ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #43 : CHAPTER 37 : พี่น้อง (100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.67K
      105
      27 มี.ค. 58

    บทที่ 37 พี่น้อง

     

     

                “เข้ามาข้างในสิครับคนสวย พี่ชายของคุณอยู่กับผม”

     

                โทระตะพูดด้วยเสียงกึ่งท้าทายกึ่งหยอกเย้าพลางเลียริมฝีปากแผล็บ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับราชาเร็วขนาดนี้ เสือร้ายกระชับปืนในมือก่อนจะสับไกให้ลูกกระสุนอยู่ในรังเพลิง เตรียมจะยิงปะทะหากอีกฝ่ายคิดจะยิงเปิดฉาก แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่าซาสึเกะคงไม่กล้าทำอะไรหรอกเพราะเขามีตัวประกันชั้นดีอยู่ในมือทั้งคน มือหยาบกร้านกดคอคนที่นอนหมอบอยู่กับพื้นไม่ให้ขยับตัว ริมฝีปากหนายกยิ้มร้ายกาจ ดวงตาสีดำขลับจ้องมองเหยื่อที่นอนหมดสภาพเบื้องหน้า... หากมีชายคนนี้อยู่ ราชาจะต้องยอมเขาแน่...

     

    ยอมแม้กระทั่งเป็นของเขา...

     

                แต่สิ่งหนึ่งที่โทระตะคำนวณพลาด ก็คือความรักของพี่น้อง... ชายที่จิตใจถูกย้อมไปด้วยความสกปรกโสมมคงไม่ทันนึกว่าความรักความห่วงใยของพี่ชายขี้ป่วยจะสามารถเอาชนะความอ่อนแอของร่างกายได้ วินาทีที่เสือหนุ่มเผลอจ้องประตูเพื่อรอคนที่ถูกข้างนอกเปิดเข้ามา อิทาจิก็ยันตัวขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่เกรงใจความปวดร้าวระบมทั่วกายเลยสักนิด คนป่วยกระแทกศีรษะของตนชนเข้ากับศีรษะของอีกฝ่ายจนโทระตะเสียหลักล้มลงไป

     

    ตุ้บ!

     

    “อั่ก! แก!!!

     

    “ฉันไม่ยอมให้แกทำอะไรน้องฉันแน่!” ตวาดออกไปด้วยเสียงเกรี้ยวกราดพลางหอบแฮ่ก ใบหน้าหล่อเหลาบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดเพราะแผลที่ถูกยิงที่ขา โทระตะเห็นเป็นโอกาสดีจึงเล็งปืนไปที่อิทาจิ หวังจะยิงปลิดชีพเพื่อแก้แค้น...

     

    แต่ก็ยังช้ากว่าใครอีกคน...

     

    ผลัวะ!

     

    พลั่ก!

     

                “ไอ้เวรเอ๊ย!

     

                “อ๊าก!!!

     

                เหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วจนเสือหนุ่มไม่ทันตั้งตัว จู่ๆประตูไม้บานเก่าก็เปิดผลัวะก่อนที่คนข้างนอกจะถลาตัวเข้ามาพร้อมกับสบถด่า และยังไม่ทันที่เขาจะได้ลั่นไกเลยด้วยซ้ำ แข้งหนักๆก็ฟาดเข้าที่หน้าอย่างจังจนต้องร้องโอดครวญ ในหัวรู้สึกเบลอไปหมดจนแทบสิ้นสติ

     

    “พี่...” คนที่ใจร้อนบุกเข้ามาร้องครางในลำคอเมื่อเห็นสภาพปางตายของพี่ชาย ร่างสูงทรุดตัวลงพลางสำรวจดูคนที่นั่งหมดสภาพ

     

    “พี่เจ็บตรงไหน... มันทำอะไรพี่...”

     

    “แก... ไม่เป็นไรใช่มั้ย” อิทาจิพยายามเค้นคำพูดออกมา รู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าซาสึเกะยังปลอดภัยดี ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะโกยเอาอากาศเข้าปอดถี่ยิบ เขายิ้มเครียดเมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลและตื่นตระหนกของผู้เป็นน้อง

     

    “จัด... จัดการมันก่อน อั่ก!” สั่งเสร็จก็นิ่วหน้าอย่างเจ็บปวด ดวงตาสีรัตติกาลเบิกโพลงราวกับคนใกล้หมดลมก่อนจะหมดสติไปทั้งอย่างนั้น

     

    “พี่อิทาจิ!” ซาสึเกะร้องครางเสียงหลง หัวใจแทบสลายเมื่อเห็นพี่ชายที่รักยิ่งทำท่าว่าจะตายไปต่อหน้าต่อตา ร่างสูงคลำชีพจรดูอย่างร้อนรน เขาถอนใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่ามันยังเต้นดีอยู่ แต่ก็ตระหนักรู้ว่าถ้าไม่รีบพาส่งโรงพยาบาล พี่ของเขาต้องอาการหนักเข้าขั้นโคม่าแน่

     

    “อย่าขยับนะ!

     

    เพราะมัวแต่พะวงอยู่กับอาการของอิทาจิ ทำให้ร่างสูงละเลยใครอีกคนที่เขาเพิ่งประเคนหน้าแข้งให้ เสียงสั่งที่น่ารังเกียจของอีกฝ่ายทำให้ความโกรธในใจลุกโชน ยิ่งเห็นสภาพถูกยิงที่ขา มือก็ถูกจับใส่กุญแจมือของผู้เป็นพี่ คนเป็นน้องก็ยิ่งโกรธ...

     

    เขาไม่มีทางให้อภัยมัน...

     

    “แกทำเขา...” ซาสึเกะเอ่ยเสียงเย็นพร้อมกับหันใบหน้างดงามประหนึ่งอิสตรีของตนมาทางคนที่ถือปืนเล็งอยู่ ร่างสูงยันตัวขึ้น ก่อนจะเดินย่างสามขุมเข้าไปหาชายที่บังอาจทำร้ายคนที่เขารักยิ่งกว่าชีวิต

     

    “ผมบอกว่าอย่าขยับ! ผมไม่อยากทำให้คุณมีแผลนะ แต่ถ้ายังไม่ยอมเชื่อฟังกัน...”

     

    ปัง!

     

                โทระตะลั่นไก จงใจให้กระสุนนัดแรกเฉี่ยวที่ไหล่เพื่อขู่ให้คนที่ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเหลือประมาณกลัว แต่ก็เหมือนจะไร้ประโยชน์ ความเจ็บที่ไหล่ไม่ได้ทำให้ราชาได้สติ...

     

                “นัดต่อไปผมจะเล็งที่หัวใจของคุณ... ผมทำจริงๆนะ!” สำทับย้ำอีกรอบด้วยเสียงสั่นเครือ ความจริงจะลั่นไกปลิดชีวิตคนตรงหน้าเสียตอนนี้เลยก็ได้ แต่เพราะความหลงใหล...

     

    เขาทำไม่ลง...

     

    ทำไม่ได้หรอก... กับคนที่ รักน่ะ...

     

                “ผมบอกให้หยุด!

     

                “แกทำพี่ฉัน...” เอ่ยเสียงลอยล่องราวกับคนไม่ได้สติ ก่อนจะวาดขาเตะเข้าที่มือของเสือหนุ่มสุดแรงจนปืนในมืออีกฝ่ายหลุดกระเด็น

     

    พลั่ก!

     

                โทระตะตาเบิกโพลงด้วยความกลัวเมื่ออาวุธคู่กายถูกเตะกระเด็น เขารู้ดีว่าถ้าต้องลองประมือกันแบบตัวต่อตัว เขาแพ้แน่... ซาสึเกะเชี่ยวชาญด้านศิลปะป้องกันตัวมาก ฝีมือเก่งฉกาจจนเป็นที่เลื่องลือถึงในโลกมืด นั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่พ่อของเขาไม่สามารถเล่นงานชายตรงหน้าด้วยวิธีทางตรงได้ แต่จุดอ่อนของชายคนนี้ก็หาได้ยากเย็นเหลือเกิน ไม่มีลูกเมียให้มาจับตัวไว้ยื่นข้อเสนอเหมือนอย่างคราวที่ทำกับรุ่นพ่อ ครอบครัวที่เห็นก็มีแต่อิทาจิที่เขี้ยวลากดินพอๆกัน วันนี้ก็นึกว่าจะโชคดีที่คนพี่อุตส่าห์เดินเข้าถ้ำเสือด้วยความเต็มใจ แต่ถ้ำเสือก็ถ้ำเสือเถอะยามถูกราชาที่เต็มไปด้วยความโกรธถล่ม...

     

    มันก็พังยับเหมือนกัน...

     

    พลั่ก!

     

                “แกทำเขา!” อัดหมัดอันหนักหน่วงใส่จนอีกฝ่ายล้มกลิ้งพร้อมกับตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว

     

    พลั่ก!

     

                “แกทำให้เขาเจ็บ... ฉันจะฆ่าแก...”

     

    พลั่ก!

     

    ราชาพูดเสียงเย็นเยียบก่อนจะรัวหมัดกระหน่ำใส่โดยที่เสือร้ายไม่ทันได้ตอบโต้สักนิด แต่แม้จะชกหน้าฟาดแข้งฟาดขาใส่อย่างไร ความแค้นในใจก็ไม่มอดดับ ร่างสูงเดินไปหยิบปืนที่ตนเพิ่งเตะกระเด็นไป ก่อนจะเอาปากกระบอกปืนร้อนๆจ่อใบหน้าช้ำเลือดของโทระตะ ดวงตาสีรัตติกาลดูเย็นชาโหดร้ายกว่าปกติ ไอสังหารรุนแรงแผ่ออกมาจากร่างที่ดูบอบบางทว่าแข็งแกร่ง...

     

    “ไปขอโทษพี่ของฉันในนรกซะ!

     

    แต่ก่อนที่มือจะทันได้ลั่นไกสังหารคนตรงหน้า เสียงเอะอะโวยวายหน้าประตูก็ทำให้เขาชะงัก ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างสูงของชายผมเงินที่มีผ้าปิดปากก็ปรากฏพร้อมกับตำรวจในเครื่องแบบกว่าสิบคน

     

                “พอเถอะครับท่านประธาน!” คาคาชิร้องห้ามเสียงหลงเมื่อเห็นเหตุการณ์อันล่อแหลมตรงหน้า เขาสั่งให้ตำรวจที่ตามมาจัดการกับลูกน้องของโทระตะที่นอนหมดสภาพอยู่หน้าประตู ส่วนตัวเองก็เดินอย่างระแวดระวังเข้าไปห้ามปรามคนกำลังโกรธจัด

     

                “ห้ามยิงนะครับ”

     

                “ไม่ต้องมายุ่ง!!!” ซาสึเกะตวาดเสียงดังก่อนจะตวัดสายตาคมกริบมองร่างสะบักสะบอมของโทระตะ “มันทำให้พี่ผมเจ็บ... ผมต้องฆ่ามัน...”

     

                “อยากจะกลายเป็นฆาตกรนักเหรอครับ!?!” ผู้จัดการหนุ่มตะคอกเสียงดังก่อนจะเดินไปดูอดีตประธานใหญ่ของอุจิวะที่นอนหมดสติ แล้วลงมือเช็คสภาพคนป่วยคร่าวๆ

     

    “คุณอิทาจิยังปลอดภัยดี ผมว่าคุณพาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ ทางนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเราเอง”

     

                คาคาชิพูดเสียงเรียบก่อนจะโทรเรียกทีมแพทย์ฉุกเฉินที่ประจำอยู่ข้างนอกให้เข้ามาลำเลียงคนเจ็บออกไป ดวงตาสีดำขลับมองดูอดีตเจ้านายที่ยังคงถือปืนจ่อหน้าทายาทของธนาคารคู่แข่งพร้อมกับถอนหายใจ

     

                “คุณบ้ารึเปล่าที่บุกเดี่ยวเข้ามาคนเดียว ผมบอกแล้วไงครับว่าให้รอสัญญาณก่อน”

     

                บ่นเบาๆก่อนจะส่ายหัวกับความมุทะลุของประธาน ถึงจะมั่นใจในฝีมือของตัวเองแค่ไหนก็เถอะ แต่คนที่จะบ้าบุกเข้ามาคนเดียวทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอาวุธครบครันก็คงจะมีแต่ราชาที่สุขุมเลือดเย็นคนนี้นี่แหละ

     

    ไม่สิ... งานนี้ต้องบอกว่า เลือดร้อนถึงจะถูก

     

                คาคาชิย้อนนึกไปถึงตอนเช้าที่เขาพบกับซาสึเกะ...

                มันเป็นการพบกันที่ไม่ค่อยจะดีซักเท่าไหร่เพราะเขาทักทายเจ้านายของตนด้วยปืนออโตเมติกคู่ใจ มันก็แน่ล่ะ... ถูกบุกจู่โจมถึงที่บ้านทั้งที เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวของ อินเตอร์โพลคงไม่นั่งกระดิกเท้ารอให้ปากกระบอกปืนมาจ่อถึงขมับหรอก

     

    ใช่แล้ว... เขาคือหัวหน้าฝ่ายข่าวภาคพื้นเอเชียของอินเตอร์โพล หรือรู้จักกันในอีกชื่อคือตำรวจสากล เมื่อแปดปีก่อนเขาถูกศูนย์ใหญ่สั่งให้มาประจำการอยู่ที่ญี่ปุ่นโดยแฝงตัวเป็นสปายที่ธนาคารอุจิวะเพื่อสืบสาวเรื่องราวขององค์กรลับใต้ดินที่ใช้ชื่อว่า รากแรกเริ่มเดิมที ผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งที่เขาสันนิษฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับรากก็คือสองพี่น้องอุจิวะ โดยเฉพาะคนพี่ที่จู่ๆก็กอบกู้ธนาคารที่ทำท่าจะล้มละลายกลับคืนมาได้โดยใช้เวลาแค่ห้าปี แต่หลังจากแฝงตัวได้พักหนึ่ง คาคาชิก็มั่นใจว่าอุจิวะเป็นผู้บริสุทธิ์ เป้าหมายถูกเบี่ยงเบนไปยัง ฟุเสะ ดันโซ  นักธุรกิจที่ใสสะอาด... สะอาดเกินไปจนน่าสงสัย ธุรกิจของดันโซเจริญเติบโตรวดเร็วทั้งที่ดูแล้วน่าจะเจ๊ง ความรุ่งเรืองแบบไม่มีที่มาที่ไปนี้เองทำให้ชายวัยกลางคนถูกสงสัย แต่การเข้าถึงดันโซก็เป็นเรื่องยากเกินไป เขาจึงทำได้แค่คอยสืบข่าวของผู้ร้ายรายอื่นส่งให้ศูนย์ใหญ่ไปพลางๆ แล้วนั่งรอโอกาสที่จะได้เข้าไปสืบเรื่องของชายมากเล่ห์คนนั้น

     

    แต่ความก็ดันมาแตกเสียก่อนเมื่อเจ้านายหนุ่มอายุน้อยที่เข้ารับตำแหน่งประธานในปีเดียวกันกับที่เขาแฝงตัวเข้ามา เกิดล่วงรู้ความลับว่าเขาเป็นสปาย ตามปกติแล้วหากถูกรู้ตัวจริงโดยประชาชนผู้บริสุทธิ์ สายลับจำเป็นที่จะต้องถอนตัวออกไป แต่ประชาชนคนนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นแหล่งข่าวสำคัญที่กุมหลักฐานเอาผิดดันโซไว้ในมือ วันนี้ประธานหนุ่มบุกมาหาเขาถึงที่บ้านเพื่อนำหลักฐานทั้งหมดที่ได้จากรัฐมนตรีการคลังฟุรุคาวะ คาสึจิมาให้ มันเป็นหลักฐานที่เขาใช้เวลาเจ็ดปีในการตามหา แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็เพียงพอที่จะใช้ขอหมายศาลรื้อค้นเส้นทางการเงินที่ไม่ชอบมาพากลของดันโซได้

     

    แต่ในขณะที่อยู่ในช่วงดำเนินการที่กินเวลายาวนานถึงหัวค่ำ จู่ๆคนที่ฝั่งอุจิวะส่งไปแฝงตัวกับดันโซก็โทรมาหาซาสึเกะแล้วแจ้งข่าวอันน่าตกใจว่าอิทาจิบุกเดี่ยวไปหาดันโซที่โรงแรมระดับสามดาวแห่งหนึ่ง เพราะข่าวนั้นเองทำให้เขาจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากตำรวจญี่ปุ่นมาสมทบกับตำรวจจากอินเตอร์โพลที่มีอยู่ไม่กี่คนเพื่อไปช่วยเหลืออดีตประธาน พวกเขามาถึงที่โรงแรมเป้าหมายเกือบครึ่งชั่วโมงให้หลัง ในตอนนั้นอิทาจิอยู่ในห้องเจรจากับดันโซแล้ว ส่วนพวกเขากับซาสึเกะก็ปักหลักรอจังหวะเข้าจับกุมอยู่ข้างนอก แต่ในขณะที่กำลังกระจายกำลังปิดล้อมรอบโรงแรมพร้อมกับส่งสไนเปอร์ฝีมือดีจากอินเตอร์โพลเข้าประจำที่ เสียงปืนนัดหนึ่งก็ดังขึ้น และเสียงปืนนัดนั้นเองที่ทำให้คนห่วงพี่ไม่รอฟังสัญญาณอะไรแล้วบุกเดี่ยวเข้าไปช่วยพี่ชาย ครั้นพวกเขาจะตามเข้าไปทันทีก็ต้องเผชิญกับเหล่าบรรดาแขกเหรื่อที่วิ่งหนีตายเพราะตกใจกับเสียงปืน เหตุการณ์สับสนอลหม่านอยู่พักหนึ่ง กว่าเขาจะนำกำลังบุกเข้ามาถึงห้องที่เกิดเหตุได้ ซาสึเกะก็เคลียร์ทางเสียเรียบ...

     

    ผู้ชายคนนี้... น่ากลัวจริงๆ...

     

                คาคาชิมองดูเจ้านายหนุ่มด้วยสายตากึ่งชื่นชม เขาเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะแบมือ ส่งสายตาเป็นเชิงขอให้ซาสึเกะวางอาวุธ ราชาหายใจฮึดฮัดอย่างขัดใจ แต่ก็ยอมส่งปืนให้อีกฝ่ายแต่โดยดี ร่างสูงหมุนตัวกลับไปดูพี่ชายที่ตอนนี้ทีมแพทย์ที่เพิ่งจะเข้ามากำลังดูอาการอยู่ ใบหน้าเคร่งเครียดคลายออกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำยืนยันจากผู้เป็นแพทย์ว่าอิทาจิยังปลอดภัยดี แม้จะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะแผลที่ขายังคงมีเลือดไหลออกมาก็เถอะ ชายหนุ่มหันไปพยักหน้าให้คาคาชิเบาๆแทนคำขอบคุณก่อนจะเดินตามทีมช่วยเหลือออกไป

     

                หลังจากมองตามร่างสูงที่เดินไปกับทีมแพทย์ หัวหน้าฝ่ายข่าวคนเก่งก็หันมามองร่างที่นอนหมอบอยู่บนพื้น ดวงตาเฉื่อยชาหากแต่ก็เย็นเฉียบมองเสือร้ายที่หมดท่าก่อนจะนั่งยองๆข้างคนเจ็บ

     

                “พ่อของคุณอยู่ที่ไหน?” เอ่ยถามออกไปเพราะยังไม่เห็นตัวตัวการใหญ่ที่น่าจะอยู่ในห้อง คนถูกถามหันใบหน้าบวมช้ำมองดูชายในเครื่องแบบพร้อมกับเหยียดยิ้มสมเพช

     

                “ตำรวจเหรอ? เหอะๆ ไอ้พวก... ไร้ประโยชน์ พวกแก... ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก”

     

                “เดี๋ยวแกก็รู้ ไอ้กร๊วก...” ชายหนุ่มพูดพลางกัดฟันกรอดอย่างนึกหมั่นไส้ก่อนจะหันไปกำชับลูกน้องที่กำลังเดินค้นห้อง

     

    “ค้นให้ทั่ว! หาตัวมันให้เจอ! ดันโซมันต้องหลบอยู่ที่ไหนซักที่ในห้องนี้แหละ!

     

     

     

                แฮร่! เค้ากลับมาแล้วๆๆ >< สรุปว่าเฮียคาคาชิก็มิใช่ตัวร้ายยย 555 ตอนนี้มีมาเพื่อโชว์ความเถื่อนของบักเป็ดและโชว์ความรักของพี่น้อง~ ตอนนี้ค่อนข้างยาวนะคะ แถมยังมีเรื่องน่าสะเทือนใจตบท้ายด้วย (เรื่องอะไรเดี๋ยวดู><) สำหรับจุดจบของดันโซอยู่ที่ตอนที่เอาจะเอามาลงต่อ บักชั่วนี่จะจบแบบไหนต้องรอดู

     

    ปล. แอบสงสารโทระตะนิดนึง รักเค้าแต่เค้าไม่รัก สุดท้ายก็น่วมตามระเบียบ
     

    50%

     

     

                เสียงหวูดของรถฉุกเฉินแผดลั่น ทำให้เหล่ารถราที่คลาคล่ำอยู่เต็มถนนพร้อมใจกันหลบหลีกเพื่อให้รถบรรทุกคนเจ็บเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก รถคันใหญ่แล่นไปด้วยความเร็วสูง หวังส่งให้คนป่วยที่นอนให้ออกซิเจนถึงโรงพยาบาลโดยเร็ว แต่ถึงจะเร็วแค่ไหนมันก็ยังช้าเกินไปในสายตาของญาติผู้ป่วยที่นั่งจิตตกอยู่ข้างเตียงภายในรถ มือสองข้างกุมมือที่เย็นเฉียบของพี่ชายไว้แน่น ในใจได้แต่ภาวนาอย่าให้อิทาจิมีอาการแทรกซ้อนใดๆซ้ำเติมเลย

     

                และก็เหมือนว่าคนที่นอนอยู่จะรับรู้ถึงคำภาวนานั้น อิทาจิขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะปรือตามองน้องชายเมื่อได้สติ หัวใจที่ไม่ค่อยแข็งแรงกระตุกวูบเมื่อเห็นบาดแผลที่ไหล่ของซาสึเกะ คนป่วยเอื้อมมือสั่นๆกระชากหน้ากากออกซิเจนท่ามกลางความตกใจของพยาบาลที่กำลังตรวจวัดความดัน

     

                “ไม่ได้นะคะ!

     

                “ขอเวลา...เดี๋ยวเดียว...” พูดจบก็ผินหน้ามองคนที่ขอบตาแดงช้ำเพราะเอาแต่ร้องไห้เงียบๆมาตลอดทาง ซาสึเกะเงยหน้ามองคนเป็นพี่ ที่หางตายังมีคราบน้ำตาที่เช็ดออกไม่หมด...

     

    “พี่ทำแบบนี้ทำไม...” คนกำลังร้องไห้ถามเสียงสั่น พยายามกลั้นเสียงสะอื้นสุดกำลัง “พี่จะเสียสละเพื่อผมไปจนถึงเมื่อไหร่”

     

    อิทาจิไม่ตอบ ร่างสูงที่นอนเหยียดยาวบนเตียงฉุกเฉินทำเพียงยิ้มบาง เขาเหลือบตาขึ้นบนราวกับกำลังคิดทบทวนอะไรบางอย่าง สักพักก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดีทั้งที่ร่างกายไม่เอื้ออำนวย

     

                “ฉันเห็นแกร้องไห้ครั้งสุดท้ายตอนห้าขวบ แต่หลังจากเหตุการณ์บ้าๆนั่น แกก็ไม่เคยร้องไห้ให้ฉันเห็นอีกเลย... แม้แต่ตอนที่คุณพ่อเสีย” เสียงช่วงท้ายประโยคแสนเศร้า คนไม่ชอบร้องไห้ให้พี่ชายเห็นยกมือปาดน้ำใสๆที่หางตาก่อนจะพูเสียงขุ่น

     

                “มันใช่เวลาที่พี่จะมาพูดเรื่องนี้เหรอ? พี่ทำอะไรเสี่ยงเกินไปนะครับ พี่จะเป็นยังไง...ถ้าผมไปไม่ทัน...”

     

                ซาสึเกะเว้นวรรคไป... เขาไม่อยากพูดต่อว่าอิทาจิอาจจะไม่รอด แม้ไม่ได้ถูกสังหารแต่อาการป่วยก็คงจะพรากเอาลมหายใจของจอมมารผู้นี้ไปแน่ คิดแล้วก็เจ็บใจตัวเองนักที่ช้าไปหนึ่งก้าว หากเขาดำเนินการเร็วกว่านี้ อิทาจิคงไม่ตัดสินใจบุกเข้าไปหาดันโซถึงที่ คงไม่ต้องถูกยิง ไม่ต้องถูกทำร้ายร่างกาย และถ้าซาอิไม่โทรมาแจ้งข่าวเสียก่อน ป่านนี้เขาก็คงจะเอื่อยเฉื่อยนั่งรวบรวมหลักฐานอยู่กับคาคาชิยันเช้า แล้วปล่อยให้ยมทูตมาพรากเอาวิญญาณของพี่ชายไป

     

    เขามัน... ไร้ประโยชน์...

     

                “ถ้าพี่เป็นอะไรขึ้นมา ผมจะอยู่ยังไง” ร่างสูงพูดตัดพ้อด้วยเสียงไม่มั่นคง อิทาจิได้แต่ส่ายหน้าเบาๆกับความอ่อนแอที่ไม่ค่อยจะได้เห็นของชายตรงหน้า เขาสูดหายใจเข้าลึก โกยเอาอากาศเข้าปอดอีกครั้งก่อนจะพูดเสียงดุ

     

                “ปีนี้แกอายุเท่าไหร่?”

     

                คำถามนั้นทำให้คนถูกถามรู้สึกราวกับว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบแปดอีกครั้ง ตอนนั้นเขาเพิ่งกลับมาจากอเมริกาทั้งที่เรียนจบแค่มัธยมปลาย แต่กลับถูกพี่ชายสั่งให้ไปทดลองงานบริหารทันที เวลานั้นเขากำลังตื่นตระหนกเพราะเพิ่งจะรู้ข่าวอาการป่วยที่ร้ายแรงของอิทาจิ แถมยังถูกสั่งให้ไปบริหารงานแบบปุบปับ แต่แล้วอิทาจิก็ถามคำถามนี้กับเขา...

     

    “ปีนี้แกอายุเท่าไหร่?”

     

    มันเป็นคำถามที่ย้ำเตือนว่าเขาโตแล้ว...

     

    อายุของเขาในตอนนั้นก็เท่ากับอายุของอิทาจิตอนที่ตัดสินใจจะกอบกู้ธนาคารพอดี เขาไม่มีเวลาจะมาเกี่ยงอ้างเรื่องอายุ ที่ทำได้มีแต่ต้องทำให้เต็มความสามารถ ดูแลรักษาสมบัติของตระกูลที่แลกมาด้วยลมหายใจของพ่อและหัวใจของพี่...

     

                “ยี่สิบเจ็ด...” ซาสึเกะตอบเสียงแผ่ว ดวงตาคู่แข็งแกร่งมองต่ำหลบสายตาดุๆ

     

    “แกโตจนป่านนี้แล้วยังเตรียมใจไม่ได้อีกเหรอ? ฉันบอกแกแล้วไง ว่าชีวิตของฉันมันเอาแน่เอานอนไม่ได้ ฉันพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ... แต่ก็จำไว้อย่างว่าความตายของฉัน... ไม่ใช่ความผิดของแก”

     

    “มันจะไม่ใช่ความผิดของผมได้ยังไง ที่พี่ต้องเป็นแบบนี้... ก็เพราะผม” พูดออกไปอย่างรู้สึกผิด... ถ้าเขาไม่ไว้ใจเชื่อใจผู้หญิงคนนั้นจนถูกลักพาตัวไป

     

    ตอนนี้พ่ออาจจะยังอยู่...

    อิทาจิก็คงจะแข็งแรงดี...

     

    มันเป็นเพราะเขา...

     

                อิทาจิยกมือสั่นๆที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของตนแตะเข้าที่ใบหน้าเศร้าหมองของน้องชายราวกับต้องการจะปลอบ เขาพูดต่อด้วยเสียงอ่อนโยน...

     

    “มันเป็นเพราะไอ้ชั่วที่ลักพาตัวแกไปต่างหาก แก...ไม่ได้ผิดอะไรเลย ทั้งฉันทั้งคุณพ่อ... พวกเราไม่มีใครนึกเสียใจที่จะต้องทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของแกไว้ พวกเรารู้... หากจะมีใครซักคนที่เจ็บปวดที่สุด... คนๆนั้นก็คือแก”

     

    “...”

     

    “เพราะว่าแกมันทำตัวน่าเป็นห่วงแบบนี้นั่นแหละ ฉันถึงปล่อยให้แกอยู่คนเดียวไม่ได้”

     

     คนป่วยยิ้มเครียด...

    เขารู้สภาพของตัวเองดี ความเจ็บปวดที่รุมเร้าอยู่ทั่วกายอาจส่งผลรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต เขารู้... ว่าบางทีการพูดคุยครั้งนี้กับซาสึเกะอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าไปถึงโรงพยาบาลแล้วหมอจะต้องเอาตัวเขาเข้าไปผ่าตัด เขาจะต้องหลับไปเพราะฤทธิ์ยาสลบ ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับน้องชายอีกจนกว่าจะฟื้น ซึ่งก็คงกินเวลาอีกสองสามวัน... สองสามสัปดาห์... สองสามเดือน...

     

    หรือไม่ก็ตลอดไป...

     

                นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะได้สั่งเสีย... การขอมีชีวิตอยู่อาจจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับเขา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เคยนึกเสียใจ เขาใช้ชีวิตคุ้มแล้ว... สิ่งที่เสียไปมันคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา...

     

    เพื่อความสุขของน้องแล้ว...

     

    แม้ความตาย...ก็ไม่น่ากลัวเลยสักนิด...

     

    “จบเรื่องบ้าๆนี่ก็ไปตามกลับมาซะ... หัวใจของแกน่ะ”

     

    เป็นประโยคสุดท้ายที่อิทาจิพูดไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะหมดสติไปอีกรอบ...

    ร่างสูงระบายยิ้มทั้งน้ำตา มองภาพของพี่ชายที่รักยิ่งถูกพยาบาลสาวที่กำลังตื่นตกใจสวมหน้ากากออกซิเจนให้อีกรอบ ใบหน้าที่ขาวซีดไร้เลือดฝาดของผู้เป็นพี่ช่างบีบหัวใจคนมองยิ่งนัก... ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พูดคุยกัน และตัวอิทาจิเองคงจะรู้ดี มิเช่นนั้นเจ้าตัวคงไม่ฝืนกระชากหน้ากากออกซิเจนเพื่อพูดกับเขา...

     

    คำพูด... ที่เหมือนกับสั่งลา...

     

                มันน่าขำที่กว่าคนปากแข็งอย่างอิทาจิจะยอมเปิดปากพูดสิ่งที่เก็บงำมาตลอด ก็เป็นตอนที่เจ้าตัวรู้ว่าตัวเองคงไม่รอด ตลอดเวลายี่สิบเจ็ดปีที่เกิดเป็นน้องของชายคนนี้... ไม่มีเลยสักครั้งที่อิทาจิจะแสดงออกว่า รักแม้กระทั่งรู้ว่าตัวเองอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีก คำว่า รักก็ยังไม่หลุดจากปากของชายคนนั้น... ไม่เคยมีคำพูดหวานๆ ไม่เคยมีความสนิทสนมฉันพี่ฉันน้อง พวกเขา... ราวกับเป็นแค่คนรู้จักกัน สายสัมพันธ์แห่งพี่น้อง...

     

    เป็นเพียงเส้นใยบางๆ...

     

                แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังสัมผัสถึงความห่วงหาอาทรของคนเป็นพี่ได้ แม้ทุกคำพูดจะดุดัน เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และการบังคับ แต่ทั้งหมดมันก็เพื่อเขา...

     

    แม้กระทั่งการบังคับให้แต่งงาน...

     

                นั่นไม่ใช่เพื่อให้ตระกูลมีผู้สืบทอดเพียงอย่างเดียว จุดประสงค์ที่แท้จริงของชายคนนี้คือต้องการให้เขามีใครสักคน... ใครสักคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาในวันที่ตัวเองจากโลกนี้ไป ไม่ให้เขาต้องโดดเดี่ยวและจ่อมจมอยู่กับความรู้สึกผิดไปจนวันตาย...

      

                ร่างสูงกุมมือคนป่วย... ออกแรงบีบมันเบาๆ มั่นใจว่าแม้จะไม่มีสติสัมปชัญญะ แต่อิทาจิต้องรับรู้แน่...

     

    “ขอบคุณนะครับ...พี่

     

     

               

                T^T เศร้าง่ะตอนนี้ ลังเลอยู่ว่าจะส่งคุณพี่กลับสวรรค์ดีมั้ยน้อ พ่อเทพบุตรของน้องงง~ ฮรือออ~

     

                ปล. วันนี้จะลงต่อนะคะ อาจจะดึกเลยล่ะ เอาอันนี้มาให้ชิมลางไปก่อน เผื่อใครกำลังรอ (ใช้สกิลหลบเลี่ยงบาทขั้นสูง ฟิ้ว~

     

    70%

     

     

                “แฮ่กๆๆ”

     

                ดันโซหายใจหอบถี่... โกยเอาออกซิเจนเข้าปอดให้มากที่สุดหลังจากวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนออกมาจากห้องพักโกโรโกโสที่เขาตั้งใจจะใช้เป็นสถานที่ปิดฉากคู่ค้าชาวอเมริกัน ซึ่งป่านนี้ห้องนั้นคงเต็มไปด้วยตำรวจจากอินเตอร์โพล... ตำรวจจากองค์กรที่เขาไม่สามารถใช้อำนาจของรากจัดการได้

     

    ชายวัยกลางคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อตนสามารถหลบหลีกสายตาอันคมกริบของตำรวจที่ล้อมรอบโรงแรมออกมาได้ ตอนนี้เขากำลังซุ่มหลบอยู่ตรงปากทางเข้าโรงแรมซึ่งเป็นซอยเล็กๆที่สองข้างทางเป็นป่า ที่บัดนี้ดูแห้งแล้งเพราะต้นไม้พากันผลัดใบเหลือเพียงกิ่งก้าน ดวงตาแสนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจหันมองความอลหม่านเบื้องหลัง ตำรวจหลายสิบนายเริ่มกระจายกำลังเพื่ออกตามหาเขา พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องนั้น ที่อยู่ก็มีเพียงลูกชายจอมไม่ได้เรื่องที่มัวหลงระเริงอยู่กับความรักความใคร่จนลืมระวัง ส่วนตัวเขานั้นรอดมาได้เพราะโชคช่วยล้วนๆ...

     

    มันเป็นโชคดีของเขาที่ตอนหลบฉากออกมาโทรศัพท์ติดตามสก็อตต์ตรงระเบียง เขาดันเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังก้มๆเงยๆอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวโรงแรมนัก ใบหน้าที่มองเห็นจากแสงจันทร์ของชายคนนั้นทำให้เขารู้สึกคลับคลายคลับคลาอย่างประหลาด แต่หลังจากเพ่งมองชายปริศนาอยู่พักหนึ่ง เลือดในกายก็พลันเย็นเฉียบไม่แพ้อากาศที่หนาวจัด ใบหน้าคร้ามคมแบบชายสายเลือดตะวันตกของชายคนนั้นทำให้เขาจำได้...

     

    เจ้าหน้าที่พิเศษจากอินเตอร์โพล...

    เจอรัลด์ วอลเลซ

     

                   ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าตอนนี้ทั้งเขาทั้งลูกชายคงจะถูกอินเตอร์โพลล้อมไว้แล้วแน่ๆ พวกนั้นจะบุกเข้ามาจับเมื่อไหร่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลา ในคราแรกชายมากเล่ห์ตั้งใจจะกลับเข้าห้องแล้วบอกลูกชายให้รู้เรื่องแผนการของอินเตอร์โพล แต่ทว่าความเห็นแก่ตัวในใจกลับทำให้ดันโซเลือกที่จะทิ้งลูกของตัวเองแล้วหนีออกมาคนเดียวโดยอาศัยทางหนีไฟฉุกเฉินตรงระเบียง แล้วใช้โทระตะเป็นตัวประวิงเวลาเพื่อให้ตัวเองหนีออกมาได้สำเร็จ

     

    เขาเอาชีวิตมาทิ้งเพียงเพราะลูกชายห่วยๆคนเดียวไม่ได้หรอก

     

                สายลมเย็นเยือกของฤดูหนาวพัดปะทะผิวหยาบกร้านที่สวมเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆ แม้จะหนาวจนเสียดกระดูก แต่ชายวัยกลางคนก็ตั้งหน้าตั้งตาเดินลุยป่าร้างๆต่อโดยอาศัยแสงจันทร์ช่วยนำทาง มือหยาบกระชับปืนสำรองที่ฉวยหยิบก่อนวิ่งหนีออกมาแน่น ย่างก้าวอย่างช้าๆและระมัดระวัง... อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงจุดนัดพบที่นัดลูกน้องเอาไว้แล้ว หากเดินไปสมทบที่จุดนั้นได้เขาก็จะรอด... เขาจะหนีออกนอกประเทศผ่านทางเรือ รอให้การตามล่าของอินเตอร์โพลเงียบไปก่อน หลังจากนั้นก็จะกลับมาแก้แค้น...

     

    ไอ้สองพี่น้องอุจิวะ!!!

     

                ดันโซเดินลัดเลาะมาจนเกือบถึงทางออกจากป่า แต่แล้วก็ต้องล้มคะมำเพราะขาสะดุดเข้ากับรากไม้ที่โผล่พ้นดิน ชายแก่สบถถ้อยคำหยาบคายใส่รากไม้ราวกับว่ามันเป็นฝ่ายผิดก่อนจะลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัวที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้ เก็บปืนที่เผลอทำหลุดมือตอนล้ม แล้วเตรียมจะออกเดินต่อ แต่แล้วซาตานผู้ชั่วร้ายก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วพบว่ามีใครบางคนกำลังยืนประจันหน้ากับตน...

     

    ไม่สิ... ไม่ใช่คน...

     

     “กะ...แก อะ...ไอ้ฟุงาคุ!!!” เรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยเสียงสั่นๆ ดวงตาโฉดชั่วเบิกโพลงอย่างตกใจพลางก้าวถอยหลังอย่างหวาดกลัว ชายแก่ร้องครางเมื่อเห็นใครอีกคนเดินยืนขนาบข้างร่างสูงใหญ่ของศัตรูในอดีต...

     

    ผู้หญิงที่รักที่สุด

     

    “มะ...มิโคโตะ...”

     

    สองร่างที่คล้ายกับมีชีวิตมีเลือดเนื้อเหมือนมนุษย์ทั่วไปเดินก้าวเข้าไปหาคนใจชั่วอย่างแช่มช้าราวกับต้องการจะขู่ให้กลัว ใบหน้าหล่อเหลาที่คงความหนุ่มของฟุงาคุเครียดเขม็ง ปากหยักได้รูปพึมพำราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง...

     

    “ยะ...อย่าเข้ามานะ!

     

    ปังๆๆ!

     

                ชายแก่ร้องเสียงหลงพลางรัวกระสุนใส่สองร่างไม่ยั้ง กระสุนทุกนัดลอยหวือผ่านไปราวกับว่าร่างของทั้งคู่เป็นเพียงอากาศ ดันโซตบแก้มตัวเองแรงๆ หวังจะให้ภาพหลอนหายไปแต่ก็ทำไม่สำเร็จ ไม่ว่าจะตบหน้า ขยี้ตายังไงภาพของสองสามีภรรยาก็ไม่หายไป ปรากฏแจ่มชัดดังเดิม...  ซาตานร้ายหัวเราะลั่นราวกับคนเสียสติก่อนจะรัวกระสุนใส่อีกครั้งพร้อมกับพร่ำเพ้อเหมือนคนบ้า

     

                “ฮ่ะๆๆ! พวกแกตายไปแล้วนี่... ฉัน... ฉันคงหลอนไปเอง...”

     

    ปังๆๆ!

     

     

                “แกหนีไปไหนไม่ได้แล้วล่ะ ยอมมอบตัวซะเถอะ” เสียงเย็นเยียบของฟุงาคุดังขึ้นในโสตประสาทที่ตื่นกลัวของชายวัยกลางคน

     

    แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินมาสิบกว่าปี ดันโซก็ลืมความหวาดกลัวไปชั่วขณะ ความรู้สึกเกลียดชังพุ่งปะทุขึ้นกลางอก ซาตานร้ายเหยียดยิ้มขยะแขยง... เขาเกลียดเสียงของมัน เกลียดหน้าของมัน เกลียดทุกอย่างที่เป็น อุจิวะ ฟุงาคุ!

     

                “หุบปาก!” ดันโซตะคอกออกไปอย่างลืมตัวว่าตนกำลังคุยกับสิ่งไม่มีชีวิต ดวงตาโฉดชั่วมีแววเยาะเย้ยปนสมเพช “มอบตัวเหรอ? มอบตัวทำไม? ทำไมฉันต้องยอมสูญเสียทุกอย่างที่ฉันสร้างแล้วไปใช้ชีวิตในคุก? หึ! ฉันไม่โง่เหมือนแกหรอกฟุงาคุ คนอย่างฉัน... ไม่มีทางจบแค่นี้หรอก”

     

    ปัง!

     

                พูดจบก็ลั่นไกใส่อีกฝ่ายหนึ่งนัด กระสุนนั้นเคลื่อนผ่านร่างสูงไปดังเดิม แต่ถึงกระนั้นคนยิงก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าได้กำจัดคนที่เกลียดไปได้ การกระทำนั้นทำให้เจ้าของร่างผอมบางที่มีใบหน้าสวยหวานคล้ายกับลูกชายคนเล็กต้องเอ่ยห้าม ใบหน้างดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กำลังเศร้าสร้อย...

     

                “พอเถอะค่ะ พี่ดันโซ...”

     

                “ไม่ต้องมากระแดะเรียกฉันว่าพี่ นังผู้หญิงทรยศ!

     

    ปัง!

     

                “แกทรยศฉันแล้วไปแต่งงานกับมัน!” ดันโซตะคอกออกไปอย่างเดือดดาล ยกเหตุการณ์เมื่อวันวานขึ้นมาด่าคนทรยศ ดวงตาคมกล้ามองใบหน้าที่ยังคงความสาวเหมือนเมื่อคราวยังมีชีวิตของหญิงตรงหน้าอย่างเจ็บปวดก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

     

    “เพราะว่าแกทรยศฉันนั่นแหละ... ฉันถึงมอบความตายให้แก ทำให้ลูกของแกกำพร้า ทรมานไอ้คนที่มันแย่งแกไปจากฉันให้ตายทั้งเป็น!!!

     

    ชายชั่วเปิดเผยความจริงอันชั่วร้าย... ยิ้มเยาะหญิงสาวตรงหน้าที่ตายไปโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังอุบัติเหตุครั้งนั้น เขาเผื่อแผ่รอยยิ้มอุบาทว์มายังฟุงาคุที่ยืนนิ่ง

     

    “เป็นไง? ตกใจมั้ยล่ะที่คนที่ฆ่าแกก็คือฉัน! ฉันนี่แหละฆ่าแก มิโคโตะ!!!

     

    พูดพร้อมกับหัวเราะอย่างสะใจ แต่คนตายก็ทำเพียงส่งยิ้มเศร้ามาให้ ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงออกถึงความโกรธแค้นใดๆ

     

    “ฉันรู้ค่ะ”

     

    เสียงหวานใสเอ่ยเบาๆ ดันโซนิ่งงันไปราวกับต้องมนต์สะกด...

    แม้จะพยายามปั้นหน้าว่าสะใจแค่ไหนที่ได้ปลิดชีวิตผู้หญิงที่กล้าปฏิเสธคนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กอย่างเขาแล้วไปรับรักคนมาทีหลังอย่างฟุงาคุ แต่ทว่าน้ำตาที่ไหลออกมาพร้อมกับคำสบถด่าก็ยืนยันได้ว่าตนเจ็บปวดเพียงใด

     

    การสังหารคนที่รักให้ตายคามือ...

    มันก็เหมือนฆ่าตัวเองให้ตายทั้งเป็น...

     

    คนที่ตายทั้งเป็นไม่ใช่ฟุงาคุ... แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก...

     

                “ฉันทำทุกอย่างก็เพราะฉันรักเธอ แต่เธอไม่เคยรักฉันเลยซักนิด...” ดันโซว่า ดวงตาโฉดชั่วแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง... อ้อนวอน... โหยหา...

     

    “ฉันเลวเหมือนหมา มันก็เป็นเพราะฉันเจ็บใจที่เอาชนะคนที่เธอเลือกไม่ได้... ถ้าวันนั้นเธอยอมแต่งงานกับฉัน เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้...”

     

    ชายวัยกลางคนพร่ำเพ้อกับความรักที่ไม่สมหวัง จิตใจชั่วร้ายดำมืดถูกย้อมไปด้วยความโศกเศร้า ปล่อยให้ร่างทั้งร่างร่วงทรุดลงไปกองกับพื้น

     

                “แกไม่เคยเข้าใจความรัก ดันโซ... กลับไปชดใช้กรรมที่ตัวเองก่อไว้เถอะ พวกเรา... อโหสิกรรมให้แก” เสียงเย็นของฟุงาคุดังขึ้นในหัว ดันโซเงยหน้าขึ้นมองสองร่างก่อนจะหวีดร้องออกมาราวกับคนเสียสติเมื่อใบหน้างดงามที่แสนคิดถึงค่อยๆจางหายไป...

     

    เธอยังคงยิ้มให้เขา...

     

                “มิโคโตะ... มิโคโตะ!!!

     

                ตะโกนเรียกพร้อมกับคลานเข้าไปหา ยกมือปัดป่ายอากาศหมายจะคว้าร่างของคนที่รักสุดหัวใจไว้ หากแต่มือกร้านก็สัมผัสได้เพียงก้อนอากาศเย็นๆ หัวใจหยาบกระด้างแตกสลายอีกครั้ง ดันโซกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะได้ยินเสียงกร้าวของใครบ้างคนร้องสั่งจากด้านหลัง

     

                “หยุด! อย่าขยับ! นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ แกถูกพวกเราล้อมไว้หมดแล้ว”

     

                เสียงดุดันของหัวหน้าฝ่ายข่าวทำให้ดันโซหันกลับไปมองเลิกลั่ก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตามองตำรวจเป็นโขยงที่เล็งปืนมาทางตนอย่างเจ็บแค้น พวกมันคงจะได้ยินเสียงปืนแล้วตามมาจนทัน ชายวัยกลางคนกำปืนในมือแน่น... จากที่นับๆดูมันคงเหลือกระสุนอีกแค่นัดเดียว...

     

                “วางอาวุธซะดันโซ ขอบอกไว้ก่อนว่าถ้าแกทำใครตายขึ้นมาอีก งานนี้แกไม่รอดแน่”

     

                “แก!!!

     

                “ฉันจะเตือนอีกครั้ง! วางอาวุธซะ!

     

                เสียงสั่งนั้นไม่ได้ทำให้คนที่ตกอยู่ในวงล้อมหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ดันโซยิ้มเหี้ยมเกรียม ทำท่าเหมือนจะลดปืนลง แต่เสี้ยววินาทีนั้นก็เอาปากกระบอกปืนร้อนๆจ่อที่ขมับ เขาไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดที่ผิวหนังถูกความร้อนของโลหะเผาจนแดงเถือก ในหัวคิดคำนึงถึงคนเพียงคนเดียว...   

     

    ความตายมันน่ากลัวรึเปล่า มิโคโตะ? ... และถ้าฉันขอตายเพื่อตามไปรักเธออีก เธอจะรับรักฉันมั้ย? คงไม่สินะ... ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติไหน คนเดียวที่เธอรัก... ก็คงจะเป็นมัน...

     

    ปัง!

     

                กระสุนนัดสุดท้ายในรังเพลิงได้พรากเอาลมหายใจของซาตานร้ายไป...

                ร่างของดันโซร่วงลงพื้นท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียนลอยคละคลุ้งผสมกับกลิ่นดินปืน คาคาชิเดินเข้าไปใกล้ร่างไร้ลมหายใจที่อยู่ในสภาพไม่น่าดูก่อนจะสำรวจชีพจร เขาส่ายหน้า ส่งสัญญาณบอกลูกน้องว่าบัดนี้ชายที่ตนพยายามตามจับมาเกือบสิบปีได้สิ้นใจลงแล้ว

     

                “บทจะตายก็ตายง่ายๆ... ไปสู่สุขคติเถอะนะ” อดีตผู้จัดการธนาคารหนุ่มเอ่ยก่อนจะเอื้อมมือปิดเปลือกตาที่ยังคงเบิกกว้างของดันโซ แม้จะเจ็บใจอยู่ไม่น้อยที่ผู้ต้องหาชิงลงมือฆ่าตัวตายก่อนที่เขาจะเอาตัวไปสืบสวน แต่คนตายไปแล้วก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปต้องตามแค้นตามด่า เพราะถึงอย่างไรเสีย...

     

    คนเราก็ไม่อาจหนีกรรมที่ตนเคยก่อพ้น...

     

     

               

                ปิดฉากไปอย่างสวยงามแล้วสำหรับตัวร้ายรุ่นเก๋า แต่งไปแต่งมามีแนวผีๆสางๆโผล่มาได้ยังไงก็ไม่รู้เนาะ แต่จะสงสารก็ทำไม่ลง ฮีทำไว้ซะเยอะเชียว T_T  เอ้า!กลั้นหายใจกันอีกนิดนะคะ สำหรับโค้งสุดท้ายของเรื่องนี้ตีโค้งค่อนข้างไกล เดี๋ยวฉากหวานหยดของเป็ดซึนจะกลับมาแล้ว
     

    100%

     

     

                ร่างสูงกระวนกระวายเดินไปเดินมาเหมือนหนูติดจั่นอยู่หน้าห้องผ่าตัด ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยแห่งความกังวลชัดเจน แม้ว่าไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้หมอประจำตัวของอิทาจิจะบอกกับเขาว่าอาการของพี่ชายเขาไม่ได้น่าเป็นห่วงอะไรนักเพราะไม่ได้มีอาการอะไรแทรกซ้อนแล้วก็ตาม แต่คนขี้ห่วงก็ยังไม่คลายกังวล เขาไม่มั่นใจอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเห็นอิทาจิฟื้นคืนสติแบบสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์

     

                “พี่อิทาจิเป็นไงบ้าง”

     

    เสียงทุ้มแสนคุ้นหูดังขัดจังหวะ ซาสึเกะหันไปมองก่อนจะถอนหายใจพรืดเมื่อเห็นเพื่อนเพียงคนเดียวของตนกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา ข้างๆกันมีมือขวาของพี่ชายกับลูกชายของอดีตบอดี้การ์ดเดินขนาบมาด้วย

     

                “หมอเพิ่งจะเอาตัวเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อกี้” ร่างสูงตอบเพื่อนเสียงเรียบ ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องที่ป้ายสัญญาณหน้าห้องผ่าตัดที่กำลังเป็นสีแดง เขาถอนหายใจอีกครั้งอย่างเป็นกังวล

     

                “พี่อิทาจิไม่เป็นอะไรหรอก เขาแข็งแรงจะตายไป” ซาโซริว่าพลางตบบ่าคนขี้กังวลอย่างให้กำลังใจก่อนจะอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อมือสัมผัสของเหลวเหนียวข้น  

     

                “เฮ้ย! ไหล่แก...”

     

                “ไม่มีอะไรหรอก แผลแค่นี้... เทียบกับพี่ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ” พูดออกมาอย่างเหม่อลอยก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้บุหนังที่ตั้งอยู่หน้าห้อง ผู้มาใหม่นั่งลงข้างๆกัน...

     

                “ผมขอโทษนะครับที่ทำให้คุณอิทาจิเป็นอันตราย ความจริงแล้วคนที่จะต้องไปที่นั่น... ควรจะเป็นผม” ซาอิเอ่ยออกมาอย่างรู้สึกผิด นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะหยุดอิทาจิเอาไว้ได้ ปล่อยให้ชายหนุ่มไปเผชิญกับอันตรายจนเจ็บตัวกลับมา

     

    เขาผิดเอง...

     

                “ฉันรู้จักพี่ชายของฉันดี พี่ไม่มีทางปล่อยให้นายไปหรอก และนายก็ไม่ต้องมาขอโทษฉัน คนที่ต้องขอโทษจริงๆ... คือฉันต่างหาก ฉันทำให้พ่อของนายตาย ฉันทำลายครอบครัวของนาย” ซาสึเกะพูดเสียงเศร้า แค่มองหน้าของอีกฝ่ายเขาก็นึกถึงบอดี้การ์ดแสนใจดีที่ต้องจบชีวิตลงเพราะพยายามยื้อยุดไม่ให้พี่เลี้ยงพาตัวเขาไป ซาอิถอดหน้ามาจากพ่อแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว จะมีก็แต่ผิวขาวจัดค่อนไปทางซีดที่น่าจะได้มาจากแม่

     

                “ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นความผิดของคุณเลยนะครับ คุณพ่อของผมไม่ได้ปกป้องคุณเพราะถูกบังคับ ท่านเต็มใจที่ทำหน้าที่อารักขาคุณอย่างดีที่สุด แม้ว่าจะตาย... ท่านก็คงตายอย่างภาคภูมิ”

     

                “มองโลกในแง่ดีไปนะนายน่ะ” ร่างสูงเอ่ยพลางระบายอย่างอ่อนใจ

     

    แม้แต่ความใจดี... สองพ่อลูกก็มีเหมือนกัน...

     

                เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลละความสนใจจากลูกชายอดีตบอดี้การ์ด เขาตวัดสายตาแสนคมกริบไปมองอีกหนึ่งผู้มาใหม่ที่ยืนกอดอกทำท่าเตะฝุ่นอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล และดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัว ซาโซริเงยหน้าขึ้นสบตากับราชาพร้อมกับความรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

     

    รู้สึก... เหมือนกำลังจะซวย...

     

                “อะไร? แกมองฉันแบบนั้นทำไม หน้าฉันเหมือนหน้าเมียแกนักเหรอ?” เอ่ยแซวออกไปเพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักแพ้คำว่า เมียและก็ได้ผลจริงๆเมื่อคนจ้องผงะไปเล็กน้อยแต่ก็ยังอุตส่าห์รักษามาดนิ่งๆของตนเอาไว้ได้ ซาสึเกะพูดต่อเสียงขุ่นเขียว

     

                “ไม่ต้องมาตลก แกรู้เรื่องทุกอย่างทำไมถึงไม่บอกฉัน!

     

                “อะไรวะ...”

     

                “แกรู้ใช่มั้ยว่าพี่กำลังหาทางเล่นงานดันโซ”

     

                “ก็... ใช่...” รับคำไปอย่างงงงัน รู้สึกขนลุกอย่างประหลาดกับน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้

     

    อย่าบอกนะว่ามันจะมาโกรธอะไรเขาตอนนี้?

     

                “และแกก็เป็นคนบอกพี่ใช่มั้ยว่าฉันไม่ได้หย่ากับซากุระเพราะเรื่องการฟ้องร้องที่คาสึจิเอามาขู่”

     

                “อือ แต่...”

     

                “ไอ้เวร! เพราะแกมันปากสงบในเรื่องที่ไม่ควรสงบ และปากโป้งในเรื่องที่ไม่ควรพูดนั่นแหละ พี่ถึงต้องเป็นแบบนี้!

     

                “คะ... ความผิดของฉันเหรอ” คนปากโป้งถามพร้อมกับชี้หน้าตัวเองอย่างงงงัน ดวงตาสีน้ำตาลหม่นมองดูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งยิ้มแหยส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้ แค่นั้นคนผิดก็ถึงกับบางอ้อ...

     

    อ้อ... โกรธคนอื่นแล้วมาลงที่เขาสินะ... ไอ้เพื่อนเวร!

     

                “ฉันจะตัดเงินเดือนแก”

     

                “เออ! ตัดไปเลย ไอ้ที่ได้อยู่นี่ก็เหมือนถูกใช้ฟรีๆอยู่แล้ว เอาเลยสิครับคุณชาย ไอ้เพื่อนคนนี้มันทำอะไรก็ไม่ถูกใจซักอย่าง! รู้งี้เมื่อวานน่าจะปล่อยให้ถูกคาบไปกินซะก็ดี เหอะ! ทำคุณบูชาโทษ โปรด สัตว์ได้บาปชัดๆ!” บ่นเสร็จก็ไปยืนงอนเสียไกลลิบ ปากก็ขมุบขมิบพ่นคำด่างึมงำๆจนคนมองชักหมั่นไส้

     

    มันก็จริงอยู่ที่เขาโมโหซาอิมากที่ปกปิดข้อมูลแล้วปล่อยให้อิทาจิไปหาดันโซ แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของบอดี้การ์ดที่สละชีวิตเพื่อช่วยเขาในอดีต เขาจึงไม่อาจประเคนความโกรธใส่ชายหนุ่มได้ บาปกรรมก็เลยมาตกที่เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่ตอนนี้เลิกบ่นงึมงำแล้วเปลี่ยนอิริยาบถมายืนคุยโทรศัพท์เสียงอ่อนเสียงหวานกับบรรดาเด็กในสังกัดแทน มันหันมาส่งสายตากระเง้ากระงอดใส่เขาทีหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนีไปทางอื่นอย่างมีจริตจะก้านจนเขาชักคันไม้คันมืออยากจะต่อยคนซักหมัด

     

    กระแดะจริงๆ!

     

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นแทรกอารมณ์ที่ยังคงคุกรุ่น ซาสึเกะละสายตาจากคนขี้งอนแล้วเอามือคลำหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง เขากดรับสายทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่โทรมาคือใคร

     

    “เป็นยังไงบ้างครับผู้จัดการ?” เขากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์อย่างร้อนรน มือชื้นไปด้วยเหงื่อ ก่อนที่ดวงตาสีรัตติกาลจะเบิกกว้างเมื่อได้ยินคำบอกเล่าของอีกฝ่าย

     

    “งั้นเหรอครับ ตายแล้ว... สินะครับ... พี่ยังอยู่ในห้องผ่าตัดครับ คงอีกหลายชั่วโมงกว่าจะออกมา ยังไงเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปให้ปากคำเอง อาจจะพรุ่งนี้เช้า... ครับ... ขอบคุณมากครับ คุณคาคาชิ”

     

    “มีอะไรเหรอครับ” ซาอิเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเขานิ่งงันอยู่นานหลังจากวางหูโทรศัพท์ ร่างสูงถอนหายใจพรืดอย่างหนักหน่วงก่อนจะตอบ

     

    “ดันโซตายแล้ว ฆ่าตัวตายก่อนจะถูกจับกุม”

     

    !!!

     

    “เมื่อกี้เจ้าหน้าที่ของอินเตอร์โพลเพิ่งโทรมาบอก เขากำลังจะส่งศพมาชันสูตรที่นี่ นายจะไปดูมั้ย?” หันมาถามคนที่ยังคงทำหน้าตาตื่นตะลึงกับข่าวที่เพิ่งรับรู้ พอได้ยินคนถามถามมาแบบนั้น ใบหน้าหล่อเหลาของซาอิก็ฉายแววเจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง ก่อนเจ้าตัวจะหลับตาลงแล้วตอบเสียงเรียบนิ่ง...

     

    เป็นเสียงที่ไม่ได้เจือไปด้วยความรู้สึกใดๆ...

     

    “คงไม่ล่ะครับ ถ้ามันจบแล้ว... ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปรื้อฟื้นอะไรอีก ผม... ไม่ได้ติดค้างอะไรแล้ว”

     

                ซาสึเกะยิ้มบาง...

    เขาเห็นด้วยกับอีกฝ่าย อะไรที่จบไปแล้วก็ไม่ควรจะรื้อฟื้น เรื่องราวในอดีตอันน่าเจ็บปวดของเขาก็เช่นกัน หากอิทาจิไม่มุ่งมั่นจะล้างแค้นคนที่ทำร้ายเขาและทำลายอุจิวะ เขาเองก็คงจะฝังเรื่องนี้ไป ไม่เก็บเอามันมาคิดอีก แม้ว่าผลพวงจากมันจะทำให้เขาต้องกลายเป็นโรคเกลียดผู้หญิงเข้าไส้ก็ตาม แต่เพราะอิทาจิยืนยันที่จะทำ เขาก็เลยต้องเข้ามาหยุด เดินลงมาในเกมและจัดการปิดเกมซะก่อนที่พี่ชายของเขาจะเป็นอันตราย

     

    ทุกอย่างจบลงแล้ว...

     

                เสียงโทรศัพท์เครื่องเดิมดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนที่โทรมาคือเลขานอกสถานที่ที่เขาลืมไปเสียสนิทว่าเมื่อเช้าได้ออกคำสั่งให้ฝ่ายนั้นไปทำภารกิจสำคัญ

     

    “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย?” ร่างสูงกรอกเสียงลงไปทันทีหลังจากกดรับสาย แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของตนทั้งร้อนรนและเต็มไปด้วยความกังวลอย่างปิดไม่มิด เขาไม่มีทางพูดเป็นปกติได้หรอก เพราะภารกิจสำคัญที่สั่งให้อีกฝ่ายไปทำ คือการพาตัวภรรยาสาวที่หนีหน้าเขาไปเป็นเดือนให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง และถ้าเธอยอมกลับมาคราวนี้...

     

    เขาจะขอเธอแต่งงานอย่างเป็นเรื่องเป็นราว...

    และจะทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก!

     

                เขาเบื่อแล้วกับการที่ต้องนอนคนเดียวที่สำนักงาน เบื่อแล้วกับการนั่งดื่มสุราย้อมหัวใจที่บอบช้ำ เบื่อแล้วที่ทำได้แค่คิดถึง...

     

    เหนื่อยแล้ว... กับชีวิตที่ไม่มีเธอ

     

                ตอนนี้เรื่องคาราคาซังที่เป็นอุปสรรคเขาก็สะสางไปหมดแล้ว เหลือเพียงเรื่องหัวใจที่ยังเป็นหนามยอกตำอก ค่ำคืนที่ผ่านมา... แม้จะนอนกอดกันทั้งคืนแต่เขาก็ไม่ได้อธิบายอะไรให้เธอฟัง เขาไม่ทำ... เพราะถ้าหากเรื่องมันยังไม่จบ เธออาจจะเจ็บปวดกับคำพูดของเขาอีกครั้ง แต่ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว... เขาก็จะทำตามใจตัวเอง...  

     

                แต่เสียงตอบกลับที่ร้อนรนของลูกน้องก็ดับฝันของเขากลางคัน...

     

                “แย่แล้วครับคุณซาสึเกะ ซากุระไม่ได้อยู่ที่ฮอกไกโด ไม่มีใครติดต่อเธอได้เลยครับ!

     

                “อะ... อะไรนะ!?!” ร่างสูงร้องคราง หัวใจหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม...

     

    เธอคิดจะหนีฉันไปอีกแล้วหรือ?

     

                “ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ที่โตเกียวครับ แม่บ้านที่ดูแลซากุระบอกว่าเมื่อเช้ามีคนส่งจดหมายถึงเธอ พอเธออ่าน เธอก็รีบกลับไปเก็บของที่บ้านพักและขอกลับโตเกียว เที่ยวบินน่าจะสวนกับเที่ยวที่ผมมาพอดี” จูโกะรีบอธิบายต่อเพราะเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นนายดี ขืนบอกว่าภรรยาสาวของเจ้าตัวหายไปเฉยๆมีหวังเจ้านายของเขาคงตรอมใจตายแหงๆ

     

    ก็รักซะขนาดนั้น

               

                “กลับมาที่นี่งั้นเหรอ?” ซาสึเกะทวนคำ เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก พอได้ยินเสียงหัวเราะของปลายสาย คนโล่งอกก็แสร้งตวาดออกไปเสียงดัง

     

     “แล้วทำไมนายถึงไม่รีบบอกฉัน!?!

     

                “ผมตั้งใจจะรายงานเรื่องนี้กับคุณตั้งแต่รู้เรื่องเมื่อตอนบ่ายแล้วครับ แต่ว่า...ผมถูกทำร้ายจนสลบไป โชคดีที่คนงานที่โรงแรมเขาไปเจอแล้วช่วยไว้ได้พอดี เพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี้เองครับ”

     

                “ถูกทำร้ายงั้นเหรอ... เป็นไปได้ยังไง...” ร่างสูงถามเสียงพร่า พอตั้งสติที่แตกกระเจิงไปเมื่อครู่ได้ สมองก็เริ่มประมวลผลเหตุการณ์ที่ลูกน้องรายงานให้ฟัง...

     

    “ว่าแต่นายไม่เป็นไรใช่มั้ย?”

     

                “ครับ ตอนนี้ทางโรงแรมกำลังประสานงานกับตำรวจท้องที่ให้ตามหาคนที่ทำร้ายผม พวกเขาสงสัยว่าอาจจะเป็นฝีมือแก๊งมิจฉาชีพที่กำลังอาละวาดอยู่ก็ได้ ผมคงต้องอยู่ให้ปากคำอีกนานน่ะครับ อาจจะกลับโตเกียวไม่ได้ในวันนี้”

     

                ประโยคที่เหลือของเลขาหนุ่มดูเหมือนจะไม่เข้าหูคนฟังเลยสักนิด... ร่างสูงยืนตัวแข็งทื่อ มือที่เย็นเฉียบสั่นจนเกือบจะปล่อยโทรศัพท์เครื่องบางตกพื้นเมื่อความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว...

     

    ไม่... มันต้องไม่ใช่แบบนี้...

     

                “ละ... แล้วคารินล่ะ! คารินอยู่ที่ไหน!?!” ตะคอกถามออกไปอย่างร้อนรนจนคนถูกถามสะดุ้ง จูโกะทิ้งให้เขาถือสายโทรศัพท์รอเกือบหนึ่งนาที เจ้าตัวกลับมาตอบด้วยเสียงหอบๆ

     

                “พนักงานโรงแรมบอกว่าเธอออกไปจากโรงแรมตั้งแต่ตอนบ่ายแล้วครับ คุณจะให้ผม...”

     

    ติ๊ด!

     

    ซาสึเกะตัดสายโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เขาคว้ามืออัจริยะหนุ่มที่นั่งมองตาปริบๆให้ลุกขึ้นตามก่อนจะลากเจ้าตัวไปทั้งอย่างนั้นพร้อมกับสั่งเสียงเฉียบ

     

                “นายไปกับฉัน!

     

                “เดี๋ยวๆๆไอ้ซัส แกจะไปไหน?” ซาโซริที่เงี่ยหูฟังการสนทนาถามขัด คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างงุนงง

     

                “ไว้จะอธิบายทีหลัง” เขาตอบอย่างรีบเร่งแล้วหันมาสั่งใครอีกคนที่ยืนเงียบมาตลอด “คิซาเมะ นายอยู่เฝ้าพี่ที่นี่ ส่วนแกสองคนไปกับฉัน”

     

                “มันเรื่องอะไรกันครับคุณซาสึเกะ” เป็นซาอิที่ถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้คนใจร้อนแทบจะตอบด้วยหน้าแข้ง ซาสึเกะตวัดสายตาดุดันแข็งกร้าวมองคนถามพร้อมกับตอบเสียงดังลั่น

     

                “เมียฉันกำลังมีอันตราย! พวกแกจะหุบปากแล้วตามมาได้รึยัง!?!

     

    .

    .

    .

     

     

    ซากุระขยับตัวขยุกขยิก รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด ทั้งยังปวดเมื่อยไปทั้งตัวราวกับถูกบังคับให้นอนอยู่ท่าเดิมนานๆ หญิงพยายามเปิดเปลือกตาที่หนักอึ้ง แล้วก็ต้องร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อพบว่าตนนอนอยู่บนเตียงแข็งๆในสภาพถูกมัดมือมัดเท้า!

     

     ร่างบางตื่นตระหนก... พยายามแกะเชือกที่มัดอย่างแน่นหนาออก ในหัวก็พยายามนึกย้อนหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอจำได้ว่าเมื่อเช้าเธอแวะเข้าไปที่โรงแรมเพื่อช่วยงานเล็กๆน้อยๆแล้วตามปกติ จู่ๆก็มีพนักงานโรงแรมคนหนึ่งยื่นจดหมายที่จ่าหน้าซองถึงเธอให้ แม้จะสงสัยว่าใครคือเจ้าของจดหมายแต่เธอก็เปิดอ่าน เนื้อความในจดหมายทำให้เธอตกใจแทบสิ้นสติ ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่ว...

     

    จดหมายฉบับนั้น... ผู้ส่งมาก็คือฮารุโนะ ฮิโตมิ แม่เลี้ยงใจร้ายที่ขายเธอให้ซาสึเกะ เนื้อความในจดหมายบอกว่าเจ้าตัวกำลังร้อนเงินและสั่งให้เธอเอาเงินไปให้ ซึ่งถ้าเธอไม่ทำตาม หล่อนจะเอาเรื่องที่ซาสึเกะจ้างเธออุ้มบุญไปป่าวประกาศและทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เธอจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เธอจึงกลับมาที่โตเกียว เตรียมเงินทั้งหมดที่เธอมีในบัญชีธนาคารเพื่อแลกกับการที่แม่เลี้ยงของเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่พอมาที่จุดนัดพบซึ่งเป็นท่าเรือแห่งหนึ่ง กลับไม่เห็นแม้แต่วี่แววของแม่เลี้ยง แล้วจู่ๆเธอก็ถูกใครบางคนเอาผ้าเช็ดหน้าที่ติดกลิ่นหวานๆมาปิดปากปิดจมูก...

     

                นั่นเป็นทุกอย่างที่เธอพอจะนึกได้ เจ้ากลิ่นหวานๆที่เธอเผลอสูดดมไปนั้นคงเป็นยาสลบ ร่างบางสั่นศีรษะไล่ความมึนงง ดวงตาสีมรกตมองสำรวจโดยรอบ แม้ทัศนวิสัยจะแคบเพราะเธอนอนตะแคงอยู่ แต่ก็พอจะรู้ว่าเธอกำลังนอนอยู่ในห้องพักโทรมๆห้องหนึ่ง กลิ่นอับชื้นของเชื้อราบ่งบอกว่าที่นี่คงไม่ได้ถูกเปิดใช้เป็นเวลานาน หญิงสาวยันตัวขึ้นนั่ง... เธอไม่รู้หรอกว่าคนที่จับตัวเธอมาคือใคร มีจุดประสงค์อะไร จะเกี่ยวกับแม่เลี้ยงใจร้ายของเธอรึเปล่า แต่ที่รู้คือตอนนี้เธอต้องรีบหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ประตูข้างหน้าคงจะล็อก แต่หน้าต่างไม้เก่าๆที่อยู่ติดผนังด้านหนึ่งนั้นถ้าใช้แรงกระแทกมันคงจะเปิดออก แต่ก่อนอื่นเธอต้องทำอะไรสักอย่างกับเชือกที่มัดมือเสียแน่นจนกระดูกแทบร้าว ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปทั่ว พยายามหาของมีคมหรืออะไรสักอย่างมาตัดเชือก

     

    ผลัวะ!

     

                ในขณะกำลังคิดหาทางหนี จู่ๆประตูไม้อัดเก่าๆก็เปิดพรวด ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ความหวาดกลัวทำให้เธอได้แต่นั่งตัวแข็งทื่อ...

     

                “ตื่นรึยังจ๊ะน้องสาว?” เสียงแหบพร่าของชายคนหนึ่งเอ่ยถาม ไม่นานนักเจ้าของเสียงที่เป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ปรากฏตัว มันมาพร้อมกับพรรคพวกอีกสี่คน...

     

    ร่างบางตาเบิกโพลง รู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจเพียงแค่เห็นสายตาโลมเลียน่ารังเกียจของคนเหล่านั้น พวกมันพร้อมใจกันก้าวเข้ามาหาเธอที่นั่งตัวสั่น ใบหน้าของทุกคนปรากฏรอยยิ้ม...

     

    เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย!

     

                “พะ...พวกคุณเป็นใคร...” เอ่ยถามเสียงสั่นพร่า สติแตกกระเจิง หญิงสาวพยายามกระถดตัวหนีไปจนชิดหัวเตียง

     

                “หึๆ พวกพี่น่ะเหรอ? ก็เป็น... ว่าที่ ผัวคนใหม่ของน้องไงจ๊ะ”

     

     

     

                 

    ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก กรี๊ดดดดด!!! หนูกุของช้านนนนน T^T เกะวิ่งให้เร็วเลยลูก! ตัวแม่ออกโรงแล้ว เล่นเอาดันโซกับโทระตะดูเป็นเด็กน้อยไปเลย เหอะๆ -.,-

     

    ปล. แอบสงสารเฮียซาโซริเบาๆ น่านะ~ เกิดเป็นตัวบันเทิงสร้างเสียงเฮฮา ทำใจเถอะนะเอ็ง (แต่ฮีน่ารักมว๊าก งอนเป็นด้วย><)

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×