยิ้ม... เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือกำลังเศร้ากันแน่ ดวงตาสีนิลมองคฤหาสน์ทรงตะวันตกด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้มาที่นี่หกปีแล้วสินะ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ พอคิดมาถึงตรงนี้อกข้างซ้ายก็เจ็บแปลบ...
ยังมีใครอีกคน...
ที่เขาคิดถึงไม่แพ้กัน....
“คุณคะ เอริคกลับมาแล้วค่ะ”
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนี่ ไอ้ลูกชาย ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” อาเธอร์ แซนเดอร์สัน นักธุรกิจผู้นำแซนเดอร์สันกรุ๊ปคนปัจจุบัน เอ่ยทักบุตรบุญธรรมที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาหลายปีอย่างอารมณ์ดี ชายวัยกลางคนที่เรือนผมที่เคยดกดำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลานั่งไขว่ห้างเหมือนกำลังรอเขาอยู่ที่โซฟารับแขก ซาอิเดินไปนั่งที่โซฟาตัวข้างๆส่วนมิเชลนั่งขนาบข้างอาเธอร์ผู้เป็นสามี
“ครับคุณพ่อ”
“ฉันเพิ่งได้ข่าวจากอิทาจิเมื่อกี้ เรื่องทางโน้นน่ะ เรียบร้อยแล้วสินะ”
“ครับ” ซาอิพูดพลางพยักหน้า ก่อนเจ้าตัวจะขมวดคิ้วเพราะเอะใจในประโยคของผู้เป็นพ่อ “ว่าแต่ คุณพ่อเพิ่งได้ข่าวเมื่อกี้? ผมคิดว่าคุณพ่อรู้แล้วถึงเรียกผมกลับมาซะอีก”
“อ้อ ใช่สิ พวกเรามีสัญญากันอยู่นี่ แกเคยสัญญากับฉันว่าถ้าฉันปล่อยให้แกไปจัดการแก้แค้นคนที่ทำกับฟุงาคุและพ่อของแก แกจะยอมทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง” อาเธอร์เมินข้อสงสัยของลูกชาย เขาเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงสัญญาที่ซาอิเคยให้ไว้กับตนตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็ก
“คุณคะ ทำไมต้องมาพูดแบบนี้กับลูกด้วยล่ะ สัญญงสัญญาอะไรกัน แค่ลูกกลับมาก็น่าจะพอแล้วนี่คะ และที่สำคัญ เหตุผลที่คุณเรียกลูกกลับมา...”
“ไม่ได้หรอก สัญญาต้องเป็นสัญญา นี่เป็นสัญญาลูกผู้ชายของผมกับลูก คุณน่ะดูอยู่เฉยๆเถอะ” เขาเอ่ยขัดภรรยาของตน มิเชลเชิดหน้าใส่อย่างไม่พอใจ
“ฮึ!”
“ผมไม่ลืมหรอกครับคุณพ่อ” ซาอิเอ่ยห้ามทัพสงครามเย็นของพ่อแม่บุญธรรม เขายิ้มให้มิเชลที่เปลี่ยนฝั่งย้ายมานั่งข้างตน อาเธอร์ส่ายหน้าเบาๆกับความขี้งอนของภรรยาที่แม้จะอายุเยอะแล้วแต่ก็ยังคงความสวยสะพรั่งไม่ต่างจากเดิม แน่นอนว่าความขี้งอนของเจ้าตัวก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เขาหันกลับมามองซาอิพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ดี งั้นตอนนี้ฉันขอใช้สิทธิ์สัญญานั่นก็แล้วกัน”
“ครับ?”
“แต่งงานซะ กับผู้หญิงที่ฉันเลือกให้”
“!!!”
“จากนั้นก็มาเตรียมรับช่วงต่อกิจการของเราซักที ฉันปล่อยให้แกทิ้งเวลาไปเปล่าๆตั้งหกปีแล้ว นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปแกต้องเข้าบริษัทกับฉันทุกวัน และสองปีต่อจากนี้แกก็ต้องขึ้นเป็นประธานของแซนเดอร์สันกรุ๊ป นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ” อาเธอร์บอกความต้องการของตน เขาไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นใบหน้าของลูกชายซีดเผือดลง ชายวัยกลางประสานมือกันที่หน้าขาอย่างที่ชอบทำเวลาไล่ต้อนเหยื่อ
“ฉันเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว งานแต่งของแกจะจัดขึ้นอาทิตย์หน้า เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”
“อาทิตย์หน้า? มัน... ไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ” ซาอิประท้วงทันทีที่พอตั้งสติได้ แต่คนคัดค้านคำประท้วงกลับเป็นมิเชลที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
“ไม่เร็วเลยจ้ะเอริค แม่นะ ฝันมานานแล้วว่าจะได้เห็นลูกใส่ชุดเจ้าบ่าว คงจะหล่อน่าดู~”
“แต่ผมยังไม่เคยเห็นหน้าคนที่จะแต่งงานด้วยเลยนะครับ! เรื่องแต่งงานผมว่าน่าจะเลื่อนออกไปก่อน...”
“จะไม่มีการเลื่อนอะไรทั้งสิ้น”
“แต่ผม...”
“ถ้าจะมาอ้างว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวก็ไปดูซะสิ เค้ามารอแกตั้งนานแล้ว” ใบหน้ายิ้มแย้มของผู้เป็นพ่อทำเอาชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง และความกังวลก็เพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อแม่บุญธรรมหันมาส่งยิ้มหวานให้
“แม่รับรองเลยจ้ะว่าลูกจะถูกใจ”
.
.
.
“คุณสินะครับคุณผู้หญิง ว่าที่เจ้าสาวของผม”
ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเดินมาถึงสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ สถานที่ที่บิดาของเขาบอกว่า ‘ว่าที่เจ้าสาว’ กำลังรออยู่ ดวงตาสีนิลมองร่างโปร่งบางที่ยืนหลังให้ด้วยความแปลกใจ เขารู้สึกคุ้น... คุ้นมากแม้จะเห็นแค่ข้างหลัง มันเหมือนกับ...
ซาอิรีบปัดความคิดไร้สาระของตัวเองทิ้งจากสมอง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นเธอ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาแค่คิดไปเอง ร่างสูงสาวเท้ายาวๆไปหาคนที่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเขา ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เริ่มแข็งกร้าวขึ้นตามลำดับ
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยากจะทำหยาบคายหรอกนะครับ แต่ช่วยยกเลิกหรือไม่ก็เลื่อนไปก่อนได้มั้ย งานแต่งงานของเราน่ะ คุณไม่เคยเห็นหน้าผม ผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าคุณ ชื่อของคุณผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ มันจะไม่ตลกเกินไปเหรอครับที่คนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อกันจะมาแต่งงานกัน”
เมิน?
เธอเมินเขาหรือ?
“ไม่คิดจะหันหน้ามาพูดกับผมหน่อยเหรอครับ!?!”
เพียะ!
“อิโนะ...” ร่างสูงร้องครางเมื่อจู่ๆคนที่ยืนหันหลังก็หันมาหน้ามาปุบปับพร้อมกับวาดมือตบหน้าเขาเต็มแรง ใบหน้าของหญิงสาวปริศนาปรากฏชัดตรงหน้า... ความเจ็บบริเวณแก้มที่ถูกตบทำให้ใบหน้าชาไปทั้งแถบ แต่เขาก็ยังตกใจเกินกว่าที่จะพูดหรือยกมือห้าม
เพียะ!
เพียะ!
เพียะ!
“ทำไมถึงมา...”
เพียะ!
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
ร่างบางตวัดมือตบอย่างแรงเป็นการปิดท้าย จากนั้นก็โผเข้ากอดคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอมานานนับเดือนด้วยความคิดถึง ปากก็ทั้งบ่นทั้งด่าสารพัดทั้งที่มือยังไม่ยอมปล่อยจากเอวหนา หยดน้ำใสๆไหลรินจากนัยน์ตาคู่สวยเป็นทาง
“ฮึก... พี่มันบ้า! ทั้งบ้าทั้งงี่เง่า! ฮึก... ฉันรอพี่กลับมานานแล้วนะ”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่... เราไม่ได้อยู่ฝรั่งเศสหรอกเหรอ? ไม่สิ... เรารู้จักคุณพ่อคุณแม่ได้ยังไง แล้วเรื่องแต่งงานนี่มันอะไร”
“ฮึก... ไม่มี... คำทักทายที่มันดีกว่านี้เหรอคะ!?!”
เพียะ!
“พี่มันตายด้าน! ไอ้คนไร้หัวใจ ไอ้จืด!”
“หยุดนะครับ”
“มีเรื่องอะไรก็ไม่พูดไม่บอก! คิดจะทิ้งก็ทิ้ง รักง่ายหน่ายง่าย อยากจะบอกเลิกก็ทำ! คนเขาอุตส่าห์มารอตั้งเป็นเดือน... ฮึก... พอเจอกันแทนที่จะดีใจอะไรบ้างยังมาทำหน้าตาตกใจเหมือนเห็นผี แทนที่จะบอกว่าคิดถึงกัน... ก็เอาแต่ถามอะไรน่ารำคาญ! ฉันไม่น่าเสียเวลามารักมารอคนอย่างพี่เลย! อื๊อ...” เสียงที่เหลือถูกชายหนุ่มทำให้เงียบด้วยริมฝีปาก เขาไม่สนใจอาการต่อต้านของร่างเล็กที่เอาแต่ดิ้นเลยแม้แต่น้อย เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีจนเธอหมดแรงนั่นแหละเขาถึงยอมปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทวนคำถาม
“พี่มันน่ารำคาญเหรอ?”
“ใช่ค่ะ น่ารำคาญมะ... อื๊อ...”
อีกครั้งที่เขาลงโทษเธอที่บังอาจเข้าใจอะไรผิดๆ...
“พี่ตายด้าน?”
“ใช่... อื๊อ...”
และอีกครั้ง...
“พี่ไร้หัวใจ?” คราวนี้คนถามไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธซักแอะ เขาก้มลงฉกชิมริมฝีปากอิ่มสวย ละเลียดชิมอยู่อย่างนั้นจนเจ้าของร่างเล็กต้องทุบอกแกร่งออกอาการประท้วงเพราะกำลังจะขาดใจตาย
“ขี้โกง ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรเลยนะ” เธอต่อว่าพลางทำหน้ามุ่ย แต่คนโกงมีหรือจะยอมรับ ซาอิยิ้ม... เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริง ร่างสูงยกนิ้วจิ้มหน้าผากมนเบาๆ
“ก็ทำโทษไว้ก่อน เห็นหน้าแบบนี้ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่” พูดจบก็จับมือที่กำลังประทุษร้ายตนวางทาบบนอกข้างซ้ายที่กำลังกระเพื่อมรุนแรงเพราะแรงเต้นของหัวใจ ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่ง...
“จับดูสิ พี่ไม่ได้ไร้หัวใจนะครับ และก็... คิดถึงอิโนะมากๆด้วย”
“ถ้าคิดถึง... ทำไมไม่กลับมาเร็วกว่านี้ล่ะคะ ทำไมถึงไม่ส่งข่าว ไม่ติดต่ออะไรเลย”
“ก็พี่ไม่รู้นี่ครับว่าอิโนะมาอยู่ที่นี่ และที่สำคัญ... พี่เพิ่งทำร้ายจิตใจเรา มอบความเจ็บปวด มอบความทรมานให้ แล้วแบบนี้ใครมันจะกล้าเอาหน้ามาให้เห็นล่ะครับ”
“เหอะ! ทำร้ายจิตใจที่ว่าคงหมายถึงละครลิงหลอกเด็กที่พี่แสดงตอนเราไปทานข้าวด้วยกันใช่มั้ยคะ”
“ระ... รู้ด้วยเหรอครับว่าพี่แค่แสดง?” ซาอิถามอย่างตกใจเมื่อได้ยินประโยคประชดประชันของหญิงสาว อิโนะเบะปากคนตกใจอย่างหมั่นไส้
“ค่ะ! เพราะถ้าฉันไม่รู้ความจริงทุกอย่าง ป่านนี้ฉันก็คงยังอยู่ฝรั่งเศส ใช้ชีวิตตามแผนที่พี่วางไว้ให้ อ้อ อาจจะมีนอกแผนหน่อยก็ตรงจะหาแฟนชาวต่างชาติซักคนมาดามอกที่มันหักจนไม่รู้จะหักยังไงเพราะพี่ แต่จะว่าไปแล้วความจริงฉันน่าจะทำแบบนั้นนะคะ ไม่น่ามาเสียเวลารอคนปากแข็งใจอำมหิตแบบพี่เลย”
“เสียใจด้วยนะครับที่มันไม่ทันซะแล้ว” ร่างสูงเอ่ยเสียงเย็น แค่ได้ยินว่าเธอจะไปหาผู้ชายคนใหม่ก็ทำเอาความโกรธพุ่งปรี๊ด เขารวบตัวร่างเล็กเข้ามากอดจนร่างกายแทบจะแนบชิดกันไปทุกส่วนก่อนจะเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์
“ทีแรกพี่ก็กะจะตัดใจอยู่เหมือนกัน แต่เปลี่ยนใจแล้วดีกว่า เมียทั้งคน ใครมันจะไปทิ้งได้”
“เฮอะ! อย่ามาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเลยค่ะ ฉันน่ะมันหัวสมัยใหม่ ถ้ายังไม่ได้แต่งงานแต่งการกันล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ใช้คำว่า ‘เมีย’ หรือ ‘ภรรยา’ อะไรทำนองนี้เลย”
“อ้อ งั้นก็แต่งเลยสิ ถ้าเราเป็นเจ้าสาวล่ะก็ พี่ว่าพี่ไปขอคุณพ่อให้จัดงานแต่งให้วันนี้เลยดีกว่า พอถึงเวลาเข้าหอเราจะได้ไปรำลึกความหลังกันหน่อย อิโนะจะได้รู้ตัวซักทีว่าตัวเองน่ะเป็นของพี่ ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ...”
“หลงตัวเอง!” ตวาดแว้ดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ แต่คนหลงตัวเองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการประทับจูบเบาๆที่หน้าผากมน
“ถ้าไม่จริงก็ค้านมาเลยครับ”
“ฮึ!” แม่ตัวดีแค่นเสียงในลำคอ เป็นอันว่าเจ้าตัวยอมสงบศึกแล้ว แต่ซาอิก็ยังคงกอดไม่ปล่อย
เขาคิดถึงเธอมาก...
มากกว่าที่เธอจะจินตนาการได้เสียอีก...
“แล้วทีนี้จะเล่าได้รึยังครับว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมอิโนะถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วที่ว่ารู้ความจริงน่ะ ใครเป็นคนบอก?” ร่างสูงเริ่มซักไซ้สิ่งที่คาใจ การปรากฏตัวของเธอที่นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายและเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เขามั่นใจว่ามันจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง
ใครกันที่คอยชักใยอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว?
“สามวันหลังจากที่ฉันไปถึงฝรั่งเศส จู่ๆคุณอิทาจิก็โทรมาที่โรงแรมที่ฉันพักค่ะ”
“!!!”
แค่ประโยคแรกก็ทำเอาหนุ่มซีดหน้าซีดลงจนแทบจะขาวเหมือนกระดาษ ขากรรไกรแข็งค้างราวกับคนที่เพิ่งเจอเรื่องช็อกมาหมาดๆ ขนในกายพากันลุกชัน ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะตกใจหรือเพราะกลัวกันแน่ ชายคนนั้นรู้แม้กระทั่งว่าอิโนะพักที่โรงแรมไหนทั้งที่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยทั้งสิ้น
สมชื่อ ‘จอมมาร’ จริงๆ
“เขาบอกให้ฉันไปเอาโทรศัพท์มือถือที่ล็อบบี้ เพราะมีบางอย่างอยากให้ฉันฟัง ทุกอย่างมันถูกบันทึกไว้ในนี้ค่ะ มันเป็นเหตุผลที่ฉันไม่โกรธพี่และยอมมาอยู่ที่ชิคาโกตามคำชวนของคุณพ่อพี่ที่ไปรับฉันมาจากฝรั่งเศส” หญิงสาวพูดต่อพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องบางให้ ซาอิรับมันมาอย่างงุนงง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจสาเหตุที่อิโนะมาอยู่ที่นี่แล้ว อิทาจิคงจะเล่าทุกอย่างให้พ่อบุญธรรมของเขาฟัง จากนั้นพ่อบุญธรรมของเขาก็ตัดสินใจไปรับตัวว่าที่ลูกสะใภ้มาอยู่ด้วยกันโดยไม่บอกให้เขารู้ซักคำ รวมหัวกันปิดบังแล้วเอามาเซอร์ไพรส์ให้เขาหัวใจวายเล่น
ร้ายจริงๆ!
ร่างสูงกดเล่นเสียงที่ถูกบันทึกไว้ในมือถือ เขายืนนิ่งเมื่อได้ยินเสียงของตนกับอิทาจิที่คุยกันในวันที่เขาเล่นละครเพื่อบอกเลิกอิโนะ
“แกแน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้”
“มันเป็นทางเดียวนี่ครับ ที่จะทำให้เธอตัดขาดจากผมได้ นกสองหัวอย่างผม... จะถูกแก้แค้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมไม่อยากให้เธอต้องมาซวยไปด้วย ผมพลาดเอง... ผมผิดเองที่เผลอ... ผมน่าจะย้ำกับตัวเองให้มากกว่านี้ ว่าคนอย่างผม ไม่สมควรรักใคร”
“...ทั้งๆที่ก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว ว่าชีวิตนี้ต้องอยู่คนเดียว ไม่ควรรักใคร... แต่ก็ยังฝืนดันทุรัง สุดท้ายจุดจบมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ ต้องทำร้ายคนที่รัก... ทำให้เขาร้องไห้ ต้องทำตัวเย็นชา โหดร้าย ทั้งๆที่อยากจะเข้าไปปลอบใจแทบขาด เป็นคนโง่ที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความฝันที่เป็นไปไม่ได้ งี่เง่าจริงๆเลยนะครับ”
ทันทีที่ฟังจบ ร่างสูงก็นึกถึงวันนั้นที่อิทาจิมาเซอร์ไพรส์เขาที่ร้านอาหาร ตอนที่คุยกันอิทาจิก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรเพราะเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่นักธุรกิจที่วางมือยังไม่เต็มร้อยอย่างอิทาจิจะมีเรื่องให้ต้องวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ ซาอิระบายยิ้มเมื่อนึกถึงประโยคที่คนที่รักและเคารพเหมือนพี่ชายแท้ๆพูด
“ฉันสัญญา... ว่าจะทวงสิ่งที่แกเสียไปกลับคืนมาเอง”
มันหมายความว่าแบบนี้เองสินะ...
“พี่ขอโทษ...” เขาบอกร่างเล็กในอ้อมแขนอย่างรู้สึกผิด อิโนะทำเพียงถอนหายใจแล้วพูดต่อ
“คุณอิทาจิเขาบอกเหตุผลมาด้วยว่าที่พี่ต้องบอกเลิกฉันและร่วมมือกับพ่อแม่ฉันส่งฉันไปฝรั่งเศส ก็เพื่อปกป้องไม่ให้ฉันเป็นอันตรายจากศัตรูที่พี่คิดจะล้างแค้น แต่ฉันคิดว่ายังไงมันก็ดูงี่เง่าอยู่ดี”
“...”
“นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วคะ? ไอ้ประเภทยอมตัดใจทิ้งคนที่รักเพื่อปกป้องน่ะ มันหมดยุคแล้ว พี่คิดว่าฉันกลัวนักรึไง? ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ ศัตรูของพี่น่ะ ที่ฉันกลัวจริงๆ... ฉันกลัวว่าความรักครั้งที่สองของเรามันจะจบลงเหมือนครั้งแรกต่างหาก ฉันกลัวมากนะคะ กลัวที่จะต้อง...เลิกกับพี่อีกครั้ง ฮึก...” ประโยคสุดท้ายฟังดูขาดห้วงเพราะสาวเจ้าไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร่างบางกอดชายคนรักไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่มเปียกชุ่ม ซาอิกอดตอบด้วยความรู้สึกโหยหาไม่แพ้กัน
“พี่ก็กลัวเหมือนกัน พี่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่พี่ต้องทำ... เพราะพี่กลัวว่าเราจะเป็นอะไรไปมากกว่า ตราบใดที่พี่ยังจัดการศัตรูของพี่ไม่ได้ พี่ไม่มีสิทธิ์ยืนเคียงข้างเราหรอกครับ”
“ความคิดโง่ๆ”
“มันอันตรายมากกว่าที่คิดนะครับ”
“ฉันรู้ค่ะ ก็เพราะฉันรู้นั่นแหละฉันถึงนอนไม่หลับแทบทุกวัน ฉันกลัวว่าพี่จะเป็นอะไรไป แต่ฉันก็ต้องอดทนเพราะคุณอิทาจิห้ามไม่ให้ติดต่อพี่ เขากลัวว่าศัตรูของพี่จะจับได้เหมือนกัน แต่ว่า... สุดท้ายฉันก็ต้องขอให้คุณพ่อของพี่เรียกตัวพี่กลับ”
“แสดงว่าที่คุณพ่อโทรหาพี่เมื่อคืนวาน เพราะอิโนะขอเหรอครับ?” เขาถามเสียงแปลกใจเพราะสงสัยมาตั้งแต่ที่คุยกับพ่อบุญธรรมแล้วว่าเหตุใดจึงรีบเรียกตัวเขากลับ เขาสัญญากับพ่อไว้ก็จริงว่าหากจัดการเรื่องดันโซเรียบร้อยเมื่อไหร่จะรีบกลับมาชิคาโก และเขาก็คิดว่าคำสั่งสายฟ้าแลบนั่นเป็นเพราะอาเธอร์รู้ข่าวเรื่องดันโซแล้วจึงรีบเรียกตัวเขากลับเพื่อทวงสัญญา แต่พ่อบุญธรรมของเขาก็บอกเองว่าเพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้า
ถ้าอย่างนั้น...
“ค่ะ ฉันเป็นคนขอร้องท่านเอง เพราะฉันทนเห็นพี่เอาตัวไปเสี่ยงมุ่งแต่จะล้างแค้นไม่ได้อีกแล้ว”
ร่างสูงถึงกับบางอ้อ เขาเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลที่ตัวเองต้องรีบกลับมาทั้งที่ไม่ทันจะได้ดูเลยว่าอาการบาดเจ็บของอิทาจิกับซาสึเกะเป็นอย่างไรบ้าง
เพราะเธอสินะ
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พี่ถึงได้กลับมาหาเรานี่ไง” เขาว่า พยายามเก็บความไม่พอใจเล็กน้อยไว้ แต่คนรักกันมีหรือจะไม่สังเกตเห็น อิโนะผละตัวจากอกแกร่ง เธอมองเขาด้วยแววตาตัดพ้อน้อยใจ
“ยุ่ง? ฉันเป็นตัวยุ่งเหรอคะ? และที่พี่พูดนั่นน่ะ แสดงว่าถ้ามันยังไม่เรียบร้อย พี่จะไม่กลับใช่มั้ย?”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น...”
“ฉันมันไม่สำคัญสินะ!”
“ไม่...”
“ขอโทษนะคะที่รบกวน ขอโทษด้วยที่เป็นห่วงมากจนไม่อยากให้เอาตัวไปเสี่ยงตาย!” เอ่ยเสียงประชดประชันพลางสะบัดหน้าใส่ มือเรียวปาดน้ำตาหยดเล็กๆที่พาลไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วเดินหนีคนใจจืดใจดำ ซาอิเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้
“อย่าประชดแบบนี้สิ” พูดอย่างระอาในความขี้งอนของสาวคนรัก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆแม่ตัวดีก็สะบัดแขนเขาออกอย่างไม่ไยดี
ไม่เจอกันแค่เดือนเดียว เป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
อิโนะตวัดดวงตาแข็งกร้าวที่ซ่อนความน้อยอกน้อยใจมองกลับมา
“ฮึ! ที่รีบเรียกมาก็แค่อยากบอกให้รู้ค่ะว่าอย่าซ่าให้มันมากนัก ถ้าเกิดไปเดินสะดุดเท้าใครแล้วเกิดตายขึ้นมา ลูกจะกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ!”
“!!!”
“รู้แบบนี้ปล่อยทิ้งไว้ให้ตายไปคนเดียวก็ดี ไอ้พวกชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น เห็นแก่ตัว!” พูดจบก็เชิดหน้าใส่ว่าที่คุณพ่อที่กำลังตะลึงงันเพราะประโยคก่อนหน้า อิโนะเดินชนไหล่จนเขาเกือบจะเซตกสระ ริมฝีปากบางระบายยิ้มเยาะเย้ยก่อนเจ้าตัวจะหันมาลูบท้องแบนราบของตนพลางเอ่ย
“พ่อแบบนี้หนูไม่อยากได้ใช่มั้ยจ๊ะ? งั้นไม่เอาเนาะ แม่ก็เบื่อเขาแล้วเหมือนกัน จู้จี้ขี้บ่น เผด็จการ ไร้รสนิยม ไม่เข้าใจหัวอกคนอื่น แถมยังตายด้านไร้ความรู้สึกชอบเสแสร้งแบบนี้ เอาไว้ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเปล่าๆ พวกเราไปหาคนอื่น... ว้าย!” พูดไม่ทันจบคำดีคนชอบทำประชดก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อคนที่เพิ่งจะแกล้งชนคว้าตัวหมับจากด้านหลังแล้วดึงตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น ซาอิที่เพิ่งตั้งสติได้เอ่ยเสียงสั่นพร่า หัวใจเต้นตึกตักจนแทบทะลุออกมาจากอก
“ที่พูดนั่นน่ะ... พูดจริงใช่มั้ย? เรา... กำลังจะมีลูกด้วยกันใช่มั้ยครับ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันกับลูกตัดพี่ออกจากกองมรดกแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะกลับญี่ปุ่น งานต่งงานแต่งอะไรนั่นก็ไม่เอาแล้ว เฮอะ! คนอุตส่าห์เป็นห่วง มีข่าวดีจะบอก แต่ถูกหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง พอกันที!” ตวาดจบก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจเพราะได้ยินเสียงคนข้างหลังหัวเราะ
“หึๆ”
“หัวเราะอะไร? ปล่อยค่ะปล่อย ฉันจะไปเก็บเสื้อผ้าและก็ลาคุณพ่อคุณแม่ของพี่ ต้องไปขอโทษพวกท่านที่ฉันแต่งงานกับลูกชายของพวกท่านไม่ได้จริงๆ... อื๊อ...” ซาอิปิดปากคนตัวเล็กที่ชอบทำเขาประสาทจะกินด้วยริมฝีปาก เขาผละออกเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มสงบ
“มีข่าวดีจะบอกพี่ไม่ใช่เหรอครับ บอกหน่อยสิ พี่อยากฟัง”
“ไม่ - มี!!!”
“อย่าดื้อนะครับ ถ้ายังงอนงอแงแบบนี้อีกล่ะก็ พี่ ‘ง้อ’ ขึ้นมาอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” พูดเสียงเจ้าเล่ห์แล้วยิ้มอย่างพอใจที่เห็นใบหน้าว่าที่แม่ของลูกงองุ้มเพราะถูกขัดใจอย่างแรง
“ว่าไงครับ?”
“...”
“อิโนะ?”
“ขอก่อนสิคะ” ร่างบางพูดเสียงแผ่วเบาพลางก้มหน้าก้มตามองพื้นอย่างยอมจำนน
“หืม?”
“ขอฉันแต่งงานก่อน ฉัน... ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงใจง่าย เที่ยวมีอะไรกับผู้ชายแถมยังท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน”
“อิโนะเป็นของพี่คนเดียว ไม่ได้เที่ยวไปมีอะไรกับใครซักหน่อย” ซาอิพูดยิ้มๆ แก้ไขประโยคของเธอให้ถูกต้อง จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิดด้วยการคุกเข่าตรงหน้า ดวงตาสีนิลลึกลับที่เธอไม่เคยมองออกว่ามันกำลังสื่อถึงอะไร...
กำลังมองเธอด้วยความรัก...
เป็นความรักที่ส่งตรงถึงใจ...
“แต่งงานกับพี่นะครับ พี่สัญญา... ว่าจะดูแลให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เราต้องเสียใจอีกเป็นครั้งที่สาม”
คำขอแต่งงานง่ายๆที่ฟังดูแปลกทำเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบแก้มเมื่อซาอิดึงมือข้างหนึ่งของเธอไปประทับจุมพิต เป็นเครื่องหมายแทนคำสัญญา
ครั้งที่สาม...
เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอตกหลุมรักผู้ชายคนเดิม ผู้ชายคนเดิมที่ทำเธอรักและอกหักมาแล้วถึงสองครั้ง คนที่ทำให้เธอเสียใจ คนที่ทำให้เธอเจ็บปวด... เธอรักเขาอีกแล้ว แต่จะเรียกว่าเธอรักเขาเป็นครั้งที่สามก็คงจะไม่ถูกเท่าใดนัก เพราะเธอ...
ไม่เคยเลิกรักเขาเลยสักครั้ง...
“ตอนนี้พี่ยังไม่มีแหวนจะให้ เอาหัวใจไปมัดจำก่อนได้มั้ย?”
“น้ำเน่า”
“ใจร้ายนะครับ พอพูดห้วนๆก็หาว่าตายด้าน จืดชืด ไร้อารมณ์ พอพูดหวานๆก็หาว่าน้ำเน่า ตกลงจะเอาไงครับ? คุณเ-มี-ย” คำเรียกนั้นทำเอา ‘คุณเมีย’ หน้าเหวอ เธอค้อนตามองอีกฝ่ายซ่อนความขัดเขินพลางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“กะ... ก็บอกแล้วว่าถ้ายังไม่ได้แต่งงาน...”
“พี่อยากฟังข่าวดี” พูดขัดขึ้นเพราะไม่อยากฟังถ้อยคำแสลงหู เขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับโอบกอดหญิงสาวคนรักไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตัวไปไหนอีก อิโนะซบหน้าลงที่อกกว้าง เธอระบายยิ้มทั้งน้ำตา...
“ฉันท้องได้เกือบสองเดือนแล้วค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ พี่ซาอิ”
หวานนน หวานมากกก โอ๊ย! ฟินนน!!! >< คู่นี้ถึงจะมาน้อยจนเกือบจะจางแต่ความหวานรับรองว่าไม่แพ้คู่อื่นค่ะ นาทีนี้รู้สึกอย่างจะสิงอิโนะ พ่อสามี แม่สามีก็น่ารักซะ ><
“พี่! พี่อิทาจิ!!!”
เสียงเรียกอย่างตื่นตระหนกของน้องชายที่ดังผ่านแท็บเล็ตเครื่องบาง ทำให้อุจิวะ อิทาจิ ได้สติหลังจากที่ช็อกไปนานเกือบนาทีเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งบอก ร่างสูงสั่นศีรษะแรงๆเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังเบลอจนฟังผิดฟังถูกก่อนจะพูด
“แกพูดใหม่ซิ เมื่อกี้ฉันอาจจะหูฝาด”
“ซากุระ... ท้องได้เกือบสามเดือนแล้วครับ ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนครับพี่”
ซาสึเกะทวนประโยคเดิมที่เคยบอกพี่ชายไปเมื่อครู่ ใบหน้างดงามหล่อเหลาที่ปรากฏบนจอแท็บเล็ตกำลังระบายยิ้มกว้าง ส่งผลให้คนที่อยู่อีกฟากของระบบวิดีโอคอลยิ่งไม่เชื่อหูเชื่อตาตัวเองเข้าไปใหญ่ อิทาจิหันไปถามเลขาส่วนตัวที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง
“นายได้ยินเหมือนฉันมั้ยคิซาเมะ?”
“ครับ คุณกำลังจะได้เป็น ‘คุณลุง’ แล้วนะครับ”
คำยืนยันจากลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ทำเอาคนที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจมาหมาดๆแทบจะต้องกลับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพราะหัวใจหยุดเต้น
มันเป็นเรื่องจริงหรือ? เขากำลังจะได้เป็น ‘คุณลุง’ จริงๆใช่มั้ย?
คิดในใจอย่างปิติยินดี รู้สึกตื้นตันจนไม่สามารถเก็บอาการนั้นไว้ได้ ร่างสูงระบายยิ้มตอบรับรอยยิ้มของว่าที่คุณพ่อที่วิดีโอคอลมาจากห้องข้างๆ มันเป็นข่าวดี... เป็นข่าวดีที่ทำให้คนที่เตรียมใจจะตายอย่างเขา
รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่...
“มีน้ำยาเหมือนกันนี่”
เป็นคำชมจากปากคนเป็นพี่ คนมีน้ำยาหุบยิ้มแทบไม่ทัน ซาสึเกะมุ่ยหน้าแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก ไอ้รีแอคชันสุดจะตายด้านนั่นมันอะไรกัน? เขาหรือก็อุตส่าห์หวังว่าอิทาจิจะแสดงอาการดีอกดีใจให้เห็นมากกว่านี้เพราะเจ้าตัวกรอกหูเขาเช้าเย็นให้เขารีบมีทายาทสืบตระกูลที่กำลังจะกุดนี่สักที แล้วนี่อะไร? เขาก็มีให้ตามที่คุณพี่ที่เคารพต้องการแล้ว ทำไมผลตอบรับถึงได้ช่างหดหู่ขนาดนี้
หรือคนเดียวจะไม่พอ?
แต่ว่าที่คุณพ่อก็คิดผิดถนัด อาจจะเป็นเพราะคุยกันผ่านระบบวิดีโอคอลที่มีระบบตัดเสียงรบกวนออก เขาจึงไม่ได้ยินเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังถี่ๆพร้อมส่งสัญญาณเตือนว่าเจ้าของชีพจรมีอาการหัวใจเต้นเร็วเกินกำหนดเพราะเจ้าตัวตื่นเต้นเกินเหตุ อิทาจิพยายามทำใจให้สงบลงเขาหลับตานั่งนับหนึ่งถึงสิบในใจ พออัตราการเต้นของหัวใจเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างสูงก็เริ่มตั้งข้อสังเกต
“ว่าแต่แกดูอ่อนแอขึ้นรึเปล่า แค่แผลกระสุนเฉี่ยวที่ไหล่ มันทำให้คนอย่างแกถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเลยรึไง?”
นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาสงสัยตั้งแต่ที่คิซาเมะยื่นแท็บเล็ตให้และบอกว่าซาสึเกะที่พักอยู่ห้องข้างๆมีเรื่องจะคุยด้วยแล้ว ในตอนนั้นเขาเพิ่งวางสายจากอาเธอร์หลังจากแจ้งข่าวเรื่องดันโซให้เจ้าตัวรู้ และยังคงมีอาการมึนเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาแบบมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหลังจากที่หลับๆตื่นๆมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่แล้วอาการมึนๆเบลอๆนั่นก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นสภาพนอนป่วยเป็นผักของน้องชาย
อย่างซาสึเกะนี่นะ จะหมอบง่ายๆเพราะแผลแค่นั้น
“คิซาเมะยังไม่เล่าให้พี่ฟังหรือครับ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พี่อยู่ในห้องผ่าตัดน่ะ” ซาสึเกะย้อนถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทำให้คนเป็นพี่ต้องหันไปคาดคั้นกับเลขาส่วนตัวที่ยืนยิ้มเจื่อน
“มีอะไร... ที่ฉันยังไม่รู้ใช่มั้ย?”
เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน แม้ว่าอิทาจิจะฟังเรื่องราวจากเขาด้วยใบหน้าเรียบสนิท ไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา แต่นั่นล่ะที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันดูไม่ออก... ว่าตอนนี้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน” อิทาจิถามหลังจากที่ฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ ใบหน้าซูบซีดเพราะอาการป่วยยังคงเรียบเฉย
“ถ้าพี่หมายถึงคาริน ตอนนี้เธอเก็บตัวอยู่ในบ้านครับ ทางตำรวจไม่สามารถกักตัวเธอไว้ได้เพราะเธอยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย แต่พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เธอจะหลบหนี ผมสั่งให้จูโกะกับคนของเราจับตาดูบ้านฟุรุคาวะเอาไว้แล้ว ผมรับรอง ว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นรอดไปแน่”
“แล้วคาสึจิล่ะ มันเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้รึเปล่า”
“ครับ คาสึจิใช้เส้นสายสั่งให้ปล่อยตัวคารินออกมาก่อนครบกำหนดกักตัวผู้ต้องสงสัยยี่สิบสี่ชั่วโมง และก็มีความเป็นไปได้มากว่ามันคงจะใช้อำนาจของตัวเองทำให้เรื่องนี้เงียบไป”
“แกจัดการได้ใช่มั้ย?” ถามย้ำอย่างเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าฟุรุคาวะ คาสึจิเองก็ไม่ได้เคี้ยวง่ายๆ ชายคนนี้เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของดันโซ พิษสงล้วนร้ายกาจไม่ต่างกัน ซาสึเกะพยักหน้ารับ
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ยังไงผมก็กะจะลงดาบสองพ่อลูกนี่อยู่แล้ว ที่ผมยังชะลอเรื่องสปายไว้ไม่เล่นงานคาสึจิก็เพราะรอให้มันใช้อำนาจของตัวเองกับพวกตำรวจเราจะได้มีข้อหาเล่นงานมันเพิ่ม และถ้ารวมกับเรื่องเมื่อคืนที่ผมไปเจอการซื้อขายสิ่งผิดกฎหมายของมันอีกเรื่อง คราวนี้มันคงจะดิ้นไม่หลุด”
“แค่เปิดเผยเรื่องเลวๆของมันน่ะ ไม่เพียงพอที่จะขุดรากถอนโคนคาสึจิหรอกนะ” คนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมานานกว่าพึมพำ
“หมายความว่ายังไงครับ”
“แกทำส่วนของแกไปเถอะ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง” อิทาจิพูดตัดบท แต่เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงของคนเป็นน้อง เขาก็จำจะต้องเอ่ยประโยคถัดมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ พรุ่งนี้บอกให้ซากุระมาที่ห้องฉันด้วยล่ะ ฉันอยากเจอหลาน”
มันได้ผลชะงักเพราะแววตาของซาสึเกะเปลี่ยนไปแทบจะในทันที จากที่เคยสงสัยจับผิดคำพูดของพี่ชาย ก็กลายเป็นลุกโชนไปด้วยอารมณ์หึงหวง
“ลูกของผมยังไม่คลอด พี่คงจะได้เจอแต่แม่เด็กนะครับ แต่ถ้าอยากเจอมากผมจะบอกให้ก็ได้ แม่คุณคงจะดีใจมาก!” เอ่ยเสียงเย็นแล้วปิดฉากด้วยเสียงตะคอก จากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสายออฟไลน์ไปอย่างไม่ไว้หน้า คนถูกตะคอกใส่ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก
“ทำไมมันถึงเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้นะ” บ่นอย่างระอากับพฤติกรรมสุดจะทนของน้องชาย ก่อนจะส่งแท็บเล็ตคืนเลขาพลางออกคำสั่ง
“ต่อสายถึงนายกฯให้ฉันที บอกเขาว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ตอนนี้หรือครับ?” คิซาเมะย้อนถามหลังจากมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม
“ใช่ แล้วมีปัญหาอะไรรึไง?”
“ผมเกรงว่ามันจะดึกไป...”
“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะดึกเกินไปรึเปล่า ฉันต้องได้คุยกับเขาเดี๋ยวนี้” ร่างสูงย้ำก่อนจะพูดต่อเสียงเครียด “นายคงรู้ใช่มั้ยว่าเราจะรอเวลาไม่ได้ ตราบใดที่นายกฯยังให้ความช่วยเหลือมันอยู่ เจ้าคาสึจิมันก็หาทางเอาตัวรอดไปได้อยู่ดี ฉันไม่ยอมปล่อยให้ไอ้เวรนั่นหรือลูกสาวของมันได้ออกมาเพ่นพ่านนอกตาราง คอยรังควานอุจิวะกับหลานของฉันหรอกนะ”
“...”
“ฉันจะขยี้พวกมันให้เละ... ตอบแทนที่พวกมันบังอาจมายุ่มย่ามกับสิ่งที่เป็นหัวใจของฉัน!”
.
.
.
“หงุดหงิดอะไรอีกคะคุณซาสึเกะ เสียงดังไปถึงห้องรับแขกเชียว”
ร่างบางในชุดนอนสีชมพูหวานแหววเดินงัวเงียมาหาคนป่วยที่นั่งหน้าบูดบนเตียงไม่ยอมหลับยอมนอน ซาสึเกะตวัดตามองภรรยาสาวสวยที่รับอาสาเป็นคนเฝ้าไข้คืนนี้อย่างไม่พอใจ เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นพลางเอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“พี่บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปหา เห็นว่าอยากเจอหลาน” บอกเสียงห้วนสั้นโดยไม่มองหน้าคนฟังที่อุตส่าห์ตื่นมาดูอาการตัวเองเลยสักนิด ร่างบางก้มหน้ามองพื้น... เจ็บปวดใจเหลือเกินที่เขากลับมาทำหมางเมินใส่อีกแล้ว
แค่เพราะเธอ...
“ค่ะ แค่นี้ใช่มั้ยคะ?”
“ทำไม? เธออยากให้มีมากกว่านี้รึไง” ร่างสูงถามเสียงแข็งจนเกือบจะกลายเป็นตวาด
“เปล่าค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ “ว่าแต่ทำไมคุณต้องโกรธด้วยล่ะคะ คุณอิทาจิเค้าเป็นพี่ชายของคุณนะ คุณยังจะหึงอีกเหรอ”
“ฉันไม่ได้หึง!”
“ค่ะ ไม่หึงก็ไม่หึง” ตอบเสียงแผ่วพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆให้สามี ร่างบางหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องรับแขกที่ใช้เป็นที่นอนเมื่อเห็นว่าซาสึเกะไม่ได้มีอาการอะไรที่ดูน่าเป็นห่วง ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะอยู่เผชิญหน้ากับเขาที่ตั้งป้อมรังเกียจเธอมาตั้งแต่ช่วงบ่าย
ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอเอง...
เธอผิดเองที่โกหกเขาว่าจะไปหาอะไรทานข้างล่างทั้งที่จริงแล้วเธอไปพบกาอาระ และมันก็คงจะเป็นคราวซวยของเธอที่บอดี้การ์ดของซาสึเกะบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าแล้วเอาเรื่องไปรายงานเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโกรธเธอเป็นฟืนเป็นไฟจนกระทั่งถึงตอนนี้
“จะไปไหนน่ะ” คนกำลังโกรธเอ่ยถามเสียงโหวงเหวงเพราะเห็นแม่ตัวดีทำท่าจะเดินหนีไป
เขากำลังโกรธเธออยู่ก็จริง แต่เธอมีสิทธิ์เดินหนีเขาแบบนี้หรือ?
“ไปนอนค่ะ”
“เดี๋ยว!” เผลอเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องนั่งเงียบกริบเมื่ออีกฝ่ายหันมามองอย่างงุนงง
“มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“...”
“คุณซาสึเกะ?”
“ฉัน... ฉันฝันร้าย!”
เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขาพอจะคิดได้...
ใครมันจะไปยอมบอกว่ากำลังคิดถึงเจ้าของเนื้อตัวนุ่มนิ่มนั่นใจแทบขาด เธอบังอาจทิ้งเขาให้ชะเง้อคอรออยู่นานสองนานโดยที่ตัวเองกำลังคุยกระหนุงกระหนิงอยู่กับผู้ชายคนอื่น นี่ถ้าลูกน้องของเขาไม่มาบอก แม่คุณก็คงจะตีหน้าซื่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นสิ? คนใจร้ายแบบนี้ต้องได้รับการลงโทษ เขาจะโกรธเธอแบบนี้ไปสามวันสามคืน!
ทีหลังเธอจะได้ไม่ทำอีก!
“แล้ว?” คำสั้นๆที่ไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากไปกว่า ‘แล้วไงล่ะ?’ ทำเอาคนวางแผนโกรธไปสามวันสามคืนอึ้ง
‘แล้ว’
“ ‘แล้ว’? เธอพูดได้แค่นี้รึไง ฉันฝันร้ายนะ ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” พูดอย่างเอาแต่ใจพลางแค่นหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากหยักสวยแสยะยิ้ม
“ใช่ซี่~ ฉันมันไม่หล่อ ไม่เท่ ไม่ใจดีเหมือนไอ้ทานุกินั่นนี่ เธอถึงได้ไม่ใส่ใจ ทิ้งขว้างเหมือนหมูเหมือนหมา ฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่สนสินะ เหอะ!”
“คุณซาสึเกะ...”
“ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน! จะไปนอนก็ไปซะสิ ไปเลย ผู้หญิงนิสัยไม่ดี ได้แล้วก็เฉดหัวทิ้ง ฮึ! ฉันนอนฝันร้ายคนเดียวก็ได้” พูดจบก็ล้มตัวนอน ก่อนจะยกมือกุมแผลที่ชายโครงประหนึ่งว่ากำลังเจ็บปวดแสนสาหัส ปากบ่นพึมพำหากแต่ก็ดังพอที่เธอจะได้ยิน
“เจ็บแผลจะตายเมียก็ไม่สนใจ แถมยังมีกะจิตกะใจไปจี๋จ๋ากับผู้ชายคนอื่นอีก ฝันร้ายแค่นี้เขาจะมาสนใจอะไร!”
ซากุระที่เห็นดังนั้นก็น้ำตาแทบร่วง เขาไม่รู้เลยหรือว่าแค่การประชดประชันเล็กๆน้อยๆของเขามันก็ทำให้ใจเธอเจ็บราวกับถูกมีดกรีด เรื่องนี้เธอผิด เธอรู้ดี แต่เธอก็มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น หากเขายอมเชื่อใจเธอ ยอมรับฟังเธอสักนิด...
ก็คงจะดีกว่านี้...
ร่างบางเดินไปใกล้เตียงคนไข้อย่างเหนื่อยล้าก่อนจะถือวิสาสะขึ้นไปนอนเคียงข้างคนป่วยที่ยังคงนอนหันหลังให้ หญิงสาวซบใบหน้าไปที่แผ่นหลังกว้างๆของสามีพลางเอ่ยเสียงเศร้า
“คุณเป็นแบบนี้ฉันเสียใจนะคะ ฉันบอกแล้วนี่คะว่าฉันกับคุณหมอเราไม่ได้มีอะไรกัน เขาเรียกฉันไปพบเพราะเป็นห่วงในฐานะเพื่อน และที่ฉันไม่บอกให้คุณรู้ก็เพราะกลัวว่าคุณจะเป็นแบบนี้นี่แหละ”
“เหอะ!”
“หรือคุณไม่ไว้ใจฉันคะ? ที่คุณหวาดระแวงเรื่องของฉันกับผู้ชายคนโน้นคนนี้เป็นเพราะคุณไม่เชื่อใจว่าฉันรักคุณคนเดียวใช่มั้ย”
“...”
“คุณคิดแบบนั้นจริงๆสินะคะ” ร่างบางถามเสียงสั่นสะท้านเมื่อเห็นเขาเงียบไปราวกับยอมรับ
น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจและเต็มไปด้วยความผิดหวังของเธอทำให้ร่างสูงฉุกคิดว่าตนควรพูดอะไรสักอย่าง สมองสั่งให้เขาปฏิเสธออกไปติดแต่ว่าปากมันดันไม่ยอมทำตาม มิหนำซ้ำยังทรยศด้วยการบอกสิ่งที่อยู่ในใจเสียหมด
ราวกับว่ามันรอเวลานี้อยู่นานแล้ว...
“จะไม่ให้ฉันคิดได้ยังไงล่ะ ถ้าเทียบกับคนพวกนั้นที่เข้ามารุมล้อมเธอ ฉันมีอะไรสู้ได้เหรอ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจไม่แพ้กัน ภาพของจูโกะ นารูโตะ และสูติแพทย์หนุ่มลอยเข้ามาในหัว
“ฉันเคยทำร้ายเธอ เคยทำให้เธอเสียใจมาไม่รู้เท่าไหร่ ฉันมันนิสัยไม่ดี ไม่ใช่สุภาพบุรุษ ดีแต่ทำให้เธอมีอันตราย ฉันเกือบจะปกป้องเธอกับลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่คนพวกนั้น... แตกต่างจากฉันเหมือนอยู่กันคนละขั้ว มีดีทุกอย่าง... ที่ฉันไม่มี”
“คุณก็เลยกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นหรือคะ?” ร่างบางถามเสียงอ่อนลง สัมผัสได้ถึงความกลัวลึกๆในใจเขา มันคงเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับที่เธอมีมาตลอด
‘ไม่คู่ควร’
เป็นคำที่เธอเคยย้ำกับตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองคู่ควรพอที่จะยืนเคียงข้างซาสึเกะ เธอไม่มีอะไรดีพอสำหรับเขา เธอจึงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความรัก ความรู้สึกกลัว... กลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะถูกทิ้งเพราะคนรักพบกับคนที่เหมาะสมกว่า
“เธออาจจะคิดว่าตัวเองรักฉันเพราะฉันเป็นคนแรกของเธอ แต่จริงๆเธออาจจะไม่ได้...”
“ฉันรักคุณค่ะ และก็ไม่ได้รักเพราะเหตุผลงี่เง่าแบบนั้น แต่รักเพราะรัก”
เธอเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้พูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจทั้งเขาและตัวเธอเอง มือเรียวเล็กประคองใบหน้าหล่อเหลาให้หันมามองเธอ ดวงตาสีรัตติกาลที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งมันก็น่าหลงใหล กำลังวูบสลดอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยในความรักของเธอเลยสักนิด หากแต่ความหลังฝังใจในอดีตกลับทำให้เขาลังเล เขากลัวว่าเธอจะทรยศเหมือนผู้หญิงคนนั้น กลัวว่าเธอจะทิ้งเขาไป ยิ่งตอนนี้ในตัวของเธอมีลูกน้อยของเขาอยู่...
เขาก็ยิ่งกลัว...
กลัวจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว...
“ไม่ต้องกลัวนะคะคุณซาสึเกะ ฉันไม่ปล่อยมือคุณแล้วไปหาคนอื่นหรอก” เธอพูดราวกับอ่านใจเขาออก
“คุณไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปเทียบกับใคร คุณมีดีในแบบของคุณเอง”
“...”
“คุณบอกว่าตัวเองร้ายกาจ นิสัยไม่ดี แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นนะคะ เพราะสำหรับฉันแล้วคุณน่ารักมากค่ะ แวบแรกที่ฉันรักคุณมันอาจจะเป็นเพราะฉันโดดเดี่ยว ฉันต้องการใครสักคนที่เป็นที่พึ่งให้ฉันได้ และคุณก็เข้ามาในชีวิตฉันพอดี แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองคงรักคุณหัวปักหัวปำ รักในความขี้เก๊กปากแข็งของคุณ รักในความจริงจังกับทุกเรื่อง รักในหัวใจบริสุทธิ์ที่อุทิศให้ตระกูล รักที่คุณเป็นคุณ และรักแค่คุณคนเดียวค่ะ”
คำยืนยันจากปากภรรยาสาวทำเอาคนฟังหน้าแดงจัด ร่างสูงก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยของเธอ เขากำลังเกิดอาการ ‘เขิน’ อย่างหนัก เธอเอ่ยคำว่า ‘รัก’ ออกมามากเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน แถมยังพูดโดยที่บังคับให้เขามองหน้าสวยๆกับตาซึ้งๆของเจ้าตัวอีกต่างหาก
เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่เจอแบบนี้แล้วจะไม่รู้สึกอะไรเสียหน่อย
ร่างบางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะจุ๊บที่ปากของเขาเบาๆอย่างน่ารัก
“เลิกงอนนะคะ ฉันเหนื่อยที่จะง้อแล้วนะ”
“งอน? ใครงอน ฉันคนนี้นี่นะ? เธอเข้าใจผิดแล้วมั้ง” คนขี้งอนปฏิเสธเสียงสูง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เสียหน้าหมั่นไส้จนคนมองอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วจิ้มหน้าหล่อๆของสามีพร้อมกับออกแรงผลักเบาๆ
“ไม่ต้องมาเก๊กเลย หน้าบูดทั้งวัน ฉันถามอะไรไปก็พูดคำตอบคำ ทำเสียงกระโชกโฮกฮากใส่ แบบนี้ไม่เรียกว่างอนแล้วจะเรียกอะไรคะ?”
“...”
“อย่ามาทำเป็นวางฟอร์มค่ะ มุกทำเงียบใส่เพราะไม่ยอมรับน่ะ ฉันเห็นมาจนชินแล้ว และก็อย่ามาโกรธกลบเกลื่อนด้วย เพราะคราวนี้ถ้าคุณโกรธ... ฉันจะไม่ง้อ ไม่สนใจ ไม่มาหามาเยี่ยม ปล่อยให้คุณเฉาตายอยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆด้วย!”
เป็นคำขู่ที่น่ากลัวจนคนขี้งอนแต่ไม่อยากเสียฟอร์มยอมรับถึงกับต้องด้นเหตุผลขึ้นมาเองสดๆ ร่างสูงพลิกตัวหันกลับมาหาคนตัวเล็กแล้วรวบเอวบางมากอด ล็อกตัวอย่างแน่นหนาเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปแล้วทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตามที่ปากว่า ปากหยักได้รูปขยับบอกเหตุผลที่ตนมีอาการแปลกๆทั้งวัน
มันน่าจะเหตุผลที่ยอมรับกันได้... มั้ง
“หิวไง ฉันเป็นแบบนี้ เพราะ - ฉัน - หิว!”
“!!!”
พอเจอตอบกลับมาแบบนั้นคนถามก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งเห็นสายตากรุ่มกริ่มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเจ้าเป็ดหื่น ใบหน้าสวยหวานก็ขึ้นสีแดงเรื่อ เพิ่งรู้ตัวว่าตกหลุมพรางพ่อคนมากเล่ห์เสียแล้ว
“ไม่ใช่เพราะหิวแน่ๆ” เธอค้านสุดตัว แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอีกฝ่ายจับมือเธอไปแปะ ‘หลักฐาน’ ที่เริ่มจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ช่วยยืนยันอีกเสียงว่าเจ้านายของมันกำลัง ‘หิว’ จริงๆ
“เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าหิว”
“บ้า! ลามก! ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ยังจะมา...” ร่างบางยั้งปากเอาไว้ทัน เธอไม่มีทางพูดอะไรน่าอับอายแบบนั้นออกไปแน่ๆ ซาสึเกะหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นใบหน้านวลซับสีเรื่อ
เมียเขาตอนอายนี่น่ารักจริงๆ ให้ตายสิ!
“ ‘ยังจะมา...’ อะไรเหรอ?”
“ฉะ... ฉันไม่บอกหรอกค่ะ! ว่าแต่มาทำแบบนี้น่ะ แผลเมื่อเช้าหายดีแล้วเหรอคะ อื๊อ...”
“อย่าขัดใจฉัน” เขาสั่งหลังจากที่ทำให้เธอแทบละลายด้วยจูบอาบยาพิษ... เป็นยาพิษที่ทำให้ร่างกายของเธอร้อนเป็นไฟ
“เธอไม่รู้เหรอ ว่าเวลาที่ลูกเป็ดมันอดอยากน่ะ ฤทธิ์มันเยอะนะ”
จากตอนแรกจะจัดอีก 20% เป็นบทเชือดเจ๊คาริน ทำไมมันถึงออกมาเป็นฉากโชว์หื่นของเกะได้ว้า -0- เอาเถอะค่ะ อาจจะเป็นเพราะไรต์กำลังเจ็บปวดจาก naruto gaiden ฮรือออ T^T นึกถึงแล้วมันก็น่าเจ็บใจจริงๆ อิเกะนะอิเกะ แกทำอร๊ายยย ทิ้งลูกทิ้งเมียไปแรลลี่ในป่านี่สมควรแล้วรึ ตอนอ่านฉากซาราดะถามหนูกุงี้น้ำตาขุ่นแม่แทบไหล อะไรมันจะดราม่าขนาดน้านนนน แต่ไรต์ก็ชอบอยู่นะที่เปิดมาดราม่าแบบนี้ จะชอบมากถ้ามั่นใจว่าเรื่องจะไม่พลิกประมาณว่าอิเกะไปจุดๆๆกับคารินแล้วเอาลูกมาให้กุเลี้ยงเนี่ย -__- ถึงจะมั่นใจ 99.99%ว่าซาราดะเป็นลูกเกะกุก็เถอะ แต่อ.คิชิอาจจะอยากถูกเผาบ้านด้วยการเอา 0.01%มาเรียกมือวางเพลิงก็ได้ -.-
เอ้า! พูดถึงเรื่องอื่นไปเยอะ พูดถึงฟิคบ้างดีกว่า ฟิคของเราก็ดำเนินมาจนถึงตอนจะจบแล้วนะคะ ตอนหน้าก็อวสานกันแล้ววว เย้! ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาแต่งนานขนาดนี้ ขอโทษค่ะที่ไรต์อู้บ่อยไปหน่อย T^T สำหรับใครที่หลุดมาเพื่ออ่านฟิคย้อมใจไรต์ยินดีต้อนรับนะคะ 555 แล้วคุณจะรู้ว่าเวลาอกหักจากนารูโตะ คุณไม่ได้อกหักแค่คนเดียว T^T
ความคิดเห็น