ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เล่ห์ราชา [END]

    ลำดับตอนที่ #32 : CHAPTER 26 : เงาร้ายที่คืบคลาน (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.1K
      122
      29 ม.ค. 58

    บทที่ 26 เงาร้ายที่คืบคลาน

     

     

                ภายในห้องคาราโอเกะในโรงแรมหรูระดับห้าดาวที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนนั่งโดดเดี่ยวอยู่บนโซฟากำมะหยี่สีน้ำตาล บนโต๊ะกระจกมีจานใส่อาหารหน้าตาน่ารับประทานวางอยู่เต็มโต๊ะ พร้อมกับเครื่องดื่มสีอำพันราคาแพงกับแก้วชุดที่เข้ากัน

     

                ดวงตาสีนิลลึกลับมองตรงไปยังชายที่นั่งสงบนิ่งไม่ไหวติงราวกับกำลังใช้ความคิด เรียวปากได้รูประบายยิ้ม... เป็นรอยยิ้มที่ร้ายกาจ...

     

                “แกมาช้าไปครึ่งชั่วโมงนะซาอิ”

     

                เป็นประโยคแรกที่ชายวัยกลางคนทักทายเขา...

     

                “ขอโทษครับ พอดีว่าผมติดธุระยุ่งๆนิดหน่อยก็เลยมาสาย” ร่างสูงเอ่ยแก้ตัวลวกๆก่อนจะนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ขออนุญาตอีกฝ่าย ดันโซชักสีหน้ากับความไร้มารยาทของคนหนุ่มกว่า แต่ด้วยรู้ดีว่าเจ้าของดวงตาสีนิลดูลึกลับเป็นคนแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาจึงไม่ถือสา...

     

    จะพูดให้ถูกก็คืออะไรพอยอมก็ยอมไปก่อน เพราะเขายังต้องกอบโกยผลประโยชน์จากความสามารถของชายหนุ่มตรงหน้าอีกเยอะ

     

    “ธุระของแก... คงหมายถึงผู้หญิงที่นอนรอแกอยู่บนห้องงั้นสิ?” คนแก่กว่าเอ่ยแซว ซาอิเพียงแต่หัวเราะ หึๆในลำคอเบาๆ

     

    “อย่าสนใจเลยครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบ ดวงตาสีนิลจ้องมองผู้อาวุโสกว่าอย่างรู้ทัน “แต่จะว่าไปคุณเองก็คงไม่อยากให้ผมมาเร็วเท่าไหร่นักหรอก ท่านรัฐมนตรีเพิ่งกลับไปไม่ใช่เหรอครับ”

     

                “หึ! รู้ด้วยเหรอ?” ดันโซว่าพร้อมกับแค่นหัวเราะ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยมีแววพึงพอใจอยู่ไม่น้อย

     

                “อย่าลืมสิครับว่าตอนนี้ผมควบคุมแผนกไอทีทั้งหมดของอุซึมากิคอร์เปอเรชัน แค่ข้อมูลจีพีเอสรถประจำตำแหน่งของรัฐมนตรีคาสึจิน่ะ ไม่เกินความสามารถของผมหรอก” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับรอยยิ้มภาคภูมิประดับที่มุมปาก...

     

                ใช่! นักศึกษาดีเด่นที่ได้ทุนไปเรียนต่อที่MIT สถาบันเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในโลกอย่างเขา ยอมตกลงมาทำงานที่บริษัทในประเทศทั้งๆที่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาหลายแห่งติดต่อให้ไปร่วมงานในตำแหน่งสูงๆ ทั้งหมดมันก็มีแค่เหตุผลเดียว...

     

    แทรกซึม...

     

                เป็นคำสั่งที่เขาได้รับมาจากดันโซ...

                ดันโซเป็นหนึ่งในนักธุรกิจที่มักจะเดินทางไปประเทศโน้นประเทศนี้เพื่อดึงเอาคนมีความสามารถมาเป็นพวก เส้นสายของชายวัยกลางคนผู้นี้อาจเรียกได้ว่าครอบคลุมในหลายทวีป และเขา... เป็นหนึ่งในเส้นสายพวกนั้น...

     

                ดันโซทาบทามเขาทันทีที่รู้ว่าเขาได้ทุนไปเรียนต่อที่MIT สายตาที่แหลมคมของคนมากประสบการณ์มองออกว่าเขาคือชายมากความสามารถที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ฝ่ายตนได้ ดันโซจึงดึงเอาเขาไปเป็นพวก... ส่งเสียเงินทองเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้เขาตลอดสามปีที่เขาเรียนที่นั่น จำนวนเงินนั้นมากพอที่จะทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ไม่ขัดสน และทำให้เขาเป็นคนที่เพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งมันสมอง รูปร่างหน้าตา และเงิน...

     

    และเพื่อแลกกับชีวิตที่หรูหรานั่น ซาอิต้องปฏิบัติตามที่ชายมากเล่ห์ผู้นี้สั่ง และเขาก็ไม่คิดว่ามันจะเสียหายอะไร...

     

    ดันโซเป็นเจ้าบุญทุ่มเสมอ

     

                “คิดไม่ผิดจริงๆที่ให้แกทำงานที่นั่น” ชายวัยกลางคนว่า ที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มแสนร้ายกาจ “หึ! แค่นี้ฉันก็เหมือนกุมชัยไปกว่าครึ่ง เพราะแกอยู่ในอุซึมากิ... เจ้าแห่งวงการไอทีที่แทบทุกบริษัทจะใช้โปรแกรมที่อุซึมากิผลิต มันถึงทำให้ฉันเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินของบริษัทพวกนี้ได้ง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก และที่ฉันสัมปทานเกาะชนะพวกอุจิวะได้ ต้องยกความดีความชอบให้แกคนเดียวจริงๆ ก็นะ... ใครมันจะไปคิดว่าราชาบ้าเลือดนั่นจะขนเงินไปประมูลตั้งสี่พันล้าน นี่ถ้าแกไม่บอกฉันคงไม่เตรียมหาเงินสำรองขนาดนั้นได้ทันหรอก”

     

                “หึๆ ผมก็แค่บอกข้อมูลนิดหน่อย เป็นฝ่ายคุณเองต่างหากที่นำมันมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะเจาะ” เขาตอบอย่างถ่อมตนพร้อมกับยิ้ม กึ่งชมอีกฝ่ายที่ก็ฉลาดและร้ายกาจไม่แพ้กัน

     

    “แล้วเป็นยังไงบ้างครับ ใบหน้าของราชายามพ่ายแพ้น่ะ คงน่าประทับใจน่าดูเลยสินะ” ซาอิถาม และก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นคำถามที่ถูกใจคนตอบเหลือเกิน ดันโซหัวเราะลั่นเสียงดัง มือตบเข่าฉาดอย่างพอใจ

     

                “ฮ่าๆๆ! ฉันอยากให้แกได้เห็นจริงๆ สีหน้าของไอ้เด็กนั่น เหมือนกับพวกหมาขี้แพ้ไม่ผิด คราวนี้ฉันว่าความน่าเชื่อถือของอุจิวะคงจะลดฮวบ คนต้องคิดว่ามันมีปัญหาด้านการเงินแน่ๆถึงได้สัมปทานแพ้ เหอะ! ธนาคารอันดับหนึ่งเหรอ? คงจะเหลือแต่ชื่อก็คราวนี้ล่ะ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยดูถูก ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มสีอำพันขึ้นจิบ

     

                “แต่ผมว่าอย่าประมาทดีกว่านะครับ” คนอาวุโสน้อยกว่าเอ่ยเตือน ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏร่องรอยของความกังวลใจ “การพ่ายแพ้ของราชาไม่ได้หมายความว่าอาณาจักรจะล่มสลาย ไหนจะยังมีอุจิวะ อิทาจิ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นความรุ่งโรจน์ของประเทศอยู่เบื้องหลังอีก ถ้าคุณผลีผลามทำอะไรตามใจตัวเองมาก ผมเกรงว่าจะเป็นฝ่ายเราที่แย่”

     

                “ฉันน่ะไม่ล้มง่ายๆหรอก” อีกฝ่ายบอกด้วยน้ำเสียงแสนมั่นใจ “ฉันคนนี้ ฟุเสะ ดันโซ คนที่พาธนาคารฟุวะที่อยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดเมื่อยี่สิบสองปีก่อนให้ผงาดขึ้นมาเป็นธนาคารชั้นนำได้ แกคิดว่าคนอย่างฉันจะแพ้ไอ้เด็กอมมือสองคนนั้นเหรอ”

     

                “หึๆ ผมรู้ครับว่าคุณน่ะเก่ง เอาเป็นว่าผมจะไม่สงสัยวิธีการทำงานของคุณก็แล้วกัน” ซาอิพูดพร้อมกับยักไหล่

     

                “ก็ควรจะเป็นแบบนั้น”

     

                “แล้วคุณคุยอะไรกับท่านรัฐมนตรีครับ ทำไมมันถึงได้นานนัก” เขาตั้งคำถาม ดวงตาคมมองนาฬิการาคาเหยียบล้านที่ข้อมือ “คงซัก... สองชั่วโมงได้”

     

                “แกรู้กระทั่งเวลาเลยสินะ”

     

    ซาอิไม่ตอบ เขาเพียงแต่ยกยิ้มที่มุมปากอย่างท้าทาย ใบหน้าที่หยิ่งผยองทำให้คนมองรู้สึกทั้งพอใจกึ่งไม่พอใจในที คนอายุมากกว่าถอนหายใจยาว พยายามไม่ถือสาความยโสโอหังของคนหนุ่ม น้ำเสียงทรงอำนาจเอ่ยต่อ

     

                “เจ้าคาสึจินั่นมาขอโทษขอโพยที่อนุมัติให้ภาครัฐไปขอกู้เงินจากอุจิวะแทนที่จะเป็นฟุวะ มันบอกว่าที่ประชุมเห็นชอบตามนี้และมันขัดไม่ได้” เสียงที่เล่าแสดงออกว่าขัดใจรุนแรง ดันโซแค่นหัวเราะอย่างสมเพชก่อนจะพูด “แต่ฉันว่าไม่ใช่หรอก ตอนนี้คาสึจิมันคงต้องการจะเอาใจอุจิวะเพราะอยากให้ลูกสาวตัวเองดองกับคนตระกูลนั้น ไอ้ราชานรก อุจิวะ ซาสึเกะนั่นน่ะ”

     

                สิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธปนไม่พอใจของดันโซ ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องก็ระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่นราวกับว่าตนเพิ่งฟังเรื่องเล่าที่ตลกที่สุดในชีวิต

     

                “ฮ่ะๆๆ เป็นถึงรัฐมนตรีแต่ก็คิดอะไรตลกๆเป็นเหมือนกันนะครับ ใครๆก็รู้ อุจิวะ ซาสึเกะเกลียดผู้หญิงยิ่งกว่าแมลงสาบ จะเอาลูกสาวตัวเองไปเสนอให้คนแบบนั้น บ้ารึเปล่า” ซาอิว่า พยายามกลั้นเสียงหัวเราะแต่ก็ทำได้ยากเต็มที

     

    มันจะมีเรื่องให้เขาขำยิ่งกว่านี้ไหม?

     

                “ฉันว่ามันก็ไม่แน่...” แต่ดูเหมือนว่าคนแก่กว่าจะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ดันโซยกมือลูบที่คางอย่างครุ่นคิด สีหน้าและแววตาแฝงไปด้วยนัยอะไรบางอย่าง

     

                “ตอนอยู่โอกินาว่า ฉันเห็นมันมองผู้หญิงคนนึง สวยเลยล่ะ แต่ผู้หญิงนั่นมากับอุซึมากิ นารูโตะ ซึ่งแกก็คงจะรู้จักดีเพราะมันเป็นเจ้านายของแก”

     

                “ก็... อาจจะแค่มองเฉยๆมั้งครับ หรือไม่ก็กำลังมองเจ้านายผม พวกเค้าเป็นคู่แข่งกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่อเมริกา ผมว่าคิดแบบนี้จะดูเข้าท่ามากกว่านะครับ”

     

                ซาอิเอ่ยอย่างใจเย็น เขาปฏิเสธข้อสันนิษฐานที่ดูห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างลิบลับของดันโซและก็คิดว่าอีกฝ่ายคงคล้อยตาม แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด...

     

                “ฉันก็คงจะคิดเหมือนแก ถ้าเมื่อสองเดือนก่อนฉันไม่เห็นเจ้าอิทาจิมันขับรถมาส่งผู้หญิงคนนั้น... ที่หน้าบริษัทอุซึมากิน่ะ”

     

                “!!!

     

                “ตอนนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็ชักไม่แน่ใจ ฉันว่าผู้หญิงคนนั้นกับสองพี่น้องอุจิวะต้องเกี่ยวข้องอะไรกันแน่” คำพูดนั้นทำเอาผอ.คนเก่งถึงกับขมวดคิ้ว

     

                “ถ้าคุณแน่ใจขนาดนั้น ทำไมไม่ลองให้คนสืบดูล่ะครับ เผื่อจะรู้อะไรบ้าง”

     

                “ตอนนี้คงยังไม่ได้ พวกอุจิวะหูตาไวอย่างกับสับปะรด ถ้าขืนไปสืบสุ่มสี่สุ่มห้าพวกมันคงรู้ตัวก่อนพอดี และช่วงนี้ฉันคงไม่มีเวลาไปใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก มันไม่จำเป็นต้องใส่ใจ... เพราะฉันคงไม่จนตรอกจนถึงกับต้องใช้ วิธีนั้น

     

                “ วิธีนั้น?” ร่างสูงทวนคำ ใบหน้าหล่อเหลาเครียดเขม็งและเต็มไปด้วยความสงสัย

     

    ยังมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรของชายคนนี้ที่เขายังไม่รู้?

     

                “แกไม่ต้องรู้หรอก” ดันโซบอกปัด ปิดโอกาสไม่ให้เขาถามอะไรต่อ

     

    “แต่มาคิดดูอีกทีผู้หญิงคนนั้นก็ทำงานที่เดียวกับแก ทำไมแกไม่สืบให้ฉันเองเลยล่ะ ค่าตอบแทนฉันจะให้เพิ่ม แต่ว่าขอข้อมูลแบบละเอียดๆ แกจะรับงานนี้มั้ย?” เสียงคนแก่กว่าถาม ในดวงตาที่ดูร้ายกาจมีประกายแห่งความหวัง...

    หวังว่าจะได้ล่วงรู้ความลับที่สองพี่น้องอุจิวะปิดบังไว้!

     

                “จะเอาอย่างนั้นจริงๆเหรอครับ ถ้าเผื่อว่าผู้หญิงคนนี้ไม่เกี่ยวอะไร ผมว่าคุณจะเสียเงินฟรี”

     

                “ฉันมีเงินมากพอหรอก!” ชายวัยกลางคนตวาด ซาอิได้แต่ยิ้ม...

     

    “คืนนี้แกส่งไฟล์ข้อมูลพนักงานมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันจะบอกแกเองว่าคนไหน”

     

                “ตามใจครับ ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าพวกอุจิวะรู้ตัวล่ะจะว่าไง เรื่องที่ผมกับคุณมีความเกี่ยวข้องกันมันยังเป็นความลับนะครับ”

     

                “คนอย่างแกคงไม่โง่พอให้ถูกจับได้หรอก” ดันโซเอ่ยเสียงเรียบ

     

                “หึๆ ขอบคุณที่ชมครับ” ซาอิพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ แววตาของเขาวาววับราวกับอสรพิษร้าย...

     

    “แล้วผมจะตั้งใจทำงาน”

     

     

    .

    .

    .

     

     

                ซากุระลืมตาตื่นเพราะแสงอ่อนๆของดวงอาทิตย์ที่ลอดผ่านผ้าม่านสีครีมส่องเข้าที่ตาของเธออย่างจัง เธอครางงึมงำเสียงงัวเงียจนใครอีกคนที่ยืนอ่านสัญญาเงินกู้ของธนาคารอยู่ใกล้ๆได้ยิน

     

                “ตื่นแล้วเหรอ วันนี้เธอตื่นสายนะ”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยถาม เขาหันหลังให้เธอเพราะกำลังสนใจแฟ้มเอกสารในมืออยู่ ซากุระกระพริบตาปริบๆมองดูร่างสูงสง่าของเขาอย่างไม่วางตา วันนี้ซาสึเกะก็ยังคงแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำสนิทดูเรียบหรู ทั้งสูทและกางเกงสแล็คไม่มีแม้แต่รอยยับซักรอย... ทรงผมชี้ๆของเขาถูกเก็บเสียเรียบด้วยอานุภาพแห่งสเปรย์จัดทรง  

     

    เขายังคงเนี้ยบทุกกระเบียดนิ้ว...

     

                “คุณจะไปทำงานเหรอคะ? ฉันจำได้ว่าวันนี้วันอาทิตย์นี่คะ”

     

                “ฉันไม่เคยมีวันหยุด เธอไม่รู้เหรอ” เขาตอบ ก่อนจะวางแฟ้มเอกสารไว้บนโต๊ะแล้วย่างสามขุมมาหาเธอที่เตียง หญิงสาวเริ่มหายใจติดขัด... ใบหน้าที่ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ของเขาทำเอาปากเธอสั่นไปหมด

     

                “กะ...ก็... ทราบค่ะ”

     

                “หรืออยากจะให้ฉันอยู่ด้วย?” คนตัวสูงพูดพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาดูกรุ้มกริ่มแพรวพราวแปลกๆ ซากุระพยายามกระถดตัวหนี...

     

                “ปละ...เปล่าค่ะ คุณไปทำงานเถอะ ฉัน...โอ๊ย!” พูดยังไม่ทันจบประโยคดีเธอก็ต้องร้องออกมาเมื่อจู่ๆความเจ็บปวดบริเวณท้องน้อยทำเอาเธอจุกไปหมด หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น...

     

    ทำไมถึงเจ็บขนาดนี้?

     

                “ว่าแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้” เสียงทุ้มเอ่ยพลางถอนหายใจยาว “ฉันว่าเธอคงขยับตัวไม่ได้พักใหญ่เลยล่ะ ขอโทษทีนะที่เมื่อคืนหนักมือไปหน่อย ฉันลืมไปว่าเธอตัวเล็กแค่นี้เอง”

     

                แม้ปากจะพูดเหมือนรู้สึกผิด แต่สายตาขำขันนั่นมันตรงข้ามกันชัดๆ! ร่างบางย่นจมูก... อยากจะมุดหน้าซุกไปกับผ้าห่มผืนใหญ่เหลือเกิน

     

    หนักมือไปหน่อย

     

                เขาพูดออกมาได้อย่างไร สำหรับเธอนั่นไม่เรียกว่า หน่อยแล้วล่ะ แต่ มากเลยต่างหาก แค่คิดถึงค่ำคืนที่ผ่านมาใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าว...

     

    ซาสึเกะเป็นคนแข็งแรง...

    เขาแข็งแรงมากจริงๆ...

     

                ถึงจะบอกว่าเป็นมือใหม่ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว แต่สำหรับเธอเขาเชี่ยวชาญมากเกินไปด้วยซ้ำ เขาดึงเธอให้เข้าไปอยู่ในโลกของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า... หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน... เขาฟื้นตัวได้เร็ว ร่างกายตอบสนองกับความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างดีเยี่ยม เธอตกอยู่ภายใต้การชักนำของเขาอย่างว่าง่าย ตอบสนองเขาด้วยความไม่ประสีประสา แต่เขาก็สอนเธอกลับอย่างเหนือชั้น เล่นเอาเธอแทบขาดใจตายอยู่หลายครั้ง...

     

                นานเท่าไหร่ไม่รู้กว่าบทเพลงรักแสนหวานของเธอกับเขาจะจบลง แต่ในความรู้สึกของเธอมันนานมาก... และก็คงจะนานกว่านี้แน่ถ้าเธอไม่ขอร้องให้เขาหยุดเสียก่อน ร่างบางคิด...ขนาดเขายังใช้แรงไม่หมดยังทำให้เธอช้ำเสียขนาดนี้ ถ้าเธอยอมตามใจเขาจนเขาหมดแรงไปเอง เธอไม่อยากจะเดาเลยว่าตัวเองจะอยู่ในสภาพไหนกัน?

     

                “กำลังคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่ใช่มั้ย?” เขาถาม เสียงนั้นดูออกชัดเจนว่ากำลังกลั้นหัวเราะอยู่

     

                “คะ...คุณเงียบไปเลยนะคะ!” เธอแหวใส่เสียงดัง ใบหน้างามแดงเรื่อราวกับลูกตำลึงสุก

     

                “หึๆ” เขาหัวเราะเสียงเจ้าเล่ห์ ดวงตาคมมีประกายระยิบระยับ

     

    “แล้วเธอจะเอายังไง”

     

                “ เอายังไง... อะไรคะ?”

     

                “ก็เธอน่ะ อยู่ในสภาพแบบนี้คงลุกไปอาบน้ำเองไม่ไหว จะมานอนเน่าอยู่บนเตียงของฉันไม่ได้นะ” เขาว่า ยิ่งขับใบหน้าของเธอให้แดงเข้าไปใหญ่ ร่างบางพิจารณาคำพูดของเขาดูแล้วก็พบว่ามันเป็นความจริงเลยทีเดียว ตัวเธอในตอนนี้ขยับเขยื้อนแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความเจ็บร้าวระบมทำให้เธอทำได้เพียงนอนนิ่งๆเท่านั้น ซากุระมองใบหน้าหล่อเหลาของคนต้นเหตุ... ใบหน้านั่นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด เธอคงต้องพูดอะไรซักอย่าง...

     

                “ว่าไง”

     

                “ก็... เอ่อ... เดี๋ยวก็คงหายมั้งคะ ว้าย!

     

                ดูเหมือนร่างสูงไม่คิดจะฟังคำพูดของเธอเลย เพราะจู่ๆเขาก็สอดมือช้อนตัวเธอขึ้นอุ้มแบบไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว มือเรียวเล็กโอบรอบคอของอีกฝ่ายแทบไม่ทัน ผ้าห่มผืนหนาที่เคยคลุมกายร่วงลงไปกองกับเตียง เผยให้เห็นสัดส่วนสมบูรณ์แบบที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆปกปิด ผิวกายผุดผ่องที่บัดนี้มีรอยแดงเป็นจ้ำอยู่ทั่วปรากฏแก่สายตา...

     

    ซาสึเกะพยายามจะไม่มองเรือนร่างเปลือยเปล่าในอ้อมแขน แต่เขาจะทำได้อย่างไร... ในเมื่อลูกกลมๆขนาดใหญ่พิเศษสองลูกมันกระเพื่อมขึ้นลงล่อสายตาเขาเสียขนาดนี้!

     

    ร่างสูงเผลอจ้องอยู่เสียนานจนเจ้าของ ลูกกลมๆอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดิน หญิงสาวซุกใบหน้าแดงก่ำไปที่แผ่นอกกว้าง ขยับตัวยุกยิกเพื่อซ่อนทรวงอกอวบอิ่มให้พ้นจากสายตาแพรวพราวคู่นั้น แต่เธอก็หารู้ไม่... ว่ายิ่งขยับตัวซ่อนไอ้เจ้าสิ่งนั้นมากเท่าไร สิ่งที่เธอต้องการจะซ่อนก็ยิ่งบดเบียดแผ่นอกแกร่ง เพิ่มความร้อนระอุในกายของเขามากเท่านั้น

     

                “ตะ...ตอนเจ็ดโมงครึ่งพ่อครัวจะเอาอาหารเช้ามาส่ง และฉันก็คงปล่อยให้เธอนอนอยู่แบบนี้ไม่ได้” เขาเอ่ยเสียงสั่น ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำจนถึงใบหู ในหัวพยายามคิดถึงเรื่องงานที่เขาต้องทำในวันนี้ แต่มันก็ช่างทำได้ยากเย็นเหลือเกินเพราะภาพค่ำคืนแสนหวานที่ผ่านมามันยึดพื้นที่ให้หัวของเขาไปเสียหมด

     

    ให้ตายสิ! ตอนนี้เขาอยากทำ อย่างอื่นมากกว่าสนใจไอ้งานบ้าๆนั่นซะอีก!!!

     

                “ถ้าคุณกลัวว่าใครจะเห็น ฉันจะนอนอยู่บนนี้เงียบๆค่ะ เอาผ้าห่มมาคลุมโปงก็ได้ และก็จากตรงนี้ คนข้างล่างมองไม่เห็นเตียงของคุณหรอก” ร่างเล็กในอ้อมแขนเอ่ยอย่างใจเย็น การถูกเขาอุ้มด้วยสภาพแบบนี้มันไม่ปลอดภัยเลยสักนิด ทางที่ดีเธอควรกล่อมให้เขาวางเธอลงเหมือนเดิมแล้วรีบๆไปทำงานจะดีกว่า

     

                “เธอจะบ้ารึไง!?!” เขาตวาดเสียงดังจนเธอสะดุ้ง นอกจากจะไม่เออออตามเธอแล้วเขายังมีท่าทีโกรธขึงตามมาเป็นของแถม

     

                “เธอนอนอยู่บนนี้! ทำหน้ายั่วยวนน่ากินแบบนี้ คิดว่าฉันจะยอมปล่อยให้ใครมาเห็นรึไง!?!

     

                “กะ...ก็ไม่ได้เห็นนี่คะ” เธอว่าเสียงอ่อย พยายามจะให้เขาสงบสติอารมณ์ลง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะคิดผิด...

     

                “ไม่ได้! ฉันไม่ยอม! เมียฉัน ฉันต้องมองได้คนเดียว คนอื่นห้าม!

     

    ซาสึเกะสติแตกไปเรียบร้อยแล้ว...

    เขาอุ้มเธอแล้วเดินดุ่มๆไปที่ห้องน้ำ ร่างสูงใช้อวัยวะเบื้องล่างแทนมือที่ไม่ว่างเปิดประตูห้องน้ำด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์อย่างที่สุด

     

    นอนอยู่บนนี้เงียบๆ ?

     

    เหอะ! พูดอะไรไม่คิด! นี่เจ้าหล่อนไม่รู้เลยรึไงว่าต่อให้ไม่เห็นหน้าแถมคลุมด้วยผ้าห่มหนาเป็นสิบๆชั้นมันก็กลบกลิ่นกายหอมยั่วยวนของตัวเองไม่ได้น่ะ เธอเป็นสมบัติของเขา... เขาไม่อยากให้ใครได้เห็น ไม่อยากให้ใครได้กลิ่น...

     

    เขาหวง!

     

                พอเห็นท่าทางหงุดหงิดของคนอุ้ม คนถูกอุ้มก็อมยิ้มกับอาการ หวงที่ดูจะมากเกินไปของคนเป็นสามี นึกแล้วก็อดค่อนขอดเจ้าตัวไม่ได้ ถ้ากลัวคนอื่นจะมาเห็นขนาดนั้นทำไมเขาไม่ทำห้องนอนให้มันมิดชิด ห้องนอนไร้ผนังที่เปิดกว้างจนเห็นเกือบทุกซอกทุกมุมของบ้านแบบนี้ทำให้เธอระแวงจริงๆ

     

    ยิ่งตอนที่เธอกับเขา...

    มันก็ยิ่งน่าระแวงว่าจะมีใครมาเห็น

     

                “อ๊ะ! คุณจะทำอะไรคะ” หญิงสาวร้องอุทานออกมาเมื่อร่างสูงวางเธอบนขอบอ่างอาบน้ำ ก่อนจะถอดสูทกับเสื้อเชิ้ตสีเดียวกันออกเหลือแต่เสื้อกล้ามสีขาวที่ยังปกปิดซิกแพ็คสวยๆของเจ้าตัว

     

                “อาบน้ำ” ซาสึเกะตอบเสียงเรียบ ไฟปรารถนาที่ดับไปเพราะความหงุดหงิดเมื่อครู่กลับมาแล้ว... ร่างสูงพยายามระงับอารมณ์ เขาเปิดน้ำใส่อ่างพร้อมเทครีมอาบน้ำลงไป

     

                “ฉันจะอาบให้ เธอในสภาพนี้คงทำอะไรไม่ได้”

     

                “!!!

     

                “เสื้อผ้าของเธอฉันให้คนไปซื้อมาใหม่แล้ว แต่มันก็คงแค่พอใส่แก้ขัด ยังไงวันนี้ฉันจะกลับเร็วก็แล้วกัน ตอนเย็นค่อยไปเอาของของเธอด้วยกัน”

     

                “ฉันว่าฉันอาบเองได้ค่ะ มัน...ไม่เป็นไรแล้ว...กรี๊ด!!!” หญิงสาวพยายามปฏิเสธ แล้วก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาดังๆเมื่อเขาอุ้มเธอวางลงในอ่างที่ระดับน้ำสูงประมาณครึ่ง แรงสะเทือนตอนที่ร่างของเธอกระแทกกับพื้นอ่างทำเอาความเจ็บปวดที่ได้จากเมื่อคืนแล่นขึ้นมาเป็นริ้ว

     

    มันเจ็บยิ่งกว่าครั้งแรกซะอีก!

     

                ซาสึเกะมองร่างเล็กในอ่างที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เข้าไปทุกทีอย่างอ่อนใจ

     

                “เลิกทำตัวเป็นเด็กอวดดีซักทีเถอะ” เขาดุ  

     

    “ฉันเป็นคนทำฉันรู้ดี และถ้าขืนเธอยังโวยวายมากกว่านี้...ฉันรับรองว่าไม่จบแค่อาบน้ำแน่!

     

     

    .

    .

    .

     

     

                ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลทอดมองออกไปยังถนนสายหลักที่พลุกพล่านไปด้วยรถรา เขามองเลยไปยังลานกว้างหน้าห้างสรรพสินค้าที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เดินสวนกันไปมาขวักไขว่ บางคนเดินอย่างเร่งรีบ บางคนเดินเอื่อยๆสบายๆ บางคนเดินคนเดียว... บางคนเดินเป็นกลุ่ม ในขณะที่บางคนเดินกันเป็นคู่...

     

                นัยน์ตาคมสะดุดที่คู่รักคู่หนึ่งที่ไม่ได้จูงมือกันเดินเล่นเหมือนคู่อื่น หากแต่พากันนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาวตรงลานกว้าง ทั้งสองคุยอะไรกันสักอย่าง ก่อนที่ฝ่ายชายจะนั่งยองๆที่พื้น มือทั้งสองจับขาข้างหนึ่งของแฟนสาวแล้วออกแรงบีบนวด ใบหน้าของชายหนุ่มดูกังวลและร้อนใจ เขาพูดบางอย่างกับหญิงสาวก่อนจะนวดที่ขาของเธอต่อ

     

                ภาพนั้นทำให้ชายนั่งเหม่ออยู่ในร้านเวดดิ้งสตูดิโอชื่อดัง รู้สึกเจ็บแปลบในใจ ความทรงจำในอดีตที่ประทับแน่นในใจย้อนกลับเข้ามาในหัว...

     

    เขาก็เคยทำแบบนั้นเหมือนกัน... กับใครคนหนึ่ง ที่รัก...สุดหัวใจ

     

                “คุณเจ้าบ่าวคะ เจ้าสาวเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วค่ะ” เสียงของพนักงานในร้านทำให้คนกำลังรำลึกความหลังหลุดจากห้วงแห่งความฝัน นารูโตะเบือนหน้ากลับมาเผชิญกับความเป็นจริงอีกครั้ง...

     

                ร่างบางเจ้าของนัยน์ตาสีมุกยืนยิ้มเกร็งๆให้เขา... เธออยู่ในชุดเจ้าสาวสีขาวที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้เล็กๆดูน่ารัก ผมยาวสีครามเข้มค่อนไปทางดำถูกมัดรวบไว้ด้านหลัง ใบหน้าของเธอสวยหวานราวกับเทพธิดา...

     

    เธองดงาม...ราวกับเยื้องกรายออกมาจากภาพวาดวิจิตร...

     

                “ฉะ...ฉัน... ดูแปลกๆมั้ยคะ?” เสียงเล็กใสปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ นารูโตะกระพริบตาถี่ๆพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกทึ่งในความงามของหญิงสาว ร่างสูงระบายยิ้ม...

     

                “ไม่เลยครับ ฮินะจังสวย... สวยมาก” เขาชม และก็ไม่ได้ชมเกินความจริงเลยสักนิด

     

                “จะ...จริงเหรอคะ ทีแรกฉันว่าชุดนี้มัน...โป๊ไปนิด” คนถูกชมเอ่ยก่อนจะก้มหน้างุด เป็นครั้งแรกที่เธอสวมชุดที่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งขนาดนี้ ชุดเจ้าสาวแสนสวยที่เธอกำลังใส่แม้จะไม่ใช่ชุดเกาะอกหากแต่ก็เปิดช่วงคอเสียลึก เผยให้เห็นเนินอกอิ่มที่แทบทะลักออกมานอกชุด นารูโตะที่เห็นท่าทีขัดเขินของคนตรงหน้าลอบระบายยิ้มบาง เขาก้าวเข้าไปหาว่าที่เจ้าสาวของตัวเองก่อนจะวางมือลงบนศีรษะอีกฝ่าย

     

                “ฮินาตะสวยมากครับ เป็นเจ้าสาวที่สาวที่สุดเท่าที่พี่เคยเห็น”

     

                “พี่นารูโตะ...” เธอเรียกชื่อเขาเบาๆ ดวงตาคู่สวยฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด

     

                “ตกลงของผมเอาชุดนั้นครับ” ร่างสูงหันไปพูดกับพนักงานสาวที่ยืนหน้าแดงกับฉากหวานๆเมื่อครู่ เขาชี้ไปยังชุดสูททักซิโด้ที่พนักงานอีกคนถืออยู่

     

    “แล้วฮินะจังชอบชุดนี้มั้ยครับ?” เขาหันมาถามหญิงสาวที่ยืนเหม่อ

     

                “คะ?”

     

    “พี่ถามว่าชอบชุดเจ้าสาวที่ใส่อยู่รึเปล่า?”

     

    “ชะ...ชอบค่ะ” ร่างบางตอบออกไปด้วยเสียงสั่นๆ หัวใจดวงน้อยเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เธอกับเขากำลังจะแต่งงานกัน...

     

    นี่มันความฝันหรือความจริง?

     

                “งั้นชุดบ่าวสาวก็เอาตามนี้แหละครับ ของชำร่วยก็เหมือนที่เราตกลงกันไว้ ถ้ามีปัญหาอะไรให้ติดต่อผม ผมทิ้งนามบัตรเอาไว้ให้แล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ” เขาสั่งเสียงรัวและเร็วก่อนจะหมุนตัวตั้งท่าจะเดินออกจากร้านไป

     

                “พี่นารูโตะคะ...”

     

    เสียงหวานเรียกเขา...

    ดวงตาคู่สวยฉายแววประหลาดใจปนเศร้าไปในที นารูโตะหันหลังกลับมามองเจ้าสาว ของเขาด้วยแววตารู้สึกผิด... เขายิ้มให้เธอ...

     

                “พี่ขอโทษนะฮินะจัง พี่ต้องกลับไปเคลียร์งาน หลายวันมานี้เราก็วุ่นๆอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานพี่ก็เลยไม่ได้แตะงานที่บริษัทเลย พี่โทรบอกเนจิไว้แล้ว อีกเดี๋ยวมันก็คงมารับ อยู่คนเดียวซักประเดี๋ยวนะครับคนดี” ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เขายังคงยิ้ม...

     

                ฮินาตะยิ้มตอบ เธอพยักหน้าให้เขาอย่างเข้าใจ ดวงตาสีมุกมองร่างสูงสง่าที่ก้าวเดินอย่างเชื่องช้าไปจนลับตา หยดน้ำสีใสไหลออกมาจากนัยน์ตาคู่สวย...

     

    การแต่งงานครั้งนี้...

     

    เขาทำไปก็เพื่อรับผิดชอบ...

    ทำไปก็เพื่อรักษาเกียรติของเธอ...

    ทำไป...เพราะความจำใจ...

     

                ถึงสุดท้ายเขาจะต้องแต่งงานกับเธอ... แต่ความจริงก็คือ...

     

    เธอ...ไม่ใช่คนที่เขารัก...

     

                “อย่าหักโหมมากนะคะพี่นารูโตะ” เธอพึมพำออกมาทั้งน้ำตา พูดออกไป... แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้อยู่ฟังแล้วก็ตาม...

     

    ...ฉันเป็นห่วง...

     

     

     

     

                บักโตะเอ๊ย!!! ฉันรู้สึกจุกแทนฮินาตะ สงสารง่ะ T___T 

                ส่วนไอ้เป็ด... แก ถนอมๆหนูกุของฉันหน่อย จะหื่นยังไงก็เบาๆบ้าง เล่นเอาซะนางเอกขยับเขยิบไม่ได้นี่หนักแล้วนะโว้ย >___< รู้สึกช่วงนี้จะชอบเขียนแต่ฉากแบบนี้นะ หุๆ (ช่วงนี้ไรท์หื่นนน-.,-)

                และซาอิ โหงวเฮ้งเอ็งมันตัวร้ายชัดๆ - -

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×