ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #47 : CHAPTER 41 : ครั้งที่สาม (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 9.77K
      167
      25 เม.ย. 58

    บทที่ 41 ครั้งที่สาม

     

     

    ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์, สหรัฐอเมริกา

     

                “เช็คเอ้าท์ห้องสามศูนย์ศูนย์เก้าครับ”

     

                เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยเป็นภาษาอังกฤษของชายหนุ่มเชื้อสายเอเชีย ทำให้รีเซฟชันสาวที่รับหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับส่วนหน้าของโรงแรมเริ่มได้สติ เมื่อครู่เธอเผลอมองหน้าแขกวีไอพีที่เข้าพักห้องสวีทของโรงแรมและก็ตกอยู่ในห้วงเสน่ห์ของเขาอย่างมิอาจถอนสายตาได้ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่มีส่วนสูงไม่แพ้หนุ่มอเมริกันแถมยังมีใบหน้าหล่อเหลาที่สังเกตเห็นได้แม้จะสวมแว่นตากันแดดปกปิด ส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร เล่นเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น รีเซพชันสาวก้มหน้าก้มตาทำรายการเช็คเอ้าท์ให้แขกกิตติมศักดิ์เพื่อกลบเกลื่อนความเขิน

     

    เจอแขกผู้ชายมารึก็เยอะ ไม่เห็นมีใครน่ากินขนาดนี้เลย!

     

                คิดในใจแล้วก็คีย์ข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ของโรงแรม แต่พอชื่อของแขกที่เข้าพักห้องสามศูนย์ศูนย์เก้าปรากฏบนจอสี่เหลี่ยม สาวเจ้าก็ยกมือปิดปาก ดวงตาสีน้ำข้าวเบิกโพลงอย่างตกใจ

     

                “เอริค แซนเดอร์สัน!

     

    หญิงสาวตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงใจเจ้าของชื่อที่ดูจะหน้าเจื่อนลงไปเล็กน้อย ซาอิ หรืออีกชื่อก็คือเอริค แซนเดอร์สัน ถอนหายใจอย่างระอา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าเหมือนกับเมื่อคืนเป๊ะ รีเซพชันคนเมื่อคืนก็ตกใจเมื่อเห็นชื่อของเขาเหมือนกัน

     

    “ครับ” เขายอมรับพร้อมกับส่งยิ้ม ค่อนข้างจะเข้าใจอาการตกอกตกใจของรีเซพชันสาวคนนี้อยู่ไม่น้อย เพราะชื่อของเขา... ไม่สิ นามสกุลของเขา ไม่มีใครในชิคาโกที่ไม่รู้จัก

     

    แซนเดอร์สันคือหนึ่งในสี่ตระกูลเก่าแก่ที่เรียกได้ว่าเป็นสี่อภิมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลมากที่สุดในชิคาโก ตระกูลแซนเดอร์สันนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าตั้งรกรากอยู่ที่ชิคาโกมาเป็นร้อยปี จึงเป็นตระกูลที่เป็นเจ้าของที่ดินกว่าหนึ่งในสาม ซึ่งนับได้ว่าครอบครองที่ดินมากที่สุดในชิคาโกเลยก็ว่าได้ และนอกจากจะเป็นตระกูลที่ถือครองที่ดินมากที่สุด แซนเดอร์สันยังเป็นตระกูลที่เป็นเจ้าของเรือสำราญและเรือสินค้าหลายสิบลำ สำหรับให้แขกหรือนักท่องเที่ยวเช่าเพื่อชมบรรยากาศของทะเลสาบมิชิแกน และขนส่งสินค้าระหว่างรัฐ

     

    หลังจากเช็คเอ้าท์ที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับสนามบินเสร็จ ซาอิก็มานั่งรอคนจากคฤหาสน์แซนเดอร์สันที่จะมารับเขากลับ บ้านอยู่ที่ร้านกาแฟในโรงแรม ร่างสูงเอามือนวดขมับเบาๆบรรเทาอาการปวดศีรษะตุบๆและคลายความง่วงไปในตัว เป็นเพราะเมื่อคืนกว่าจะมาถึงชิคาโกก็ปาไปเกือบห้าทุ่ม เขาไม่อยากรบกวนให้คนที่คฤหาสน์มารับตอนดึกๆจึงเช็คอินที่โรงแรมใกล้ๆสนามบิน แต่พอรุ่งเช้าก็ต้องรีบขุดตัวเองขึ้นมาจากที่นอนเพราะนัดกับพ่อบ้านเอาไว้ตอนเก้าโมงเช้า ทั้งที่ร่างกายยังอยู่ในสภาพร่อแร่เพราะมีอาการเจ็ทแล็ก ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับคนที่เดินทางข้ามประเทศแล้วร่างกายปรับตัวไม่ทัน  

     

                “คุณหนู!

     

                เสียงแหบๆของชายวัยเกือบชราทำให้คนที่กำลังหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมหันไปมอง ชายในชุดพอบ้านกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขาโดยมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่น่าจะประจำตำแหน่งพนักงานขับรถวิ่งตามกันมา

     

                “ไม่ได้เจอกันนานนะครับอัล”

     

                เขาทักทายพ่อบ้านวัยหกสิบพร้อมกับยิ้ม ดวงตาสีน้ำข้าวของชายแก่มอง คุณหนูที่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กด้วยความคิดถึงก่อนจะโผเข้ากอด ซาอิยืนยิ้มปนขำ อัลเบิร์ต บราวเออร์ มักจะแสดงความรู้สึกแบบเปิดเผยกับเขาเสมอ

     

                “สองปีได้แล้วมั้งครับ ตั้งแต่ที่ผมไปเยี่ยมคุณหนูที่แมสซาชูเซตส์เมื่อตอนนั้น คุณหนูก็ไม่ยอมให้ผมไปพบอีกเลย” พ่อบ้านวัยดึกเอ่ยด้วยน้ำเสียงปนน้อยใจหลังผละจากตัวเจ้านายหนุ่ม ซาอิยิ้ม...

     

                “คุณก็รู้นี่ครับ ว่าผมมีเหตุผล”

     

                “แต่คุณหนูครับ การแก้แค้น... มันสำคัญกับคุณหนูมากกว่าพวกเราหรือครับ” พวกเราที่ชายแก่หมายถึงคือคนที่คฤหาสน์แซนเดอร์สัน ร่างสูงยังคงระบายยิ้ม หากแต่รอยยิ้มนั้นช่างดูเศร้าสร้อย

     

                “คุณเคยถามคำถามนี้กับผมแล้วนะครับ และคำตอบของผมก็เหมือนเดิม... พวกคุณคือชีวิตของผม...”

     

                “ แต่การแก้แค้นคือเหตุผลที่ทำให้คุณหนูมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะคิดยังไง พวกเราก็ไม่สำคัญสำหรับคุณหนูเท่ากับการแก้แค้น”

     

                “อย่าคิดแบบนั้นสิครับ” เขาว่าพลางส่ายหน้าเบาๆ

     

    “และที่สำคัญตอนนี้มันจบแล้วครับอัล ทุกอย่างจบแล้ว... ผมจะกลับมาเป็นเอริค แซนเดอร์สัน คุณหนูของคุณเหมือนเดิม”

     

    .

    .
    .

     

     

                “เอริค! ลูกกลับมาแล้ว!

     

                เสียงร้องทักที่เต็มไปด้วยความดีใจของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นทันทีที่เขาก้าวขาเหยียบพื้นอิฐอันเป็นส่วนหนึ่งของลานกว้างหน้าคฤหาสน์สไตล์ตะวันตก และยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวขาไปไหน เจ้าของใบหน้าสวยสง่าที่ความงามไม่ได้ลดน้อยลงเลยจากเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ปรากฏตรงหน้า มิเชล แซนเดอร์สันแม่บุญธรรมของเขานั่นเอง

     

                “คุณแม่...”

     

                “คราวนี้ล่ะแม่ไม่ยอมให้ไปไหนแล้วนะ!

     

                “ครับ ผมไม่ไปไหนแล้วครับคุณแม่” ซาอิว่าพลางโอบกอดร่างผอมบางของอีกฝ่ายด้วยความคิดถึง แถมโบนัสด้วยการจุ๊บแก้มซ้ายขวาของมารดาอย่างเอาอกเอาใจ มิเชลตีแขนลูกชายเบาๆ

     

                “ไม่ต้องมาอ้อนแม่เลย รีบเข้าบ้านกันเถอะ พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย” พูดจบก็ฉุดลากตัวพ่อลูกชายตัวดีเข้าบ้าน

     

    ซาอิยิ้ม... เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่ออกว่ากำลังดีใจหรือกำลังเศร้ากันแน่ ดวงตาสีนิลมองคฤหาสน์ทรงตะวันตกด้วยความคิดถึง เขาไม่ได้มาที่นี่หกปีแล้วสินะ ตั้งแต่ที่เขาตัดสินใจกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่นนั่นแหละ พอคิดมาถึงตรงนี้อกข้างซ้ายก็เจ็บแปลบ...

     

    ยังมีใครอีกคน...

    ที่เขาคิดถึงไม่แพ้กัน....

     

                “คุณคะ เอริคกลับมาแล้วค่ะ”

     

                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนี่ ไอ้ลูกชาย ยินดีต้อนรับกลับบ้าน” อาเธอร์ แซนเดอร์สัน นักธุรกิจผู้นำแซนเดอร์สันกรุ๊ปคนปัจจุบัน เอ่ยทักบุตรบุญธรรมที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาหลายปีอย่างอารมณ์ดี ชายวัยกลางคนที่เรือนผมที่เคยดกดำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลานั่งไขว่ห้างเหมือนกำลังรอเขาอยู่ที่โซฟารับแขก ซาอิเดินไปนั่งที่โซฟาตัวข้างๆส่วนมิเชลนั่งขนาบข้างอาเธอร์ผู้เป็นสามี

     

                “ครับคุณพ่อ”

     

                “ฉันเพิ่งได้ข่าวจากอิทาจิเมื่อกี้ เรื่องทางโน้นน่ะ เรียบร้อยแล้วสินะ”

     

                “ครับ” ซาอิพูดพลางพยักหน้า ก่อนเจ้าตัวจะขมวดคิ้วเพราะเอะใจในประโยคของผู้เป็นพ่อ “ว่าแต่ คุณพ่อเพิ่งได้ข่าวเมื่อกี้? ผมคิดว่าคุณพ่อรู้แล้วถึงเรียกผมกลับมาซะอีก”

     

                “อ้อ ใช่สิ พวกเรามีสัญญากันอยู่นี่ แกเคยสัญญากับฉันว่าถ้าฉันปล่อยให้แกไปจัดการแก้แค้นคนที่ทำกับฟุงาคุและพ่อของแก แกจะยอมทำตามที่ฉันต้องการทุกอย่าง” อาเธอร์เมินข้อสงสัยของลูกชาย เขาเปลี่ยนเรื่องไปพูดถึงสัญญาที่ซาอิเคยให้ไว้กับตนตั้งแต่เจ้าตัวยังเป็นเด็ก

     

                “คุณคะ ทำไมต้องมาพูดแบบนี้กับลูกด้วยล่ะ สัญญงสัญญาอะไรกัน แค่ลูกกลับมาก็น่าจะพอแล้วนี่คะ และที่สำคัญ เหตุผลที่คุณเรียกลูกกลับมา...”

     

                “ไม่ได้หรอก สัญญาต้องเป็นสัญญา นี่เป็นสัญญาลูกผู้ชายของผมกับลูก คุณน่ะดูอยู่เฉยๆเถอะ” เขาเอ่ยขัดภรรยาของตน มิเชลเชิดหน้าใส่อย่างไม่พอใจ

     

                “ฮึ!

     

                “ผมไม่ลืมหรอกครับคุณพ่อ” ซาอิเอ่ยห้ามทัพสงครามเย็นของพ่อแม่บุญธรรม เขายิ้มให้มิเชลที่เปลี่ยนฝั่งย้ายมานั่งข้างตน อาเธอร์ส่ายหน้าเบาๆกับความขี้งอนของภรรยาที่แม้จะอายุเยอะแล้วแต่ก็ยังคงความสวยสะพรั่งไม่ต่างจากเดิม แน่นอนว่าความขี้งอนของเจ้าตัวก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย เขาหันกลับมามองซาอิพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์

     

                “ก็ดี งั้นตอนนี้ฉันขอใช้สิทธิ์สัญญานั่นก็แล้วกัน”

     

                “ครับ?”

     

    “แต่งงานซะ กับผู้หญิงที่ฉันเลือกให้”

     

    !!!

     

    “จากนั้นก็มาเตรียมรับช่วงต่อกิจการของเราซักที ฉันปล่อยให้แกทิ้งเวลาไปเปล่าๆตั้งหกปีแล้ว นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปแกต้องเข้าบริษัทกับฉันทุกวัน และสองปีต่อจากนี้แกก็ต้องขึ้นเป็นประธานของแซนเดอร์สันกรุ๊ป นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ” อาเธอร์บอกความต้องการของตน เขาไม่แปลกใจเลยสักนิดที่เห็นใบหน้าของลูกชายซีดเผือดลง ชายวัยกลางประสานมือกันที่หน้าขาอย่างที่ชอบทำเวลาไล่ต้อนเหยื่อ

     

    “ฉันเตรียมทุกอย่างเอาไว้แล้ว งานแต่งของแกจะจัดขึ้นอาทิตย์หน้า เตรียมตัวให้พร้อมล่ะ”

     

    “อาทิตย์หน้า? มัน... ไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ” ซาอิประท้วงทันทีที่พอตั้งสติได้ แต่คนคัดค้านคำประท้วงกลับเป็นมิเชลที่นั่งอยู่ข้างๆกัน

     

    “ไม่เร็วเลยจ้ะเอริค แม่นะ ฝันมานานแล้วว่าจะได้เห็นลูกใส่ชุดเจ้าบ่าว คงจะหล่อน่าดู~

     

    “แต่ผมยังไม่เคยเห็นหน้าคนที่จะแต่งงานด้วยเลยนะครับ! เรื่องแต่งงานผมว่าน่าจะเลื่อนออกไปก่อน...”

     

    “จะไม่มีการเลื่อนอะไรทั้งสิ้น”

     

    “แต่ผม...”

     

    “ถ้าจะมาอ้างว่าไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวก็ไปดูซะสิ เค้ามารอแกตั้งนานแล้ว” ใบหน้ายิ้มแย้มของผู้เป็นพ่อทำเอาชายหนุ่มหายใจไม่ทั่วท้อง และความกังวลก็เพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อแม่บุญธรรมหันมาส่งยิ้มหวานให้

     

    “แม่รับรองเลยจ้ะว่าลูกจะถูกใจ”

     

    .

    .

    .

     

               

                “คุณสินะครับคุณผู้หญิง ว่าที่เจ้าสาวของผม”

     

                ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเดินมาถึงสระว่ายน้ำด้านหลังคฤหาสน์ สถานที่ที่บิดาของเขาบอกว่า ว่าที่เจ้าสาวกำลังรออยู่ ดวงตาสีนิลมองร่างโปร่งบางที่ยืนหลังให้ด้วยความแปลกใจ เขารู้สึกคุ้น... คุ้นมากแม้จะเห็นแค่ข้างหลัง มันเหมือนกับ...

     

    ซาอิรีบปัดความคิดไร้สาระของตัวเองทิ้งจากสมอง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเป็นเธอ เธอไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาแค่คิดไปเอง ร่างสูงสาวเท้ายาวๆไปหาคนที่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของเขา ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เริ่มแข็งกร้าวขึ้นตามลำดับ   

     

                “ความจริงผมก็ไม่ได้อยากจะทำหยาบคายหรอกนะครับ แต่ช่วยยกเลิกหรือไม่ก็เลื่อนไปก่อนได้มั้ย งานแต่งงานของเราน่ะ คุณไม่เคยเห็นหน้าผม ผมเองก็ไม่เคยเห็นหน้าคุณ ชื่อของคุณผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ มันจะไม่ตลกเกินไปเหรอครับที่คนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อกันจะมาแต่งงานกัน”

     

    เมิน?

    เธอเมินเขาหรือ?

     

                “ไม่คิดจะหันหน้ามาพูดกับผมหน่อยเหรอครับ!?!

     

    เพียะ!

     

                “อิโนะ...” ร่างสูงร้องครางเมื่อจู่ๆคนที่ยืนหันหลังก็หันมาหน้ามาปุบปับพร้อมกับวาดมือตบหน้าเขาเต็มแรง ใบหน้าของหญิงสาวปริศนาปรากฏชัดตรงหน้า... ความเจ็บบริเวณแก้มที่ถูกตบทำให้ใบหน้าชาไปทั้งแถบ แต่เขาก็ยังตกใจเกินกว่าที่จะพูดหรือยกมือห้าม

     

    เพียะ!

    เพียะ!

    เพียะ!

     

                “ทำไมถึงมา...”

     

    เพียะ!

     

                “ไอ้บ้าเอ๊ย!

     

                ร่างบางตวัดมือตบอย่างแรงเป็นการปิดท้าย จากนั้นก็โผเข้ากอดคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอมานานนับเดือนด้วยความคิดถึง ปากก็ทั้งบ่นทั้งด่าสารพัดทั้งที่มือยังไม่ยอมปล่อยจากเอวหนา หยดน้ำใสๆไหลรินจากนัยน์ตาคู่สวยเป็นทาง

     

                “ฮึก... พี่มันบ้า! ทั้งบ้าทั้งงี่เง่า! ฮึก... ฉันรอพี่กลับมานานแล้วนะ”

     

                “ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่... เราไม่ได้อยู่ฝรั่งเศสหรอกเหรอ? ไม่สิ... เรารู้จักคุณพ่อคุณแม่ได้ยังไง แล้วเรื่องแต่งงานนี่มันอะไร”

     

                “ฮึก... ไม่มี... คำทักทายที่มันดีกว่านี้เหรอคะ!?!

     

    เพียะ!

     

                “พี่มันตายด้าน! ไอ้คนไร้หัวใจ ไอ้จืด!

     

                “หยุดนะครับ”

     

                “มีเรื่องอะไรก็ไม่พูดไม่บอก! คิดจะทิ้งก็ทิ้ง รักง่ายหน่ายง่าย อยากจะบอกเลิกก็ทำ! คนเขาอุตส่าห์มารอตั้งเป็นเดือน... ฮึก... พอเจอกันแทนที่จะดีใจอะไรบ้างยังมาทำหน้าตาตกใจเหมือนเห็นผี แทนที่จะบอกว่าคิดถึงกัน... ก็เอาแต่ถามอะไรน่ารำคาญ! ฉันไม่น่าเสียเวลามารักมารอคนอย่างพี่เลย! อื๊อ...” เสียงที่เหลือถูกชายหนุ่มทำให้เงียบด้วยริมฝีปาก เขาไม่สนใจอาการต่อต้านของร่างเล็กที่เอาแต่ดิ้นเลยแม้แต่น้อย เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีจนเธอหมดแรงนั่นแหละเขาถึงยอมปล่อยริมฝีปากบางให้เป็นอิสระ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทวนคำถาม

     

                “พี่มันน่ารำคาญเหรอ?”

     

                “ใช่ค่ะ น่ารำคาญมะ... อื๊อ...”

     

    อีกครั้งที่เขาลงโทษเธอที่บังอาจเข้าใจอะไรผิดๆ...

     

                “พี่ตายด้าน?”

     

                “ใช่... อื๊อ...”

     

    และอีกครั้ง...

     

                “พี่ไร้หัวใจ?” คราวนี้คนถามไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธซักแอะ เขาก้มลงฉกชิมริมฝีปากอิ่มสวย ละเลียดชิมอยู่อย่างนั้นจนเจ้าของร่างเล็กต้องทุบอกแกร่งออกอาการประท้วงเพราะกำลังจะขาดใจตาย

     

                “ขี้โกง ฉันยังไม่ได้ตอบอะไรเลยนะ” เธอต่อว่าพลางทำหน้ามุ่ย แต่คนโกงมีหรือจะยอมรับ ซาอิยิ้ม... เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มอย่างมีความสุขจากใจจริง ร่างสูงยกนิ้วจิ้มหน้าผากมนเบาๆ

     

                “ก็ทำโทษไว้ก่อน เห็นหน้าแบบนี้ก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่” พูดจบก็จับมือที่กำลังประทุษร้ายตนวางทาบบนอกข้างซ้ายที่กำลังกระเพื่อมรุนแรงเพราะแรงเต้นของหัวใจ ดวงตาสองคู่ประสานกันนิ่ง...

     

                “จับดูสิ พี่ไม่ได้ไร้หัวใจนะครับ และก็... คิดถึงอิโนะมากๆด้วย”

     

                “ถ้าคิดถึง... ทำไมไม่กลับมาเร็วกว่านี้ล่ะคะ ทำไมถึงไม่ส่งข่าว ไม่ติดต่ออะไรเลย”

     

                “ก็พี่ไม่รู้นี่ครับว่าอิโนะมาอยู่ที่นี่ และที่สำคัญ... พี่เพิ่งทำร้ายจิตใจเรา มอบความเจ็บปวด มอบความทรมานให้ แล้วแบบนี้ใครมันจะกล้าเอาหน้ามาให้เห็นล่ะครับ”

     

                “เหอะ! ทำร้ายจิตใจที่ว่าคงหมายถึงละครลิงหลอกเด็กที่พี่แสดงตอนเราไปทานข้าวด้วยกันใช่มั้ยคะ”

     

                “ระ... รู้ด้วยเหรอครับว่าพี่แค่แสดง?” ซาอิถามอย่างตกใจเมื่อได้ยินประโยคประชดประชันของหญิงสาว อิโนะเบะปากคนตกใจอย่างหมั่นไส้

     

                “ค่ะ! เพราะถ้าฉันไม่รู้ความจริงทุกอย่าง ป่านนี้ฉันก็คงยังอยู่ฝรั่งเศส ใช้ชีวิตตามแผนที่พี่วางไว้ให้ อ้อ อาจจะมีนอกแผนหน่อยก็ตรงจะหาแฟนชาวต่างชาติซักคนมาดามอกที่มันหักจนไม่รู้จะหักยังไงเพราะพี่ แต่จะว่าไปแล้วความจริงฉันน่าจะทำแบบนั้นนะคะ ไม่น่ามาเสียเวลารอคนปากแข็งใจอำมหิตแบบพี่เลย”

     

                “เสียใจด้วยนะครับที่มันไม่ทันซะแล้ว” ร่างสูงเอ่ยเสียงเย็น แค่ได้ยินว่าเธอจะไปหาผู้ชายคนใหม่ก็ทำเอาความโกรธพุ่งปรี๊ด เขารวบตัวร่างเล็กเข้ามากอดจนร่างกายแทบจะแนบชิดกันไปทุกส่วนก่อนจะเอ่ยเสียงเจ้าเล่ห์

     

    “ทีแรกพี่ก็กะจะตัดใจอยู่เหมือนกัน แต่เปลี่ยนใจแล้วดีกว่า เมียทั้งคน ใครมันจะไปทิ้งได้”

     

                “เฮอะ! อย่ามาแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเลยค่ะ ฉันน่ะมันหัวสมัยใหม่ ถ้ายังไม่ได้แต่งงานแต่งการกันล่ะก็ อย่าหวังว่าจะได้ใช้คำว่า เมียหรือ ภรรยาอะไรทำนองนี้เลย”

     

                “อ้อ งั้นก็แต่งเลยสิ ถ้าเราเป็นเจ้าสาวล่ะก็ พี่ว่าพี่ไปขอคุณพ่อให้จัดงานแต่งให้วันนี้เลยดีกว่า พอถึงเวลาเข้าหอเราจะได้ไปรำลึกความหลังกันหน่อย อิโนะจะได้รู้ตัวซักทีว่าตัวเองน่ะเป็นของพี่ ทั้งร่างกาย ทั้งหัวใจ...”

     

                “หลงตัวเอง!” ตวาดแว้ดขึ้นมาอย่างหมั่นไส้ แต่คนหลงตัวเองก็ไม่ได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำยังแสดงความเป็นเจ้าของด้วยการประทับจูบเบาๆที่หน้าผากมน

     

                “ถ้าไม่จริงก็ค้านมาเลยครับ”

     

                “ฮึ!” แม่ตัวดีแค่นเสียงในลำคอ เป็นอันว่าเจ้าตัวยอมสงบศึกแล้ว แต่ซาอิก็ยังคงกอดไม่ปล่อย

     

    เขาคิดถึงเธอมาก...

    มากกว่าที่เธอจะจินตนาการได้เสียอีก...

     

                “แล้วทีนี้จะเล่าได้รึยังครับว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมอิโนะถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วที่ว่ารู้ความจริงน่ะ ใครเป็นคนบอก?” ร่างสูงเริ่มซักไซ้สิ่งที่คาใจ การปรากฏตัวของเธอที่นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายและเป็นสิ่งที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน เขามั่นใจว่ามันจะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง

     

    ใครกันที่คอยชักใยอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว?

     

                “สามวันหลังจากที่ฉันไปถึงฝรั่งเศส จู่ๆคุณอิทาจิก็โทรมาที่โรงแรมที่ฉันพักค่ะ”

     

    !!!

     

    แค่ประโยคแรกก็ทำเอาหนุ่มซีดหน้าซีดลงจนแทบจะขาวเหมือนกระดาษ ขากรรไกรแข็งค้างราวกับคนที่เพิ่งเจอเรื่องช็อกมาหมาดๆ ขนในกายพากันลุกชัน ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะตกใจหรือเพราะกลัวกันแน่ ชายคนนั้นรู้แม้กระทั่งว่าอิโนะพักที่โรงแรมไหนทั้งที่เขาไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเลยทั้งสิ้น

     

    สมชื่อ จอมมารจริงๆ

     

                “เขาบอกให้ฉันไปเอาโทรศัพท์มือถือที่ล็อบบี้ เพราะมีบางอย่างอยากให้ฉันฟัง ทุกอย่างมันถูกบันทึกไว้ในนี้ค่ะ มันเป็นเหตุผลที่ฉันไม่โกรธพี่และยอมมาอยู่ที่ชิคาโกตามคำชวนของคุณพ่อพี่ที่ไปรับฉันมาจากฝรั่งเศส” หญิงสาวพูดต่อพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องบางให้ ซาอิรับมันมาอย่างงุนงง ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจสาเหตุที่อิโนะมาอยู่ที่นี่แล้ว อิทาจิคงจะเล่าทุกอย่างให้พ่อบุญธรรมของเขาฟัง จากนั้นพ่อบุญธรรมของเขาก็ตัดสินใจไปรับตัวว่าที่ลูกสะใภ้มาอยู่ด้วยกันโดยไม่บอกให้เขารู้ซักคำ รวมหัวกันปิดบังแล้วเอามาเซอร์ไพรส์ให้เขาหัวใจวายเล่น

     

    ร้ายจริงๆ!

     

    ร่างสูงกดเล่นเสียงที่ถูกบันทึกไว้ในมือถือ เขายืนนิ่งเมื่อได้ยินเสียงของตนกับอิทาจิที่คุยกันในวันที่เขาเล่นละครเพื่อบอกเลิกอิโนะ

     

    แกแน่ใจเหรอว่าจะทำแบบนี้

     

             “มันเป็นทางเดียวนี่ครับ ที่จะทำให้เธอตัดขาดจากผมได้ นกสองหัวอย่างผม... จะถูกแก้แค้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมไม่อยากให้เธอต้องมาซวยไปด้วย ผมพลาดเอง... ผมผิดเองที่เผลอ... ผมน่าจะย้ำกับตัวเองให้มากกว่านี้ ว่าคนอย่างผม ไม่สมควรรักใคร”

     

    ...ทั้งๆที่ก็รู้ตัวดีอยู่แล้ว ว่าชีวิตนี้ต้องอยู่คนเดียว ไม่ควรรักใคร... แต่ก็ยังฝืนดันทุรัง สุดท้ายจุดจบมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ ต้องทำร้ายคนที่รัก... ทำให้เขาร้องไห้ ต้องทำตัวเย็นชา โหดร้าย ทั้งๆที่อยากจะเข้าไปปลอบใจแทบขาด เป็นคนโง่ที่เอาแต่พร่ำเพ้อถึงความฝันที่เป็นไปไม่ได้ งี่เง่าจริงๆเลยนะครับ

     

                ทันทีที่ฟังจบ ร่างสูงก็นึกถึงวันนั้นที่อิทาจิมาเซอร์ไพรส์เขาที่ร้านอาหาร ตอนที่คุยกันอิทาจิก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ แต่เขาก็ไม่ได้นึกเอะใจอะไรเพราะเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่นักธุรกิจที่วางมือยังไม่เต็มร้อยอย่างอิทาจิจะมีเรื่องให้ต้องวุ่นวายอยู่กับโทรศัพท์ ซาอิระบายยิ้มเมื่อนึกถึงประโยคที่คนที่รักและเคารพเหมือนพี่ชายแท้ๆพูด

     

    “ฉันสัญญา... ว่าจะทวงสิ่งที่แกเสียไปกลับคืนมาเอง”

     

    มันหมายความว่าแบบนี้เองสินะ...

     

                “พี่ขอโทษ...” เขาบอกร่างเล็กในอ้อมแขนอย่างรู้สึกผิด อิโนะทำเพียงถอนหายใจแล้วพูดต่อ

     

                “คุณอิทาจิเขาบอกเหตุผลมาด้วยว่าที่พี่ต้องบอกเลิกฉันและร่วมมือกับพ่อแม่ฉันส่งฉันไปฝรั่งเศส ก็เพื่อปกป้องไม่ให้ฉันเป็นอันตรายจากศัตรูที่พี่คิดจะล้างแค้น แต่ฉันคิดว่ายังไงมันก็ดูงี่เง่าอยู่ดี”

     

    “...”

     

    “นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้วคะ? ไอ้ประเภทยอมตัดใจทิ้งคนที่รักเพื่อปกป้องน่ะ มันหมดยุคแล้ว พี่คิดว่าฉันกลัวนักรึไง? ฉันไม่กลัวหรอกค่ะ ศัตรูของพี่น่ะ ที่ฉันกลัวจริงๆ... ฉันกลัวว่าความรักครั้งที่สองของเรามันจะจบลงเหมือนครั้งแรกต่างหาก ฉันกลัวมากนะคะ กลัวที่จะต้อง...เลิกกับพี่อีกครั้ง ฮึก...” ประโยคสุดท้ายฟังดูขาดห้วงเพราะสาวเจ้าไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป ร่างบางกอดชายคนรักไว้แน่น ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนเสื้อเชิ้ตสีขาวของชายหนุ่มเปียกชุ่ม ซาอิกอดตอบด้วยความรู้สึกโหยหาไม่แพ้กัน

     

    “พี่ก็กลัวเหมือนกัน พี่ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่พี่ต้องทำ... เพราะพี่กลัวว่าเราจะเป็นอะไรไปมากกว่า ตราบใดที่พี่ยังจัดการศัตรูของพี่ไม่ได้ พี่ไม่มีสิทธิ์ยืนเคียงข้างเราหรอกครับ”

     

    “ความคิดโง่ๆ”

     

    “มันอันตรายมากกว่าที่คิดนะครับ”

     

    “ฉันรู้ค่ะ ก็เพราะฉันรู้นั่นแหละฉันถึงนอนไม่หลับแทบทุกวัน ฉันกลัวว่าพี่จะเป็นอะไรไป  แต่ฉันก็ต้องอดทนเพราะคุณอิทาจิห้ามไม่ให้ติดต่อพี่ เขากลัวว่าศัตรูของพี่จะจับได้เหมือนกัน แต่ว่า... สุดท้ายฉันก็ต้องขอให้คุณพ่อของพี่เรียกตัวพี่กลับ”

     

    “แสดงว่าที่คุณพ่อโทรหาพี่เมื่อคืนวาน เพราะอิโนะขอเหรอครับ?” เขาถามเสียงแปลกใจเพราะสงสัยมาตั้งแต่ที่คุยกับพ่อบุญธรรมแล้วว่าเหตุใดจึงรีบเรียกตัวเขากลับ เขาสัญญากับพ่อไว้ก็จริงว่าหากจัดการเรื่องดันโซเรียบร้อยเมื่อไหร่จะรีบกลับมาชิคาโก และเขาก็คิดว่าคำสั่งสายฟ้าแลบนั่นเป็นเพราะอาเธอร์รู้ข่าวเรื่องดันโซแล้วจึงรีบเรียกตัวเขากลับเพื่อทวงสัญญา แต่พ่อบุญธรรมของเขาก็บอกเองว่าเพิ่งรู้เรื่องเมื่อเช้า

     

    ถ้าอย่างนั้น...  

     

    “ค่ะ ฉันเป็นคนขอร้องท่านเอง เพราะฉันทนเห็นพี่เอาตัวไปเสี่ยงมุ่งแต่จะล้างแค้นไม่ได้อีกแล้ว”

     

    ร่างสูงถึงกับบางอ้อ เขาเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลที่ตัวเองต้องรีบกลับมาทั้งที่ไม่ทันจะได้ดูเลยว่าอาการบาดเจ็บของอิทาจิกับซาสึเกะเป็นอย่างไรบ้าง

     

    เพราะเธอสินะ

     

    “ยุ่งไม่เข้าเรื่องจริงๆนะครับ แต่ไม่ต้องห่วงแล้วล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว พี่ถึงได้กลับมาหาเรานี่ไง” เขาว่า พยายามเก็บความไม่พอใจเล็กน้อยไว้ แต่คนรักกันมีหรือจะไม่สังเกตเห็น อิโนะผละตัวจากอกแกร่ง เธอมองเขาด้วยแววตาตัดพ้อน้อยใจ

     

    “ยุ่ง? ฉันเป็นตัวยุ่งเหรอคะ? และที่พี่พูดนั่นน่ะ แสดงว่าถ้ามันยังไม่เรียบร้อย พี่จะไม่กลับใช่มั้ย?”

     

    “ก็ไม่ใช่แบบนั้น...”

     

    “ฉันมันไม่สำคัญสินะ!

     

    “ไม่...”

     

    “ขอโทษนะคะที่รบกวน ขอโทษด้วยที่เป็นห่วงมากจนไม่อยากให้เอาตัวไปเสี่ยงตาย!” เอ่ยเสียงประชดประชันพลางสะบัดหน้าใส่ มือเรียวปาดน้ำตาหยดเล็กๆที่พาลไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วเดินหนีคนใจจืดใจดำ ซาอิเห็นท่าไม่ดีจึงคว้าแขนอีกฝ่ายไว้

     

    “อย่าประชดแบบนี้สิ” พูดอย่างระอาในความขี้งอนของสาวคนรัก แล้วก็ต้องตกใจเมื่อจู่ๆแม่ตัวดีก็สะบัดแขนเขาออกอย่างไม่ไยดี

     

    ไม่เจอกันแค่เดือนเดียว เป็นได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

     

    อิโนะตวัดดวงตาแข็งกร้าวที่ซ่อนความน้อยอกน้อยใจมองกลับมา

     

    “ฮึ! ที่รีบเรียกมาก็แค่อยากบอกให้รู้ค่ะว่าอย่าซ่าให้มันมากนัก ถ้าเกิดไปเดินสะดุดเท้าใครแล้วเกิดตายขึ้นมา ลูกจะกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ!

     

    !!!

     

    “รู้แบบนี้ปล่อยทิ้งไว้ให้ตายไปคนเดียวก็ดี ไอ้พวกชอบทำร้ายจิตใจคนอื่น เห็นแก่ตัว!” พูดจบก็เชิดหน้าใส่ว่าที่คุณพ่อที่กำลังตะลึงงันเพราะประโยคก่อนหน้า  อิโนะเดินชนไหล่จนเขาเกือบจะเซตกสระ ริมฝีปากบางระบายยิ้มเยาะเย้ยก่อนเจ้าตัวจะหันมาลูบท้องแบนราบของตนพลางเอ่ย

     

    “พ่อแบบนี้หนูไม่อยากได้ใช่มั้ยจ๊ะ? งั้นไม่เอาเนาะ แม่ก็เบื่อเขาแล้วเหมือนกัน จู้จี้ขี้บ่น เผด็จการ ไร้รสนิยม ไม่เข้าใจหัวอกคนอื่น แถมยังตายด้านไร้ความรู้สึกชอบเสแสร้งแบบนี้ เอาไว้ก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเปล่าๆ พวกเราไปหาคนอื่น... ว้าย!” พูดไม่ทันจบคำดีคนชอบทำประชดก็ต้องร้องเสียงหลงเมื่อคนที่เพิ่งจะแกล้งชนคว้าตัวหมับจากด้านหลังแล้วดึงตัวเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น ซาอิที่เพิ่งตั้งสติได้เอ่ยเสียงสั่นพร่า หัวใจเต้นตึกตักจนแทบทะลุออกมาจากอก

     

    “ที่พูดนั่นน่ะ... พูดจริงใช่มั้ย? เรา... กำลังจะมีลูกด้วยกันใช่มั้ยครับ?”

     

    “ไม่ใช่ค่ะ ฉันกับลูกตัดพี่ออกจากกองมรดกแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะกลับญี่ปุ่น งานต่งงานแต่งอะไรนั่นก็ไม่เอาแล้ว เฮอะ! คนอุตส่าห์เป็นห่วง มีข่าวดีจะบอก แต่ถูกหาว่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง พอกันที!” ตวาดจบก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่พอใจเพราะได้ยินเสียงคนข้างหลังหัวเราะ

     

    “หึๆ”

     

    “หัวเราะอะไร? ปล่อยค่ะปล่อย ฉันจะไปเก็บเสื้อผ้าและก็ลาคุณพ่อคุณแม่ของพี่ ต้องไปขอโทษพวกท่านที่ฉันแต่งงานกับลูกชายของพวกท่านไม่ได้จริงๆ... อื๊อ...” ซาอิปิดปากคนตัวเล็กที่ชอบทำเขาประสาทจะกินด้วยริมฝีปาก เขาผละออกเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มสงบ

     

    “มีข่าวดีจะบอกพี่ไม่ใช่เหรอครับ บอกหน่อยสิ พี่อยากฟัง”

     

    “ไม่ - มี!!!

     

    “อย่าดื้อนะครับ ถ้ายังงอนงอแงแบบนี้อีกล่ะก็ พี่ ง้อขึ้นมาอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” พูดเสียงเจ้าเล่ห์แล้วยิ้มอย่างพอใจที่เห็นใบหน้าว่าที่แม่ของลูกงองุ้มเพราะถูกขัดใจอย่างแรง

     

    “ว่าไงครับ?”

     

    “...”

     

    “อิโนะ?”

     

    “ขอก่อนสิคะ” ร่างบางพูดเสียงแผ่วเบาพลางก้มหน้าก้มตามองพื้นอย่างยอมจำนน

     

    “หืม?”

     

    “ขอฉันแต่งงานก่อน ฉัน... ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงใจง่าย เที่ยวมีอะไรกับผู้ชายแถมยังท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน”

     

    “อิโนะเป็นของพี่คนเดียว ไม่ได้เที่ยวไปมีอะไรกับใครซักหน่อย” ซาอิพูดยิ้มๆ แก้ไขประโยคของเธอให้ถูกต้อง จากนั้นเขาก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิดด้วยการคุกเข่าตรงหน้า ดวงตาสีนิลลึกลับที่เธอไม่เคยมองออกว่ามันกำลังสื่อถึงอะไร...

     

    กำลังมองเธอด้วยความรัก...

     

    เป็นความรักที่ส่งตรงถึงใจ...

     

    “แต่งงานกับพี่นะครับ พี่สัญญา... ว่าจะดูแลให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เราต้องเสียใจอีกเป็นครั้งที่สาม”

     

    คำขอแต่งงานง่ายๆที่ฟังดูแปลกทำเอาหัวใจของเธอแทบหยุดเต้น น้ำตาแห่งความดีใจไหลอาบแก้มเมื่อซาอิดึงมือข้างหนึ่งของเธอไปประทับจุมพิต เป็นเครื่องหมายแทนคำสัญญา

     

    ครั้งที่สาม...

     

                เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอตกหลุมรักผู้ชายคนเดิม ผู้ชายคนเดิมที่ทำเธอรักและอกหักมาแล้วถึงสองครั้ง คนที่ทำให้เธอเสียใจ คนที่ทำให้เธอเจ็บปวด... เธอรักเขาอีกแล้ว แต่จะเรียกว่าเธอรักเขาเป็นครั้งที่สามก็คงจะไม่ถูกเท่าใดนัก เพราะเธอ...

     

    ไม่เคยเลิกรักเขาเลยสักครั้ง...

     

    “ตอนนี้พี่ยังไม่มีแหวนจะให้ เอาหัวใจไปมัดจำก่อนได้มั้ย?”

     

    “น้ำเน่า”

     

    “ใจร้ายนะครับ พอพูดห้วนๆก็หาว่าตายด้าน จืดชืด ไร้อารมณ์ พอพูดหวานๆก็หาว่าน้ำเน่า ตกลงจะเอาไงครับ? คุณ-มี-” คำเรียกนั้นทำเอา คุณเมียหน้าเหวอ เธอค้อนตามองอีกฝ่ายซ่อนความขัดเขินพลางเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก

     

    “กะ... ก็บอกแล้วว่าถ้ายังไม่ได้แต่งงาน...”

     

    “พี่อยากฟังข่าวดี” พูดขัดขึ้นเพราะไม่อยากฟังถ้อยคำแสลงหู เขาลุกยืนขึ้นพร้อมกับโอบกอดหญิงสาวคนรักไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยให้เจ้าตัวไปไหนอีก อิโนะซบหน้าลงที่อกกว้าง เธอระบายยิ้มทั้งน้ำตา...

     

    “ฉันท้องได้เกือบสองเดือนแล้วค่ะ เรากำลังจะมีลูกด้วยกันนะคะ พี่ซาอิ”

     

     

     

     

    หวานนน หวานมากกก โอ๊ย! ฟินนน!!! >< คู่นี้ถึงจะมาน้อยจนเกือบจะจางแต่ความหวานรับรองว่าไม่แพ้คู่อื่นค่ะ นาทีนี้รู้สึกอย่างจะสิงอิโนะ พ่อสามี แม่สามีก็น่ารักซะ ><    

     

     

     100%

     

     

                “พี่! พี่อิทาจิ!!!

     

                เสียงเรียกอย่างตื่นตระหนกของน้องชายที่ดังผ่านแท็บเล็ตเครื่องบาง ทำให้อุจิวะ อิทาจิ ได้สติหลังจากที่ช็อกไปนานเกือบนาทีเพราะสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งบอก ร่างสูงสั่นศีรษะแรงๆเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้กำลังเบลอจนฟังผิดฟังถูกก่อนจะพูด

     

    “แกพูดใหม่ซิ เมื่อกี้ฉันอาจจะหูฝาด”

     

                “ซากุระ... ท้องได้เกือบสามเดือนแล้วครับ ผมกำลังจะได้เป็นพ่อคนครับพี่”

     

                ซาสึเกะทวนประโยคเดิมที่เคยบอกพี่ชายไปเมื่อครู่ ใบหน้างดงามหล่อเหลาที่ปรากฏบนจอแท็บเล็ตกำลังระบายยิ้มกว้าง ส่งผลให้คนที่อยู่อีกฟากของระบบวิดีโอคอลยิ่งไม่เชื่อหูเชื่อตาตัวเองเข้าไปใหญ่ อิทาจิหันไปถามเลขาส่วนตัวที่ยืนยิ้มอยู่ข้างเตียง

     

                “นายได้ยินเหมือนฉันมั้ยคิซาเมะ?”

     

                “ครับ คุณกำลังจะได้เป็น คุณลุงแล้วนะครับ”

     

                คำยืนยันจากลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ทำเอาคนที่เพิ่งผ่าตัดหัวใจมาหมาดๆแทบจะต้องกลับเข้าห้องผ่าตัดอีกครั้งเพราะหัวใจหยุดเต้น

     

    มันเป็นเรื่องจริงหรือ? เขากำลังจะได้เป็น คุณลุงจริงๆใช่มั้ย?

     

    คิดในใจอย่างปิติยินดี รู้สึกตื้นตันจนไม่สามารถเก็บอาการนั้นไว้ได้ ร่างสูงระบายยิ้มตอบรับรอยยิ้มของว่าที่คุณพ่อที่วิดีโอคอลมาจากห้องข้างๆ มันเป็นข่าวดี... เป็นข่าวดีที่ทำให้คนที่เตรียมใจจะตายอย่างเขา

     

    รู้สึกอยากมีชีวิตอยู่...

     

    “มีน้ำยาเหมือนกันนี่”

     

    เป็นคำชมจากปากคนเป็นพี่ คนมีน้ำยาหุบยิ้มแทบไม่ทัน ซาสึเกะมุ่ยหน้าแบบที่ไม่ค่อยจะได้เห็นบ่อยนัก ไอ้รีแอคชันสุดจะตายด้านนั่นมันอะไรกัน? เขาหรือก็อุตส่าห์หวังว่าอิทาจิจะแสดงอาการดีอกดีใจให้เห็นมากกว่านี้เพราะเจ้าตัวกรอกหูเขาเช้าเย็นให้เขารีบมีทายาทสืบตระกูลที่กำลังจะกุดนี่สักที แล้วนี่อะไร? เขาก็มีให้ตามที่คุณพี่ที่เคารพต้องการแล้ว ทำไมผลตอบรับถึงได้ช่างหดหู่ขนาดนี้

     

    หรือคนเดียวจะไม่พอ?

     

                แต่ว่าที่คุณพ่อก็คิดผิดถนัด อาจจะเป็นเพราะคุยกันผ่านระบบวิดีโอคอลที่มีระบบตัดเสียงรบกวนออก เขาจึงไม่ได้ยินเสียงเครื่องวัดชีพจรที่ดังถี่ๆพร้อมส่งสัญญาณเตือนว่าเจ้าของชีพจรมีอาการหัวใจเต้นเร็วเกินกำหนดเพราะเจ้าตัวตื่นเต้นเกินเหตุ อิทาจิพยายามทำใจให้สงบลงเขาหลับตานั่งนับหนึ่งถึงสิบในใจ พออัตราการเต้นของหัวใจเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างสูงก็เริ่มตั้งข้อสังเกต

     

    “ว่าแต่แกดูอ่อนแอขึ้นรึเปล่า แค่แผลกระสุนเฉี่ยวที่ไหล่ มันทำให้คนอย่างแกถึงกับต้องนอนโรงพยาบาลเลยรึไง?”

     

    นั่นเป็นสิ่งแรกที่เขาสงสัยตั้งแต่ที่คิซาเมะยื่นแท็บเล็ตให้และบอกว่าซาสึเกะที่พักอยู่ห้องข้างๆมีเรื่องจะคุยด้วยแล้ว ในตอนนั้นเขาเพิ่งวางสายจากอาเธอร์หลังจากแจ้งข่าวเรื่องดันโซให้เจ้าตัวรู้ และยังคงมีอาการมึนเพราะเพิ่งฟื้นขึ้นมาแบบมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนหลังจากที่หลับๆตื่นๆมาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่แล้วอาการมึนๆเบลอๆนั่นก็หายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นสภาพนอนป่วยเป็นผักของน้องชาย

     

    อย่างซาสึเกะนี่นะ จะหมอบง่ายๆเพราะแผลแค่นั้น

               

    “คิซาเมะยังไม่เล่าให้พี่ฟังหรือครับ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนที่พี่อยู่ในห้องผ่าตัดน่ะ” ซาสึเกะย้อนถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ทำให้คนเป็นพี่ต้องหันไปคาดคั้นกับเลขาส่วนตัวที่ยืนยิ้มเจื่อน

     

                “มีอะไร... ที่ฉันยังไม่รู้ใช่มั้ย?”

     

                เหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน แม้ว่าอิทาจิจะฟังเรื่องราวจากเขาด้วยใบหน้าเรียบสนิท ไม่ได้แสดงอาการใดๆออกมา แต่นั่นล่ะที่น่ากลัวที่สุด เพราะมันดูไม่ออก... ว่าตอนนี้ชายคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

     

                “ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน” อิทาจิถามหลังจากที่ฟังเรื่องราวทุกอย่างจบ ใบหน้าซูบซีดเพราะอาการป่วยยังคงเรียบเฉย

     

                “ถ้าพี่หมายถึงคาริน ตอนนี้เธอเก็บตัวอยู่ในบ้านครับ ทางตำรวจไม่สามารถกักตัวเธอไว้ได้เพราะเธอยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย แต่พี่ไม่ต้องห่วงเรื่องที่เธอจะหลบหนี ผมสั่งให้จูโกะกับคนของเราจับตาดูบ้านฟุรุคาวะเอาไว้แล้ว ผมรับรอง ว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นรอดไปแน่”

     

                “แล้วคาสึจิล่ะ มันเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้รึเปล่า”

     

                “ครับ คาสึจิใช้เส้นสายสั่งให้ปล่อยตัวคารินออกมาก่อนครบกำหนดกักตัวผู้ต้องสงสัยยี่สิบสี่ชั่วโมง และก็มีความเป็นไปได้มากว่ามันคงจะใช้อำนาจของตัวเองทำให้เรื่องนี้เงียบไป”

     

                “แกจัดการได้ใช่มั้ย?” ถามย้ำอย่างเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่าฟุรุคาวะ คาสึจิเองก็ไม่ได้เคี้ยวง่ายๆ ชายคนนี้เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของดันโซ พิษสงล้วนร้ายกาจไม่ต่างกัน ซาสึเกะพยักหน้ารับ

     

                “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ยังไงผมก็กะจะลงดาบสองพ่อลูกนี่อยู่แล้ว ที่ผมยังชะลอเรื่องสปายไว้ไม่เล่นงานคาสึจิก็เพราะรอให้มันใช้อำนาจของตัวเองกับพวกตำรวจเราจะได้มีข้อหาเล่นงานมันเพิ่ม และถ้ารวมกับเรื่องเมื่อคืนที่ผมไปเจอการซื้อขายสิ่งผิดกฎหมายของมันอีกเรื่อง คราวนี้มันคงจะดิ้นไม่หลุด”

     

                “แค่เปิดเผยเรื่องเลวๆของมันน่ะ ไม่เพียงพอที่จะขุดรากถอนโคนคาสึจิหรอกนะ” คนที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจมานานกว่าพึมพำ

     

                “หมายความว่ายังไงครับ”

     

                “แกทำส่วนของแกไปเถอะ ที่เหลือฉันจะจัดการเอง” อิทาจิพูดตัดบท แต่เมื่อเห็นสายตาเคลือบแคลงของคนเป็นน้อง เขาก็จำจะต้องเอ่ยประโยคถัดมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

     

    “อ้อ พรุ่งนี้บอกให้ซากุระมาที่ห้องฉันด้วยล่ะ ฉันอยากเจอหลาน”

     

    มันได้ผลชะงักเพราะแววตาของซาสึเกะเปลี่ยนไปแทบจะในทันที จากที่เคยสงสัยจับผิดคำพูดของพี่ชาย ก็กลายเป็นลุกโชนไปด้วยอารมณ์หึงหวง

     

                “ลูกของผมยังไม่คลอด พี่คงจะได้เจอแต่แม่เด็กนะครับ แต่ถ้าอยากเจอมากผมจะบอกให้ก็ได้ แม่คุณคงจะดีใจมาก!” เอ่ยเสียงเย็นแล้วปิดฉากด้วยเสียงตะคอก จากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสายออฟไลน์ไปอย่างไม่ไว้หน้า คนถูกตะคอกใส่ถึงกับอึ้งพูดไม่ออก

     

                “ทำไมมันถึงเป็นคนนิสัยเสียแบบนี้นะ” บ่นอย่างระอากับพฤติกรรมสุดจะทนของน้องชาย ก่อนจะส่งแท็บเล็ตคืนเลขาพลางออกคำสั่ง

     

                “ต่อสายถึงนายกฯให้ฉันที บอกเขาว่าฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

     

                “ตอนนี้หรือครับ?” คิซาเมะย้อนถามหลังจากมองนาฬิกาแล้วเห็นว่าเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม

     

                “ใช่ แล้วมีปัญหาอะไรรึไง?”

     

                “ผมเกรงว่ามันจะดึกไป...”

     

                “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่ามันจะดึกเกินไปรึเปล่า ฉันต้องได้คุยกับเขาเดี๋ยวนี้” ร่างสูงย้ำก่อนจะพูดต่อเสียงเครียด “นายคงรู้ใช่มั้ยว่าเราจะรอเวลาไม่ได้ ตราบใดที่นายกฯยังให้ความช่วยเหลือมันอยู่ เจ้าคาสึจิมันก็หาทางเอาตัวรอดไปได้อยู่ดี ฉันไม่ยอมปล่อยให้ไอ้เวรนั่นหรือลูกสาวของมันได้ออกมาเพ่นพ่านนอกตาราง คอยรังควานอุจิวะกับหลานของฉันหรอกนะ”

     

    “...”

     

    “ฉันจะขยี้พวกมันให้เละ... ตอบแทนที่พวกมันบังอาจมายุ่มย่ามกับสิ่งที่เป็นหัวใจของฉัน!

     

     

    .

    .

    .

     

     

                “หงุดหงิดอะไรอีกคะคุณซาสึเกะ เสียงดังไปถึงห้องรับแขกเชียว”

     

                ร่างบางในชุดนอนสีชมพูหวานแหววเดินงัวเงียมาหาคนป่วยที่นั่งหน้าบูดบนเตียงไม่ยอมหลับยอมนอน ซาสึเกะตวัดตามองภรรยาสาวสวยที่รับอาสาเป็นคนเฝ้าไข้คืนนี้อย่างไม่พอใจ เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นพลางเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

     

                “พี่บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปหา เห็นว่าอยากเจอหลาน” บอกเสียงห้วนสั้นโดยไม่มองหน้าคนฟังที่อุตส่าห์ตื่นมาดูอาการตัวเองเลยสักนิด ร่างบางก้มหน้ามองพื้น... เจ็บปวดใจเหลือเกินที่เขากลับมาทำหมางเมินใส่อีกแล้ว

     

    แค่เพราะเธอ...

     

                “ค่ะ แค่นี้ใช่มั้ยคะ?”

     

                “ทำไม? เธออยากให้มีมากกว่านี้รึไง” ร่างสูงถามเสียงแข็งจนเกือบจะกลายเป็นตวาด

     

                “เปล่าค่ะ” เธอตอบยิ้มๆ “ว่าแต่ทำไมคุณต้องโกรธด้วยล่ะคะ คุณอิทาจิเค้าเป็นพี่ชายของคุณนะ คุณยังจะหึงอีกเหรอ”

     

                “ฉันไม่ได้หึง!

     

                “ค่ะ ไม่หึงก็ไม่หึง” ตอบเสียงแผ่วพร้อมส่งยิ้มเจื่อนๆให้สามี ร่างบางหมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องรับแขกที่ใช้เป็นที่นอนเมื่อเห็นว่าซาสึเกะไม่ได้มีอาการอะไรที่ดูน่าเป็นห่วง ไม่มีประโยชน์อะไรที่เธอจะอยู่เผชิญหน้ากับเขาที่ตั้งป้อมรังเกียจเธอมาตั้งแต่ช่วงบ่าย

     

    ทั้งหมดมันเป็นความผิดของเธอเอง...

     

    เธอผิดเองที่โกหกเขาว่าจะไปหาอะไรทานข้างล่างทั้งที่จริงแล้วเธอไปพบกาอาระ และมันก็คงจะเป็นคราวซวยของเธอที่บอดี้การ์ดของซาสึเกะบังเอิญผ่านมาเห็นเข้าแล้วเอาเรื่องไปรายงานเขาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโกรธเธอเป็นฟืนเป็นไฟจนกระทั่งถึงตอนนี้

     

                “จะไปไหนน่ะ” คนกำลังโกรธเอ่ยถามเสียงโหวงเหวงเพราะเห็นแม่ตัวดีทำท่าจะเดินหนีไป

     

    เขากำลังโกรธเธออยู่ก็จริง แต่เธอมีสิทธิ์เดินหนีเขาแบบนี้หรือ?

     

                “ไปนอนค่ะ”

     

                “เดี๋ยว!” เผลอเรียกออกไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องนั่งเงียบกริบเมื่ออีกฝ่ายหันมามองอย่างงุนงง

     

    “มีอะไรรึเปล่าคะ?”

     

    “...”

     

    “คุณซาสึเกะ?”

     

                “ฉัน... ฉันฝันร้าย!

     

    เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขาพอจะคิดได้...

    ใครมันจะไปยอมบอกว่ากำลังคิดถึงเจ้าของเนื้อตัวนุ่มนิ่มนั่นใจแทบขาด เธอบังอาจทิ้งเขาให้ชะเง้อคอรออยู่นานสองนานโดยที่ตัวเองกำลังคุยกระหนุงกระหนิงอยู่กับผู้ชายคนอื่น นี่ถ้าลูกน้องของเขาไม่มาบอก แม่คุณก็คงจะตีหน้าซื่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นสิ? คนใจร้ายแบบนี้ต้องได้รับการลงโทษ เขาจะโกรธเธอแบบนี้ไปสามวันสามคืน!  

     

    ทีหลังเธอจะได้ไม่ทำอีก!

     

    “แล้ว?” คำสั้นๆที่ไม่ได้สื่อความหมายอะไรมากไปกว่า แล้วไงล่ะ?ทำเอาคนวางแผนโกรธไปสามวันสามคืนอึ้ง

     

    แล้ว

     

    แล้ว? เธอพูดได้แค่นี้รึไง ฉันฝันร้ายนะ ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ?” พูดอย่างเอาแต่ใจพลางแค่นหัวเราะในลำคอ ริมฝีปากหยักสวยแสยะยิ้ม

     

    “ใช่ซี่~ ฉันมันไม่หล่อ ไม่เท่ ไม่ใจดีเหมือนไอ้ทานุกินั่นนี่ เธอถึงได้ไม่ใส่ใจ ทิ้งขว้างเหมือนหมูเหมือนหมา ฉันจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่สนสินะ เหอะ!

     

    “คุณซาสึเกะ...”

     

    “ไม่ต้องมาเรียกชื่อฉัน! จะไปนอนก็ไปซะสิ ไปเลย ผู้หญิงนิสัยไม่ดี ได้แล้วก็เฉดหัวทิ้ง ฮึ! ฉันนอนฝันร้ายคนเดียวก็ได้” พูดจบก็ล้มตัวนอน ก่อนจะยกมือกุมแผลที่ชายโครงประหนึ่งว่ากำลังเจ็บปวดแสนสาหัส ปากบ่นพึมพำหากแต่ก็ดังพอที่เธอจะได้ยิน

     

    “เจ็บแผลจะตายเมียก็ไม่สนใจ แถมยังมีกะจิตกะใจไปจี๋จ๋ากับผู้ชายคนอื่นอีก ฝันร้ายแค่นี้เขาจะมาสนใจอะไร!

     

    ซากุระที่เห็นดังนั้นก็น้ำตาแทบร่วง เขาไม่รู้เลยหรือว่าแค่การประชดประชันเล็กๆน้อยๆของเขามันก็ทำให้ใจเธอเจ็บราวกับถูกมีดกรีด เรื่องนี้เธอผิด เธอรู้ดี แต่เธอก็มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น หากเขายอมเชื่อใจเธอ ยอมรับฟังเธอสักนิด...

     

    ก็คงจะดีกว่านี้...

     

                ร่างบางเดินไปใกล้เตียงคนไข้อย่างเหนื่อยล้าก่อนจะถือวิสาสะขึ้นไปนอนเคียงข้างคนป่วยที่ยังคงนอนหันหลังให้ หญิงสาวซบใบหน้าไปที่แผ่นหลังกว้างๆของสามีพลางเอ่ยเสียงเศร้า

     

    “คุณเป็นแบบนี้ฉันเสียใจนะคะ ฉันบอกแล้วนี่คะว่าฉันกับคุณหมอเราไม่ได้มีอะไรกัน เขาเรียกฉันไปพบเพราะเป็นห่วงในฐานะเพื่อน และที่ฉันไม่บอกให้คุณรู้ก็เพราะกลัวว่าคุณจะเป็นแบบนี้นี่แหละ”

     

    “เหอะ!

     

    “หรือคุณไม่ไว้ใจฉันคะ? ที่คุณหวาดระแวงเรื่องของฉันกับผู้ชายคนโน้นคนนี้เป็นเพราะคุณไม่เชื่อใจว่าฉันรักคุณคนเดียวใช่มั้ย”

     

    “...”

     

    “คุณคิดแบบนั้นจริงๆสินะคะ” ร่างบางถามเสียงสั่นสะท้านเมื่อเห็นเขาเงียบไปราวกับยอมรับ

     

    น้ำเสียงตัดพ้อน้อยใจและเต็มไปด้วยความผิดหวังของเธอทำให้ร่างสูงฉุกคิดว่าตนควรพูดอะไรสักอย่าง สมองสั่งให้เขาปฏิเสธออกไปติดแต่ว่าปากมันดันไม่ยอมทำตาม มิหนำซ้ำยังทรยศด้วยการบอกสิ่งที่อยู่ในใจเสียหมด

     

    ราวกับว่ามันรอเวลานี้อยู่นานแล้ว...

     

    “จะไม่ให้ฉันคิดได้ยังไงล่ะ ถ้าเทียบกับคนพวกนั้นที่เข้ามารุมล้อมเธอ ฉันมีอะไรสู้ได้เหรอ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูน้อยใจไม่แพ้กัน ภาพของจูโกะ นารูโตะ และสูติแพทย์หนุ่มลอยเข้ามาในหัว

     

    “ฉันเคยทำร้ายเธอ เคยทำให้เธอเสียใจมาไม่รู้เท่าไหร่ ฉันมันนิสัยไม่ดี ไม่ใช่สุภาพบุรุษ ดีแต่ทำให้เธอมีอันตราย ฉันเกือบจะปกป้องเธอกับลูกไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่คนพวกนั้น... แตกต่างจากฉันเหมือนอยู่กันคนละขั้ว มีดีทุกอย่าง... ที่ฉันไม่มี”

     

    “คุณก็เลยกลัวว่าฉันจะเปลี่ยนใจไปหาคนอื่นหรือคะ?” ร่างบางถามเสียงอ่อนลง สัมผัสได้ถึงความกลัวลึกๆในใจเขา มันคงเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับที่เธอมีมาตลอด

     

    ไม่คู่ควร

     

                เป็นคำที่เธอเคยย้ำกับตัวเองมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองคู่ควรพอที่จะยืนเคียงข้างซาสึเกะ เธอไม่มีอะไรดีพอสำหรับเขา เธอจึงเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่สมควรได้รับความรัก ความรู้สึกกลัว... กลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะถูกทิ้งเพราะคนรักพบกับคนที่เหมาะสมกว่า

     

    “เธออาจจะคิดว่าตัวเองรักฉันเพราะฉันเป็นคนแรกของเธอ แต่จริงๆเธออาจจะไม่ได้...”

     

    “ฉันรักคุณค่ะ และก็ไม่ได้รักเพราะเหตุผลงี่เง่าแบบนั้น แต่รักเพราะรัก”

     

    เธอเอ่ยขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้พูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจทั้งเขาและตัวเธอเอง มือเรียวเล็กประคองใบหน้าหล่อเหลาให้หันมามองเธอ ดวงตาสีรัตติกาลที่ไม่ว่าจะมองกี่ครั้งมันก็น่าหลงใหล กำลังวูบสลดอย่างรู้สึกผิด เขาไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยในความรักของเธอเลยสักนิด หากแต่ความหลังฝังใจในอดีตกลับทำให้เขาลังเล เขากลัวว่าเธอจะทรยศเหมือนผู้หญิงคนนั้น กลัวว่าเธอจะทิ้งเขาไป ยิ่งตอนนี้ในตัวของเธอมีลูกน้อยของเขาอยู่...

     

    เขาก็ยิ่งกลัว...

    กลัวจะถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว...

     

                “ไม่ต้องกลัวนะคะคุณซาสึเกะ ฉันไม่ปล่อยมือคุณแล้วไปหาคนอื่นหรอก” เธอพูดราวกับอ่านใจเขาออก

     

    “คุณไม่จำเป็นต้องเอาตัวไปเทียบกับใคร คุณมีดีในแบบของคุณเอง”

     

    “...”

     

    “คุณบอกว่าตัวเองร้ายกาจ นิสัยไม่ดี แต่ฉันไม่คิดแบบนั้นนะคะ เพราะสำหรับฉันแล้วคุณน่ารักมากค่ะ แวบแรกที่ฉันรักคุณมันอาจจะเป็นเพราะฉันโดดเดี่ยว ฉันต้องการใครสักคนที่เป็นที่พึ่งให้ฉันได้ และคุณก็เข้ามาในชีวิตฉันพอดี แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าตัวเองคงรักคุณหัวปักหัวปำ รักในความขี้เก๊กปากแข็งของคุณ รักในความจริงจังกับทุกเรื่อง รักในหัวใจบริสุทธิ์ที่อุทิศให้ตระกูล รักที่คุณเป็นคุณ และรักแค่คุณคนเดียวค่ะ”

     

    คำยืนยันจากปากภรรยาสาวทำเอาคนฟังหน้าแดงจัด ร่างสูงก้มหน้าหลบสายตาที่เต็มไปด้วยความรักความห่วงใยของเธอ เขากำลังเกิดอาการ เขินอย่างหนัก เธอเอ่ยคำว่า รักออกมามากเสียจนนับครั้งไม่ถ้วน แถมยังพูดโดยที่บังคับให้เขามองหน้าสวยๆกับตาซึ้งๆของเจ้าตัวอีกต่างหาก

     

    เขาไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่เจอแบบนี้แล้วจะไม่รู้สึกอะไรเสียหน่อย

     

    ร่างบางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะจุ๊บที่ปากของเขาเบาๆอย่างน่ารัก

     

    “เลิกงอนนะคะ ฉันเหนื่อยที่จะง้อแล้วนะ”

     

    “งอน? ใครงอน ฉันคนนี้นี่นะ? เธอเข้าใจผิดแล้วมั้ง” คนขี้งอนปฏิเสธเสียงสูง ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เสียหน้าหมั่นไส้จนคนมองอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วจิ้มหน้าหล่อๆของสามีพร้อมกับออกแรงผลักเบาๆ

     

    “ไม่ต้องมาเก๊กเลย หน้าบูดทั้งวัน ฉันถามอะไรไปก็พูดคำตอบคำ ทำเสียงกระโชกโฮกฮากใส่ แบบนี้ไม่เรียกว่างอนแล้วจะเรียกอะไรคะ?”

     

    “...”

     

    “อย่ามาทำเป็นวางฟอร์มค่ะ มุกทำเงียบใส่เพราะไม่ยอมรับน่ะ ฉันเห็นมาจนชินแล้ว และก็อย่ามาโกรธกลบเกลื่อนด้วย เพราะคราวนี้ถ้าคุณโกรธ... ฉันจะไม่ง้อ ไม่สนใจ ไม่มาหามาเยี่ยม ปล่อยให้คุณเฉาตายอยู่ที่นี่คนเดียวจริงๆด้วย!

     

    เป็นคำขู่ที่น่ากลัวจนคนขี้งอนแต่ไม่อยากเสียฟอร์มยอมรับถึงกับต้องด้นเหตุผลขึ้นมาเองสดๆ ร่างสูงพลิกตัวหันกลับมาหาคนตัวเล็กแล้วรวบเอวบางมากอด ล็อกตัวอย่างแน่นหนาเพื่อให้แน่ใจว่าเธอจะไม่หอบผ้าหอบผ่อนหนีไปแล้วทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตามที่ปากว่า ปากหยักได้รูปขยับบอกเหตุผลที่ตนมีอาการแปลกๆทั้งวัน

     

    มันน่าจะเหตุผลที่ยอมรับกันได้... มั้ง

     

    “หิวไง ฉันเป็นแบบนี้ เพราะ - ฉัน - หิว!

     

    !!!

     

    พอเจอตอบกลับมาแบบนั้นคนถามก็ถึงกับไปไม่เป็น ยิ่งเห็นสายตากรุ่มกริ่มอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเจ้าเป็ดหื่น ใบหน้าสวยหวานก็ขึ้นสีแดงเรื่อ เพิ่งรู้ตัวว่าตกหลุมพรางพ่อคนมากเล่ห์เสียแล้ว

     

    “ไม่ใช่เพราะหิวแน่ๆ” เธอค้านสุดตัว แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเพราะอีกฝ่ายจับมือเธอไปแปะ หลักฐานที่เริ่มจะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ช่วยยืนยันอีกเสียงว่าเจ้านายของมันกำลัง หิวจริงๆ

     

    “เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าหิว

     

    “บ้า! ลามก! ที่นี่โรงพยาบาลนะคะ ยังจะมา...” ร่างบางยั้งปากเอาไว้ทัน เธอไม่มีทางพูดอะไรน่าอับอายแบบนั้นออกไปแน่ๆ ซาสึเกะหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นใบหน้านวลซับสีเรื่อ

     

    เมียเขาตอนอายนี่น่ารักจริงๆ ให้ตายสิ!

     

    ยังจะมา...อะไรเหรอ?”

     

                “ฉะ... ฉันไม่บอกหรอกค่ะ! ว่าแต่มาทำแบบนี้น่ะ แผลเมื่อเช้าหายดีแล้วเหรอคะ อื๊อ...”

     

                “อย่าขัดใจฉัน” เขาสั่งหลังจากที่ทำให้เธอแทบละลายด้วยจูบอาบยาพิษ... เป็นยาพิษที่ทำให้ร่างกายของเธอร้อนเป็นไฟ

     

    “เธอไม่รู้เหรอ ว่าเวลาที่ลูกเป็ดมันอดอยากน่ะ ฤทธิ์มันเยอะนะ”

     

     

     

     

                จากตอนแรกจะจัดอีก 20% เป็นบทเชือดเจ๊คาริน ทำไมมันถึงออกมาเป็นฉากโชว์หื่นของเกะได้ว้า -0- เอาเถอะค่ะ อาจจะเป็นเพราะไรต์กำลังเจ็บปวดจาก naruto gaiden ฮรือออ T^T  นึกถึงแล้วมันก็น่าเจ็บใจจริงๆ อิเกะนะอิเกะ แกทำอร๊ายยย ทิ้งลูกทิ้งเมียไปแรลลี่ในป่านี่สมควรแล้วรึ ตอนอ่านฉากซาราดะถามหนูกุงี้น้ำตาขุ่นแม่แทบไหล อะไรมันจะดราม่าขนาดน้านนนน แต่ไรต์ก็ชอบอยู่นะที่เปิดมาดราม่าแบบนี้ จะชอบมากถ้ามั่นใจว่าเรื่องจะไม่พลิกประมาณว่าอิเกะไปจุดๆๆกับคารินแล้วเอาลูกมาให้กุเลี้ยงเนี่ย -__- ถึงจะมั่นใจ 99.99%ว่าซาราดะเป็นลูกเกะกุก็เถอะ แต่อ.คิชิอาจจะอยากถูกเผาบ้านด้วยการเอา 0.01%มาเรียกมือวางเพลิงก็ได้ -.-

     

                เอ้า! พูดถึงเรื่องอื่นไปเยอะ พูดถึงฟิคบ้างดีกว่า ฟิคของเราก็ดำเนินมาจนถึงตอนจะจบแล้วนะคะ ตอนหน้าก็อวสานกันแล้ววว เย้! ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้เวลาแต่งนานขนาดนี้ ขอโทษค่ะที่ไรต์อู้บ่อยไปหน่อย T^T สำหรับใครที่หลุดมาเพื่ออ่านฟิคย้อมใจไรต์ยินดีต้อนรับนะคะ 555 แล้วคุณจะรู้ว่าเวลาอกหักจากนารูโตะ คุณไม่ได้อกหักแค่คนเดียว T^T

      

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×