ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #42 : CHAPTER 36 : ยี่สิบสองปีก่อน...กับความแค้นที่รอการชำระล้าง(100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.93K
      106
      16 มี.ค. 58

    บทที่ 36 ยี่สิบสองปีก่อน...กับความแค้นที่รอการชำระล้าง

     

     

                “ซาโซริ...ว่าไงบ้าง...”

     

                เสียงทุ้มที่สั่นพร่าเอ่ยถามในขณะที่ทอดสายตามองออกไปนอกคฤหาสน์อุจิวะราวกับรู้คำตอบนั้นดี...

     

                “ไม่มีทางเลยครับ สิ่งที่เรากลัว... มันเกิดขึ้นจริงๆ”

     

    และคำตอบก็ไม่ผิดจากที่คาด...

     

                “ฉันคิดว่าเราจะกำจัดมันได้แล้วซะอีก...” อิทาจิพูดพลางกัดฟันกรอด พยายามกลั้นน้ำตาแห่งความเจ็บใจแต่สุดท้ายก็ทำไม่ได้

     

    “ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้!!!!!

     

    ตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะกวาดเอกสารที่กองพะเนินบนโต๊ะลงพื้น มือแกร่งทุบโต๊ะทำงานที่มีสภาพเละเทะอย่างแรงราวกับต้องการระบายอารมณ์ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มอย่างไม่อาย เมื่อรู้ว่าสิ่งที่พยายามทำมาทั้งหมด...

     

    กลายเป็นศูนย์...

     

                เมื่อวาน... หลังจากที่ส่งคนไปช่วยซาอิจากการถูกจับในฐานะสปายมาได้ เขาก็ปักหลักนั่งรอข้อมูลลับของฟุวะที่ดันโซซ่อนเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ส่วนตัว มันเป็นคอมพิวเตอร์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เลย มีระบบป้องกันดีพอๆกับห้องเก็บข้อมูล และใช้เก็บแต่ข้อมูลสำคัญ และที่สำคัญกว่านั้น... ไม่มีใครรู้ว่าดันโซเก็บไว้ที่ไหน แต่ซาอิก็สามารถหามันพบ... อัจฉริยะหนุ่มรู้ว่าดันโซต้องเอาข้อมูลการเงินของบริษัทต่างๆที่ใช้ให้เขาขโมยมาเก็บไว้ในคอมเครื่องสำคัญเครื่องนั้นแน่ จึงฝังบั๊กแนบไปกับข้อมูลเหล่านั้นที่ส่งให้ดันโซไปเมื่อหลายเดือนก่อนเพื่อให้มันทำการคัดลอกข้อมูลทั้งหมดในเครื่องและส่งกลับมาให้เขา แต่การทำงานของบั๊กเหล่านั้นก็ยังมีข้อจำกัด นั่นคือหากดันโซไม่เปิดเครื่องคอมในที่ที่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ต ข้อมูลจะส่งมาไม่ได้ แต่โชคก็ยังเข้าข้างพวกเขาอยู่เมื่อตกดึกของคืนนั้นเอง ดันโซเปิดดูข้อมูลในคอมเจ้าปัญหาเครื่องนั้นพร้อมๆกับเชื่อมอินเตอร์เน็ตไปในตัว ทำให้เขาได้ข้อมูลทั้งหมด... เป็นข้อมูลที่ทำให้ไฟแค้นในใจลุกโชน

     

    มันยืนยันว่าดันโซ...

    คือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดตามที่เขาคิดไว้จริงๆ!

     

    มีทั้งไฟล์บัญชีซ้อนที่พวกเขากำลังตามหา รายชื่อคนที่เกี่ยวข้องและได้รับผลประโยชน์ ทั้งยังมีข้อความคำสั่งที่ถูกสแกนเก็บไว้ ซึ่งเหตุผลที่ดันโซต้องเก็บหลักฐานทั้งหมดไว้ ก็คงเพื่อเอาไว้ขู่คนที่เคยให้ความร่วมมือให้อยู่ในอุ้งมือของตน ไม่ให้คนพวกนั้นเล่นตุกติก แต่ในขณะเดียวกันมันก็คือหลักฐานที่ใช้มัดตัวเองให้ดิ้นไม่หลุด... แต่ด้วยหลักฐานแค่นี้คงไม่เพียงพอที่จะเอาตัวดันโซเข้าคุกได้ อีกทั้งคดีที่พวกเขาค้างคาใจมันก็หมดอายุความไปนานแล้ว หากจะเอาผิดให้เป็นปัจจุบัน ก็ต้องหาความผิดอย่างอื่น แน่นอนว่าดันโซที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกมืดย่อมมีความผิดอีกหลายอย่าง แต่ละอย่างล้วนร้ายแรงพอที่จะทำให้ชายวัยกลางคนกับลูกชายถูกขังลืมในคุกได้

     

    เขาจำได้ว่าตนรู้สึกยินดีแค่ไหนที่รู้ว่าในที่สุดก็จะกำจัดคนที่ทำลายอุจิวะได้เสียที... แต่แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นเพียงความฝันเมื่อซาอิค้นเจอไฟล์ไฟล์หนึ่ง มันเป็นไฟล์ที่ถูกตั้งชื่อว่า รากเพียงแค่เห็นชื่อนั้น... เขาก็แข็งทื่อไปทั้งร่าง... ซาอิเปิดดูข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ แต่ก็พบเพียงภาพของต้นไม้ต้นใหญ่ที่เคยเห็นในห้องเก็บข้อมูลของฟุวะ ภาพต้นไม้ที่มีรากน่ากลัว...

     

    ไม่มีใครพูดอะไรไปพักหนึ่ง...

    ซาอิปิดไฟล์นั้นเพราะไม่เห็นว่ามันจะสลักสำคัญอะไร แต่สำหรับคนอาวุโสกว่าแล้ว... นั่นเปรียบเสมือนเคียวของยมทูตที่พรากเอาลมหายใจของตนไปก็ไม่ปาน ภาพต้นไม้ที่พวกเขาเห็นมันคือสัญลักษณ์ของ รากองค์กรใต้ดินที่มีอิทธิพลจนตำรวจไม่สามารถทำอะไรได้ ซ้ำร้ายแล้วยังมีข่าวลือว่าคนใหญ่คนโตของกรมตำรวจก็เป็นหนึ่งในองค์กรนี้

     

    ใช่... ดันโซเป็น ราก

    มันไม่มีทาง...ถูกกำจัด...

     

                กฎหมาย... ทำอะไรคนชั่วคนนั้นไม่ได้...

                ทุกอย่างถูกยืนยันจากซาโซริ ทนายประจำตระกูลที่เขาส่งไปหาข้อมูลพร้อมกับคิซาเมะ ไม่กี่นาทีที่แล้วซาโซริยืนยันมาว่าในคดีทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้ในคลังคดีของตำรวจ ไม่มีรายชื่อของดันโซหรือโทระตะเกี่ยวข้องเลยแม้แต่รายชื่อเดียวราวกับว่าสองพ่อลูกคือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยทำความผิด ทั้งที่พวกมันทำชั่วช้าสารพัดมาจนนับไม่ถ้วน... เขา... ทำอะไรมันไม่ได้เลย ที่ทุ่มเทหาหลักฐานมาตลอด...

     

    กลายเป็นความว่างเปล่า...

     

    เจ็บใจ... เจ็บใจนักที่ทำอะไรไม่ได้!

     

                “เพราะเบื้องหลังมันเป็นแบบนี้สินะ... พ่อถึงได้ยอมก้มหน้าก้มหน้าชดใช้ความผิด โดยที่ไม่ทำอะไรซักอย่าง...” อิทาจิพึมพำ ก่อนจะนิ่วหน้าราวกับกำลังเจ็บปวดรุนแรง มือข้างหนึ่งกุมอกข้างซ้ายตรงบริเวณหัวใจแน่น...

     

                “คุณต้องใจเย็นๆนะครับ ห้ามโกรธ... ไม่อย่างนั้นหัวใจของคุณ...” ซาอิร้องเตือนเมื่อเห็นท่าไม่ดี แต่คนกำลังโกรธกลับตวาดใส่

     

                “ก็ช่างมันสิ!

     

    “...”

     

    “ฉันโกรธ... จนจะบ้าตายอยู่แล้ว...” เอ่ยออกมาอย่างเจ็บใจ... นัยน์ตาคมคู่แข็งแกร่งเต็มไปด้วยน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด...

     

                “ฉันใช้เวลาสิบสี่ปีตามหาหลักฐานเพื่อจะเอาผิดมัน ฉันทำถึงขนาดที่ต้องส่งแกไปแฝงตัวอยู่กับมัน พวกเราทำถึงขนาดนั้น... อีกแค่นิดเดียวก็จะลากมันเข้าคุกได้ แต่ทำไม... ทำไมทุกอย่างมันถึงจบแบบนี้!?!

     

                ไม่มีใครตอบคำถามนั้น...

                ไม่มีใครพูดอะไร... มีเพียงเสียงกระหน่ำทุบโต๊ะอย่างบ้าคลั่งของเจ้าบ้านเท่านั้นที่ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท ซาอิมองชายที่ตนเคารพอย่างเจ็บปวด... ตั้งแต่รู้จักกันมายี่สิบสองปี... อิทาจิไม่เคยฟิวส์ขาดขนาดนี้เลยสักครั้ง ผู้ชายใจดีที่มักจะยิ้มรับกับทุกสถานการณ์ กำลังแสดงสีหน้าเจ็บปวด คนที่มักจะสุขุมเสมอ กำลังบ้าคลั่ง...

     

    น้ำตาที่เขาไม่เคยได้เห็น...

    กำลังไหลลงมาเป็นทาง...

     

                ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีไปทางอื่น...

                เจ็บปวดไม่แพ้กันที่ไม่สามารถเอาคนที่ฆ่าบิดาของตนมาลงโทษได้ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งกำหมัดแน่นอย่างเจ็บแค้น... ซาอิลุกเดินไปที่โทรศัพท์ ต่อสายในสั่งให้พ่อครัวทำเครื่องดื่มมาให้เพื่อให้อิทาจิอารมณ์เย็นลง ตอนนี้เขาควรสนใจสภาพของอิทาจิมากกว่า ร่างกายของชายคนนั้นไม่อาจทานทนกับอารมณ์รุนแรงของเจ้าตัวได้ ถ้าไม่รีบหยุด...

     

    ก็อาจถึงตาย...

     

                “มันต้องมีทางออกครับ... พระเจ้าไม่เข้าข้างคนชั่วอย่างมันหรอก” คนอ่อนกว่าเริ่มกล่อมหลังจากปล่อยให้เจ้าของห้องถล่มทำลายข้าวของจนเละ อิทาจิหยุดชะงักเมื่อได้ยินประโยคนั้นก่อนจะพูด

     

                “แต่ก็ไม่เคยเหลียวมองเรา... พระเจ้า... ไม่เคยยิ้มให้ฉันเลยสักครั้ง”

     

                พูดด้วยน้ำเสียงแสนเศร้าจบก็ทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยอ่อนบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับชายหนุ่ม ดวงตาสีรัตติกาลตอนนี้ไม่มีน้ำตาแล้ว มันเหลือเพียงความสิ้นหวังว่างเปล่า...

     

                “สุดท้ายก็เหลือแค่ทางเดียว... คือฉันต้อง ฆ่า มัน” อิทาจิเอ่ยออกมาในที่สุด ร่างสูงก้มหน้ามองพื้นอย่างยอมจำนน

     

    สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีนี้...

     

                แต่แค่ประโยคสั้นๆนั้นทำเอาคนฟังหูผึ่ง ซาอิมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนจะเอ่ยห้ามเสียงดัง

     

                “ไม่ได้นะครับ! ผมไม่ยอมให้คุณทำแบบนั้นเด็ดขาด!

     

                “มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ทั้งแกทั้งซาสึเกะปลอดภัย... รวมถึงคนที่พวกแกรักด้วย ถ้ากฎหมายทำอะไรมันไม่ได้... ฉันนี่แหละ จะเป็นคนส่งมันลงนรกเอง”

     

                “คุณจะกลายเป็นฆาตกรนะครับ... คุณอิทาจิ...”

     

                “ฉันไม่สน! ฉันจะกลายเป็นฆาตกร... เป็นปีศาจ... หรือจะเป็นอะไรก็ช่าง! ขอแค่กำจัดมันได้ ถ้ากำจัดมันได้... ฉันยอม...” เอ่ยออกมาราวกับคนที่เตรียมใจเอาไว้แล้ว ประโยคนั้นทำให้ชายหนุ่มอีกคนใจสะท้าน สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดของคนตรงหน้า... ซาอิสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหลับตาเมื่อตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

     

                “งั้นผมจะเป็นคนลงมือเอง”

     

                “ไม่ได้!” คนแก่กว่าตวาด “อนาคตของแกมันยังอีกไกล ฉันให้แกเอามันมาทิ้งเพราะการแก้แค้นไม่ได้”

     

                “ผมก็ปล่อยให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน!” ซาอิตอบกลับด้วยเสียงที่รุนแรงไม่แพ้กัน “คุณเป็นลูกชายของคุณท่าน... เป็นผู้มีพระคุณของผม และก็เป็นคนที่พ่อของผมต้องการจะปกป้อง ผมยอมให้มือของคุณเปื้อนเลือดไม่ได้”

     

                “แกคิดจะขัดคำสั่งของฉันงั้นเหรอ?” เสียงทรงอำนาจเอ่ยถาม ดวงตาสีรัตติกาลที่ใครเห็นเป็นต้องสยบมองตรงไปที่ชายหนุ่ม ถ้าเป็นปกติซาอิคงจะรู้สึกกลัวเกรงอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เวลานี้...

     

                “ผมไม่เคยขัดใจคุณ แต่ครั้งนี้... ผมยอมให้คุณทำแบบนั้นไม่ได้  หยุดเถอะนะครับคุณอิทาจิ คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีกแล้ว ความแค้นของคุณ... ผมจะเป็นคนสะสางมันเอง”

     

                “แล้วถ้าแกทำ ชีวิตของแกจะเป็นยังไง? พ่อบุญธรรมของแกที่เลี้ยงแกมาตั้งแต่เด็ก... แกจะตอบแทนเขาด้วยการเดินเข้าคุกข้อหาฆ่าคนตายงั้นเหรอ?”

     

                “...”

     

                “ถ้าแกจะบอกว่าแกมีวิธีที่ฆ่ามันโดยไม่ต้องถูกจับ? ก็ได้... ไอ้วิธีแบบนั้นน่ะมันมี แต่แกใจแข็งพอที่จะทนแบกรับความรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตรึเปล่า? แกพร้อมมั้ย ที่จะต้องเรียกตัวเองว่า ฆาตกร?”

     

                เหตุผลของอิทาจิทำเขาเงียบไปพักหนึ่ง ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง และเมื่อเห็นว่าเขาเงียบ คนได้เปรียบก็เริ่มพูดต่อเป็นการสรุป  

     

                “ฉันเตรียมใจเรื่องนี้เอาไว้แล้ว... เด็กอย่างแก ยอมตัดใจและอยู่เฉยๆซะเถอะ”

     

    ก๊อกๆๆ

     

                การสนทนาถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู ซาอิเป็นคนเดินไปเปิดก่อนจะกลับมานั่งที่โต๊ะพร้อมเครื่องดื่มสองแก้ว แก้วหนึ่งเป็นรูทเบียร์ที่เขาสั่งมาให้ตัวเอง ส่วนอีกแก้วเป็นน้ำกีวี่ที่เขาขอให้พ่อครัวทำมาให้ชายตรงหน้า

     

                “น้ำกีวี่ครับ ผมขอให้พ่อบ้านของคุณทำมาให้” ซาอิว่าพลางยื่นแก้วที่ข้างในมีน้ำกีวี่สีเขียวสดใสส่งกลิ่นหอมอ่อนๆให้คนแก่กว่า อิทาจินิ่วหน้ามองอย่างขัดใจ... ราวกับว่ากำลังถูกคนที่เด็กกว่าตั้งเจ็ดปีเบรกอารมณ์ยังไงยังงั้น

     

                “มันใช่เวลาที่ฉันจะต้องมานั่งกินของแบบนี้เหรอ?”

     

                “เผื่อว่าคุณจะใจเย็นลง” ซาอิยังคงไม่ละความพยายาม ยื่นแก้วน้ำผลไม้ให้แถมยังตื๊ออย่างน่ารำคาญจนเขายอมรับมันมากระดกดื่ม

     

                “พอใจรึยัง?” เอ่ยออกมาอย่างขัดใจพร้อมกับกระแทกแก้วเปล่าที่โต๊ะอย่างแรง ซาอิมองพร้อมกับยิ้ม เขาเงียบไปนานหลายนาทีก่อนจะพูด

     

                “ผมไม่อยากเห็นคุณต้องเจ็บปวดอีก...การที่คุณจะไปฆ่าดันโซ.. มันไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าคุณจะฆ่าเขาได้ ไม่มีอะไรบอกว่าคุณจะกลับมาอย่างปลอดภัย”

     

                “ฉัน... คือคนที่อาจจะตายได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องถึงขั้นถูกฆ่าหรอก แค่ลืมกินยาซักสองสามวัน กินของผิดสำแดง จะแค่สะดุดล้ม หรือจะแบตเตอรี่ตรงหัวใจพัง จะเพราะเหตุผลอะไรฉันก็ตายได้ทั้งนั้น” อิทาจิว่าก่อนจะหลับตาลงราวกับกำลังปลงกับชีวิตอันแสนสั้นของตน

     

    “ความตาย... มันอยู่ใกล้ฉันแค่เอื้อม ฉันไม่เคยเสียดายชีวิต และจะไม่เสียดายเลย... ถ้ามันจะทำให้ฉันกำจัดคนที่มันทำร้ายน้องชายของฉันได้”

     

    คำยืนยันที่จะปกป้องครอบครัวเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ทำให้คนฟังรู้สึกผิด... แต่ที่เขาทำทุกอย่าง... ก็เพื่อรักษาชีวิตของคนตรงหน้า ซาอิกระดกดื่มรูทเบียร์แก้วใหญ่แบบรวดเดียวหมด

     

    ตุ้บ!

     

    เขาวางแก้วลงพร้อมๆกับเสียงเหมือนของหนักๆหล่นพื้น...  

     

                “แต่ผมยอมให้คุณไปตายไม่ได้ครับ...”

     

                “ซาอิ... หรือว่าแก...” คนที่ฟุบหมอบลงกับโต๊ะปรือตามองชายที่กล้าวางยาสลบตนอย่างเจ็บใจ

     

                “ผมเอายานี้มาจากหมอประจำตัวของคุณครับ มันปลอดภัยสำหรับคุณ และมันจะทำให้คุณหลับไปสองชั่วโมง แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมไปฆ่าดันโซได้”

     

                “บ้าเอ๊ย...”

     

                พูดได้แค่นั้นก็เงียบเสียงไปราวกับตกอยู่ในห้วงนิทราล้ำลึก ซาอิลุกจากเก้าอี้ เตรียมประคองคนที่ถูกวางยานอนหลับให้ไปนอนบนเตียงสบายๆ

     

                “ ผมขอโทษ... แต่ถ้าผมไม่ทำแบบนี้คุณคงไม่ยอมปล่อยผมไปแน่ พักเถอะนะครับคุณอิทาจิ ที่เหลือผมจะจัดการเอง” เอ่ยพึมพำก่อนจะออกแรงพยุงอีกฝ่าย หากแต่ยังไม่ทันจะได้แบกไปไหน ร่างสูงก็รู้สึกชาไปทั่วร่างเพราะกระแสไฟฟ้า พร้อมกับแรงผลักมหาศาลจากคนที่คิดว่าหลับไปแล้ว ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนสติจะดับวูบคือใบหน้าเปื้อนยิ้มของชายที่เคารพดุจพี่ชายแท้ๆ...

     

                “ฉันรู้ว่าแกจะต้องทำแบบนี้ แต่แกยังไม่สมควรตาย... เจ้าบ้า...”

     

     

    .

    .

    .

     

     

                รถเอสยูวีสีดำแล่นฝ่าการจราจรที่คับคั่งบนท้องถนนแล้วมาจอดสงบอยู่ที่ลานจอดรถเปลี่ยวๆที่อยู่ทางด้านหลังของโรงแรมระดับสามดาวแห่งหนึ่ง ร่างสูงเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับยังคงนั่งนิ่งราวกับกำลังเตรียมใจสำหรับภารกิจเสี่ยงตาย มือแกร่งหยิบรูปถ่ายใบเล็กๆที่มักจะพกติดตัวไว้เสมอออกมาดูโดยอาศัยแสงจากหลอดไฟนีออนที่มีอยู่ทั่วบริเวณลานจอดรถ

     

    มันเป็นรูปถ่ายครอบครัว...

    เป็นรูปถ่ายใบสุดท้ายที่ถูกถ่ายไว้ก่อนที่มารดาของเขาจะเสียชีวิตแค่สองวัน...

     

                ในรูปนั้นเขามีอายุเพียงห้าขวบ... กำลังยืนส่งยิ้มเก๊กท่าให้ตากล้องประหนึ่งตนเป็นนายแบบก็ไม่ปาน พ่อของเขายกมือข้างหนึ่งทาบทับบนศีรษะของเขาอย่างเอ็นดู ในขณะที่มืออีกข้างก็โอบกอดภรรยาสาวสวยที่กำลังอุ้มเด็กทารกวัยเดือนกว่าไว้ในมือ ทุกคนในภาพต่างส่งยิ้มให้กล้องอย่างมีความสุข... ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกใหม่ของบ้านที่กำลังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากราวกับรับรู้ถึงความสุขนั้นด้วย แต่ใครเล่าจะรู้... เพียงแค่สี่สิบแปดชั่วโมงหลังจากนั้น... บ้านที่เคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ก็กลับกลายเป็นบ้านที่มีแต่ความโศกเศร้า เมื่อผู้ที่เป็นดั่งดอกไม้แสนงดงามเพียงหนึ่งเดียวในบ้าน...

     

    จากไปตลอดกาล...

     

                มารดาของเขาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต ทิ้งให้เขาและน้องชายที่เพิ่งเกิดมาได้แค่เดือนกว่ากลายเป็นเด็กกำพร้าแม่ และบิดาของเขากลายเป็นพ่อม่าย... บาดแผลความเจ็บช้ำจากการสูญเสียภรรยาคู่ชีวิตทำให้อุจิวะ ฟุงาคุ กลายเป็นคนซึมเศร้าไม่พูดไม่จา งานการที่ธนาคารก็เป็นอันต้องหยุดชะงักเพราะผู้บริหารสูงสุดไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ในขณะที่เขาเอง... ก็กลายเป็นเด็กที่ใช้เวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงหมกตัวอยู่ในห้อง พร่ำเพ้อหาแม่ผู้แสนใจดีที่จากไป ทุกคนในบ้านล้วนอยู่ในอาการเศร้า

     

    จะเว้นก็แต่...

    เด็กทารกแรกเกิดที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว...

     

                ซาสึเกะตัวน้อยยังคงหัวเราะเสมอเวลาที่มีใครไปเล่นด้วย ยังคงร้องไห้งอแงเวลาหิว ยังคงยิ้มร่าราวกับไม่รับรู้ถึงการสูญเสีย... เด็กน้อยไม่รับรู้เลยว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจากโลกนี้ไปแล้ว พอๆกับที่ไม่รู้เลยว่าสมาชิกในครอบครัวที่เหลือ... ต่างก็จ่อมจมอยู่กับความเศร้า จนหลงลืมที่จะสนใจทารกแรกเกิด ปล่อยให้อยู่กับพ่อบ้านวัยกลางคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการดูแลเด็กเพราะที่คฤหาสน์ไม่มีคนงานที่เป็นผู้หญิงเลยสักคน

     

    เหตุการณ์เป็นไปอยู่อย่างนั้นเกือบสองอาทิตย์ จนวันหนึ่งทารกน้อยที่ถูกหมางเมินเกิดร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุดจนเหล่าพ่อบ้านวิ่งกันให้วุ่นทั้งคฤหาสน์ แต่จู่ๆเสียงร้องไห้งอแงก็เงียบไปจนน่าแปลก และเมื่อมาดูที่เปลเด็กถึงได้พบว่าคุณชายคนเล็กของบ้านอุจิวะกำลังอยู่ในอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย เด็กน้อยตัวซีดไร้เลือดฝาด สักพักก็เริ่มคล้ำเป็นสีม่วง เจ้าตัวนอนหายใจรวยระริน หมดสติอยู่บนที่นอน พ่อบ้านที่เห็นดังนั้นก็รีบนำตัวทารกน้อยส่งโรงพยาบาล เสร็จแล้วจึงรีบแจ้งข่าวร้ายนี้กับฟุงาคุผู้เป็นนาย กับคุณชายใหญ่ที่ยังคงนั่งซึมอยู่ในห้องนอนไม่รับรู้เลยว่าตนเกือบจะสูญเสียสมาชิกอีกหนึ่งคนในครอบครัวไป

     

    หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คนที่เอาแต่ซึมก็ดูเหมือนจะได้สติ ชีวิตที่เกือบจะเสียไปของซาสึเกะถูกกุมารแพทย์มือฉมังเรียกคืนมาได้ แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นกลับฝังลึกในความทรงจำของทั้งพ่อและพี่ ความรู้สึกผิดที่เกือบจะทำให้เด็กน้อยต้องมาตายอย่างน่าเวทนาทำให้อิทาจิสาบานกับตัวเองว่าจะรักและดูแลน้องชายตัวน้อยที่กำพร้าแม่ให้ดีที่สุด จะไม่ยอม... ให้น้องต้องได้รับอันตรายอีกแล้ว และก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น พ่อของเขาก็เช่นกัน ฟุงาคุเลิกเศร้าโศกเสียใจกับการจากไปของภรรยา เขาหันมาสนใจดูแลลูกชายคนเล็ก ตั้งใจจะทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไม่ให้เด็กน้อยต้องรู้สึกกำพร้า แต่ทว่าด้วยงานที่หนักหนาทำให้ชายหนุ่มจำต้องมอบภาระการดูแลให้คนอื่น แต่ก็กลัวเกินกว่าจะปล่อยให้คนที่ไม่มีความรู้เรื่องการดูแลเด็กมาดู ประกอบกับเข้าใจว่าลูกชายของตนต้องการความรักความอ่อนโยนจากผู้หญิง เป็นความอ่อนโยนที่เหมือนกับภรรยาของเขา...

     

    เมื่อคิดได้ดังนั้นเจ้าบ้านตระกูลอุจิวะจึงประกาศรับสมัครพี่เลี้ยงเด็กที่เป็นผู้หญิงเพื่อจะเอามาดูแลลูกชายวัยสองเดือนของตน ไม่ถึงครึ่งวันที่ประกาศ... หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งก็เข้ามาสมัคร หลังจากทดสอบความรู้พอคร่าวๆ ฟุงาคุก็รับเธอเข้าทำงานทันที และก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งที่ซาสึเกะชื่นชอบพี่เลี้ยงคนใหม่ของตนจนอาจเรียกว่าติดเลยก็ได้ ทุกที่ที่มีพี่เลี้ยงสาวสวย ก็จะมีทารกน้อยที่ชื่อซาสึเกะอยู่ด้วยตลอด ทั้งคู่ไม่เคยห่างกัน... อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน และเพราะความสัมพันธ์ที่แสนแนบแน่นนี้เองที่ทำให้เด็กน้อยเรียกพี่เลี้ยงของตนว่า แม่

     

    เธอเป็นผู้หญิงคนแรก...

    ในชีวิตของซาสึเกะ...

     

    วันเวลาล่วงผ่านไปจนห้าปี จากทารกขี้ป่วยที่ต้องหามส่งโรงพยาบาลนับครั้งไม่ถ้วนก็เติบโตมาเป็นเด็กชายวัยห้าขวบที่แสนร่าเริงสดใส แต่แม้จะโตจนรู้ภาษาแล้ว ซาสึเกะก็ยังติด แม่ของตนดังเดิม เรียกว่าทั้งพ่อทั้งพี่ชายแทบจะหมดความหมายสำหรับเด็กชายไปเสียแล้ว และอิทาจิก็ไม่แปลกใจเลยที่น้องชายของตนรู้สึกแบบนั้น เพราะพี่เลี้ยงสาวทั้งสวย ทั้งใจดี แถมยังตามใจพ่อน้องชายสุดแสบของเขาอีกต่างหาก ถือหาง ให้ท้าย เอาใจสารพัดจนซาสึเกะถึงกับประกาศกร้าวว่าโตขึ้นตนจะแต่งงานกับคุณพี่เลี้ยงให้ได้ และเจ้าตัวก็ดูเอาจริงเอาจังเหลือเกินกับความคิดนี้ ซาสึเกะไม่ยอมให้ผู้ชายคนไหนเข้าใกล้พี่เลี้ยงของตนเลย หวง อย่างกับเด็กน้อยหวงของเล่น แถมยังเกาะหนึบชนิดที่ว่าโรงเรียนก็ไม่ยอมไปจนบิดาของเขาต้องจ้างให้ครูพิเศษมาทำการสอนแบบโฮมสคูลถึงบ้าน ในตอนนั้นทั้งเขาทั้งบิดา ไม่มีใครนึกเอะใจเลยสักนิดว่าพี่เลี้ยงผู้ใจดีที่ซาสึเกะรักเหมือนแม่แท้ๆ

     

    จะกลายเป็นคนที่ทำลายทุกอย่าง...

     

    วันหนึ่งในฤดูร้อนเมื่อยี่สิบสองปีก่อน... พี่เลี้ยงสาวขอพาซาสึเกะไปเปิดหูเปิดตาที่สวนสนุก ซึ่งพ่อของเขาก็อนุญาตให้ไปแต่โดยดี ด้วยคิดว่าตนคงไม่มีเวลาพาลูกชายไปเที่ยวด้วยตัวเองเพราะกำลังยุ่งอยู่กับการขยายสาขาของธนาคารไปที่อเมริกาและยุโรปบางส่วน แต่ฟุงาคุก็ไม่ลืมที่จะส่งบอดี้การ์ดฝีมือดีที่ตนไว้ใจตามไปคุ้มครองลูกชายคนเล็กด้วยเพราะรู้ว่าตอนนี้ตระกูลอุจิวะกำลังถูกคนบางกลุ่มจับตามอง

     

    ใช่...

    เหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเมื่อตอนนั้น...

     

                วันที่เขากลับมาจากโรงเรียนและตั้งใจจะแวะไปเล่นกับน้องชายตามปกติ แต่แทนที่จะเห็นน้องในคฤหาสน์ เขากลับเห็นพ่อของตัวเองที่ไม่ค่อยจะได้กลับบ้านกำลังนั่งก้มหน้าเอามือกุมขมับอย่างเครียดจัดอยู่ที่ห้องรับแขก เหล่าทีมอารักขาคนแล้วคนเล่าของพ่อเดินกันวุ่นวายเต็มคฤหาสน์ เสียงโทรศัพท์ดังระงมไปทั่ว และถึงพ่อไม่ต้องเล่า เขาก็พอจะเอาออกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเพราะได้ยินเสียงรายงานความคืบหน้าของบอดี้การ์ดนายหนึ่ง

     

    “เรายังหาตัวคุณซาสึเกะไม่พบเลยครับ คนที่ไปสืบร่องรอยจากจุดเกิดเหตุบอกว่ามีรถเก๋งสีดำคันหนึ่งมารับตัวคุณหนูกับพี่เลี้ยงขึ้นรถไป”

     

    น้องชายของเขาถูกจับตัวไป...

    และถ้าเดาไม่ผิด คนที่จับไปก็คือ...

     

    “ผู้หญิงคนนั้น! มันกล้าทำกับลูกชายของฉัน!!!

     

    ใช่แล้ว...

    เธอคือผู้หญิงที่ซาสึเกะรักและไว้ใจที่สุด...

     

    แม่...

     

                การลักพาตัวซาสึเกะโดยพี่เลี้ยงของเจ้าตัว ได้พรากเอาชีวิตของนายบอดี้การ์ดที่ติดตามคุ้มครองไปด้วย บอดี้การ์ดที่มีลูกน้อยน่ารักคนหนึ่ง มีภรรยาสาวสวย มีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์ หากแต่ทุกอย่างกลับพังลงอย่างง่ายดายเมื่อผู้นำครอบครัวจากไป ทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้าและความแค้นของคนที่เหลืออยู่...

     

                อิทาจิรอคอยการกลับมาของน้องชายอย่างทรมาน ไม่มีคืนไหนที่เขานอนหลับ... ได้แต่ภาวนาขอให้น้องกลับมาอย่างปลอดภัย พอๆกับคนเป็นพ่อที่เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้อง และแล้ววันหนึ่ง ผู้เป็นพ่อก็เดินมาบอกกับเขาด้วยสีหน้าท่าทางที่โศกเศร้า

     

    “น้องกำลังจะกลับมา”

     

                พ่อของเขาพูดไว้แค่นั้น...

                เป็นน้ำเสียงที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็เป็นความจริง... เพราะแค่วันเดียวหลังจากที่พ่อพูดแบบนั้น ซาสึเกะก็กลับบ้านมาด้วยสภาพบอบช้ำไปทั้งกาย รอยยิ้มแสนสดใสไม่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าที่ฉายแววหล่อเหลาตั้งแต่เด็ก ซาสึเกะไม่ยอมพูดอะไรกับใครเลย... เขาเป็นอย่างนั้นอยู่เป็นปี ไม่มีใครรู้ว่าระหว่างที่ถูกจับตัวไปน้องชายของเขาพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้าพอที่จะถาม และทุกคนก็ไม่สงสัยเลยสักนิด... ว่าทำไมเด็กชายที่เคยติดพี่เลี้ยงสาวอย่างกับตังเม...

     

    ถึงกลายเป็นคนที่รังเกียจผู้หญิงทุกคน...

     

                  แต่เหตุการณ์การถูกลักพาตัวในครั้งนั้น มันก็ไม่ได้จบแค่การสูญเสียชีวิตของบอดี้การ์ด ไม่ได้จบแค่ภรรยาสาวของบอดี้การ์ดตรอมใจตาย ไม่ได้จบแค่ที่ซาสึเกะกลายเป็นเด็กที่ไม่พูดกับใครและเกลียดผู้หญิง แต่มันยังทำให้อาณาจักรการเงินที่บรรพบุรุษของเขาบากบั่นสร้างมานับร้อยปี...

     

    ต้องล่มสลาย...

     

                อิทาจิรับรู้ถึงความจริงเบื้องหลังการกลับมาอย่างปลอดภัยของซาสึเกะก็แปดปีให้หลัง ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆก็มีข่าวเรื่องการตัดสินใจที่ผิดพลาดของฟุงาคุที่เอาเงินสำรองทั้งหมดของธนาคารไปกว้านซื้อหุ้นของบริษัทที่กำลังจะล้มละลายขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ การทำแบบนั้นทำให้ธนาคารอุจิวะประสบวิกฤติขาดทุนอย่างย่อยยับ จากธนาคารอันดับหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาด้านความแข็งแกร่งกลับถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือจนเกือบจะกลายเป็นธุรกิจที่ล้มละลาย ลูกค้าทุกคนของธนาคารต่างก็ถอนเงินของตนออกไป มันกลายเป็นวิกฤติการณ์ที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศหยุดชะงักไปหลายเดือน คนหลายหมื่นคนเดือดร้อน... และพ่อของเขากลายเป็นคนผิดที่ต้องรับผิดชอบหนี้สินกองโต ฝันร้ายมาเยือนตระกูลอุจิวะแค่ชั่วข้ามคืน ฟุงาคุสูญเสียทุกอย่าง... ทั้งที่ดินที่มีอยู่ทั่วประเทศ ทรัพย์สมบัติของบรรพบุรุษและของตัวเอง ทุกอย่างถูกขายออกไปเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ที่เกิดจากความผิดพลาดด้านการบริหาร จะเหลือก็แค่คฤหาสน์อุจิวะอันเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลือไว้

     

    แต่ท่ามกลางกระแสต่อว่าของคนทั้งสังคม... ใครเล่าจะรู้ว่าที่พ่อของเขาทำไปทั้งหมด ก็เพื่อรักษาชีวิตลูกชายคนเล็กเอาไว้...

     

    ข้อตกลงที่พี่เลี้ยงสาวยื่นให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับการคืนตัวซาสึเกะ...

    ก็คือการให้ฟุงาคุทำลายอาณาจักรการเงินอุจิวะด้วยตัวเอง...

     

                อิทาจิเพิ่งจะเข้าใจรอยยิ้มโศกเศร้าของชายที่มักจะเย็นชาอย่างพ่อ วันที่พ่อของเขาบอกว่าน้องจะกลับมา... คือวันที่เจ้าตัวตัดสินใจลงมือขยี้ทำลายธนาคารอุจิวะด้วยตนเอง ฟุงาคุเล่าทุกอย่างให้เขาฟังในจดหมายที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ เป็นจดหมายที่ถูกเขียนขึ้น...

     

    ก่อนที่พ่อของเขาจะขับรถตกหน้าผาตาย...

     

    ตอนนั้นเขาอายุได้สิบแปดปี กำลังจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนซาสึเกะอายุสิบสาม เพิ่งเข้าเรียนม.ต้น ชีวิตในตอนนั้นเรียกว่าอยู่ในจุดที่ตกต่ำสุดขีด... ไม่มีเงิน ไม่เหลือศักดิ์ศรี คนทั้งสังคมยังไม่ลืมความผิดพลาดในการตัดสินใจเมื่อครั้งนั้นของพ่อเขา จากคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ กลายเป็นเพียงคนบาปที่ถูกสังคมประณาม เป็นความเจ็บปวดที่ไม่อาจทำใจลืมได้ลง... และก็คงเป็นเพราะไม่อยากให้ลูกชายทั้งสองของตนต้องมาตกระกำลำบากกระมัง สุดท้ายพ่อของเขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ เพื่อนำเงินประกันที่ได้จากการตายของตนมาจุนเจือสองชีวิตที่ยังเหลืออยู่

     

    “... พ่อคงทำให้ลูกได้เท่านี้ อิทาจิ... พ่อฝากดูแลน้องด้วย ซาสึเกะคงจะรู้เรื่องทุกอย่างมาตลอดและกำลังโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ถูกจับ บอกน้องด้วยว่าพ่อไม่ได้โกรธ ไม่ได้เสียใจที่จะต้องแลกทุกอย่างเพื่อเอาน้องกลับมา และพ่อก็เชื่อว่าลูกคงจะไม่โกรธน้องเหมือนกัน ไปอยู่อเมริกานะ พ่อติดต่อเพื่อนให้เขาช่วยเหลือดูแลลูกแล้ว ตอนนี้พวกลูกเหลือกันแค่สองคนพี่น้อง... รักกันให้มากๆ พ่อขอให้พวกลูกมีความสุข...”

     

    เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองร้องไห้มากแค่ไหนตอนที่อ่านจดหมายฉบับนั้นของผู้เป็นพ่อ โดยเฉพาะข้อความสุดท้ายที่ถูกเขียนไว้ตรงเกือบสุดหน้ากระดาษ เป็นข้อความที่ถูกเน้นไว้ราวกับบิดาของเขารู้ว่าเขาคิดจะทำอะไรหลังจากรู้ความจริงทั้งหมด

     

     “... อย่าแก้แค้นนะอิทาจิ ลูกต้องใช้ชีวิตต่อไป อย่ายึดติดกับความแค้น... พ่อ...อโหสิกรรมให้คนพวกนั้นแล้ว... ”

     

                มันเป็นข้อความที่บอกให้เขาปล่อยวาง เลิกคิดแค้นกับคนที่บังคับให้พ่อของเขาทำลายธนาคารอุจิวะ แต่เขากลับทำตามความต้องการสุดท้ายของพ่อไม่ได้... แทนที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนตามที่พ่อสั่งเสีย เขากลับยืนยันที่จะปักหลักอยู่ในประเทศและส่งซาสึเกะไปเพียงคนเดียว เขาเอาเงินที่ได้จากประกันบางส่วนให้ซาสึเกะติดตัวไว้ แม้รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่เพียงพอ แต่ก็เชื่อว่าน้องชายของเขาสามารถเอาตัวรอดได้ จากนั้นเขาก็ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจ เอาเงินที่เหลือมาลงทุนกับธุรกิจเล็กๆ ทำทุกอย่างเพื่อกอบกู้อาณาจักรที่เคยล่มสลายกลับคืนมา โหมงานหนัก... ไม่ได้พักผ่อน... จนร่างกายเริ่มประท้วง แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่หยุดที่จะทำเพราะความแค้นที่มีอยู่ในใจ และความรู้สึกที่ว่าตนต้องเตรียมทุกอย่างให้น้อง ถ้าซาสึเกะกลับมา... ทุกอย่างต้องพร้อม ซาสึเกะต้องไม่ลำบากอีก และถ้าอุจิวะกลับยิ่งใหญ่เหมือนเดิม น้องของเขาอาจจะเลิกโทษตัวเอง...

     

    เขาทำสำเร็จในอีกห้าปีให้หลัง...

    โดยแลกกับร่างกายที่ไม่สามารถเรียกคืนได้...

     

                จากชายที่เคยแข็งแรง... บัดนี้ทำไม่ได้แม้แต่จะหายใจด้วยตัวเอง หัวใจที่เคยเป็นปกติ... ต้องอาศัยเครื่องช่วยกระตุ้นหัวใจเพื่อให้มันเต้นอยู่ตลอด เขากลายเป็นคนป่วยที่แทบจะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากสั่งงานผ่านเลขาผู้ภักดีอย่างคิซาเมะ แต่เขาก็ถือว่ามันคุ้มค่า... ธนาคารอุจิวะกลับมายิ่งใหญ่ดังเดิม และการกลับมาของอุจิวะในครั้งนั้นก็ถือเป็นการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังอยู่ในช่วงซบเซาให้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ และด้วยเหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้อิทาจิถูกเรียกว่า...

     

    ความรุ่งโรจน์ของประเทศ

                                                                                         

                ในปีเดียวกันนั้น หลังจากที่รู้ว่าตัวเองป่วยจนไม่สามารถนั่งเก้าอี้ประธานธนาคารรอจนซาสึเกะเรียนจบได้ เขาก็เรียกตัวน้องชายที่ขาดการติดต่อกันไปห้าปีเต็มให้กลับมาศึกษางานเพื่อรับช่วงต่อจากเขา สองปีหลังจากนั้นซาสึเกะก็ขึ้นเป็นประธานคนใหม่ของธนาคารอุจิวะด้วยวัยเพียงยี่สิบปี แม้จะมีเสียงคัดค้านอยู่มากมายแต่น้องของเขาก็ทำให้เสียงเหล่านั้นเงียบลงได้ด้วยความสามารถที่ไม่แพ้พี่ชาย

     

                เหตุการณ์ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น... แต่เขาคาดคะเนผิดไปเยอะพอสมควร เพราะซาสึเกะไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองจากความรู้สึกผิดเลยสักนิด น้องชายของเขากลับโทษตัวเองหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าเขาป่วยเฉียดตายจากการทำงานหนัก เขาไม่มีทางรู้เลยว่าความเกลียดชังที่ซาสึเกะมีต่อตัวเองและผู้หญิงทุกคนมันเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ยิ่งผลจากการถูกลักพาตัวครั้งนั้นมันร้ายแรงมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกลียดมากขึ้นเท่านั้น... กลายเป็นความเกลียดชังขยะแขยงจนเข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนไม่ได้ เพราะเจ้าตัวยังคงฝังภาพผู้หญิงคนแรกในชีวิตที่กลายเป็นคนทรยศไว้ในความทรงจำ... ระลึกอยู่เสมอว่าผู้หญิงทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจ...

     

    จนกระทั่ง...

    ได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง...

     

                เป็นผู้หญิงโชคร้ายที่บังเอิญเข้ามาในชีวิตของคนที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างซาสึเกะ แต่เธอสามารถกุมหัวใจราชาผู้เลือดเย็นได้อย่างน่าอัศจรรย์ สำหรับเขาแล้ว... ผู้หญิงคนนั้นคือสิ่งมหัศจรรย์ เป็นเหมือนยาวิเศษที่ทำให้น้องชายของเขากลับมามีความสุขอีกครั้ง...

     

    แต่ความสุขนั้นกลับถูกพรากไป...

     

                อิทาจิเก็บรูปใบเล็กไว้ตามเดิมก่อนจะประกอบที่เก็บเสียงกับปากกระบอกปืนสั้นออโตเมติกที่เตรียมมา ดวงตาสีรัตติกาลวาวโรจน์ไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง...

     

    น้องชายของเขาถูกพรากความสุขไปอีกแล้ว...

    ด้วยสาเหตุจากคนๆเดิม!

     

                ตลอดเวลาสิบสี่ปีหลังจากรู้ความจริง... เขาพยายามหาหลักฐานเกี่ยวกับคนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวซาสึเกะเมื่อยี่สิบสองปีก่อน หลักฐานหลายๆอย่างบ่งชี้ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังก็คือฟุเสะ ดันโซ เจ้าของธนาคารฟุวะที่ตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงตกต่ำ แล้วจู่ๆก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างผิดปกติหลังจากการล่มสลายของอุจิวะ แต่เพราะหลักฐานพวกนั้นยังคลุมเครือไม่แน่ชัด เขาจึงจำเป็นต้องส่งซาอิที่พร้อมจะสละตัวเองเพื่อสืบเรื่องราวทั้งหมดเข้าไปแทรกซึมอยู่กับดันโซ ทั้งเขา ซาโซริ ซาอิ และลูกน้องที่ไว้ใจได้บางส่วน ดำเนินการสืบเสาะหาหลักฐานเพื่อลากคอคนผิดเข้าคุกโดยไม่ให้ซาสึเกะรู้ตัว เขากลัวว่าน้องชายจะเข้ามาห้ามแล้วอาสากำจัดดันโซเอง เขารู้ว่าซาสึเกะจะไม่ยอมให้เขาทำอะไรอีกแล้ว... ไม่ยอมให้เขาเสี่ยงอันตรายอะไรอีกแล้ว...

     

    ซาสึเกะต้อง หยุดเขาแน่...

     

                แต่เขาคงจะระวังไม่พอ... ซาสึเกะรู้เรื่องเข้าจนได้... แต่ก็ยังฉลาดพอที่จะไม่บอกว่าตัวเองรู้เรื่องทุกอย่าง มันตั้งใจจะปิดฉากดันโซ ชิงลงมือก่อนหน้าเขา โดยอาศัยความร่วมมือจากคาสึจิ...

     

    นี่คงเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ยอมแต่งงาน...

     

                ถ้าคิดจะหาข้อมูลการทำผิดของดันโซ คงไม่มีทางไหนจะง่ายไปกว่าการหาข้อมูลจากคาสึจิที่รู้เห็นถึงเบื้องหลังอันดำมืดของดันโซ แต่การจะทำให้คนเจ้าเล่ห์อย่างคาสึจิยอมคายข้อมูลทุกอย่างก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายซาสึเกะจึงต้องยอมแต่งงานกับคารินเป็นข้อแลกเปลี่ยนและกันคนรักของตัวเองออกจากเกมที่มีแต่ความอันตรายไปในตัว ยอมกระโจนลงสู่วังวนแห่งความเจ็บปวด ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้แต่หัวใจ... เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าหัวใจของซาสึเกะนั้นมีเพียงสิ่งเดียว...

     

    ก็คือตัวเขา...

     

                แต่ในฐานะพี่ชาย... ความทรมานของน้อง มันเจ็บปวดยิ่งกว่าความตายเสียอีก... ถ้าดันโซถูกกำจัดไปตอนนี้ ซาสึเกะก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะต้องแต่งงานกับคาริน หมอนั่นจะสามารถกลับไปหาคนที่รักได้... และชีวิตก็ไม่ต้องหวาดกลัวไอ้เดนมนุษย์ที่เคยทำร้ายตัวเองเมื่อครั้งอดีต...

     

    นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาที่นี่ สถานที่นัดพบที่ค้นเจอในบันทึกของดันโซที่ปะปนมากับข้อมูลที่ได้มา คืนนี้ตอนสองทุ่ม ดันโซจะนัดเจรจากับคู่ค้าของมันที่ห้องโกโรโกโสห้องหนึ่งในโรงแรมระดับสามดาวที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าเขา

     

                เขาจะต้องปลิดชีพมัน... เพื่ออนาคตของซาสึเกะ!

     

               

     

               

    พี่อิทาจิ~~~~~ ยังคงคอนเซ็ปต์รักน้องยิ่งชีพ เป็นคนที่เสียสละเกินไป แสนดีเกินไป รันทดเกินไป แง้~ แอบซับน้ำตา สงสารอ่ะ สงสารมากกกกก T^T เกะก็น่าสงสาร ฉันเข้าใจแก ฉันเข้าใจแกร๊ (กรีดร้อง)

     

    #พระเอกผู้รันทด

    #fc อิจจี้

    #อย่าตายนะเอ็ง (เมิงเป็นคนแต่งนะ =.,=)

    #น่าจิ้นวาย -.- //ผิดมาก

     

     80%

     

                ภายในห้องพักโทรมๆห้องหนึ่งของโรงแรมเก่าๆ... ฟุเสะ ดันโซ กำลังรอคอยหุ้นส่วนคนสำคัญอย่างหงุดหงิด มือหยาบกร้านที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยทุบที่โต๊ะอย่างแรงจนมือขวาหนุ่มที่ยืนเฝ้าอยู่ใกล้สะดุ้ง

     

                “ติดต่อเลขาของไอ้สก็อตต์ซิ บอกมันว่าถ้าภายในสิบนาทีเจ้านายของมันยังไม่โผล่หัวมา ฉันจะยกเลิกการเจรจา!

     

    ร้องสั่งผู้ติดตามของตนเสียงดัง ก่อนจะก้มหน้ามองเอกสารบนโต๊ะ มันเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับการค้าอาวุธเถื่อนและยาเสพติดที่เขาทำไว้กับ คาร์ลตัน สก็อตต์ เทศมนตรีประสบการณ์น้อยจากนอร์ทแคโรไลนา แต่เพราะเมื่อสองสัปดาห์ก่อนมีการเปลี่ยนผู้ว่าการรัฐนอร์ทแคโรไลนาคนใหม่ ทำให้มีการรื้อระบบตรวจสอบข้าราชของรัฐที่มีข่าวลือว่าใช้อำนาจอิทธิพลของตนในทางที่ผิด แน่นอนว่าสก็อตต์คือหนึ่งในคนที่ถูกกาหัวไว้ การตรวจสอบครั้งนี้ทำให้ตำรวจท้องที่ได้กลิ่นความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการค้าสิ่งผิดกฎหมายของกับเทศมนตรีหนุ่ม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้สก็อตต์ยอมข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อมาขอความช่วยเหลือจากเขาซึ่งเป็นคู่ค้า...

     

    แต่ก็ไม่ใช่มา ขอความช่วยเหลือซะทีเดียวหรอก มันขู่เขาต่างหากว่าถ้าไม่ช่วยมันจะเอาเรื่องของเขาไปบอกตำรวจ รวมถึงส่งหลักฐานการทำผิดกฎหมายของเขาและ รากให้กับองค์กรที่มีอำนาจตามตัวผู้ร้ายข้ามแดนอย่างองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรืออินเตอร์โพล ดันโซยิ้มเย็น... เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ริอาจลองดีกับคนมากประสบการณ์อย่างเขา

     

    เห็นทีคงต้องกำจัด...

     

    ก๊อกๆๆ

     

                เสียงเคาะประตูเป็นจังหวะทำให้มือขวาหนุ่มที่กำลังจะโทรตามคู่ค้าของเจ้านายตามที่ได้รับคำสั่งชะงักมือ ก่อนจะหันมาทางดันโซเหมือนขอความเห็น

     

                “หึ! ตายยากเหมือนกันนี่หว่า” ชายวัยกลางคนแค่นหัวเราะเสียงเย็นพร้อมกับพยักพเยิดหน้า “ไปเปิดประตู”

     

                “อั่ก!

     

                วินาทีที่ประตูไม้เก่าๆถูกเปิดออก คนที่อยู่ข้างนอกก็กระแทกตัวเข้ามาพร้อมกับใช้สันมือฟาดเข้าที่ต้นคอของมือขวาที่ไม่ทันระวังตัวจนสลบล้มลงไป ดันโซตาเบิกโพลง มองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตกใจ หัวใจแสนเลือดเย็นอำมหิตแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นว่าคนที่บุกรุกเข้ามาพร้อมกับจัดการบอดี้การ์ดมือหนึ่งของเขาโดยใช้เวลาแค่เสี้ยววินาที คือชายที่ไม่น่าจะปรากฏตัวตรงนี้ที่สุด...

     

    อุจิวะ อิทาจิ!

     

                “อะ... อิทาจิ...” คนแก่กว่าร้องครางเบาๆ เสียงทั้งหมดถูกกลืนหายไปเมื่อเห็นสายตาแสนเย็นเยียบของคนคราวลูก  

     

                “ยกมือขึ้น” ผู้บุกรุกออกคำสั่ง พร้อมกับเล็งปืนสั้นออโตเมติกสีดำที่ติดที่เก็บเสียงไว้พร้อมไปที่เจ้าของห้อง

     

    “แก...”

     

    “ฉันบอกให้ยกมือขึ้น!!!

     

    “โอเค... ฉันยอมแล้ว” ดันโซพูดพร้อมกับชูมือขึ้นทั้งสองข้างอย่างยอมจำนน  

     

    “ออกมายืนตรงนี้” ร่างสูงเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลสั่งหลังจากอีกฝ่ายยอมยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เขาใช้มืออีกข้างที่ว่างชี้ไปยังผนังด้านหนึ่งที่มีฉากกั้นสีฟ้าอ่อนวางอยู่ใกล้ๆ

     

    “เร็วๆ!” อิทาจิเร่งอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายก้าวขาอย่างอ้อยอิ่ง ก่อนจะคว้าต้นคอคนแก่กว่ากดไปกับผนังอย่างแรงแล้วใช้มือตบๆที่ตัวเพื่อค้นอาวุธ เขาทำทุกขั้นตอนอย่างรุนแรงไม่ปรานีจนดันโซร้องโอดครวญอย่างเจ็บปวด

     

    “อย่ารุนแรงนักสิ ฉันอายุมากแล้วนะ”

     

    “หึ! ไอ้ความชั่วที่แกทำมามันก็มากพอๆกัน” อิทาจิตอบเสียงเย็นก่อนจะผลักชายวัยกลางคนออกไปห่างๆตัว

     

    “อย่าคิดเล่นตุกติกล่ะ ไม่งั้นศพแกไม่สวยแน่”

     

                “จะ... ใจเย็นก่อนสิ มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”

     

                “อ้อ... งั้นก็คงมีเยอะเชียวล่ะ” จอมมารคนเก่งที่บัดนี้ดูร้ายกาจสมชื่อพูดพร้อมกับระบายยิ้ม... เป็นรอยยิ้มเย็นเยียบที่ไม่ว่าใครมองก็ต้องใจสั่นสะท้าน ร่างสูงสูดลมหายใจเข้าลึก... พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ลั่นไกก่อนจะบรรลุเป้าหมาย เขาเอ่ยต่อเสียงเรียบ...

     

                “เมื่อยี่สิบสองปีก่อน... แกใช่มั้ย คือคนที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวซาสึเกะ เพื่อเอามาบีบให้พ่อของฉันทำลายอุจิวะ”

     

                ทันทีที่ฟังจบประโยคคนถูกเอาปืนเล็งก็ได้แต่ยืนตัวสั่นผับๆราวกับลูกนกตกน้ำ ดวงตาแข็งกร้าวโฉดชั่วฉายแววงุนงง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงสั่น

     

                “เธอกำลังพูดเรื่องอะไร...”

     

                “อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่อง! ฉันก็กำลังพูดเรื่องความชั่วที่แกทำไว้กับอุจิวะเมื่อยี่สิบสองปีก่อนไงล่ะ จำไม่ได้เหรอ?” พูดพลางเลิกคิ้วถามอย่างท้าทาย ปากหยักได้รูปเหยียดยิ้มขยะแขยงกับท่าทางกลัวตายของคนตรงหน้า

     

                “ฉัน... คิดว่าเธอคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะอิทาจิคุง ฉัน... ฉันไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น”

     

                “แกคิดว่าฉันโง่นักเหรอ หืม?”

     

    เพล้ง!

     

                แก้ววิสกี้ที่สั่งมาดื่มระหว่างรอคู่ค้า จู่ๆก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆราวกับถูกทุบด้วยวัตถุล่องหนที่มองไม่เห็น ดันโซตัวชาวาบเมื่อมองเห็นไอกรุ่นๆของเขม่าดินปืนที่ลอยอยู่บริเวณที่เก็บเสียง และเมื่อมองเลยไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนถือปืน รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมก็ช่วยสะกดให้หัวใจคนแก่แทบหยุดเต้น...

     

    น่ากลัว...

     

                หลังจากโชว์ความแม่นด้านการยิงไปหนึ่งนัด ร่างสูงก็หันปากกระบอกปืนกลับมาทางเดิม เขาเดินเข้าไปใกล้คนกำลังกลัวอย่างช้าๆ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความแค้น...

     

    “ไอ้พวกบริษัทที่กำลังจะล้มละลายที่คุณพ่อเอาเงินทุนสำรองทั้งหมดในธนาคารไปซื้อหุ้นเมื่อยี่สิบสองปีก่อนน่ะ มันมีชื่อแกเป็นหุ้นส่วนใหญ่ทั้งนั้น! และถ้าอุจิวะต้องล้มละลายไปจริงๆ ธนาคารคู่แข่งที่กำลังตกต่ำอย่างฟุวะก็ต้องได้ลูกค้าส่วนที่อุจิวะเสียไป หึ! แกคิดว่าฉันดูไม่ออกรึไงว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดจากคดีนั้นก็คือแก!

     

                “เธอ... เธอกำลังเข้าใจผิดนะ”

     

                “อย่ามาโกหก!

     

                “ฉันไม่ได้โกหก!” ดันโซปฏิเสธเสียงกร้าว ก่อนจะทอดเสียงอ่อนลง มือทั้งสองข้างกุมที่ขมับอย่างคนเครียดจัด

     

    “ฉันไม่รู้ว่าเธอเอาข้อมูลพวกนี้มาจากไหน แต่ข้อมูลพวกนั้นต้องเป็นของปลอมแน่ๆ เพราะเมื่อยี่สิบสองปีก่อนฉันอยู่เทกซัส ฉันอยู่ที่นั่นครึ่งปีเพื่อหาคนมาร่วมลงทุนด้วย กว่าฉันจะกลับมา... อุจิวะก็ล่มสลายไปแล้ว”

     

    เสียงนั้นดูเศร้าสลดราวกับว่าเจ้าของเสียงรู้สึกสะเทือนใจ ดันโซสั่นศีรษะพร้อมกับพึมพำปฏิเสธเหมือนคนจนตรอก อิทาจิแค่นหัวเราะ ดวงตาสีรัตติกาลที่ดูเย็นชาบ่งบอกว่าไม่ได้เชื่อกับสิ่งที่ชายตรงหน้าพูดเลยแม้แต่น้อย

     

                “การที่ตัวแกไม่ได้อยู่ที่นี่ มันก็ไม่ได้แปลว่าแกจะไม่ใช่ไอ้ชั่วที่วางแผนอยู่เบื้องหลัง ข้อมูลทั้งหมดที่ฉันได้มาจากคอมสุดรักสุดหวงของแกมันบอกฉันทุกอย่างว่าแกคือคนที่จ้างวานผู้หญิงคนนั้นให้พาตัวซาสึเกะไป แกร่วมมือกับพวกผู้มีอิทธิพลเพื่อทำลายครอบครัวของฉัน!!!

     

    “ไม่จริง! ข้อมูลที่เธอเห็นมันเป็นเรื่องโกหก! ฉัน... ฉันถูกแฮ็กคอมก่อนที่ซาอิจะแอบขโมยข้อมูลในเครื่องไปให้เธอ เชื่อฉันเถอะนะ... ฉันถูกใส่ร้าย ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นกับครอบครัวของเธอจริงๆ” ดันโซพูดกึ่งขอร้องอ้อนวอนไปในที ชายวัยกลางคนทรุดตัวลงกับพื้นราวกับคนหมดแรง พยายามคลานเข่าเข้าไปหาคนที่ถือปืนจ่อตัวเอง

     

    “เชื่อฉันเถอะนะอิทาจิคุง”

     

    “หุบปาก! ฉันไม่ได้มาเพื่อฟังแกพล่ามหาข้อแก้ตัวอะไรทั้งนั้น ที่ฉันต้องการ... คือให้แกขอโทษพ่อของฉัน ขอโทษบอดี้การ์ดกับภรรยาของเขาที่ต้องมาตายเพราะคนชั่วๆอย่างแก” อิทาจิพูดเสียงเย็น หากแต่หัวใจกลับเจ็บแปลบเมื่อต้องระลึกถึงบุคคลที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เขามองชายตรงหน้าด้วยแววตาเกลียดชังขยะแขยง ไม่ได้สงสารหรือคล้อยตามท่าทางชวนสังเวชเลยสักนิด

     

    เป็นเพราะมันคนเดียว...

     

                “ก็ได้ อิทาจิคุง... ถ้าเธอต้องการอย่างนั้น ฉันทำก็ได้” ดันโซพูดเสียงสะอื้นก่อนจะนั่งคุกเข่าราวกับคนหมดอาลัยตายอยาก ใบหน้าเศร้าหมองเต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ...

     

                “แต่ฉันไม่ได้ทำ... ถึงฉันจะเป็นคู่แข่งพ่อของเธอ แต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรแบบนั้น...” คนแก่กว่ายังคงปฏิเสธ มือข้างหนึ่งทุบไปที่อกข้างซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจอย่างเจ็บปวด

     

    “ฉันจะทำแบบนั้นกับซาสึเกะคุงได้ยังไง... ในเมื่อเค้าเป็นลูกชายของผู้หญิงที่ฉันรักที่สุด!

     

                ประโยคนั้นทำเอาจอมมารถึงกับนิ่งงัน...

     

    ผู้หญิงที่ฉันรักที่สุด?

     

    “แกกำลังพูดเรื่องอะไร...” ถามเสียงพร่าหากแต่ใจกลับสั่นไหว

     

    ขอเถอะ...

    มันต้องไม่ใช่แบบนี้...

     

                แต่พระเจ้าก็ยังไม่ยิ้มให้เขาอยู่ดี... อิทาจิแทบทรุดเมื่อได้ยินคำเฉลยจากปากของคนที่เขาแค้นมาตลอดยี่สิบกว่าปี

               

                “อุจิวะ มิโคโตะ แม่ของเธอ คือผู้หญิงที่เป็นรักแรกและรักเดียวของฉัน...”

     

    !!!

     

    “พวกเรารักกัน... แต่เพราะเหตุผลทางธุรกิจ แม่ของเธอถึงต้องแต่งงานกับฟุงาคุ ส่วนฉันก็ต้องแต่งงานกับแม่ของโทระตะ... แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แล้วเธอคิดว่าฉันจะกล้าทำร้ายลูกชายของมิโคโตะเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจรึไง!?!” เอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวด... เจ็บหัวใจทุกครั้งยามนึกถึงใบหน้าแสนอ่อนโยนใจดีของคนที่จากไป ดันโซเงยหน้าขึ้นมองลูกชายของแก้วตาดวงใจ...

     

    เสียดายที่อิทาจิหน้าเหมือนพ่อ...

     

                “อย่ามาทำเจ้าเล่ห์ลิ้นสองแฉกหน่อยเลย! แม่แต่งงานกับพ่อฉันเพราะความรัก และฉันก็มั่นใจว่าท่านไม่เคยรักไอ้เดนมนุษย์อย่างแกแน่” ร่างสูงพูดเสียงแข็ง แม้ปากจะบอกว่าไม่เชื่อแต่ในใจกลับเกิดความลังเล มือที่ถือปืนสั่นอย่างไม่อาจห้าม

     

    ถ้าสิ่งที่ดันโซพูดมาเป็นความจริง...

    แล้วใครกันล่ะที่อยู่เบื้องหลัง?

     

                “นั่นสิ.. ไม่ว่าคนชั่วๆอย่างฉันจะพูดอะไรไปเธอก็คงไม่เชื่อ แต่ฉัน... รักพวกเธอเหมือนลูกจริงๆ เพราะพวกเธอเป็นเหมือนตัวแทนของมิโคโตะ ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายพวกเธอ...” ดันโซยืนยัน ก่อนจะใช้ดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาจ้องเขาเขม็ง สายตานั้นดูออกว่าเจ็บปวดเพียงใดที่สิ่งที่ตนพูดกลายเป็นเพียงแค่คำแก้ตัวโง่ๆ

     

                “แต่ถ้าเธออยากเอาชีวิตฉันก็เอาเลย ฉันพร้อมแล้ว... ตายไปก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้พบกับมิโคโตะซักที มิโคโตะคงจะเข้าใจฉัน ว่าฉันไม่ได้เป็นคนทำร้ายซาสึเกะคุง...”

     

     

     

                คดีพลิก! เอาล่ะสิ! ถ้าดันโซไม่ใช่คนร้ายแล้วใครทำ!?! O_o

                อาจจะมาต่อที่เหลือดึกๆนะคะ แต่น่าจะทำให้ได้ในวันนี้ ช่วงนี้งานราษฎร์งานหลวงเยอะเหลือเกิน ไรต์ต้องแต่งบทละครให้เพื่อน เดี๋ยวก็แวะไปโน่นมานี่ บวกกับตอนนี้มันแต่งค่อนข้างยาก งานเลยออกมาได้ล่าช้าอย่างที่เห็น ก๋อโต้ดกั๊บ (U_U)

     

    100%

     

     

    ปัง!

     

                ในวินาทีที่จอมมารผู้แข็งแกร่งกำลังสับสน กระสุนนัดหนึ่งก็พุ่งตรงมาจากทางขวา แล้วเจาะเข้าที่ขาของร่างสูงอย่างแม่นยำ อิทาจิตาเบิกโพลงอย่างตกใจปนงุนงง ความเจ็บปวดแล่นปราดขึ้นมาจนเขาต้องร้องคราง

     

                “อ๊าก!!!

     

                ร้องออกมาอย่างเจ็บปวดก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้น มือยังคงกำปืนแน่น... พยายามเล็งไปทางทิศที่กระสุนพุ่งออกมา แต่ทว่าก็ยังช้าไปเมื่อใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาประชิดตัวจากด้านหลังพร้อมกับใช้เข่าตอกที่หลังคอ แล้วโถมตัวกดคนที่เพิ่งถูกยิงให้นอนราบกับพื้น

     

                “อั่ก!

     

    คลิ๊ก!

     

                ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีร่างสูงที่เคยได้เปรียบบัดนี้ก็นอนพังพาบอยู่บนพื้นเพราะเสียท่า มือทั้งสองข้างถูกจับไพล่หลังพร้อมใส่กุญแจมือ อิทาจิพยายามสะบัดตัวอย่างแรงแต่แรงกดจากบุคคลปริศนาก็ทำให้เขาขยับเขยื้อนแทบไม่ได้ มิหนำซ้ำปากแผลที่เพิ่งถูกยิงก็ยิ่งเปิดออกจนเลือดไหลทะลักออกมาย้อมพื้นกระเบื้องจนเป็นสีแดงฉาน

     

                “บอกตามตรง... เมื่อกี้พ่อทำผมเกือบจะอ้วก คิดนานมั้ยครับ? ไอ้มุกรักแรกอะไรนั่นน่ะ” บุคคลปริศนาที่กดตัวเขาอยู่เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ แต่เพียงแค่ได้ยินเสียง คนเสียท่าก็รู้ทันทีว่าเจ้าของร่างหนักๆที่นั่งทับตัวเขาอยู่คือใคร...

     

    เสือแห่งฟุวะ...

    ฟุเสะ โทระตะ

     

                “ก็ไม่ใช่มุกซะทีเดียวหรอก ฉันเคยรักแม่ของมันจริงๆ แต่นังผู้หญิงคนนั้นเลือกไอ้ฟุงาคุ ฉันก็เลยต้องมาแต่งงานกับแม่ของแกแทน” ดันโซว่าพร้อมกับยันตัวขึ้น ใบหน้าเศร้าหมองเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโฉดชั่วดังเดิม

     

                “ผมชักจะสงสารแม่ซะแล้วสิ”

     

                “หึ! ทางแกน่ะเรียบร้อยแล้วเหรอ?” ถามลูกชายที่เดาะลิ้นเล่นอย่างอารมณ์ดี โทระตะหันมาบรรจุกระสุนใส่แมกกาซีนใหม่ทั้งที่เพิ่งยิงไปได้แค่นัดเดียวก่อนจะตอบ

     

                “อ่าฮะ! ขอบคุณนะครับที่ช่วยถ่วงเวลาให้ คนของผมรายงานมาว่าวันนี้จอมมารบุกเดี่ยวมาคนเดียว ไม่ได้เป็นแผนหลอกล่ออะไรทั้งนั้น ก็... ไม่รู้จะเรียกว่า กล้าเกินไปหรือว่า บ้าจนประสาทกลับดี” เสือร้ายพูดพลางหัวเราะในลำคอ เสียงนั้นช่างน่าสะอิดสะเอียนจนคนที่นอนหมอบอยู่บนพื้นขนลุก

     

    อิทาจิหายใจติดขัดเมื่อฟังบทสนทนาของสองพ่อลูก...

     

    นี่เขาถูกมันหลอกหรือ?

     

    ร่างสูงนิ่วหน้าเพราะรู้สึกเจ็บแปลบตรงหัวใจ เขาคิดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่คงทำให้เครื่องกระตุ้นหัวใจมีปัญหา แต่ที่มันเจ็บยิ่งกว่าคือเจ็บใจตัวเองที่โง่จนพลาดท่าเสียทีให้กับดันโซ

     

    เขาน่าจะยิงมันให้ตายๆไปซะตั้งแต่ทีแรก!

     

    “ทำไมถึงคิดว่ามาคนเดียวแล้วจะกำจัดปีศาจอย่างพ่อผมได้ล่ะครับ? อิทาจิซัง~

     

                “แก... แกอยู่ในห้องนี้ตลอด...” พูดออกมาอย่างเจ็บใจ ดวงตาสีรัตติกาลวาวโรจน์ไปด้วยความโกรธแค้นชิงชัง

     

                “คร้าบ ก็นั่งๆนอนๆอยู่หลังฉากนั่นแหละ” โทระตะว่าพลางพยักพเยิดหน้าไปทางฉากสีฟ้าที่วางไว้ใกล้ๆผนังที่เขาใช้เป็นที่ซ่อนตัว ก่อนจะหันหน้ากลับมามองชายที่กำลังทำหน้าตาน่ากลัว เจ้าตัวยักไหล่แล้วพูดต่อ

     

    “ยังไงซะผมก็ถูกเรียกตัวมาเพื่อกำจัดเจ้า คาร์ลตัน สก็อตต์ คู่เจรจาที่จะมาพบพ่ออยู่แล้ว แต่ก็ต้องตกใจจนหัวใจเกือบวายแน่ะ ที่จู่ๆความรุ่งโรจน์ของประเทศอย่างคุณก็บุกเข้ามาในห้อง แถมยังมาร่ายยาวความชั่วที่พ่อของผมเคยก่อไว้อีก” พูดพลางปรายตาไปยังพ่อของตนที่ยืนกอดอกส่งสายตาเขียวปัดมาให้ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูคนที่นอนกัดฟันกรอดอย่างโกรธแค้นด้วยเสียงแหบพร่า...

     

                “ก็นะ... จริงๆผมก็อยากจะแสดงตัวออกมาเร็วๆอยู่หรอก เพราะท่าทางโกรธจัดขึงขังของคุณน่ะ มันทำให้ผมใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ต้องอดใจรอให้ลูกน้องที่อยู่รอบๆโรงแรมเช็คดูก่อนว่าคุณมีลูกน้องติดตามมาด้วยรึเปล่า? ซึ่งก็แน่นอนว่า ไม่มี ... คุณโง่มากนะครับจอมมาร ที่บุกเข้าถ้ำเสือคนเดียวแบบนี้”

     

                “ความแค้นของฉัน... ไม่จำเป็นต้องลากคนอื่นมาเกี่ยว” อิทาจิกัดฟันตอบ... พยายามข่มความรู้สึกเจ็บแปลบที่เริ่มลามขึ้นมาถึงคอ

     

    แปะๆๆ

     

                เสือร้ายปรบมือเสียงดังอย่างถูกใจ ก่อนจะไล้มือไปตามใบหน้าที่เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อของอิทาจิ ดวงตาดุร้ายราวอสรพิษจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีรัตติกาล...

     

                “ขอปรบมือให้กับความกล้านะครับ แต่... ตอนนี้คุณถูกผมจับได้แล้ว งั้นผมขอชำระแค้นหน่อยก็แล้วกัน แผลที่ลูกน้องของคุณกับเจ้าซาอิฝากไว้เมื่อวานน่ะ”

     

                “ออกไปจากตัวฉัน!” ตวาดใส่เสียงดังพลางสะบัดหน้าหนี ขยะแขยงเหลือเกินกับสัมผัสจาบจ้วง โทระตะนิ่วหน้าอย่างไม่พอใจก่อนจะพูด

     

                “ยังมีแรงเหลือขนาดนี้เชียวเหรอ? ไม่ได้นะครับ ทำรุนแรงกับผมแบบนี้คุณไม่รู้เหรอครับว่าเวลาผม เอาคืนน่ะ มันทั้งเจ็บ ทั้งทรมานแค่ไหน...” เสือแห่งฟุวะพูดเสียงเหี้ยมพร้อมกับโน้มตัวลงหมายจะจัดการจอมมารคนเก่งเสียตรงนั้น แต่ทว่าก็ต้องหยุดการกระทำทุกอย่างเมื่อได้ยินเสียงปรามของผู้เป็นพ่อ

     

                “แกเลิกเล่นซักทีเถอะโทระตะ! เอาตัวมันไปขังไว้ได้แล้ว และก็ดูให้ดีๆอย่าเพิ่งให้มันตายล่ะ ฉันจะเอามันไว้ต่อรองกับไอ้ซาสึเกะ ถ้ามันรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักของมันอยู่ในกำมือเรา มันคงจะยอมทุกอย่างเหมือนอย่างที่พ่อมันทำเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน” พูดอย่างหงุดหงิดเพราะทนเห็นลูกชายแสดงพฤติกรรมผิดเพศต่อหน้าต่อตาไม่ได้ แต่ก็เพราะประโยคนั้นเองที่ทำให้ พี่ชายสุดที่รักโพล่งออกมาอย่างเดือดดาล...โกรธเกรี้ยว...

     

                “สรุปว่าแกเป็นคนทำจริงๆใช่มั้ย!!!

     
                ดันโซคลี่ยิ้ม... เป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยกับความโง่เขลาของคนตรงหน้า...

     

    มันโง่จริงๆ...
     

                “ใช่! ฉันเป็นคนสั่งให้นังงูพิษพี่เลี้ยงของน้องแกทำแบบนั้นเองนั่นแหละ! แค่หว่านเงิน ยื่นข้อเสนอเล็กๆน้อยๆให้ นังนั่นมันก็พร้อมจะทรยศพวกแกและมาเข้าข้างฉันแล้ว! งานนี้ก็ต้องขอบคุณความ โง่ของพ่อแกนะ ที่เลี้ยงงูพิษหิวเงินแบบนั้นไว้ในบ้าน มันถึงทำให้ฉันลักพาตัวน้องชายแกมาได้ง่ายๆ พ่อแกมันโง่! โง่เหมือนตัวแกในตอนนี้นั่นแหละ!

                “ไอ้ดันโซ... ฉันจะฆ่าแก!!!

     

    สุดจะทนแล้วกับคนชั่วตรงหน้า...

    อยากจะฆ่ามันให้ตาย... ให้มันไปพร่ำขอโทษพ่อของเขาในนรก แต่ทว่าด้วยกำลังกายที่มีก็ทำได้เพียงนอนกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง สบถคำสาปแช่งใส่ซาตานร้ายที่พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา...

     

    “ฆ่าฉัน? ฮ่าๆๆ ดูสภาพของแกตอนนี้สิ มันน่าสมเพชเวทนาขนาดไหนแกรู้มั้ย?” ดันโซพูดพร้อมกับสาวเท้าเข้ามาใกล้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมองคนคราวลูกอย่างหยามเหยียด ชายวัยกลางคนยกเท้าข้างหนึ่งกดตัวอิทาจิแนบไปกับพื้นอย่างแรง

     

    พลั่ก!

     

    “อ๊าก!!!

     

    “หึๆ นอนร้องครวญครางอยู่ใต้เท้าฉันแบบนี้แกยังมีหน้าจะพูดว่า ฆ่าฉันอีกเหรอ?” พูดเสียงเยาะพลางกระทืบซ้ำอีกสองสามที

     

    พลั่ก!

     

    “แกมันไอ้เด็กอวดดี! คิดว่าจะเอาชนะฉันได้ทั้งที่กระจอกขนาดนี้”

     

    พลั่ก!

     

                “พอเถอะพ่อ เดี๋ยวคุณ พี่เมียของผมก็เดี้ยงพอดี” โทระตะร้องห้ามก่อนจะดันตัวผู้เป็นพ่อให้ถอยห่างจากร่างสะบักสะบอมของอิทาจิ

     

                “ พี่เมีย บ้าบออะไรของแก” ดันโซถามเสียงหงุดหงิด แต่ก็ยอมถอยออกไปแต่โดยดี โทระตะยิ้มร่าก่อนจะพูด

     

                “ก็... ถ้าซาสึเกะมาเป็นราชินีของผม ผู้ชายคนนี้ก็จะมีตำแหน่งเป็น พี่เมียยังไงล่ะครับ” ตอบเสียงเจ้าเล่ห์ก่อนจะก้มลงกระซิบกระซาบกับ ว่าที่พี่เมีย

     

    “ไม่ว่ายังไง น้องเขยคนนี้ก็จะขอปกป้องคุณพี่นะครับ ช่วยเอ็นดูผมด้วยล่ะ”

     

                “แกจะทำอะไรซาสึเกะ!?!” อิทาจิตะคอกถามทั้งที่ตัวร้าวระบมไปหมด เขารู้สึกสะอิดสะเอียนกับคำพูดของชายตรงหน้าเหลือเกิน

     

    นี่มันคิดจะ...

     

                “แล้วคิดว่าผมจะทำอะไรล่ะ? ตั้งแต่วันนั้นที่เขาฝากรอยประทับบนหัวของผม ผมก็ฝันถึงเขาทุกคืนเลยนะครับ อยาก ครอบครองจะแย่ ทั้งตัว...ทั้งอาณาจักรการเงินของเขา ซาสึเกะน่ะไม่เหมาะที่จะเป็นราชาหรอก เขาต้องเป็นราชินีต่างหาก ราชินี... ที่คู่กับราชาอย่างผม”

     

                “ฝันไปเถอะ! คนอย่างเจ้านั่นไม่มีทางยอมแกแน่ มันไม่ได้กระจอกขนาดนั้น”

     

                “คร้าบๆคุณพี่เมียผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เกมมันเปลี่ยนแล้ว ในเมื่อผมมีคุณอยู่ในกำมือ ไม่ว่ายังไงราชาก็ต้องยอม”

     

                “ไอ้ชั่วเอ๊ย!!!

     

                คำสบถด่านั้นไม่ได้มีผลอะไรกับโทระตะเลยแม้แต่น้อย เจ้าตัวยังคงหัวเราะเบาๆราวกับว่ามันเป็นคำชมเสียอย่างนั้น เสือร้ายทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งก่อนจะระบายยิ้มร้ายกาจ

     

                “หึๆ ผมว่าผมคิดอะไรดีๆออกแล้วล่ะ” พูดพลางหันไปทางดันโซที่ยืนนิ่งมองดูการสนทนาอย่างขัดใจ

     

    “พ่อ ผมขอเอาเขาไปขังไว้ที่เพ้นท์เฮาส์นะ”

     

                “แล้วทำไมแกต้องถ่อไปถึงที่นั่น? กะอีแค่ขังตัวประกัน พาไปขังที่โกดังร้างที่ไหนก็ได้ จะไปถึงเพ้นท์เฮาส์ให้มันสะดุดตาคนทำซากอะไร” ดันโซบ่นอย่างระอา ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่าลูกชายที่ได้รับดีเอ็นเอด้านความร้ายมาจากเขาเต็มๆคิดจะทำอะไร

     

    คงหนีไม่พ้นเอาไปทรมานตามแบบของมัน...

    เป็นการทรมานที่แม้แต่เขายังต้องเบือนหน้าหนี...

     

                “โถ่~ อย่าใจร้ายนักสิครับ ผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศทั้งที พ่อจะเอาไปขังในที่โทรมๆร้างๆได้ยังไง ขังไว้ที่เพ้นท์เฮาส์ของผมน่ะปลอดภัยกว่าเยอะเลย และอีกอย่าง... ผมก็จะได้ใช้เวลาอย่าง คุ้มค่ากับเขาด้วย”

     

                “เออ! แกจะทำอะไรก็ตามใจ! แต่อย่าให้มันตายแค่นั้นก็พอ” บอกอย่างหงุดหงิดก่อนจะหลบฉากออกไปโทรศัพท์เพื่อเช็คดูว่าคู่ค้าที่มันควรจะตายอยู่ในห้องนี้ ตอนนี้หายหัวไปอยู่ที่ไหน

     

                “ผมจะถนอมอย่างดีเลยล่ะครับ หึๆ” ประโยคสุดท้ายโทระตะหันมาพูดกับตัวประกันหนุ่มที่นอนพังพาบหมดแรง มือกร้านไล้ไปตามไรผมที่เปียกชุ่มอย่างเสน่หา...

     

    เพราะสองพี่น้องหน้าตาคล้ายกัน มันก็เลยทำให้อารมณ์เขากระเจิดกระเจิงไปเสียไกล...

     

                “ผมรู้มาว่าคุณกับผมอายุเท่ากัน... ดังนั้นอะไรๆมันก็คงจะ เข้ากันได้นะครับ ถึงผมจะต้องอดทนรอน้องชายของคุณ แต่ก็ไม่เป็นไร คุณคงจะพอช่วยแก้ขัดได้”

     

    พลั่ก!

    ตุ้บ!

     

                การสนทนาที่น่าสะอิดสะเอียนถูกขัดจังหวะเพราะเสียงทะเลาะวิวาทที่หน้าประตู โทระตะขมวดคิ้วอย่างงุนงง เขาเพิ่งส่งข้อความสั่งให้ลูกน้องมาเฝ้าประจำที่หน้าห้องเพื่อป้องกันการบุกรุกแบบไม่คาดฝันอย่างที่อิทาจิเพิ่งทำไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่เสียงชกต่อยรุนแรงโดยที่ไม่มีเสียงปืนดังขึ้นเลยสักนัดก็บอกได้ว่าข้างนอกคงมีผู้บุกรุกอีกราย เป็นผู้บุกรุกที่จัดการลูกน้องของเขาได้โดยที่เจ้าพวกนั้นไม่มีโอกาสได้ชักปืนออกมายิงสู้ได้เลย

     

    ใครกัน?

     

                ข้อสงสัยของโทระตะถูกตอบในอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง เมื่อผู้บุกรุกรายใหม่กระชากคอชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่นอนหมดสภาพเพราะถูกอัดขึ้นมาพร้อมกับตะคอกถามเสียงดัง

     

                “พี่ของฉันอยู่ที่ไหน!?!

     

                เพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มลึกที่แสนคิดถึง คนที่กำลังกดตัวพี่ชายที่อีกฝ่ายตามหาก็ระบายยิ้มกว้าง... เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความยินดี หากแต่ก็ร้ายกาจอย่างบอกไม่ถูก!

     

                “วันนี้มันวันอะไรกัน รู้สึกโชคดีชะมัด” บ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆก่อนจะตะโกนออกไป

     

                “เข้ามาข้างในสิครับคนสวย พี่ชายของคุณอยู่กับผม”

     

     

     

                คดียังไม่พลิก... เอามาหลอกล่อเฉยๆ (โดนตบ) >< ก็แต่งไปเพื่อเสริมสร้างความโฉดชั่วในระดับแมกซิมัม เดี๋ยวจะหาว่าตัวร้ายอะไรน่ารักจุงเบย~ รู้สึกสงสารพี่อิทาจิจัง จะรอดมั้ยเฮีย T^T

     

    และก็ช่วงนี้ไรต์ไม่อยากเม้าท์อะไรมาก เดี๋ยวจะกลายเป็นสปอยล์ไป 555 เค้าหายไปบ่อยก็อย่าเพิ่งงอนน้า ไม่ได้ทิ้งไปไหน แค่แต่งช้าเพราะสมองไม่อำนวยเอง T^T

               

                ปล. ตอนต่อไปเกะปะทะคู่ปรับเก่า เป็ด vs เสือ... เอิ่ม... มวยคนละคู่แล้วมั้งเนี่ย !!! -0-

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×