ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #39 : CHAPTER 33 : ไม่ไว้ใจ (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.32K
      128
      1 มี.ค. 58

    บทที่ 33 ไม่ไว้ใจ

     

     

                ร่างแบบบางเดินเอื่อยๆไปตามสะพานไม้ที่ทอดผ่านลำธารเล็กๆที่ไหลลงมาจากภูเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังของเธอ ดวงตาสีมรกตมองดูใบไม้สีแดงเข้มที่ร่วงหล่นจากต้นอย่างอ้อยอิ่ง ใบเมเปิ้ลห้าแฉกไหลไปตามกระแสน้ำเล็กๆที่บางส่วนจับตัวกันเป็นน้ำแข็งเพราะอากาศหนาวจัดที่มาเร็วกว่าทุกปี หิมะสีขาวที่เพิ่งตกเมื่อคืนทำให้พื้นดินบางส่วนชื้นแฉะ ร่างเล็กค่อยๆก้าวลงจากสะพานอย่างระวัง เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียว... ลูกของเธออาจจะเป็นอันตราย...

     

                ย้อนกลับไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน...

                หลังจากที่ผ่านค่ำคืนที่เจ็บปวดทรมานที่สุดมาได้ ร่างบางก็เริ่มตั้งสติ เธอเปิดมือถือที่ปิดมาทั้งคืนเพื่อโทรไปลาออกจากการเป็นเด็กฝึกงานที่อุซึมากิคอร์เปอเรชั่น ทีแรกหญิงสาวตั้งใจจะดรอปเรียนเอาไว้ก่อน ถ้าเธอจัดการชีวิตที่แสนยุ่งเหยิงของตัวเองเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ก็จะกลับไปเรียนต่อให้จบ แต่ทว่าเธอกลับโชคดีอย่างไม่น่าเชื่อ หัวหน้าฝ่ายบัญชีอนุมัติให้เธอกับอิโนะผ่านงานตั้งแต่อาทิตย์ก่อนหน้านั้น ทำให้ตอนนี้เธอเรียนจบไปแล้วโดยปริยาย แต่ความดีใจนั้นก็อยู่กับเธอได้แค่พักเดียวเมื่อหัวหน้าแผนกจอมแอคทีฟบอกกับเธอว่าอิโนะก็เพิ่งขอยุติการเป็นเด็กฝึกงานโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นหลังจากวางสายจากไกแล้ว เธอจึงต่อสายหาเพื่อนสนิททันทีแต่อิโนะกลับปิดเครื่อง และเธอก็ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดจากแม่ของอิโนะที่เป็นคนรับโทรศัพท์ที่เธอต่อไปที่บ้าน คุณนายยามานะกะบอกกับเธอว่าอิโนะไปฝรั่งเศสตั้งแต่ตอนเช้า โดยฝากข้อความสั้นๆถึงเธอว่าจะไปเรียนต่อและบอกให้เธอไม่ต้องเป็นห่วง แต่คนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมอย่างเธอมีหรือจะไม่รู้ อิโนะต้องกำลังมีปัญหาที่ไม่อาจบอกใครได้ การที่เพื่อนรักไม่ได้แจ้งข่าวอะไรกับเธอนั่นแหละเป็นหลักฐานยืนยันอย่างดี

     

                หญิงสาวได้แต่ฝากคำอวยพรถึงเพื่อนรักทั้งๆที่ตัวเธอตอนนี้ก็ตกอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จนถึงขีดสุด เธอเชื่อมั่นว่าอิโนะเป็นคนที่เข้มแข็ง... อย่างน้อยก็เข้มแข็งกว่าเธอ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเพื่อนของเธอย่อมจะผ่านไปได้อยู่แล้ว

     

    เธอเชื่ออย่างนั้น...

     

                และสิบโมงเช้าของวันเดียวกันนั้น กาอาระก็กลับมาที่โรงแรมพร้อมที่ตรวจครรภ์ เขาอธิบายวิธีใช้คร่าวๆก่อนจะให้เธอเอาไปตรวจ... ผลที่ออกมาก็ไม่เหนือความคาดหมายเท่าใดนัก ขีดสีแดงสองขีดที่ปรากฏบ่งบอกว่าเธอกำลังตั้งครรภ์...

     

    ร่างบางยิ้มทั้งน้ำตา...

     

                ดีใจเหลือเกินที่ในตัวมีชีวิตน้อยๆอันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขอยู่ หากแต่น้ำตาที่ไหลออกมานั้นไม่ได้มีเพียงแค่น้ำตาแห่งความตื้นตัน แต่กลับมีน้ำตาแห่งความเจ็บปวดผสม เจ็บปวดนักที่พ่อของเด็กไม่ยอมรับ ซ้ำยังรังเกียจเหมือนไม่ใช่ลูกของตัวเอง...

     

    แต่ไม่เป็นไร...

    ลูกของเธอ เธอเลี้ยงได้...

     

                จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาสองสัปดาห์แล้วที่เธอมาอยู่ที่นิเสะโกะในเขตฮอกไกโด เพราะหลังจากพาเธอเดินชมโรงแรมระดับห้าดาวที่ตอนนั้นยังไม่เปิดให้บริการ คุณหมอหนุ่มหน้าดุก็พาเธอมาพักที่บ้านพักตากอากาศของเขา มันเป็นบ้านพักที่อยู่ใกล้กับภูเขาและอยู่ห่างจากโรงแรมราวๆหนึ่งกิโลเมตร รอบบ้านมีต้นเมเปิ้ลมากกว่าสิบต้นรายล้อมอยู่ ตรงปากทางเข้าบ้านที่เป็นถนนสายเล็กๆก็มีต้นซากุระปลูกอยู่เต็มสองข้างทาง เธอจินตนาการว่าถ้าถึงฤดูใบไม้ผลิมันคงจะเป็นถนนสายสีชมพูดที่เต็มไปด้วยดอกซากุระแน่ๆ

     

                พอคิดแล้วเธอก็อดรู้สึกขอบคุณความใจดีของคุณหมอที่เพิ่งจะรู้จักกันไม่ได้ หลังจากที่เธอรู้ว่าเธอท้อง สูติแพทย์มือฉมังก็พาเธอมาฝากครรภ์ที่คลินิกที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านพัก เขาดูจะหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่ตนที่เป็นหมอเฉพาะทางด้านนี้กลับทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งรอเธออยู่ที่คลินิก ชายหนุ่มบอกว่าเขารับฝากครรภ์เองไม่ได้เพราะต้องกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลกลางที่อยู่ไกลจากที่นี่เป็นพันกิโล อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือก็อยู่ที่โน่นหมด จึงจำใจให้แพทย์ที่ประจำอยู่ที่นี่รับเป็นผู้ดูแลเธอกับลูกในท้องแทนอย่างไม่มีทางเลือก แต่แค่นั้นเธอก็ไม่รู้จะขอบคุณเขาอย่างไร เพราะถ้าไม่มีเขา... ป่านนี้เธอคงต้องตรอมใจตายอยู่ที่ไหนสักที่แน่ๆ

     

                ความคิดของร่างเล็กสะดุดลงเมื่อสายตาสบเข้ากับรถตู้สีดำที่ติดฟิล์มสีดำสนิทที่กำลังเคลื่อนตัวเข้ามาในบ้านพัก แวบแรกที่เห็นเธอก็จำได้ทันที รถคันนั้นเป็นรถของโรงแรมที่ไปรับเธอกับกาอาระมาจากสนามบินเมื่อสองสัปดาห์ก่อน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย เธอจำได้ว่าเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนเธอเพิ่งจะส่ง ผู้มีพระคุณขึ้นรถไปเพื่อกลับไปทำงาน

     

    แล้วเขาย้อนกลับมาทำไม?

     

                ร่างบางสาวเท้าเร็วๆเข้าบ้านไปทางประตูหลังเพราะรู้ว่าเจ้าบ้านคงได้ ว้ากเธอแน่หากรู้ว่าเธอแอบไปเดินเล่นที่สะพานที่มีแต่ตะไคร่น้ำลื่นๆ และเธอก็มาได้ทันฉิวเฉียดเพราะร่างสูงเพิ่งจะก้าวเท้าเข้ามาในบ้านพอดี ในมือของเขาถือถุงกระดาษถุงใหญ่ที่ดูท่าจะหนักพอสมควร   

               

                “คุณวกกลับมาทำไมคะ ลืมอะไรรึเปล่า?” เธอถามออกไป แต่ตายังคงจดจ้องอยู่ที่ของที่อยู่ในมือเขา

     

                “เปล่าหรอก” กาอาระพูดพลางสั่นหน้าปฏิเสธ ก่อนจะยื่นถุงกระดาษให้เธอ “ผมแค่แวะซื้อของบำรุงมาเพิ่มนิดหน่อย เอาไปเก็บสิ”

     

                “คุณหมอแผนกนี้เขาใจดีแบบคุณกันทุกคนรึเปล่า” เธอพูดยิ้มๆ ก่อนจะรับถุงกระดาษใบใหญ่ที่ข้างในคงเต็มไปด้วยยาบำรุงสารพัดจากมือเขา ร่างบางเดินเอาของไปเก็บที่ตู้สำหรับเก็บอาหารแห้งในครัว เธอได้ยินคุณหมอหนุ่มอ้อมแอ้มปฏิเสธ

     

                “ผมก็ไม่ได้ใจดีอะไรซักหน่อย ก็แค่... ดูแลคนไข้”

     

                “ค่ะ ดูแลดีมากซะด้วย” พูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเปิดประตูตู้ติดผนังที่อยู่เหนือศีรษะแล้วเห็นยาบำรุงสารพัดที่คุณหมอจอมปากแข็งซื้อมาตุนเก็บไว้เยอะซะจนแทบจะล้นออกมาข้างนอก มือเล็กพยายามจัดของที่มีอยู่เดิมเพื่อหาพื้นที่ใส่ของที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แต่เพราะด้วยส่วนสูงของเธอก็ทำให้การจัดระเบียบของเก่าเป็นไปอย่างยากลำบาก เดือดร้อนคนเป็นเจ้าของบ้านต้องมาช่วยจัด หญิงสาวมองเสี้ยวหน้าของคนที่กำลังขะมักเขม้นจัดของพร้อมกับระบายยิ้มออกมา

     

      “ขอบคุณนะคะคุณหมอ ฉัน...”

     

                “ ฉันเป็นหนี้คุณอีกแล้วถ้าจะพูดแบบนี้ล่ะก็เงียบไปเลย ผมฟังมาจนเบื่อแล้ว” เขาพูดเสียงเหนื่อยหน่ายก่อนจะเอามือดันประตูตู้ให้ปิดดังเดิมเมื่อจัดการยัดของทุกอย่างเข้าไปในตู้เสร็จเรียบร้อย

     

                “ก็ฉันไม่รู้จะพูดอะไรนี่คะ คุณเป็นผู้มีพระคุณของฉัน คุณให้คนไม่มีที่ไปอย่างฉันมาอยู่ด้วยทั้งที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน แถมยังคอยช่วยเหลือเรื่อง... เด็กคนนี้” ร่างเล็กพูดพร้อมกับยกมือลูบที่ท้องเบาๆอย่างรักใคร่ ดวงตาสีมรกตที่เศร้าซึมมองที่หน้าท้องแบนราบอย่างเศร้าสร้อย แต่ถึงกระนั้นร่างเล็กก็ยังฝืนยิ้มออกมา

     

    มันเป็นรอยยิ้มที่เศร้าเสียจนเขาต้องเบือนหน้าหนี...

     

                กาอาระมองออกไปนอกหน้าต่าง... พยายามจะไม่หันมามองคุณแม่ท้องอ่อน เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะพูด

     

                “อันที่จริงผมก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องครอบครัวของคุณนะครับ แต่คุณแน่ใจแล้วเหรอว่าจะไม่บอก เขาเรื่องลูกของคุณ”

     

                “เขาไม่ต้องการเด็กคนนี้ค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแสนเจ็บปวด ขอบตาร้อนผ่าวเพราะความรู้สึกที่อัดอั้นในใจ

     

    “ตอนนี้เขากำลังจะแต่งงานใหม่ กำลังจะสร้างครอบครัวใหม่กับคนที่เหมาะสม ฉันกลายตัวเกะกะสำหรับเขา... และที่สำคัญ... เขาบอกฉันเองว่าถ้าฉันท้อง... เขาจะไม่เอาเด็กไว้”

     

    ย้ำเองก็เจ็บเอง...

    ทุกคำพูดที่เขาเคยพูดไว้เธอจำมันได้ทั้งหมด แววตารังเกียจเดียดฉันท์ที่เขาแสดงออก ท่าทางที่แข็งกร้าวดุร้าย เหยียดหยามเธอว่าเป็นแค่ผู้หญิงชั้นต่ำ ถ้อยคำร้ายกาจที่บอกว่าลูกของเธอเป็นมารหัวขน เป็นตัวอัปมงคล... เธอจำมันได้ดี...

     

                “แล้วคุณแน่ใจเหรอครับว่าเขาตั้งใจจะพูดแบบนั้นจริงๆ ราชาคนนั้นเก่งเรื่องล่อหลอกยิ่งกว่าอะไร คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มของคุณหมอหนุ่มแว่วเข้ามาในโสตประสาท... หญิงสาวได้แต่ตอบในใจ

     

    ใช่...

    เขาเก่งเรื่องการหลอกล่อ...

     

    เธอถึงได้เดินไปติดกับเขาเข้าอย่างจัง เผลอตัวเผลอใจ สุดท้ายก็เป็นเพียงขยะไร้ค่าที่เขาไม่สนใจ ถูกขับไสไล่ส่งยิ่งกว่าหมูหมา... ไร้ค่า... น่าสมเพช...

     

    ร่างบางนึกปรามาสตัวเองในใจ แต่แล้วเธอก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวเมื่อพิจารณาประโยคที่อีกฝ่ายเพิ่งพูด หญิงพยายามทำใจที่เต้นโครมครามให้สงบลง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะเอ่ยถามเสียงสั่น

               

                “เมื่อกี้คุณ... พูดว่าอะไรนะคะ ราชา... อะไรกัน”

     

                “ผมกำลังพูดถึงอดีตสามีของคุณ ราชานรก... อุจิวะ ซาสึเกะ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ แต่คำตอบแค่นั้นก็เพียงพอจะทำให้เธอช็อก

     

    เขารู้!?!

     

                “คุณ... รู้ได้ยังไงว่าเป็นเขา...”

     

                “เฮ้อ~ ตอนที่รู้ชื่อของผม คุณไม่รู้สึกคุ้นๆเลยเหรอ?” ร่างสูงถอนหายใจพลางพูดอย่างระอา ปั้นหน้านิ่งสนิทแม้ในใจจะนึกขำคนตรงหน้าก็ตาม

     

    ตาเหลือกค้างอ้าปากหวอเสียขนาดนี้ แม่คุณคงจะช็อกมาก

     

                “ก็... ไม่นี่คะ แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน”

     

                “ผมเป็นหมอสูติที่รับผิดชอบทำกิฟต์ให้คุณน่ะครับ ที่ใบกรอกประวัติระบุชื่อคุณกับสามีของคุณไว้ด้วย ผมก็เลยรู้”

     

                “!!!

     

                “ขอโทษที่ไม่ได้บอก แต่อันที่จริงผมเคยเห็นคุณมาก่อนที่เราจะเจอกันที่งานแต่งงานซะอีก ตอนที่คุณไปสอบถามเรื่องการทำกิฟต์ที่โรงพยาบาลน่ะ ตอนนั้นผมก็อยู่ที่นั่นด้วย”

     

                “งั้นคุณหมอกาอาระที่พยาบาลพูดถึง...”

     

                “อืม ผมเอง” ตอบพร้อมกับยกมือกอดอก ดวงตาสีสวยจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยหวานที่กำลังตกตะลึงของเธอก่อนจะพูดต่อ

     

    “ตอนนั้นผมตกใจน่ะครับว่าทำไมจู่ๆคนไข้ที่รอคิวมาหลายเดือนถึงได้ยกเลิกไม่ยอมทำกิฟต์ ก็สันนิษฐานว่าสาเหตุคงเป็นเพราะเปลี่ยนหมอกะทันหัน ผมคิดว่าเขาคงไม่เชื่อในฝีมือ แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจนะครับว่าฝีมือของผมไม่แพ้อาจารย์ซึนาเดะแน่ พอถูกสามีของคุณมายกเลิกแบบนั้นผมก็หดหู่นิดหน่อย เลยไปขอข้อมูลการติดต่อที่เคาท์เตอร์ กะว่าจะโทรไปถามเหตุผลที่ปฏิเสธ และตอนนั้นนั่นแหละครับที่ผมเห็นคุณ ก็เลย... พอจะเข้าใจอยู่ว่าทำไมเขาถึงได้ยกเลิก เพราะถ้าเป็นผม ผมก็คงไม่ยอมเหมือนกัน” เขาพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักแสดงออกว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของราชา...

     

    ว่ากันว่าผู้ชายมักจะมีเซ้นส์กับพวกเดียวกัน...

    เพียงแค่เห็นเธอครั้งแรกเขาก็พอจะรู้ สาเหตุที่ยกเลิกการทำกิฟต์แบบกะทันหันมันก็คงจะมีเหตุผลเดียว ไม่ใช่เรื่องฝีมืออะไรนั่นหรอก คงเป็นเพราะ หวงมากกว่า สาวสวยที่เดินเก้ๆกังๆไปที่แผนกสูติฯคนเดียวด้วยท่าทางตื่นๆ มองปราดเดียวก็รู้ว่าคงเป็นพวกซื่อไร้เดียงสา แม้แววตาจะดูมาดมั่นเด็ดเดี่ยวแค่ไหน แต่เจ้าของร่างอรชรก็ยังคงเป็นแค่ เด็กที่เพิ่งจะโตอยู่ดี เป็นเด็กที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ ถ้าใครเป็นเจ้าของ...ก็คงต้องหวง ไม่ยอมให้มือชายอื่นได้แตะต้องแน่ แม้ชายที่ว่านั้นจะเป็นหมอก็เถอะ

     

    ถึงจะเป็นราชาก็คงไม่มีข้อยกเว้น...

    สายตาแข็งกร้าวที่เขาเห็นที่งานแต่งงานนั้นเป็นหลักฐานยืนยันเป็นอย่างดี...

     

                “ผมไม่รู้นะว่าระหว่างพวกคุณมีเรื่องอะไรกัน แต่คุณซากุระ... จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมั่นใจ ว่าคนๆนั้นรักคุณมาก มันอาจจะดีกว่าถ้าคุณ...”

     

                “เราเลิกพูดเรื่องนี้กันเถอะค่ะคุณหมอ” เธอตัดบทก่อนจะทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตาแสนเศร้าหยุดมองที่ต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ที่กำลังผลัดใบเป็นสีแดงทั้งต้น เกล็ดหิมะสีขาวนวลที่เกาะตามใบไม้ร่วงหล่นสู่พื้นดินที่มีสีขาวของหิมะแต่งแต้มอยู่ประปราย

     

                “อากาศข้างนอกหนาวมาก ฉันว่าฉันไปเอาเสื้อแจ็คเก็ตมาให้คุณดีกว่าค่ะ ใส่แค่เสื้อบางๆแบบนั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา”

     

                พูดจบร่างบางก็สาวเท้าเร็วๆเดินขึ้นไปบนชั้นสอง คนมองตามได้แต่ถอนหายใจยาว เด็กเวลาเอาจริงเอาจังก็น่ากลัวใช่ย่อย...

     

    โดยเฉพาะเด็กคนนี้

     

                ผ่านไปเกือบสิบนาทีเห็นจะได้ คนตัวเล็กก็ถือแจ็คเก็ตสีดำตัวใหญ่เดินลงบันไดมา ขอบตาของเธอทั้งบวมทั้งช้ำ ผู้ใหญ่ แทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสาวเจ้าคงแอบไปร้องไห้มาแน่ๆ กาอาระยื่นมือไปรับเสื้อแจ็คเก็ตเอามาสวม นัยน์ตาคมมองร่างเล็กที่เอาแต่เหม่อก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

     

    “คุณเป็นแบบนี้ มันทำให้ผมลำบากใจนะครับ”

     

                “ฉัน... ฉันจะพยายามหางานทำค่ะ จะไม่อยู่เป็นภาระหรือทำให้คุณเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่นอน” เสียงหวานตอบกลับ ให้คำมั่นว่าจะไม่ทำตัวเป็นภาระของคนตรงหน้าอย่างเด็ดขาด ตลอดเวลาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอตัดประกาศรับสมัครงานที่ประกาศตามหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเก็บไว้ รอเวลาที่คนตรงหน้ากลับไปทำงานเมื่อไหร่ เธอก็คงจะหางานทำเหมือนกัน เธอจะต้องยืนด้วยขาของตัวเองอีกครั้ง...

     

    เพื่อลูกของเธอ...

     

                กาอาระยืนนิ่ง... พอได้ยินเจ้าหล่อนเข้าใจคำว่า ลำบากใจของเขาผิดไปไกลเสียขนาดนั้น คนพูดก็รีบสั่นหน้าปฏิเสธ

     

                “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมบอกแล้วไงว่าผมเลี้ยงคุณกับลูกของคุณได้ และผมก็ไม่ได้คิดเรื่องจะถูกคนเอาไปนินทาอะไรด้วย แต่ว่า... ผมก็แค่กลัวใจตัวเอง”

     

                “!!!

     

                “ปกติผมไม่ยุ่งกับคนมีเจ้าของหรอก แต่ตอนนี้คุณไม่มีใคร และก็... ไม่รู้สิ คุณมีเสน่ห์ดึงดูดผม ผมว่าตอนนี้ผมคงกำลังรักคุณแน่ๆ”

     

                “ตะ...แต่ฉัน...” ร่างบางอ้าปากค้างกับคำสารภาพรักห้วนๆของอีกฝ่าย เขาพูดมันออกมาโดยที่สีหน้ายังเรียบเฉยไม่ยินดียินร้าย หากจะมีสักอย่างที่แสดงออกว่าเขาหวั่นไหวก็คงจะเป็นดวงตาสีโอปอลที่แสร้งเสมองไปทางอื่นกระมัง

     

                “ผมรู้ว่าตอนนี้คุณคงไม่อยากมีใคร คุณอาจจะเข็ดกับความรักแล้วหรือไม่ในใจของคุณก็ยังมีเขาอยู่” เขาสรุปคำตอบเอาเอง แต่น่าแปลกที่มันเหมือนกับคำตอบเดียวในใจของเธอเป๊ะ

     

    เธอยัง...

    มีเขาคนนั้นอยู่เต็มหัวใจ...

     

    “อย่าใส่ใจเรื่องของผมเลย ผมบอกคุณเอาไว้ก่อนเพราะอยากให้คุณรู้ว่าพร้อมจะดูแลคุณ และยินดีที่จะทำแบบนั้น ไม่ต้องเกรงใจผม ตอนนี้คิดแค่เรื่องลูกของคุณก็พอไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น”

     

    “...”

     

    “และก็ขอย้ำอีกทีว่าอย่าแอบไปทำงานที่ไหนล่ะ ผมจะให้คนของโรงแรมผลัดกันมาดูแลคุณ ทั้งงานทำความสะอาดบ้าน งานในครัว งานที่สวน ผมให้พวกเขาจัดการทั้งหมด คุณน่ะอยู่เฉยๆและห้าม-ไป-ยุ่ง-เด็ด-ขาด ถ้าผมได้ยินข่าวว่าคุณแอบไปช่วยคนสวนกวาดใบไม้อีกล่ะก็ น่าดู” คุณหมอหนุ่มตัดบทพร้อมกับขู่คาดโทษเธอ คนชอบแอบไปทำงานสะดุ้งเบาๆเมื่อถูกอีกฝ่ายจับได้ เสียงหวานอ้อมแอ้มตอบเหมือนเด็กน้อยสารภาพผิด

     

    “แต่ว่าฉันอยากช่วย...”

     

    “ช่วยอยู่เฉยๆ นั่นแหละจะช่วยได้มากเลย ขืนปล่อยให้คุณไปทำโน่นทำนี่จนเป็นอันตรายขึ้นมาผมคงจะรู้สึกผิด คุณต้องรักตัวเองให้มากๆ อย่าลืมสิ” คนตัวสูงสั่งก่อนจะเอื้อมมือขยี้ผมสีซากุระของเธออย่างเอ็นดู เขาผละมือออกเมื่อเห็นว่าผมเผ้าของเธอชี้ฟูไม่เป็นทรง เสียงหัวเราะเบาๆของคุณหมอทำเอาคนเศร้าถลึงตามองอย่างโกรธๆ แต่คนถูกมองก็ไม่ยี่หระ เขาหมุนตัวเดินไปที่ประตูก่อนจะหันมาสั่งลาเธออีกหน

     

    “ผมไปนะครับ ดูแลตัวเองดีๆและอย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดล่ะ”  

     

                หลังจากยืนส่งเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว ร่างบางก็พาตัวเองออกมารับอากาศเย็นๆที่สวนหลังบ้านที่บัดนี้ทั้งบริเวณถูกย้อมไปด้วยสีแดงของใบเมเปิ้ลโดยมีสีขาวของหิมะหลงฤดูแซมอยู่ ต้นไม้ส่วนใหญ่เริ่มผลัดใบเตรียมรับฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน... อีกไม่นานทั่วบริเวณนี้ก็จะกลายเป็นสีขาวโพลน และอากาศคงจะหนาวกว่าอีกซักสิบองศา ฤดูกาลเล่นสกีกำลังจะมาถึง โรงแรมของกาอาระที่เพิ่งเปิดไปเมื่อสองวันก่อนก็คงจะแน่นเอี๊ยดไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่คึกครื้นน่าดู แตกต่างจากตอนนี้ที่ช่างเงียบเหงาเดียวดาย...

     

    เธอ...

    คิดถึงเขาเหลือเกิน...

     

               

     

                สงสารหนูกุT^T หมอน่ารัก มึนๆแต่แมนเจ้าค่ะ!

    ไรต์รู้ว่าทุกคนกำลังรอใช่มั้ยล่ะ ได้ยินคำบ่นลอยเข้าหู ฮ่าๆๆ~ ใจเย็นๆฮะ อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เรื่องนี้ใกล้จะอวสานแว้ว ปมเรื่องหลังๆมันยุ่งๆมุ่นๆแต่ไรต์จะพยายามจบให้เร็วที่สุด แต่ช่วงนี้ไรต์กำลังช็อกกับคะแนน 7 วิชาที่เพิ่งประกาศไป (กรีดร้องโหยหวนT^T) ก็เลยมีผลต่อการฟิคไปโดยปริยาย บอกตามตรงว่าตอนนี้เครียดมว้ากกกก แต่ไรต์จะพยายามต่อไป เรื่องนี้แต่งจบไม่ลอยแพแน่ค่ะ แต่ เอ่อ... หลังๆแต่งได้ช้าเป็นเต่า อย่าโกรธกันเลยนะ! ><

     

      

    100%

     

     

                เลขาสารพัดประโยชน์กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปที่ห้องของผู้บริหารสูงสุดของธนาคาร มือผอมบางประหนึ่งอิสตรีหอบหิ้วเอกสารการประชุมพะรุงพะรัง ผมเผ้าที่เคยเรียบแปล้ตอนนี้กลับชี้ฟูไม่เป็นทรงเพราะเจ้าตัวไม่มีเวลาจัด งานที่ได้รับมอบหมายให้ทำเป็นประจำก็หนักพออยู่แล้ว แต่ช่วงนี้รู้สึกเหมือนจะหนักที่สุดตั้งแต่เข้ามาทำงานที่ธนาคารแห่งนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เขามีสภาพเหมือนซอมบี้เพิ่งตื่นจากหลุมนี่น่ะหรือ?

     

    ก็คุณเจ้านายกิตติมศักดิ์ยังไงล่ะ

     

                “คุณซาสึเกะครับ ได้เวลาเตรียมตัวแล้วครับ” เลขาหนุ่มพูดพลางใช้มือที่ว่างเคาะประตูห้องทำงานของเจ้านาย เมื่อไร้ซึ่งเสียงตอบรับ คนเป็นลูกน้องก็เดาว่าเจ้านายสุดหล่อคงจะทำงานอยู่ในห้องส่วนตัวที่สร้างแยกย่อยลงไปอีกสองห้อง หรือไม่ก็...

     

    “นี่คุณยังดื่มอยู่เหรอครับ!?! อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะประชุมผู้บริหารแล้วนะครับ!

     

    นั่งดื่มเหล้าที่ห้องรับแขกตั้งแต่กลางวันแสกๆ!

     

                “ฉันไม่เมาหรอกน่า” ซาสึเกะตอบเสียงยานคางเมื่อดวงตาสบเข้ากับเลขาสารพัดประโยชน์ที่เพิ่งเปิดประตูพรวดเข้ามา

     

                “ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นนะครับ! นี่คุณกำลังทำบ้าอะไรของคุณอยู่ คุณเหมือนไม่ใช่คุณซาสึเกะที่ผมรู้จัก คุณซาสึเกะคนนั้นไม่เคยดื่มเหล้าในเวลางาน...”

     

                “นี่ นายรู้อะไรมั้ยซุยเงสึ...” คนดื่มเหล้าในเวลางานเอ่ยขัด มือที่ถือแก้วเหล้าขยับหมุนเป็นวงจนของเหลวสีอำพันที่อยู่ในแก้วแทบจะกระฉอกออกมาข้างนอก ซาสึเกะพูดต่อด้วยน้ำเสียงแสนเจ็บปวด...

     

    “ตอนนี้ฉันยังหาตัวซากุระไม่เจอเลย เธอหายไปจากสายตาของฉัน ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง มีใครมาทำอะไรเธอรึเปล่า...”

     

                “...”

     

                “ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรเป็นแบบนี้ ฉันต้องไม่อ่อนแอให้ใครเห็น ฉันคือเสาหลักของอุจิวะ... ฉันจะล้มไม่ได้ แต่กับเรื่องนี้...” เขาหยุดเว้นวรรคไปก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นซดอึกใหญ่ ฤทธิ์ของสุราทำให้ใบหน้าขาวเนียนขึ้นสีแดงจัด ดวงตาแข็งแกร่งสั่นระริกราวกับว่าเจ้าตัวกำลังสะกดกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้

     

    “...มันเกินจะรับไหวจริงๆ...”

     

                พูดจบคนเป็นนายก็วางแก้วสุราแล้วเดินเหมือนคนไร้วิญญาณหายลับเข้าไปในห้องส่วนตัวที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนเป็นคอนโด ซึ่งซาสึเกะสร้างไว้สำหรับใช้พักผ่อนยามต้องค้างอยู่ที่สำนักงาน และตอนนี้มันก็ถูกใช้เป็นที่อยู่หลักของเจ้าของห้องเสียแล้ว

     

                ซุยเงสึมองร่างสูงสง่าที่บัดนี้เต็มไปด้วยความหดหู่ของเจ้านายหนุ่มก่อนจะลอบถอนหายใจยาว เลขาคนสนิทวางแฟ้มเอกสารการประชุมไว้ที่โซฟาก่อนจะจัดการเก็บโต๊ะรับแขกที่บัดนี้เกลื่อนกลาดไปด้วยขวดสุรายี่ห้อดัง หลังจากเคลียร์ห้องให้กลับสู่สภาพเดิมพร้อมกับฉีดสเปรย์ดับกลิ่นกลบกลิ่นสุราที่ลอยฟุ้งได้แล้ว เจ้าของดวงตาสีอะเมทิสต์ก็หยิบโทรศัพท์มือถือของตนออกมาโทรรายงานใครบางคน

     

                “เป็นอย่างที่คุณคิดเลยครับคุณอิทาจิ คุณซาสึเกะ... อาการหนัก”

                                                       

    .

    .

    .

               

     

                “มันคิดจะทำบ้าอะไรของมันกันแน่!?!

     

                น้ำเสียงหงุดหงิดนี้เป็นของชายผู้ถูกขนานนามว่า ความรุ่งโรจน์ของประเทศหลังจากวางสายจากเลขาของน้องชาย อิทาจิก็ปาโทรศัพท์ราคาแพงของตนไปที่โซฟาสีเบจตัวใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์ โทรศัพท์เครื่องบางกระเด้งกระดอนอยู่บนโซฟาแล้วหล่นตุ้บลงบนพื้นพรมขนสัตว์สีขาวสะอาดก่อนจะนอนหมดสภาพอยู่แบบนั้นอย่างน่าสงสาร

     

    เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลหันขวับกลับมามองใครอีกคนที่นั่งตัวลีบตัวแบนอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน ร่างสูงกระตุกริมฝีปากยิ้มเครียดก่อนจะพูด

     

    “และก็แก... ซาโซริ ทำไมแกรู้เรื่องนี้แล้วถึงไม่บอกอะไรฉันซักคำ ต้องให้ฉันจับแกได้คาหนังคาเขาก่อนใช่มั้ยแกถึงจะยอมบอกฉันว่าไอ้น้องชายที่น่ารักของฉันมันใช้ให้แกทำอะไรแบบนั้น”

     

                “ก็ไอ้ซัสมันขู่ผมไว้นี่ครับ ว่าถ้าผมบอกพี่... มันจะดิสเครดิตสำนักทนายของผมน่ะ และมันก็จะเอาเรื่องที่ผมคบผู้หญิงหลายคนไปฟ้องพ่อ พี่ก็รู้นี่ครับว่าพ่อผมโหดขนาดไหน ถ้าพ่อรู้ว่าผมทำตัวไม่ได้เรื่อง ควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าล่ะก็... ผมคงถูกพ่อฆ่าทิ้งแหงๆ” ทนายหนุ่มตอบเสียงอ่อย ดวงตาสีน้ำตาลหม่นเหลือบดูโทรศัพท์ที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นก่อนจะกลืนน้ำลาย

     

    เขาจะมีสภาพเหมือนโทรศัพท์เครื่องนั้นรึเปล่า?

     

                “แล้วแกคิดว่าที่ซาสึเกะมันทำ ฉันจะทำไม่ได้เหรอ?”

     

                “ผมถึงได้ยอมสารภาพทุกอย่างกับพี่ไงครับ”

     

                “แกยอมเพราะฉันจับได้ไม่ใช่รึไง!?!

     

                “ครับ...” รับคำเสร็จก็ก้มหน้าก้มตาต่อ รู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง...

     

                ซาโซรินึกย้อนไปเมื่อชั่วโมงก่อนที่อิทาจิสั่งให้คิซาเมะ เลขาคนสนิทของเจ้าตัวไปลากคอเขามาจากสำนักทนายความเพื่อมาสารภาพบาป... อันที่จริงก็ไม่น่าจะเรียกว่า บาป ได้หรอก แต่มันเป็น บาป เพราะเขาไม่ยอมบอกให้ชายคนนี้รู้เรื่องต่างหาก เรื่อง... ที่เขากับซาสึเกะแอบไปทำไว้อย่างลับๆ

     

                แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะประเมินชายตรงหน้าต่ำเกินไป อิทาจิระแคะระคายเรื่องการฟ้องร้องธนาคารที่คาสึจิเอามาใช้ขู่ให้ซาสึเกะยอมแต่งงานกับคาริน ชายคนนี้ถึงได้ใช้กำลังบังคับให้เขายอมคายเรื่องทั้งหมดออกมา และก็เพราะไม่มีทางเลือก... ด้วยความรักตัวกลัวตาย ทนายคนเก่งถึงได้ยอมบอกเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังที่ไม่มีใครรู้นอกจากเขา ซาสึเกะ และนายตำรวจที่ไว้ใจได้ในกรมตำรวจ เป็นเรื่องราวที่ว่า...

     

    การฟ้องร้องที่คาสึจิเป็นคนสร้างเรื่องขึ้น...

    ไม่มีผลต่อธนาคาร...

     

                เมื่อราวๆสองเดือนก่อน หลังจากที่ซาสึเกะสั่งให้รื้อระบบบุคลากรและตรวจสอบพนักงานทุกคนตั้งแต่ระดับล่างยันระดับสูงทำให้เขาพบคนที่เข้าข่ายทุจริตอยู่หลายคน และในการตรวจสอบครั้งนั้น ทำให้ซาสึเกะพบว่ามีสปายที่แฝงตัวเข้ามาอยู่ในบริษัทมาหลายปี ในทีแรกเพื่อนของเขาตั้งใจจะเล่นงานสายลับพวกนั้นทันทีแต่เพราะเห็นว่าน่าจะใช้ประโยชน์จากคนพวกนั้นจึงยังไม่ได้ทำอะไร แต่ก็เพื่อป้องกันเรื่องที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำของคนเหล่านั้นซาสึเกะจึงใช้ให้เขาแจ้งเรื่องนี้กับทางตำรวจเอาไว้ก่อน และกันตัวเองและธนาคารอุจิวะให้อยู่ในฐานะของพยานและผู้เสียหาย โดยอ้างว่าการแทรกซึมเหล่านั้นอาจเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพลที่ทางตำรวจกำลังจับตามองอยู่ ฝ่ายตำรวจยอมรับข้อตกลงทันทีเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีในการหาหลักฐานเพื่อจับเหล่าผู้มีอิทธิพลที่ทำตัวเย้ยกฎหมาย ซึ่งผลของการตกลงนั้นทำให้ตอนนี้ การกระทำที่เกิดจากการใช้อิทธิพลของคนที่แฝงตัวเหล่านั้น ถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับธนาคาร การฟ้องร้องต่อธนาคารอุจิวะ... ถือว่าเป็นโมฆะโดยสิ้นเชิง และผลของการฟ้องนี้จะไปตกอยู่กับจำเลยที่เป็นคนก่อเหตุแต่เพียงผู้เดียว  

     

    นับเป็นการตัดสินใจที่รอบคอบของซาสึเกะ

     

                “แล้วทำไมเจ้านั่นมันต้องทำแบบนี้ ถ้ามันไม่ได้ถูกบีบเรื่องการฟ้องร้องจริงๆ ทำไมมันถึงต้องไล่เมียมันออกจากบ้านแล้วไปแต่งงานกับลูกสาวของคาสึจิ” อิทาจิเอ่ยเสียงเครียด ยิ่งฟังความจริงจากทนายประจำตระกูลเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจ สมองแสนปราดเปรื่องขบคิดดูการกระทำที่แสนจะไม่สมเหตุสมผลของคนเป็นน้อง

     

    คิดจะทำอะไรกันแน่?

     

                “เรื่องนั้นผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ความจริงแล้วคืนนั้น... วันที่ประธานอุซึมากิแต่งงานน่ะครับ หลังจากพาคุณซากุระมาส่งที่บ้าน ซาสึเกะมันเรียกให้ผมไปคุยด้วย มันพูดแค่ว่าคารินยื่นข้อเสนอให้มันเรื่องแต่งงานแลกกับการที่คาสึจิจะระงับเรื่องการฟ้องร้อง ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะเรากันเอาไว้แล้ว แต่เพราะวันนั้นมันสั่งเหล้ามากิน ผมก็เลยคิดว่าปัญหามันน่าจะมีมากกว่านั้น แต่มันก็ไม่ได้บอกอะไรผมเพิ่ม ผมเองก็ตกใจเหมือนกันครับที่จู่ๆมันก็รับข้อเสนอนั่น ทั้งๆที่มันรักเมียตัวเองมากแท้ๆ...” น้ำเสียงช่วงท้ายของชายหนุ่มสลดลง สงสารทั้งเพื่อนรัก ทั้งหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนั้น...

     

    กว่าจะรักกันได้ก็ลำบากกันแทบตาย แต่ยามจะแยกจากกันทำไมถึงได้ง่ายดายเพียงนี้?

     

                “ถ้าเป็นคืนนั้น ซาสึเกะมันก็โทรมาบอกฉันเหมือนกัน แต่บอกแค่ว่าต้องหย่าเพราะเรื่องฟ้องร้อง ฉันไม่ได้ห้ามมันเพราะคิดว่าอย่างมันคงหาแผนรับมือทีหลังได้ แต่ก็เป็นอย่างที่เห็น” อย่างที่เห็นที่อิทาจิหมายถึงก็คือสภาพเหมือนคนไร้วิญญาณของซาสึเกะที่นับวันอาการจะเลวร้ายลงทุกที

     

    “ฉันได้ข่าวว่ามันยังหาตัวซากุระไม่เจอ และตัวมันในตอนนี้ก็คงไปตามหาตัวเธอไม่ได้”

     

                “เพราะว่าที่เจ้าสาวของมันสินะครับ” ซาโซริพูดแบบไม่ต้องหยุดคิด อิทาจิพยักหน้ารับเบาๆก่อนจะพูดต่อ

     

                “บางทีคารินอาจจะรู้อะไรบางอย่าง... ฉันได้ข่าวว่าซาสึเกะไล่ซากุระออกจากบ้านต่อหน้าผู้หญิงคนนั้น ทั้งที่มันไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองมีเมียเก็บอยู่แท้ๆ ที่ทำแบบนั้นก็คงจะมีเหตุผล”

     

                “เป็นไปได้มั้ยครับ ที่... เอ่อ... มันจะทำเพื่อปกป้องคุณซากุระ ก็... ถ้าเราลองตั้งสมมติฐานกันเล่นๆว่าว่าที่เจ้าสาวของไอ้ซัสดันไปรู้ว่ามันมีเมียแล้ว และเพราะพิษรักแรงหึงก็เลยคิดจะทำร้ายคุณซากุระเพื่อที่ตัวเองจะได้เข้าไปแทนที่ พอไอ้ซัสรู้แบบนั้นก็เลยตัดไฟแต่ต้นลม ชิงไล่เมียมันออกจากบ้านต่อหน้าคารินเพื่อให้หล่อนรู้ว่ามันไม่ได้คิดอะไรกับคุณซากุระ และมันก็ตกลงรับข้อเสนอเรื่องแต่งงาน ทีนี้คารินก็จะได้เลิกสนใจที่จะเล่นงานคุณซากุระ คุณซากุระก็จะปลอดภัย... อะไรประมาณนี้น่ะครับ” ซาโซริพูดพลางพยักหน้าหงึกหงักกับสมมติฐานที่สมบูรณ์แบบของตัวเอง

     

                “แก... คิดแบบนั้นเหรอ...” คนแก่กว่าย้อนถามเสียงสั่นพร่าเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว...

     

    บางทีน้องของเขา...

     

                “ก็มันคิดได้ทางเดียวนี่ครับ ถ้าไม่ใช่เพื่อปกป้องผู้หญิงของมัน ไอ้ซัสจะทำแบบนั้นทำไม? มันน่ะ... ถึงจะรักเมียตัวเองแค่ไหน แต่กับผู้หญิงคนอื่นก็ยังรังเกียจเกินกว่าที่จะใช้ชีวิตด้วยอยู่ดี คารินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นหรอก แต่มันก็ยังลงทุนทำถึงขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะมัน รักมากพี่ว่าจะเป็นเพราะอะไรล่ะครับ?”

     

                “เรื่องที่มัน... จะ รักมากจนยอมทำถึงขนาดนี้น่ะ... ฉันก็เห็นด้วยอยู่หรอก” อิทาจิพูดพลางก้มหน้า น้ำเสียงนั้นสั่นเครือเล็กน้อยเพราะความคิดที่ตกตะกอนอยู่ในหัว

     

    “แต่เพราะมันเป็นน้องของฉัน ฉันถึงได้เชื่อว่ามันมีวิธีปกป้องวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ คนอย่างซาสึเกะ... มันสามารถทำให้คนที่หลงใหลคลั่งไคล้มันอย่างคาริน อยู่เงียบๆได้โดยที่มันไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวเองซะด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ทำ มันยอมแต่งงาน... ยอมทำตามแผนของคาสึจิ ทำเหมือนเป็นคนจนตรอกที่ไม่มีทางเลือก แกไม่แปลกใจบ้างเหรอ?”

     

                “นั่นสินะครับ ถ้างั้นตัวแปรก็คงเป็นคาสึจิ...” ซาโซริพูดกับตัวเองเบาๆ ใช้สมองอันชาญฉลาดคิดถึงเบื้องลึกเบื้องหลังการกระทำที่ผิดวิสัยของเพื่อนสนิท ริมฝีปากสุดเซ็กซี่ที่ครองใจสาวๆทั้งประเทศยังคงพึมพำบางอย่าง

     

    “หรือจะเพื่อผลประโยชน์ของธนาคาร แต่ไม่สิ ตอนนี้ธนาคารกำลังไปได้สวย ไม่จำเป็นต้องยืมมือคาสึจิมาช่วยอะไร...”

     

                “ที่ฉันกำลังกลัว ก็กลัวแค่ว่าซาสึเกะมันจะรู้เรื่องที่พวกเรากำลังทำอยู่...” อิทาจิพูดเสียงเครียด ทำให้คนที่กำลังคิดเดาเหตุผลเรื่อยเปื่อยหันขวับไปมอง ใบหน้าหล่อเหลาของจอมกะล่อนแห่งปีอยู่ในอาการตกตะลึง เลือดในกายเย็นเฉียบ...

     

                “และถ้ามันเป็นแบบนั้น แกไม่คิดเหรอว่าน้องชายฉัน... จะทำทุกอย่างเพื่อหยุดเรา”

     

    .

    .

    .

     

     

    “ฉันเรียกให้แกมาตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ทำไมเพิ่งมาโผล่หัวเอาป่านนี้”

     

    เสียงทรงอำนาจของชายวัยกลางคนเอ่ยอย่างไม่พอใจทันทีที่ประตูห้องทำงานของตนถูกเปิดออก คนเพิ่งโผล่หัวมาเดินอาดๆไปที่โซฟาสำหรับรับแขกในห้องก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงอย่างไม่สบอารมณ์

                                               

                “โถ่~ พ่อ ก็ผมบอกแล้วว่าผมกำลังยุ่งอยู่ พ่อบังคับให้ผมมาอยู่นั่นแหละ” โทระตะเอ่ยบอกเสียงเซ็งจัด และน้ำเสียงหงุดหงิดชวนโมโหนั่นเองที่ทำให้คนเป็นพ่อถึงกับละสายตาจากกองเอกสารแล้วหันมานั่งกอดอกมองลูกชายตัวเองด้วยสายตาตำหนิ

     

                “ยุ่ง? น้ำหน้าอย่างแกเคยยุ่งด้วยเหรอ วันๆฉันเห็นแต่แกคั่วผู้หญิงผู้ชาย หาเรื่องต่อยตีชาวบ้านไปทั่ว ฉันอายจะตายอยู่แล้วที่มีลูกชายอย่างแก”

     

                “หึๆ ก็เลือดพ่อมันแรงนี่ครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยิ้มพราย วีรกรรมเมื่อครั้งอดีตของฟุเสะ ดันโซ นั้นเขารู้เป็นอย่างดี และถ้าเปรียบเทียบความร้ายกาจของเขาในตอนนี้กับผู้เป็นพ่อ คงต้องเรียกว่าเขายังห่างจากพ่ออยู่หลายขุม

     

    ปีศาจ... พ่อของเขาเป็นคนแบบนั้นล่ะ

     

                “แกไม่ต้องมาย้อนฉัน!” ดันโซตวาดใส่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่าโทระตะได้เชื้อดิบเถื่อนมาจากตนล้วนๆ คนแก่กว่าถอนหายใจยาวพลางพูดต่อด้วยเสียงเคร่งเครียด

     

    “เพราะแกมันทำตัวห่วยแบบนี้นั่นแหละ ยัยลูกสาวของไอ้คาสึจิมันถึงไม่เคยชายตาแลแกแล้วไปหลงไอ้ราชานั่นแทน ฉันได้ข่าวว่าพวกมันกำลังจะแต่งงานกัน แล้วแกรู้มั้ยว่าถ้ามันแต่งงานกันแล้วธนาคารอุจิวะจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ต่อให้เป็นฉันก็คงจะทำอะไรไม่ได้”

     

                “เหอะ! ยัยคารินนั่นน่ะเหรอ จ้างให้ผมก็ไม่เอาหรอก ลีลาเด็ดก็จริงแต่บ้าอำนาจเป็นบ้า คิดว่าตัวเองอยู่สูงซักแค่ไหนเชียว ทำเหมือนคนอื่นเป็นมดปลวก เฮ้อ~ น่าเสียดายจริงๆที่ราชา ของผม จะถูกยัยนั่นคาบไปกินซะแล้ว” โทระตะพูดพร้อมกับทำหน้าเสียดาย แค่นึกถึงใบหน้างดงามที่ฉาบไปด้วยความเย็นชาของราชาผู้เย่อหยิ่ง เลือดในกายของเขาก็เดือดพล่าน ความปรารถนาจะได้ลิ้มลองทูตสวรรค์เดินดินคนนั้นทำให้เขานั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ ชายหนุ่มเลียริมฝีปากแผล็บ...

     

    รสชาติของราชาจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ?

     

                ดันโซมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหายของลูกชายพลางชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ถึงในอดีตเขาจะเลวแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้เป็นพวกหญิงก็ได้ชายก็เอาเหมือนโทระตะ ลูกชายของเขาหลงใหลอุจิวะ ซาสึเกะอย่างถอนตัวไม่ขึ้น และนั่น... มันก็เป็นอุปสรรคต่อแผนการโค่นล้มธนาคารอุจิวะของเขา

     

    “ถูกมันฟาดหัวมาครั้งที่แล้วยังไม่เข็ดอีกเหรอ? แล้วแกไม่ได้ฟังที่ฉันบอกเลยรึไงว่าการแต่งงานของพวกมันจะทำให้ธนาคารของเราแย่” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเหนื่อยหน่าย แต่คนฟังก็ทำเหมือนไม่ใส่ใจ โทระตะยักไหล่ก่อนจะพูด

     

                “มันจะแย่แค่ไหนกันเชียว ผมว่ายังไงพ่อก็หาทางออกจนได้นั่นแหละน่า มีลูกน้องฝีมือดีอยู่ด้วยทั้งคน”

     

                “แต่ที่ฉันเรียกแกมามันก็เพราะเรื่องนี้นั่นแหละ” ดันโซเอ่ยเสียงเครียดเมื่อนึกถึงเหตุผลหลักที่ตนอุตส่าห์ตามตัวลูกชายจอมไม่ได้เรื่องของตนมาพบ

     

                “เรื่องอะไรล่ะครับ?”

     

               “เจ้าซาอินั่นน่ะ... บอกตามตรงนะ ตอนนี้ฉันเริ่มจะไม่ไว้ใจมันแล้ว”

                                

     

     

                กลับมาแล้วนะฮัฟทู๊กคนนนนนน~ >< ไรต์ไม่อยากจะบ่นเลยเรื่องสอบสัมภาษณ์ บอกตามตรงถูกเรียกไปสัมภาษณ์ตั้งสองรอบแน่ะ กลัวตกง่ะT^T วันที่ 3 นี้ก็ประกาศผลแล้ว ต้องมานั่งลุ้นอีกแล้วสินะๆๆๆ เฮ้อ~

                เอาล่ะ เนื้อเรื่องก็กำลังจะดำเนินมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว อิอิ เหตุผลจริงๆที่บักเกะของเรายอมแต่งงานกับเจ๊คารินยังมีอะไรซ่อนอยู่สินะ มาเอาใจช่วยว่าพ่อเป็ดของเราจะรอดเงื้อมมือของคารินรึเปล่า หรือจะเสร็จเสือไบอย่างโทระตะ แล้วพี่ซีดของเราจะถูกจับได้มั้ย ยังไงรอติดตามนะคะ^^

     

    ปล. ตอนหน้าก็มีดราม่ามาให้ปวดใจกันเล่นๆค่ะ เพราะ... อุบไว้ก่อนดีกว่า สปอยล์เดี๋ยวมันจะไม่ลุ้น><

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×