ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #34 : CHAPTER 28 : เจ้าของตัวจริง (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.15K
      127
      31 ม.ค. 58

    บทที่ 28 เจ้าของตัวจริง

     

     

                “พรุ่งนี้...เธอจะไปจริงๆเหรอ งานแต่งงานของไอ้เวรนั่นน่ะ”

     

                เสียงทุ้มเอ่ยถามร่างเล็กในอ้อมแขนที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าเธอคงยังไม่หลับแน่ๆ และเขาก็เดาถูก เพราะทันทีที่ได้ยินคำถามของเขา หญิงสาวก็ผละจากอ้อมแขนแข็งแกร่งที่โอบกอดเธอทุกวัน ดวงตาสีมรกตเงยขึ้นสบกับสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของอีกฝ่าย นิ้วเรียวสวยแตะที่ริมฝีปากคนตัวโตเบาๆ

               

                “พูดไม่เพราะเลยนะคะคุณซาสึเกะ” เธอดุก่อนจะระบายยิ้มกว้าง

     

    “ฉันได้รับการ์ดเชิญนี่คะ ยังไงก็ต้องไป และอีกอย่าง ฉันอยากไปแสดงความยินดีกับพี่นารูโตะค่ะ เค้าคือผู้มีพระคุณของฉัน”

     

                “เธอก็พูดไม่เพราะ” ร่างสูงพูดสวนกลับ กระแสเสียงนั้นเจือปนไปด้วยความหงุดหงิดปนดุ

     

                “หืม? ตรงไหนคะ?”

     

                “ตรงที่เรียกมันว่า พี่ ” คนกล่าวหาตอบเสียงเย็น แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเธอคงไม่ได้คิดอะไรกับคำเรียกนั้น แต่ความหึงหวงมันไม่เข้าใครออกใคร นี่ถ้าเขาไม่เป็นคนมีเหตุผลพอล่ะก็ คงได้สั่งห้ามไม่ให้เธอเอ่ยชื่อผู้ชายคนอื่นให้ได้ยินแล้ว มันแสลงหู!

     

                “เค้าอายุมากกว่าฉันนี่คะ เรียก พี่ ก็ถูกแล้ว” ร่างบางอธิบายด้วยใบหน้าใสซื่อ แสร้งไม่รู้ว่าเขากำลังหึงจนตาแทบจะลุกเป็นไฟ

     

                “ฉันก็อายุพอๆกับมัน”

     

                “งั้นจะให้ฉันเรียกคุณว่า พี่ซาสึเกะ มั้ยคะ จะได้เท่าเทียมกัน” เธอว่า ดวงตาสีมรกตมองเขากึ่งล้อเลียน

     

                ชายหนุ่มใจกระตุก...

     

    พี่ซาสึเกะ เหรอ?

     

    แค่คิดใบหน้าหล่อเหลาก็แดงก่ำจนถึงใบหู ถ้าเธอเรียกเขาแบบนั้นจริงๆเขาคงหลงเธอมากกว่านี้แน่ แค่นี้ก็หลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ขืนมากกว่านี้คงจะได้เสียงานเสียการกันพอดี

     

                “ไม่... ฉันไม่อยากเท่าเทียมกับไอ้ที่สองนั่น และก็ไม่ได้อยากเป็นพี่ด้วย” สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธพร้อมด้นเหตุผลขึ้นมาเองสดๆ

     

                “เอาใจยากจริง”

     

                “แต่เธอก็เอาไปแล้วนี่” ร่างสูงตีมึนพูดออกไปโดยไม่สนใจว่าคนฟังจะอายม้วนขนาดไหน เขาถอนหายใจอย่างเคร่งเครียดก่อนจะพูดต่อ

     

    “ถ้าเธอจะไปงานก็ตามใจ แต่ซากุระ... งานนี้ฉันต้องไปด้วย และเธอก็คงจะรู้ว่าต่อหน้าคนอื่น... เธอกับฉันไม่รู้จักกัน เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าเราจะเจอกันในงานแต่ฉันก็ต้องทำเป็นมองไม่เห็นเธอ”

     

                “ฉันเข้าใจค่ะ คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าฉันจะคิดมาก” ซากุระพูดพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ทำให้ร่องรอยแห่งความกังวลบนใบหน้าหล่อเหลาลดลงไปเลย

     

                “แต่บางที... มันอาจจะทำร้ายจิตใจของเธอ”

     

                “ไม่เป็นไรค่ะ” เธอว่า ก่อนจะยกมือเรียวสวยแตะที่ใบหน้างดงามของเขาพร้อมกับลูบไล้ไปมาเป็นเชิงกล่อม “คุณรีบๆนอนเถอะ นอนดึกมากๆระวังหน้าจะแก่เร็วนะคะ”

     

                “ฉันไม่สนหรอกเรื่องนั้นน่ะ” คนตัวสูงตอบ ยกมือข้างหนึ่งจับมือของเธอไว้ ดวงตาสีรัตติกาลดูเจ้าเล่ห์มองเธออย่างไม่น่าไว้ใจ “ตอนนี้ฉันอยากทำอย่างอื่นมากกว่า...”

     

                “ไม่ได้ค่ะ!” ร่างบางตวาดเสียงดังเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร มือเล็กผลักอกเขาออกไม่ให้ขยับเข้ามาใกล้

     

    “เราตกลงกันแล้วนะคะคุณซาสึเกะว่าวันคี่ ห้าม-เด็ด-ขาด!

     

                คนเพิ่งถูกปฏิเสธย่นจมูกทำหน้ามุ่ยอย่างน่ารัก ก่อนจะพลิกตัวตะแคงหันหน้าไปอีกฝั่งอย่างงอนๆพร้อมกับบ่นพึมพำให้เธอได้ยิน

     

                “ใจร้าย ใจยักษ์ ใจมาร ใจดำ เย็นชา ไม่เห็นใจคนอื่น นิสัยไม่ดี ก็ใช่ซี่~ ฉันมันบ้าไปเองที่หลงเมียหัวปักหัวปำจนลืมไปว่ามันมีกฎ ขอโทษนะที่ทำให้ลำบากใจ!

     

                เขาพ่นคำตัดพ้อต่อว่าเสียยาวเหยียด ก่อนจะขยับตัวยุกยิกถอยห่างออกไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจเธอเหมือนกับเด็กน้อยขี้เอาแต่ใจไม่มีผิด ซากุระยิ้มอย่างอ่อนใจ...

     

    ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่...ซาสึเกะก็แสดงนิสัยแบบเด็กๆออกมาให้เธอเห็นมากขึ้นเท่านั้น และเธอก็ไม่ปฏิเสธเลยว่านิสัยแบบเด็กๆของเขา น่ารักขนาดไหน...

     

    เขาเป็นคนขี้งอน...

     

    เขางอนเธอเสมอถ้าเธอไม่ตามใจ  บางครั้งก็ไม่พูดไม่จากับเธอได้ทั้งวัน พอตกเย็นก็มานั่งหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียดพาลใส่คนอื่นไปทั่วจนเธอต้องไปง้อนั่นแหละพายุคลั่งจึงจะสงบ และครั้งนี้ก็คงจะเหมือนกัน... สะบัดหน้าหันหลังหนีเสียขนาดนี้ถ้าไม่รีบทำอะไรสักอย่างพรุ่งนี้เขาต้องเก็บสะสมความหงุดหงิดไประเบิดใส่เหล่าลูกน้องผู้น่าสงสารอีกเป็นแน่

     

                “คุณนี่... ขี้งอนจัง” หญิงสาวว่าพลางหัวเราะเบาๆ เธอขยับตัวเข้าไปใกล้เขาจนได้กลิ่นกายหอมอ่อนๆของอีกฝ่าย ก่อนจะซบใบหน้าสวยๆแนบไปกับแผ่นหลังของคนขี้งอน มือเรียวเล็กโอบกอดเขาอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน

     

    “นอนเถอะค่ะคนดี พรุ่งนี้คุณต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า” เสียงหวานเอ่ยกล่อมเขา

     

    “...”

     

    “ฉันไม่อยากให้คุณหักโหม อยากให้พักบ้าง แค่วันเว้นวันก็ยังดี”

     

    สิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย คนกำลังงอนก็พลิกตัวกลับมาโอบกอดหญิงสาวคนรักแบบมึนๆ ซากุระได้ยินเขาทำเสียง ฮึในลำคอเบาๆเหมือนยังไม่หายโกรธหากแต่มือกลับกอดเธอเสียแน่นจนหายใจแทบไม่ออก

    หญิงสาวระบายยิ้มบาง... ชักอ่อนใจกับลูกเป็ดน้อยตัวนี้เหลือเกิน...

     

    กลายเป็นลูกเป็ดนิสัยเสียไปซะแล้วสิ

     

     

     

               

    เป็ดน่ารักไปแล้วววววว กรี๊ดดด!!!  >< แต่งเองเพ้อเองเลย น่ารัก มึน ซึน ครบเลยนะแกร ปล่อยฉากหวานน้ำตาลขึ้นจอให้มาชมกันก่อนจะให้ชิมมาม่ารสจัดซึ่งบอกได้เลยว่า... ยาววว ค่ะ -.- หุๆ ซึมซับฉากน่ารักๆเอาไว้นะคะ เพราะอาจจะอีกนานกว่าจะได้เห็น ><        
     

    80%

     

     

                “แกน่าจะแต่งตัวให้มันดีกว่านี้หน่อยนะยะ ชุดอะไรก็ไม่รู้ปิดซะแทบไม่เห็นผิวเลย”

     

                เป็นอีกครั้งที่อิโนะตำหนิเรื่องชุดที่เธอใส่...

                ถ้านับตั้งแต่ตอนที่ไปเดินเลือกชุดด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้า ครั้งนี้ก็นับเป็นครั้งที่สี่ หญิงสาวเชื่อว่าครั้งที่ห้า หก เจ็ด และครั้งต่อๆไปต้องตามมาอีกแน่ๆถ้าเธอยังไม่ไปเปลี่ยนเป็นชุดที่ยัยเพื่อนตัวแสบพอใจ

                ซากุระหัวเราะกับท่าทีขัดใจอย่างที่สุดของเพื่อนสาว เธอสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะยิ้มออกมาอย่างพอใจ

     

                “ฉันว่ามันก็เรียบร้อยดีออก สวยด้วย” เธอพูดพร้อมกับหมุนตัวไปมา ชายเดรสสีครีมที่ยาวถึงข้อเท้าสะบัดพลิ้วไปมาตามจังหวะที่เธอหมุน ส่วนช่วงบนไม่มีอะไรให้ลุ้น เพราะหญิงสาวซ่อนทรวงอกอวบอิ่มเสียมิดภายใต้เนื้อผ้าสีครีมที่ปกปิดมิดชิดถึงข้อมือ จะดีหน่อยก็ตรงที่คนดีไซน์เดรสตัวนี้ยังใจดีเพิ่มผ้าคาดเอวสีเดียวกับชุดเพื่อเน้นส่วนของเอวคอด ชุดนี้ก็เลยยังดูแตกต่างจากชุดคลุมท้องอยู่บ้าง

     

                “ย่ะแม่คุณ! ฉันลืมไปว่าแกมีเจ้าของแล้ว เปิดมากเดี๋ยวคุณสามีจะดุ!” อิโนะประชดอีกครั้งเมื่อเห็นว่ายังไงๆเธอก็ไม่เปลี่ยนใจแน่

     

    ซากุระหัวเราะร่วน เพื่อนของเธอพูดได้ถูกเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งที่เธอเลือกชุดที่ปิดมิดเสียขนาดนี้ก็เป็นเพราะลูกเป็ดน้อยจอมเอาแต่ใจตัวเดิมนั่นแหละ เขากำชับเธอหลายครั้งต่อหลายครั้งว่าห้ามแต่งตัวยั่วกิเลสใครเด็ดขาด และเธอก็ยินดีที่จะทำตามเป็นอย่างยิ่งเพราะรู้ซึ้งดีว่าการถูกมองด้วยสายตาโลมเลียหื่นกระหายนั้น มันน่าอายและก็น่าอึดอัดใจขนาดไหน

     

                “แกก็เถอะ พี่ซาอิคงปลื้มนักหรอกที่เห็นแกใส่ชุดเน้นเว้าเน้นโค้งเปิดดูมๆขนาดนี้ แกไม่กลัวเค้าลากไปเปลี่ยนชุดกลางงานเหรอ” เป็นฝ่ายเธอที่วิจารณ์ชุดของเพื่อนบ้าง ดวงตาสีมรกตมองชุดเดรสสั้นสีครีมที่อิโนะใส่อย่างไม่สบายใจ มันเป็นชุดที่ค่อนข้างเน้นสัดส่วน เปลือยไหล่ แถมตรงช่วงหน้าอกหน้าใจก็ถูกดันออกมาจนแทบทะลัก เธอมั่นใจว่าถ้าซาอิเห็นว่าแฟนสาวของตนใส่ชุดล่อเสือล่อตะเข้ขนาดนี้เขาคงปรี๊ดแตก แต่ดูเหมือนคนชอบยั่วโมโหคนอื่นจะไม่สนใจ อิโนะเบ้ปากใส่ก่อนจะพูด

     

                “ก็ช่างปะไร! ใครจะไปสนใจเจ้าทึ่มนั่นกัน”

     

    “แล้วจะหาว่าไม่เตือน” ซากุระขู่ อิโนะทำเพียงเชิดหน้าใส่ก่อนจะเก็บเครื่องสำอางที่เจ้าตัวเอาออกมาเนรมิตใบหน้าสวยหวานให้กลายเป็นสาวสวยเซ็กซี่เข้าที่

     

    “เออนี่ พูดถึงอีตานั่นแล้วฉันเพิ่งนึกได้” อิโนะเอี้ยวตัวมาถามเธอที่ยังยืนสำรวจตัวเองในกระจก สีหน้าดูกังวลใจแปลกๆ “แกกับเค้า...มีอะไรกันรึเปล่า?”

     

                “มีอะไร? แล้วไอ้ อะไรที่ว่ามันคืออะไรล่ะ?” เธอถาม คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย

     

                “ฉันจะไปรู้แกเหรอยะ ตานั่นเคยมาถามฉันเรื่องที่แกมีสามีแล้วแถมยังถามเซ้าซี้ผิดนิสัยอีกต่างหาก ฉันก็เลยคิดว่า...”

     

                “หึๆ คิดว่าฉันกับเค้าแอบมีซัมธิงอะไรกันล่ะสิ นี่อิโนะ แกน่ะ หึงเค้าใช่มั้ยล่ะ?” ร่างบางพูดอย่างรู้ทัน เธอหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้นสีแดงจัด

     

                “บ้า! ไม่ได้หึงซักหน่อย! ฉันรู้หรอกย่ะว่าอย่างแกคงไม่ชายตาแลมนุษย์หน้าเป็นอย่างนั้นหรอก ที่ถามดูก็แค่อยากรู้”

     

                “งั้นสิ ฉันไม่ได้มีสเป็คชอบผู้ชายฉลาด ขี้เอาอกเอาใจ นิสัยปานเจ้าชายแบบแกนี่” เธอยังแซวต่อจนคน หึงแต่ปากแข็งไปไม่เป็น

     

                “พอเลยๆ ไอ้ที่แกได้ไปน่ะไม่ใช่แค่เจ้าชาย แต่เป็นถึงราชาด้วยซ้ำ ไม่ต้องมาแซวฉันเลยย่ะ” อิโนะเบี่ยงประเด็นมาที่เธอ หญิงสาวได้แต่หัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

     

                “ไปกันเถอะ วันนี้ไม่มีราชรถของคุณสามีมารับ แกคงต้องขึ้นน้องมาริโอ้ของฉันไปงานแล้วล่ะ” เพื่อนสาวพูดขึ้นหลังจากดูนาฬิกาที่ข้อมือ สองสาวเดินลงบันไดมาอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะพากันเข้าไปนั่งใน น้องมาริโอ้ซึ่งเป็นชื่อที่อิโนะตั้งให้รถเก๋งสีขาวคันโปรด

     

    รถเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าออกจากบ้านยามานากะซึ่งพวกเธอใช้เป็นสถานที่แต่งตัวเพื่อไปงานแต่งงานของเจ้านาย ร่างบางในเดรสตัวยาวมองเงาของตัวเองในกระจก เธอยิ้มอย่างเศร้าสร้อย...

     

                “ราชรถเหรอ? ของแบบนั้น... ฉันไม่มีสิทธิ์นั่งหรอก”

     

    .

    .

    .

     

                งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมหรูระดับห้าดาวซึ่งบริษัทอุซึมากิเป็นหุ้นส่วนอยู่ แขกเหรื่อในงานส่วนใหญ่ที่แต่มหาเศรษฐีของประเทศ นักการเมือง คนใหญ่คนโต หรือไม่ก็คนดังและเซเลบริตี้ที่เห็นหน้าค่าตากันในหนังสือพิมพ์บ่อยๆ อาจเพราะคุณหนูฮิวงะ ฮินาตะ ผู้เป็นเจ้าสาว เป็นทายาทผู้หญิงเพียงคนเดียวของฮิวงะ ฮิอาชิ ประธานของกลุ่มบริษัทฮิวงะ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศก็เป็นได้

     

                “เจ้าสาวสวยเหมือนกับที่เขาลือกันจริงๆ” เสียงอิโนะดังแหวกโสตประสาทของเธอที่ถูกแช่แข็งเพราะกำลังตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของงาน หญิงสาวทำหน้าเลิกลั่กอยู่พักใหญ่ จู่ๆก็รู้สึกอายที่ตนแต่งตัวเสียเฉิ่มเชยจนเหมือนไม่ให้เกียรติเจ้าของงาน

     

                “ท่านประธานของฉันก็หล๊อหล่อ เสียดายจังที่จะแต่งงานแล้ว” อิโนะพูดทีเล่นทีจริงก่อนจะเบิกตากว้าง แล้วยกมือตีแขนเธอรัวๆ

     

    “แกๆ! แกดูนั่นสิ คุณเนจิล่ะคุณเนจิ! คุณชายสุดเนี้ยบของตระกูลฮิวงะ โอ๊ย! ฉันเพิ่งเห็นตัวจริง หล่อกว่าในรูปมากกก”

     

    “ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะย่ะ” เธอเอ็ดเบาๆหลังจากตั้งสติได้ “เราไปหาที่นั่งกันเถอะ ยืนเป็นจุดเด่นแบบนี้ฉัน...อาย”

     

    พูดไปก็หน้าแดงไป อยากจะมุดตัวไปกับพื้นพรมสีแดงนี่นัก หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตัวประหลาด แอบเสียใจอยู่ลึกๆว่าน่าจะเชื่อคำแนะนำของอิโนะตั้งแต่แรก

    ซากุระถอนหายใจเฮือก... เธอออกแรงดึงมือเพื่อนตัวแสบที่ยังมองดูพี่ชายของเจ้าสาวตาไม่กระพริบ แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อดึงแขนเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ไม่ขยับตาม ดวงตาสีมรกตเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท เธอหลบตาทันทีเมื่อเห็นสายตาจ้องจับผิดของเพื่อนรัก

     

                “กะ...แกจะมองหน้าฉันทำไม”

     

                “ก็ฉันจะเทียบดูน่ะสิว่าระหว่างแกกับคุณหนูฮินาตะถ้าใส่ชุดเจ้าสาวเหมือนกันแล้วใครจะสวยกว่า” อิโนะตอบเสียงราบเรียบ

     

                “!!!

     

                “แต่ยกนี้ฉันขอยกให้เจ้าสาวตัวจริง ก็แกเล่นหน้าสดแถมแต่งตัวซะเชยสะบัดจนฉันจิ้นไม่ออกแบบนี้ฉันก็ให้ฝ่ายโน้นเค้าวินอยู่แล้วล่ะ” เพื่อนสาวพูดพลางส่ายหน้าเบาๆอย่างรู้สึกเวทนากับสภาพของเธอ

     

                “ฉะ...ฉันรองพื้นมานะ ทาลิปด้วย”

     

                “ฉันถามจริงๆเถอะยัยซากุระ คุณสามีของแกเค้าหวงมากจนไม่ให้แกแต่งหน้าแต่งตาให้ใครเชยชมเลยรึไง แกเป็นคนเรียบร้อยก็จริงแต่ก็ไม่เคยถึงขนาดนี้เลยนี่” อิโนะถามด้วยเสียงที่จริงจังจนเธอขนลุก

     

    อันที่จริงซาสึเกะก็ไม่ได้ห้ามเรื่องแต่งหน้า เขาแค่ย้ำเธอว่าอย่าทำตัวเด่นจนใครมองต่างหาก แต่ที่เธอยอมลงทุนทำถึงขนาดนี้ก็คงเพราะไม่อยากให้เขาเก็บไปคิดและก็หาเรื่องมางอนเธออีก

     

    ยิ่งเป็นพวกคิดมากเสียด้วยสิ

     

                “ช่างฉันเถอะน่า” เธอบอกปัด ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะสบเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งที่เดินเข้างานมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย

     

    “ฉันว่าแกน่ะเตรียมหาที่ลี้ภัยเถอะ” เธอเตือนเพื่อน

     

                “นี่แกอย่าบอกนะว่า...”

     

                “โน่น เดินตาเขียวปัดมาโน่นแล้ว”

     

                “ฉันล่ะเกลียดอีตานี่จริงๆ!

     

                นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เธอได้ยินจากเพื่อนสาว เพราะหลังจากนั้นแค่ไม่กี่วินาทีซาอิก็สามารถพาตัวคุณเพื่อนตัวแสบของเธอออกไปจากงานได้อย่างง่ายดายโดยไม่สนใจสายตาแขกเหรื่อที่จ้องมองเลยสักนิด หญิงสาวมองตามเพื่อนรักไปด้วยสายตาที่แสดงออกว่าเห็นใจอย่างสุดซึ้ง แต่ถึงกระนั้นก็อดยิ้มกับความขี้หวงขี้หึงของซาอิไม่ได้ ชายหนุ่มดูจะ รักเพื่อนสาวของเธอมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก และดูท่าว่ามันคงจะไม่ใช่แค่ความรักแบบปั๊บปี้เลิฟเหมือนสมัยที่พวกเธอเรียนปีหนึ่ง แต่เป็นความรักอย่างจริงใจที่ชายคนหนึ่งพึงมีต่อหญิงอันเป็นที่รัก

     

    ดูจากสายตาของเขาก็รู้...

     

    ดวงตาที่เคยเฉยชาต่อทุกสรรพสิ่ง... บัดนี้มีเงาของเพื่อนเธอฉายชัดอยู่ มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอกลัว นั่นคือกลัวว่าซาอิเลือกที่จะหลับตา... แล้วทิ้งภาพเพื่อนของเธอให้อยู่เบื้องหลัง อย่างที่เขาเคยทำเมื่อสามปีก่อน...

     

    เสียงฮือฮาของเหล่านักข่าวที่รอทำข่าวอยู่หน้าห้องจัดงานทำให้เธอละความสนใจจากเพื่อนผู้น่าสงสาร ตอนนี้สายตาของเธอจับจ้องอยู่ตรงประตูที่ถูกตกแต่งด้วยซุ้มดอกกุหลาบสีขาว แสงแฟลชของบรรดากล้องถ่ายรูปหลายสิบตัวสว่างจ้าจนมองเห็นได้ชัดจากจุดที่เธอยืนอยู่ ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าหลังซุ้มประตูดอกไม้นั่นมีคนดังคนไหนยืนอยู่กันแน่

     

    เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังจากนั้น ข้อสงสัยของเธอก็ถูกเฉลย เมื่อร่างสูงสง่าเจ้าของดวงตาสีรัตติกาลแสนคุ้นเคยปรากฏแก่สายตา และวินาทีต่อมาซากุระก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของตัวเองถูกอะไรสักอย่างบีบรัดเสียแน่น มันอึดอัด... และก็รู้สึกเจ็บปวดแปลกๆ...

     

    ซาสึเกะไม่ได้เดินมาคนเดียว... ข้างกายของเขามีสาวสวยในชุดราตรีสีแดงดูเซ็กซี่เดินอยู่เคียงข้าง ทั้งสองเดินเข้างานมาอย่างสง่างามท่ามกลางสายตาอึ้งปนทึ่งของคนทั้งงาน ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าราชาที่เกลียดแสนเกลียดผู้หญิงจะยอมควงสาวสวยลูกสาวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมาออกงานด้วย ใบหน้าของซาสึเกะยังคงเรียบเฉยแต่ทว่าก็งดงามไม่เปลี่ยน ผิดกับหญิงสาวที่ยืนข้างกัน เธอส่งยิ้มทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ตลอดทางที่เดินผ่าน มือข้างหนึ่งเกาะเกี่ยวแขนร่างสูงไว้ราวกับต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ

     

    ทั้งสองคนเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก...

     

    ทูตสวรรค์...กับนางอัปสร...

     

                เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นความแตกต่างระหว่างเธอกับเขาอย่างชัดเจน... เป็นความแตกต่าง... ที่เหมือนอยู่กันคนละโลก...

     

                เธอไม่เคยน้อยใจเลยสักครั้งที่ต้องอยู่กับเขาแบบหลบๆซ่อนๆ ความสัมพันธ์ของพวกเธอเป็นเหมือนของต้องห้ามที่ห้ามบอกให้ใครรู้ ต้องเก็บไว้เป็นความลับ... นั่นก็เพื่อภาพลักษณ์ของเขาเอง เธอรู้ว่าสำหรับซาสึเกะ นั่นคือสิ่งสำคัญ...

     

    หนุ่มโสดเจ้าของธนาคารใหญ่ ย่อมเป็นที่หมายปองสำหรับสาวๆทายาทนักธุรกิจดัง นักธุรกิจหลายคนให้ความร่วมมือกับการลงทุนต่างๆของซาสึเกะ ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างซาสึเกะกับลูกสาวของตน เพราะถ้าหากเชื่อมสำเร็จ นั่นก็หมายถึงผลประโยชน์มากมายที่จะได้จากธนาคารอุจิวะ และธนาคารอุจิวะเองก็จะได้ผลประโยชน์จากอีกฝ่ายเหมือนกัน นั่นคือ วิน-วินกันทั้งสองฝ่าย ถึงแม้ซาสึเกะเองจะมีภาพลักษณ์ที่ติดลบกับผู้หญิง แต่ในวงการธุรกิจ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ การที่เขา โสดต่างหากล่ะที่สำคัญกว่า

     

    ซากุระยืนเหม่อโดยไม่รู้ว่าคนที่เธอกำลังมองเดินเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกัน

     

    “ถอยไป... อย่ามายืนขวางทางฉัน” เสียงทุ้มที่แสนคุ้นเคยเอ่ยอย่างเย็นชาทำให้ร่างบางได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างตกใจ รู้สึกหนาวยะเยือกจนถึงขั้วหัวใจเมื่อสายตาสบเข้ากับดวงตาแสนดุคู่นั้น ดวงตาสีรัตติกาลของชายหนุ่มไม่เหลือแล้วซึ่งความห่วงหาอาวรณ์ ไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น... มันกลายเป็นเกลียดชัง...

     

    เหมือนวันแรกที่เจอกันไม่มีผิด...

     

                “ขะ...ขอโทษค่ะ” เธอละล่ำละลักขอโทษ

     

                “คุณอย่าทำหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิคะคุณซาสึเกะ เห็นมั้ยว่าเธอกลัวคุณจนจะร้องไห้แล้ว” หญิงสาวในชุดราตรีสีแดงเอ่ย และก็พูดไม่ผิดเท่าไหร่นัก...

     

    ตอนนี้เธออยากจะร้องไห้จริงๆ...

     

                “เรื่องของฉัน” เสียงเย็นตอบกลับ ก่อนจะเบนสายตามาทางเธอ “แล้วจะยืนเซ่ออยู่ตรงนี้อีกนานมั้ย? มันเกะกะ!

     

                “ฉัน... จะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” พูดจบก็หันหลังเดินหนีไปทางด้านหลังงาน ลำคอรู้สึกตีบตันไปหมดเหมือนมีก้อนอะไรมากระจุกอยู่ ขอบตาร้อนผ่าว หัวใจชาหนึบ...

     

    “แต่บางที... มันอาจจะทำร้ายจิตใจของเธอ”

     

                เขาพูดถูก... มันทำร้ายจิตใจของเธอเหลือเกิน ที่เขาห้ามไม่ให้เธอมาอาจจะเพราะรู้อยู่แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ สายตารังเกียจเดียดฉันท์ของเขาเมื่อกี้... มันน่ากลัว... น่ากลัว... จนเธอไม่รู้ว่าเขาแค่แกล้งแสดงจริงๆหรือเปล่า?

     

    .

    .

    .

     

                “หงุดหงิดอะไรของคุณคะคุณซาสึเกะ แบบนี้เดี๋ยวคนก็เข้าใจผิดพอดีว่าคุณไม่เต็มใจควงฉัน”

     

                “ก็เข้าใจถูกแล้วไม่ใช่เหรอ” ร่างสูงตอบเสียงเหนื่อยหน่าย เขานั่งมองคู่บ่าวสาวที่กำลังจับมือกันตัดเค้กงานแต่งอย่างหงุดหงิด

     

                “ใจร้ายจริงๆนะคะ” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับหัวเราะ สำหรับงานนี้เธอก็ไม่หวังอะไรจากเขามากไปกว่าการให้เขายอมยื่นแขนมาให้ควงหรอก เพราะแค่นั้นก็เป็นสิทธิพิเศษที่ราชาแสนเย่อหยิ่งผู้นี้ไม่เคยมอบให้ใคร งานนี้เธอต้องขอบคุณบิดาเป็นอย่างยิ่งที่เปิดโอกาสให้ เพราะบิดาของเธอทำข้อตกลงกับซาสึเกะว่าถ้ายอมอนุมัติให้ภาครัฐกู้เงินจากธนาคารอุจิวะ เขาจะต้องยอมควงเธอออกงานด้วยเป็นข้อแลกเปลี่ยน มันก็เลยทำให้วันนี้เธอมีสิทธิ์ควงแขนประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของเขาไปกลายๆได้

     

                “งานของเรา...ฉันอยากจะจัดให้ใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อยนะคะ และฉันก็ชอบกุหลาบสีแดง มันให้ความรู้สึกถึงพลังรักมากกว่ากุหลาบสีขาวซีดพวกนี้ซะอีก” คารินพูดพร้อมกับยิ้ม มือเรียวสวยยกเครื่องดื่มสีใสขึ้นจิบ

     

                “อย่าใช้คำว่า ของเราเพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันแต่งงานกับเธอเด็ดขาด การที่เธอควงแขนฉันได้... ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะได้อะไรมากกว่านั้น” ซาสึเกะตอบเสียงเย็น ดวงตาสีรัตติกาลเริ่มกวาดมองไปทั่วหาตัวแม่ตัวดีที่ป่านนี้อาจจะไปแอบร้องไห้อยู่ที่ไหนก็ได้

     

                “หึๆๆ เย็นชาจริงๆนะคะ คุณรู้มั้ยว่าคุณเป็นคนแรกเลยที่กล้าหักหน้าฉันแบบนี้”

     

                “เธอเป็นคนหักหน้าตัวเอง อย่าดึงฉันไปเกี่ยว”

     

                “เอาเถอะค่ะ ฉันไม่ต่อปากต่อคำกับคุณแล้ว” เธอพูดเหมือนยอมแพ้ ก่อนที่เรียวปากได้รูปจะระบายยิ้มแบบที่เขาเกลียด

     

    เพราะถึงยังไงสุดท้ายคุณก็ต้องเป็นของฉันอยู่ดี คุณเองก็รู้... ในโลกนี้นอกจากฉันก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนตามทันคุณหรอก ไม่มีใครควบคุมคุณได้ รวมถึงไม่มีใคร... ตอบสนองความต้องการของคุณได้ดีเท่าฉัน”

     

                “อย่าฝันไปหน่อยเลยคาริน... ถ้าเธอรู้จักฉันดีพอก็คงจะรู้ด้วยว่าฉันไม่มีทางยอมให้ใครควบคุม ฉันไม่ต้องการให้ใครตามทัน และความต้องการของฉัน... ก็ไม่มีใครขัดขืนได้อยู่แล้ว” เขาพูดสวน ดวงตาสีรัตติกาลจับจ้องที่ใบหน้าสวยคมอย่างไม่วางตา เขารู้ว่าหล่อนเจ้าเล่ห์... และฉลาดเกินกว่าจะละสายตาไปได้

     

                “ฮะๆๆ! คุณเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับหัวเราะลั่นราวกับถูกใจ ซาสึเกะมองภาพนั้นก่อนจะนิ่งงัน... รู้สึกตัวชาเหมือนมีใครเอาน้ำเย็นๆมาสาด...

     

                “รู้ตัวแล้วสินะคะ คุณลืมพูดประโยคแรกที่ควรพูด... เกลียดผู้หญิงฉันไม่ได้ยินคุณพูดเลยซักคำ” สาวสวยเจ้าของเรือนผมสีแดงว่า ดวงตาโฉบเฉี่ยวสีเดียวกันมองเขาอย่างผู้ชนะ

     

    “คุณ... มีอะไรปิดบังไว้ใช่มั้ยคะ อาจจะเป็นเรื่อง... ผู้หญิงของคุณ

     

                “ผู้หญิงของฉัน... ตอนนี้ในสายตาคนอื่นมันก็เป็นเธอไม่ใช่รึไง?” ซาสึเกะตอบเสียงเรียบ ดวงตากลับไปเฉยชาเหมือนเดิม

     

                “หึๆ เข้าใจแก้ตัวนี่คะ แต่ฉันเป็น ผู้หญิงของคุณเหรอ? อืม... ถ้าได้แบบนั้นก็เยี่ยมเลยสิ” อีกฝ่ายพูดกึ่งเล่นกึ่งจริง แต่เขาละความสนใจจากเธอไปแล้วเพราะยังคงมองหาร่างเล็กบางที่เดินหายไปต่อ เขาไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเธอพูดประโยคอะไรถัดมา

     

    “แต่ไม่หรอก... ไม่ใช่ ถ้าแต่ฉัน ต้อง ได้เป็นผู้หญิงของคุณแน่ค่ะ คุณซาสึเกะ...”

     

    .

    .

    .

     

     

                ร่างบางยืนเงียบๆอยู่ใกล้ประตูทางออก เธออับอายเกินกว่าจะเดินกลับเข้าไปเฉิดฉายในงานได้ ไม่ใช่เพราะอายคนหรอก แต่ละอายตัวเองมากกว่า... ข้างกายของเขามีสาวสวยที่เหมาะสมกันเหลือเกิน เป็นคนที่เธอไม่มีอะไรทัดเทียมได้ ซากุระหัวเราะกับความด้อยค่าของตัวเอง ความรักของเขาคงไม่ใช่ของปลอมหรอก แต่เธอล่ะมีอะไรดีพอจะคู่ควรกับเขา? เธอกับเขาพบกันในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทที่เขาเกลียดที่สุด... เธออยากจะรักเขาไปนานๆ อยู่กับเขาไปนานๆ แต่เธอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควร... เขามีคนที่ดีกว่า คนที่สามารถให้ความช่วยเหลือเขาได้ และถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเลือกจะไป... เธอคงต้องปล่อย...

     

    หญิงสาวเพิ่งรู้ตัว...

    ความรู้สึกหึงหวง...

     

    มันเป็นแบบนี้นี่เอง...

     

                “คุณน้อง!!!” เสียงแหลมสูงเรียกเธอจากที่ไหนสักแห่ง ซากุระหลุดจากห้วงความคิด เธอหันรีหันขวางอยู่สักพักก็พบเจ้าของเสียงที่เดินนวยนาดเข้ามาหา หญิงสาวจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือช่างแต่งหน้าที่เธอเคยไปแปลงโฉมก่อนจะไปพบอิทาจิ

     

    “คุณน้องคะ พี่เองที่เคยแต่งหน้าให้คุณน้องไง จำได้มั้ยคะ”

     

                “อะ...อ่า พี่ช่างแต่งหน้า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ” เธอตอบพร้อมกับระบายยิ้ม

     

                “ก็คุณน้องไม่แวะไปเยี่ยมพี่ที่ร้านเลยนี่คะ แล้วนี่... ต๊าย! คุณน้องแต่งอะไรมางานคะเนี่ย เฉิ่ม เชย อย่างกับหลุดมาจากยุคหิน!” อีกฝ่ายอุทานอย่างตกอกตกใจพร้อมกับจับตัวเธอหมุนซ้ายหมุนขวา ซากุระสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจแบบปิดไม่มิดของช่างแต่งหน้ามือฉมัง

     

                “ตายแล้ว ท่านนี่ไม่ไหวจริงๆเลย ของสวยๆงามๆแบบคุณน้องให้ใส่อะไรมาแบบนี้ได้ไง ดูซิหน้าก็แค่รองพื้นมา จืดซะไม่มี”

     

                “เอ่อ... คุณซาสึเกะเค้าไม่ได้...” เธอพยายามอธิบายว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด แต่เสียงเบาๆของเธอไม่อาจทำให้คนที่อยู่ในอารมณ์โมโหสุดขีดได้ยิน

     

                “อ้อ~ ก็วันนี้ท่านเล่นควงคุณคารินซะออกนอกหน้าเลยนี่ ก็เลยไม่ได้สนใจว่าคุณน้องจะแต่งยังไง มองเป็นของตายสินะคะ!” คนเป็นเดือดเป็นร้อนแทนกลับเป็นสาวประเภทสองแสนใจดี ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางราคาแพงบูดบึ้งอย่างนึกฉุน

     

    “ไม่ได้! แบบนี้พี่นีน่าไม่ยอม คุณน้องน่ะสวย สวยแซงหน้าคุณคารินซะอีก จะมาเฉาตายเพราะชุดเฉิ่มๆแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

     

    “เอ้อ...”

     

    “ตามพี่มานี่เลยค่ะ พี่จะพาซินเดอเรลล่าไปแปลงโฉม จะทำให้ท่านเห็นแล้วตาค้างสลัดคุณคารินทิ้งแล้วมาควงคุณน้องแทนแน่ๆ!” อีกฝ่ายพูดจบก็กึ่งจูงกึ่งลากเธอออกไปทางด้านหลังห้องจัดเลี้ยงโดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ปฏิเสธซักแอะ

     

                “อ๊ะ! พะ...พี่คะ!

     

                “ไม่ต้องห่วงนะคะ งานนี้นังแอลลี่เตรียมชุดสวยๆมาเพียบ ขนมาทั้งห้องเสื้อเลยล่ะเพราะต้องมาแต่งเนื้อแต่งตัวให้เพื่อนๆเจ้าสาว เดี๋ยวพี่ของยืมชุดมันมาซักชุด เอามาแปลงโฉมคุณน้องให้สวยแซงหน้าเจ้าสาวไปเลย”

     

                ช่างแต่งหน้าที่เธอเพิ่งรู้ภายหลังว่าชื่อ พี่นีน่าไม่ได้โกหกเลยสักนิด...

                ด้วยฝีมือการแต่งหน้าทำผมที่ไม่ธรรมดาสามารถแปลงโฉมเธอที่เหมือนซอมบี้เพิ่งตื่นจากหลุมให้กลายเป็นคนละคนได้ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงถูกถักเป็นเปียหลวมๆพร้อมกับติดดอกไม้ดอกจิ๋วเพิ่มความน่ารักสดใส ตรงกันข้ามกับชุดที่ใส่...

     

                หญิงสาวรู้สึกหนาวจนขนลุกชันเมื่อไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศปะทะกับผิวขาวเนียนที่บัดนี้กำลังอวดโฉมท้าสายตาอยู่ ชุดที่เธอใส่เป็นเดรสสั้นสีขาวที่ส่วนที่เป็นกระโปรงฟูฟ่องราวกับชุดของเจ้าหญิง หากแต่ส่วนบนกับวาบหวิวอย่างเหลือเชื่อ... เนื้อผ้าทั้งหมดเป็นผ้าลายลูกไม้ที่บางจนเห็นไปถึงไหนต่อไหน แม้จะปิดคลุมจนถึงข้อมือแต่ก็เหมือนไม่ได้ปิดอะไร มีเพียงส่วนของหน้าอกหน้าใจเท่านั้นที่ดูจะปิดทึบอยู่เสียหน่อย แต่มันก็แทบจะเรียกว่าไร้ค่าเมื่อชุดแสนสวยตัวนี้มีช่วงคอแหวกลึกเป็นรูปตัววีจนเกือบถึงสะดือ เผยให้เห็นร่องอกลึกกับทรวงอกอวบอิ่มที่อัดกันแน่นใต้เนื้อผ้าบางเบา และที่สำคัญมันก็เหมือนจะบอกกลายๆว่าเธอ... โนบรา

               

                “โอ๊ยตาย! ฉันจะเป็นลม! คุณน้องสวยมาก! แบบนี้เขี่ยคุณคารินตกกระป๋องเลยค่ะพี่รับรอง” นีน่ากรีดร้องกรี๊ดกร๊าดชื่นชมกับผลงานชิ้นเอกของตน คนถูกชมได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน

     

                “มัน... ไม่โป๊ไปหน่อยเหรอคะพี่” เธอบอกเสียงแผ่วอย่างไม่มั่นใจ แม้ว่าจะเคยแต่งชุดวาบหวิวเต้นโชว์ในผับ แต่ชุดเหล่านั้นเธอก็มั่นใจว่ามันเซฟอย่างดี ไม่ได้แหวกหน้าโชว์หน้าอกหน้าใจเสียขนาดนี้

     

                “ไม่เลยค่ะคุณน้อง คุณน้องสวยสง่ามาก ดูสินังแอลลี่ยังมองจนเคลิ้ม นี่! จะไปเปลี่ยนเพศมาจีบน้องเขามั้ยล่ะยะหล่อน!” อีกฝ่ายปฏิเสธพร้อมกับโบ้ยไปหาเพื่อนสาวประเภทสอง ซึ่งเป็นดีไซน์เนอร์ที่เธอคุ้นหน้าคุ้นตา

     

                “กล้าพูดนะยะนังนีน่า ลองไปยุ่งกับของของท่านสิ คงได้ตายไม่เหลือซาก”

     

                “หึ! แต่สวยขนาดนี้ฉันว่าคงมีหน่วยกล้าตายมาขอลองบ้างล่ะ” นีน่าพูดพร้อมกับยิ้มกระหยิ่ม

     

    “ไปค่ะคุณน้อง ไปทำให้ท่านกับหนุ่มๆทั้งงานตะลึงกันเถอะ”

     

                และทันทีที่เธอก้าวขาเข้าไปในงานอีกครั้ง ความสนใจของทุกคนดูจะมากระจุกรวมกันอยู่ที่ร่างบางในชุดที่ทั้งหวานทั้งเซ็กซี่ เสียงฮือฮานั้นทำให้ชายหนุ่มที่นั่งหน้าเบื่อโลกหันไปมอง แล้วเขาก็ต้องตะลึง...

     

    เธอสวย...

    สวยมาก...

     

                เรือนร่างแสนเพอร์เฟ็คต์ที่เขารู้ดีว่าสมบูรณ์แบบแค่ไหน อยู่ในชุดวาบหวิวน่าหวาดเสียว ทรวงอกอิ่มที่เขาควรจะเป็นคนเดียวที่ได้เห็นแทบจะล้นทะลักออกมาจากชุดที่ดูเหมือนไม่ใช่ชุดนั่น ใบหน้าของเธอถูกแต่งแต้มด้วยโทนสีอ่อนให้ลุคหวานซ่อนเปรี้ยวรับกับทรงผมที่ดูน่ารักราวกับตุ๊กตา

     

    เธอสวยมาก! เขายอมรับ!

    แต่เขาไม่อยากให้ใครเห็น!

               

    ซาสึเกะนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เมื่อเห็นสายตาโลมเลียจากผู้ชายทั้งหลายจ้องมองภรรยาของเขาราวกับหิวกระหาย นึกโกรธเจ้าตัวอยู่มิใช่น้อยที่แต่งเนื้อแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้ขนาดนี้ ไม่สิ... ตอนนี้ต้องบอกว่าโกรธมาก! ทำไมเจ้าหล่อนถึงไม่ฟังที่เขาบอก ทำไมไม่เคยเชื่ออะไรเลย! เขาไม่เข้าใจ... ทั้งที่ตอนมางานครั้งแรกเธออยู่ในชุดแสนเรียบร้อย ใบหน้าสวยหวานนั่นก็แทบไม่แต่งแต้มอะไร ไม่เป็นจุดเด่น ไม่สะดุดตา แบบนั้นก็ดีแล้วมิใช่หรือ? ทำไมเธอต้องทำแบบนี้... จงใจ... จะยั่วโมโหเขาหรือเปล่า? และถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาก็อยากจะบอกเธอเหลือเกินว่าทำได้ยอดเยี่ยมมาก!

     

    เขาโกรธจนจะบ้าตายอยู่แล้ว!!!

     

     

    “เห็นมั้ย? พี่บอกแล้วว่างานนี้มีตะลึง ดูหน้าท่านสิ ตาจะหลุดออกจากเบ้าแล้วนั่น” เสียงของช่างแต่งหน้ากิตติมศักดิ์ทำให้เธอละสายตาจากใบหน้าบึ้งตึงของซาสึเกะ

     

                “อาจจะ... กำลังโกรธอยู่ล่ะมั้งคะ”

     

    ไม่ใช่ อาจจะหรอก เธอคิดในใจ แต่ โกรธไปแล้วต่างหาก...

     

                “ยะ...อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิคะคุณน้อง พี่ขนลุก” นีน่าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน สาวประเภทสองเอามือลูบๆขนในกายที่กำลังตั้งชันก่อนจะหันมาบอกสาวสวย

     

    “งั้นพี่ขอแยกตรงนี้เลยนะคะ ต้องไปสแตนด์บายเผื่อเจ้าสาวเจ้าบ่าวอยากเติมหน้า”

     

                “ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่... เอ่อ... พาไปแปลงโฉม” เธอว่าพร้อมกับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำเอาคนมองตะลึง...

     

                “พี่ยังหวังว่าจะได้แต่งหน้าเจ้าสาวนะคะ คุณน้องต้องเป็นเจ้าสาวที่สวยมากแน่ๆ พี่รับรอง”

     

    .

    .

    .

     

     

                “คุณช่างแต่งหน้าครับ พอดีว่าดอกไม้ประดับผมของเจ้าสาวมันหลุด ผมอยากให้ไปดูให้หน่อยน่ะครับ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียกคนที่กำลังเดินกลับไปที่ห้องแต่งตัว ทันทีที่ได้ฟังคำของอีกฝ่าย คนเป็นชายใจเป็นหญิงก็อุทานอย่างตกอกตกใจพลางเอ่ยขอโทษไปพลาง

     

                “ต๊าย! พี่ขอโทษค่ะที่ทำให้ไม่แน่นพอ”

     

                “ไม่เป็นไรครับ” นารูโตะว่า ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลมองไปยังร่างเล็กบางที่ยืนเหลอหลาอยู่ในงานก่อนจะหันมาถามคนที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบไปยังห้องแต่งตัวเจ้าสาว

     

    “เอ้อ ว่าแต่... คุณรู้จักผู้หญิงคนเมื่อกี้ด้วยเหรอครับ ผมเห็นคุยอะไรกันตั้งนานก็เลยไม่กล้ามาขัดจังหวะ”

     

                “อ๋อ~ คุณน้องซากุระ... หึๆ สวยใช่มั้ยล่ะคะ ค่ะ! พี่รู้จักดีเลยล่ะ เพราะเธอเป็นผู้หญิงคนแรกของท่าน” นีน่าตอบแบบไม่ใส่ใจ ไม่ทันฉุกคิดด้วยซ้ำว่าเผลอพูดอะไรที่ไม่ควรพูดไปเสียแล้ว

     

                “ท่าน?”

     

                “ก็ท่านซาสึเกะไงคะ ราชานรกเจ้าของธนาคารอุจิวะ”

     

                “!!!

     

                “ตายแล้ว! พี่ลืมสนิทว่าเรื่องนี้ต้องเป็นความลับ!” ดูเหมือนว่าเธอจะเพิ่งนึกได้ว่าเผลอบอกความลับของซาสึเกะให้คนนอกรู้เสียแล้ว ช่างแต่งหน้ามือโปรหันมาส่งสายตาอ้อนวอนแกมขอร้อง

     

    “ขอร้องนะคะคุณนารูโตะ เรื่องนี้ห้ามแพร่งพรายเด็ดขาด ไม่งั้นท่านเอาพี่ตายแน่”

     

    ร่างสูงได้แต่พยักหน้ารับคำ... แต่สติของเขาแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ศีรษะขาวโพลนไปหมดราวกับว่ามีใครมาลบล้างความคิดทั้งหมดไป เกิดความรู้สึกหนักอึ้งแผ่เข้ามาแทนที่

     

    เธอเป็น... ผู้หญิงของซาสึเกะ...

     

     

     

               

    อ้าว... รอบที่แล้วดูจะรีบพิมพ์เกิ๊น ลืมวงเล็บเป็น%ให้ ฮ่าๆๆ ความจริงตอนนี้ยาวค่ะ เป็นหนึ่งในตอนที่ยาวสุดๆเลยก็ว่าได้ เก๊าก๋อโต้ดนะที่ลืม T^T

    พิมพ์ไปก็แอบสงสารหนูกุ จุกหน่อยๆT^T หมั่นไส้อิเกะ เชอะ! ทำมาเป็นตะคอก แสดงดีเกินไปนะเอ็ง - - เห็นมีนักอ่านที่น่ารักรีเควสคู่ของนารุฮินะมา 555 ไรต์ก็กลัวถูกถีบนะเพราะจัดบทให้คู่นี้น้อยเหลือเกิน แต่ว่าเข้าใจเถอะค่ะเพราะทั้งเรื่องเลยมันจะเป็นเกี่ยวกับซาสึซากุ ส่วนนารุฮินะเรื่องรักคงไม่หวือหวาเท่าอีกสองคู่เพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นคนดีที่ดีมาก ทั้งฮินาตะ ทั้งนารูโตะ จะจัดบทให้บักโตะมันทรมานทรกรรมเกินไปก็สงสารมัน มันช้ำพอแล้ว คงต้องการคนปลอบมากกว่าคนซ้ำ (เอ้า สปอยล์-0-) เอาเป็นว่าขอรับรองด้วยเกียรติลูกเสือสำรองค่ะว่านารุฮินะจบแบบhappyแน่นอน ไม่ให้แฟนๆต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่าแน่ ^-^
     

    100%

               

                หลังจากที่นีน่าขอแยกตัวไปทำงานต่อ ซากุระก็รู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว...

    สายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องอยู่ที่เธอ หญิงสาวรู้สึกถึงสายตาโลมเลียแบบที่รู้สึกประจำตอนเป็นโคโยตี้ มัน... น่าขยะแขยง แต่ก็ยังมีดวงตาคู่หนึ่งที่มองเธอแตกต่าง ร่างบางรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากดวงตาคู่นั้น เธอไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองเสียด้วยซ้ำ...

     

    เขากำลังโกรธมาก...

     

    เธอรู้... และก็รู้สึกผิดที่ขัดคำสั่งเขาแบบนี้ แต่น่าแปลกเหลือเกินที่พอนึกถึงใบหน้าดุๆของเขาแล้ว เธอไม่มีความคิดที่จะเดินกลับไปเปลี่ยนชุดเลย กลับมีความรู้สึกอยากเอาชนะเขาเสียด้วยซ้ำไป

     

    เธอเอง...

     

    ก็กลายเป็นคนนิสัยเสียไปแล้วเหมือนกัน...

     

    ร่างบางพยายามเมินมองสายตาดุดันของเขาแล้วกวาดตามองหาคนรู้จักเพื่อจะได้ร่วมโต๊ะด้วย แต่ท่ามกลางแขกเหรื่อหลายร้อยคน การมองหาคนที่รู้จักนั้นทำได้ยากยิ่ง เธอเริ่มนึกถึงเพื่อนสาวที่มางานด้วยกัน ในใจก็ภาวนาขอให้ซาอิยอมปล่อยตัวเพื่อนรักคืนมาเสียเถอะ มิเช่นนั้นเธออาจจะจบด้วยการเดินคอตกกลับไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับบ้านก็เป็นได้

     

    แต่สุดท้ายคำภาวนาของเธอก็ไร้ผล เมื่ออิโนะส่งข้อความมาบอกว่าคงกลับมาที่งานไม่ได้อีกแล้ว ซากุระคอตก... เธอนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวอย่างสิ้นหวัง ดวงตาสีมรกตมองดูนักดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงแสนโรแมนติกอย่างเหม่อลอย ก่อนที่แสงไฟภายในห้องจัดเลี้ยงจะถูกหรี่ลงเพื่อเน้นจุดสว่างบนเวที จากนั้นชายคนหนึ่งซึ่งเธอจำได้ว่าเขาคือศิลปินที่กำลังโด่งดังก็ขึ้นมาร้องเพลงอวยพรคู่บ่าวสาวโดยมีเสียงดนตรีบรรเลงคลอเบาๆเคล้าไปกับบรรยากาศแสนหวาน

     

    ซากุระมองดูเด็กชายในอดีตของเธอกับเจ้าสาวของเขาที่บัดนี้ยืนอยู่บนเวทีอย่างชื่นชม... แม้ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เธอก็ดูออกว่าฮิวงะ ฮินาตะ คือผู้หญิงที่เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัตินานาประการ เธอคู่ควรกับผู้ชายใจดีและอบอุ่นอย่างนารูโตะอย่างไม่ต้องสงสัย หญิงสาวเชื่อว่าดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้นจะต้องทำให้ชายที่ได้มองหลงใหลคลั่งไคล้ได้เป็นแน่... พี่นารูโตะของเธอก็คงไม่ได้รับการยกเว้น

    ร่างบางระบายยิ้มกว้าง... ความรู้สึกยินดีที่มีต่อคู่บ่าวสาวช่วยกลบความรู้สึกแย่ๆที่เธอมีตั้งแต่เข้ามาในงานได้ ดวงตาคู่สวยมองร่างเล็กในชุดเจ้าสาวสีขาวแล้วพลันนึกถึงตัวเอง

     

    แต่งงาน...

     

    เธอเคยมีความคิดที่จะแต่งงานรึเปล่า?

     

                ซากุระถามตัวเองในใจ...

                แน่นอนว่าผู้หญิงทุกคนต้องใฝ่ฝันว่าตนจะได้ใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆกันทั้งนั้น ใฝ่ฝันว่าตนจะได้แต่งงานกับผู้ชายที่สมบูรณ์เพียบพร้อม มีครอบครัวและมีลูกๆที่น่ารัก... เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ความฝันเหล่านั้นถูกลืมไปเมื่อบิดาของเธอเสียชีวิตและเธอต้องดิ้นรนหาเงินเลี้ยงชีพ เธอไม่มีเวลาจะคิดเรื่องนี้อีก ไม่มีเวลาคิดเรื่องมีความรัก ในหัวของเธอมีเพียงเรื่องหาเงินกับเรื่องเรียนเท่านั้น

    แต่ตอนนี้ชีวิตของเธอสงบ... อาจเรียกว่าสงบและมีความสุขเลยก็ว่าได้ เธอกำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เธอไม่ต้องดิ้นรนหาเงิน เธอมีสามีที่น่ารัก และเธอก็รักเขามาก ความใฝ่ฝันว่าจะได้แต่งชุดเจ้าสาวกลับมาอยู่ในความคิดของเธออีกครั้ง แต่มันกลับไม่สำคัญเท่าเมื่อก่อน... เพราะเธอรู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการแต่งงาน...

     

    คือการได้อยู่กับคนที่รักต่างหาก...

     

                “ใส่ชุดแหวกซะขนาดนี้ ไม่กลัวจะเป็นหวัดบ้างหรือครับ? ผมขอเตือนไว้ก่อนนะว่าตอนนี้อากาศข้างนอกหนาวมาก”

     

                เสียงทุ้มนุ่มของใครคนหนึ่งดังแทรกความคิดของเธอ ร่างบางหันขวับไปยังต้นเสียง ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อรู้ตัวว่าตนเผลอมานั่งร่วมโต๊ะกับใครก็ไม่รู้ แสงไฟสลัวๆทำให้เธอมองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดแต่ก็พอจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ชาย

     

                “ขะ...ขอโทษนะคะที่ถือวิสาสะมานั่ง” เธอละล่ำละลักขอโทษ ใบหน้าแดงก่ำอย่างขัดเขิน เตรียมจะลุกไปที่อื่นแต่อีกฝ่ายกลับขัดไว้เสียก่อน

     

                “ไม่ต้องไปไหนหรอกครับ ตามสบายเลย โต๊ะนี้ผมนั่งคนเดียวอยู่แล้ว” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับหัวเราะเบาๆ เสียงของเขานุ่มน่าฟังเลยทีเดียว...

     

                “คุณดื่มมั้ยครับ?” เขาถามต่อ ทำท่าจะรินเครื่องดื่มให้เธอ หญิงสาวสั่นหัวปฏิเสธแทบไม่ทัน

     

                “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่ดีกว่า ฉันกลัวว่าจะหาทางกลับบ้านไม่ถูก”

     

                “หึๆ ผมว่าผู้ชายที่นี่มากกว่าครึ่งยินดีไปส่งคุณแน่” เขาพูดติดตลก แต่ประโยคนั้นกลับทำให้เธอขนลุกอย่างประหลาด หญิงสาวคิดว่าเธอควรจะไปเปลี่ยนชุดแล้วกลับบ้านเสียก่อนที่งานจะเลิก แต่ยังไม่ทันจะเลื่อนเก้าอี้ลุกขึ้น เพื่อนร่วมโต๊ะก็ลุกขึ้นก่อน เขาถือวิสาสะเดินเข้ามาประชิดตัวเธอ ซากุระสะดุ้งตกใจ ตั้งท่าจะร้องขอความช่วยเหลือด้วยคิดว่าอีกฝ่ายจะลวนลาม แต่เขาก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ทัน

     

                “คุณเป็นคนสวยครับคุณผู้หญิง ทั้งรูปร่าง ใบหน้า และก็ผิว... แต่ของสวยๆงามๆแบบนี้ผมว่าเก็บเอาไว้จะดีกว่า” สิ้นเสียงทุ้มน่าฟัง ร่างบางก็ต้องสะดุ้งอีกหนเมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อสูทของตนออกแล้วคลุมให้เธอ

     

                “อ๊ะ! คุณ!

     

                “ผมไม่ได้จะแต๊ะอั๋งคุณนะครับ แต่ผมทำเพื่อคุณต่างหาก” เขาเอ่ยเสียงราบเรียบ ไฟในห้องจัดเลี้ยงกลับมาสว่างไสวเหมือนเดิมหลังจากการอวยพรคู่บ่าวสาวบนเวทีจบลง ซากุระมองหน้าชายหนุ่มปริศนาชัดๆ...

     

    เขาเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว...

     

    เขามีผิวขาว... อาจจะขาวพอๆกับซาสึเกะเลยก็ว่าได้ ดวงตาคมสีโอปอลมีรอยคล้ำรอบๆ มันไม่ได้ดูน่าเกลียด แต่กลับเพิ่มความเท่บนใบหน้าหล่อเหลา ที่หน้าผากของเขาสักตัวอักษรคันจิสีแดงที่เขียนเป็นคำว่า รักเข้ากันกับเรือนผมสีแดงหม่นยิ่งนัก โดยรวมแล้วเขาเป็นผู้ชายที่เท่ ดุ แต่กลับมีน้ำเสียงชวนฟังและอบอุ่นผิดกับรูปลักษณ์

     

    ซากุระยังคงนั่งอึ้งแม้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะกลับไปนั่งประจำที่เดิมของเขาแล้ว ดวงตาสีโอปอลทอดมองเธอพร้อมกับยิ้ม

     

    “ผมไม่ปฏิเสธว่าคุณมีฟีโรโมนสูงมาก มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามอย่างไม่น่าเชื่อ และก็ไม่ปฏิเสธเหมือนกันว่าคุณใส่ชุดนี้แล้วสวยอย่างกับนางฟ้า แต่อย่าเอาตัวเองมาเป็นอาหารตาของคนในงานเลยครับ ไม่คุ้มหรอก” เขาเตือนก่อนจะยิ้มอ่อนใจ ร่างบางกระชับชุดสูทที่อีกฝ่ายเพิ่งคลุมให้เสียแน่น ปกปิดทรวงอกอิ่มให้พ้นจากสายตา

     

                “ฉัน... ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้น แต่ก็ขอบคุณค่ะ ขอบคุณมากที่เตือน และขอบคุณสำหรับสูท” เธอเอ่ยขอบคุณเขา รู้สึกเก้อเขินอยู่ไม่น้อยที่ทำอะไรไม่เหมาะสมจนต้องให้คนอื่นมาตักเตือน

     

                “ผมชอบสายตาแบบนี้แหละครับ น่ารัก

     

    !!!

     

    “แต่ก็น่าเสียดาย... ที่คุณมีเจ้าของแล้ว

     

    “คุณ!... รู้ได้ยังไงคะ!?!” เธอถาม ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก วูบเดียวก็เปลี่ยนเป็นเศร้าสลด

     

    ความสัมพันธ์...

    ต้องปิดเป็นความลับ...

     

    “ไม่... ไม่สิ ฉันไม่ได้... ฉันไม่ได้มีใคร” เธอเอ่ยเสียงเศร้า แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะในลำคออย่างขำขัน

     

    “หึๆ งั้นคงไม่เป็นไรสินะครับ ถ้าผม...อยากจะทำความรู้จักกับคุณ

     

    !!!

     

    ซากุระตามองสายตาไม่น่าไว้ใจของเขาอย่างหวาดๆ มือเรียวสวยกระชับเสื้อสูทให้แน่นกว่าเดิมเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าไม่มีส่วนใดๆที่เธอต้องการจะซ่อนโผล่พ้นเสื้อออกมาให้เห็น ความรู้สึกอึดอัดแผ่ขยายไปทั่ว... เธออยากจะหายไปจากตรงนี้เหลือเกิน!

     

    “คุณซากุระ!

     

    เสียงเรียกของใครคนหนึ่งช่วยชีวิตเธอเอาไว้...

     

    “คุณทนาย...” เสียงหวานพึมพำอย่างประหลาดใจเมื่อหันไปยังต้นเสียงแล้วพบเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของซาสึเกะเดินแกมวิ่งมาทางเธอ แต่เมื่อเขาเดินมาถึงโต๊ะที่พวกเธอนั่ง ความสนใจทั้งหมดกลับถูกเบนไปยังชายหนุ่มที่นั่งร่วมโต๊ะ

     

    “อ้าว...มางานนี้ด้วยเหรอครับ?” ทนายหนุ่มถาม ดวงตาสีน้ำตาลหม่นดูจะประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

     

    “ความจริงเขาเชิญคุณพ่อคุณแม่นะครับ แต่ทั้งสองท่านไม่ว่าง หวยก็เลยมาโดนที่ผม ที่จริงผมเองก็ยุ่งมาก ที่มานี่ก็หนีเวรมานะครับเนี่ย” อีกฝ่ายตอบติดตลกพร้อมกับหัวเราะเบาๆในลำคอ

     

    “มางานทั้งๆที่ยุ่ง...ผมเข้าใจดีเลยล่ะครับ “ ซาโซริพึมพำ ในใจก็นึกสาปแช่งไอ้เพื่อนตัวแสบที่บังอาจมาสั่งงานเขาในเวลาเร่งด่วน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนมีธุระสำคัญมากกว่าการมานั่งบ่นเรื่องของตัวเอง ดวงตาสีน้ำตาลหม่นหันขวับไปมองสาวสวยที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

     

    “คุณซากุระ! คุณรีบกลับบ้านกับผมด่วนเลยครับ!

     

    “มีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?” เธอว่า ใบหน้าฉายชัดไปด้วยความงุนงง

     

    “นี่คุณไม่รู้จริงๆเหรอครับ” ซาโซริพูดก่อนจะเอามือตบหน้าผากตัวเองแรงๆ

     

    “คุณกำลังทำเพื่อนผมบ้า มันก็เลยโทรหาผมยิกๆให้ผมมารับคุณกลับทั้งที่งานยังคามือผมอยู่เต็มเลย”

     

    !!!

     

    “โธ่! ไม่รู้เหรอครับคนสวยว่าไอ้คุณยอดเพื่อนของผมมันขี้หวงขนาดไหน คุณไม่น่าไปยั่วโมโหมันเลย” ร่างสูงตำหนิเธอไม่จริงจังนัก หญิงสาวก้มหน้างุดอย่างรู้สึกผิด

     

    “ขอโทษค่ะ...ที่ทำให้ลำบาก”

     

    “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ” ซาโซริเอ่ยเหมือนไม่ถือสา “ผมว่าเราไปกันเถอะ ก่อนที่เพื่อนผมจะทนไม่ไหวแล้วฆ่าคนที่กำลังมองคุณตาฉ่ำ”

     

    ซากุระลุกจากเก้าอี้อย่างว่าง่าย มือเรียวสวยเตรียมจะปลดสูทคืนเจ้าของแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือห้ามเสียก่อน

     

    “ไม่ต้องคืนหรอกครับ ผมให้ ถือว่าเป็นของที่ระลึก” เขาพูดพร้อมกับระบายยิ้มบาง คนเพิ่งมาใหม่มองหน้าสองหนุ่มสาวสลับกันไปมา ในใจชักจะสังหรณ์ไม่ค่อยดีแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร

     

    “งั้นผมขอตัวนะครับ หมอ ” ซาโซริหันไปพูดกับชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่ตำแหน่งเดิม ซากุระดูจะอึ้งไปเล็กน้อยกับคำเรียกนั้น เธอผงกศีรษะให้เขาเป็นเชิงลา ก่อนที่ทั้งร่างจะถูกทนายหนุ่มดึงไป

     

    ดวงตาสีโอปอลมองตามร่างเล็กบางที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปจากงานพร้อมกับยิ้ม...

     

    “หวังว่าจะได้พบกันอีกนะครับ...”

     

     

     

               

    บรรยายไปขนาดนั้นคงไม่ต้องเดาว่าหนุ่มปริศนาของเราคือใคร>< เปิดตัวตัวละครใหม่ อิอิ ทีแรกลังเลอยู่นานว่าจะใส่ดีมั้ยแต่สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวดึงพ่อทานุกิน้อยมาร่วมดีกว่า แต่ไรท์ก็มีเหตุผลนะเออ หุๆ เปิดฮาเร็มให้หนูกุ-0-( ไม่ใช่ละ) กลัวนางเอกจะไม่มีคนดูแลยาม... ไม่พูดดีกว่า สปอยล์มากไม่ดี๊ไม่ดี><  ตอนนี้เชื่อว่าทุกคนคงจะสนใจสภาพบักโตะหลังรู้ความจริงกับบทลงโทษของอิเกะแน่ๆ หึๆ -.,-

    บอกตามตรงว่าไรท์อยากแต่งncนะคะ ยังไงก็ต้องแต่งไปยัดตอนที่เขียนว่าว่างอยู่ดี แต่แบบว่า... ไม่มีฟีล ไม่มีฟีลเลย-0- ฉากncสูบพลังมากกว่าฉากธรรมดา ใช้จินตนาการระดับแอดวานซ์ แต่เอาเถอะค่ะ ถ้าฟีลมาเมื่อไหร่จะลงให้แน่นอน ทีนี้จะได้รู้กันว่าเกะมันไปจัดแบบไหนถึงทำให้หนูกุของเราถึงกับขยับไม่ได้ แอร๊ยยย เขิลลล>< (เขินทั้งที่ยังไม่ได้แต่งซักตัว-.-)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×