คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #28 : CHAPTER 24 : ความในใจ (100%)
บทที่ 24 ความในใจ
“คุณ...อุจิวะ ซากุระ ที่นัดกับคุณหมอกาอาระเอาไว้ใช่มั้ยคะ?”
“เอ่อ...เปล่าค่ะ ฉันนัดกับคุณหมอซึนาเดะไว้ค่ะ ไม่ใช่คุณหมอกาอาระ...”
“ค่า แต่คุณหมอซึนาเดะติดงานที่ต่างประเทศก็เลยโอนเคสมาให้คุณหมอกาอาระค่ะ เรื่องนี้ทางโรงพยาบาลได้แจ้งกับทางฝ่ายสามีของคุณแล้วนะคะ”
“ระ...เหรอคะ”
“ ...อืม... แต่ว่าคุณอุจิวะ ซาสึเกะสามีของคุณโทรมายกเลิกนัดไปแล้วนี่คะ”
“อะไรนะคะ!?!”
“สามีของคุณ...เอ๊ะ! อุจิวะ ซาสึเกะ...หรือว่า...”
ซากุระไม่ได้หยุดฟังต่อว่าพยาบาลพูดอะไรหลังจากนั้น เธอรีบเดินออกมาจากตรงนั้นทันทีด้วยความเร็วเท่าที่ขาทั้งสองข้างจะเอื้ออำนวย เธอไม่อยากตอบคำถามอะไรที่คล้ายๆกับ ‘สามีของคุณ ใช่คุณอุจิวะ ซาสึเกะ เจ้าของธนาคารอุจิวะรึเปล่า?’ เธอไม่อยากตอบ... เพราะไม่รู้จะตอบยังไง นามสกุลของเธอเป็นนามสกุลเขาก็จริง ในใบทะเบียนสมรสระบุว่าเขาเป็นสามีของเธอก็จริง แต่ตัวเธอเองรู้ดีที่สุด...
ทุกอย่าง...มันก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งเท่านั้น
ความจริงคือเธอกับเขา...
ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย
จะมีความเกี่ยวพันกันก็แค่...
นายจ้าง...กับลูกจ้างเท่านั้น
“มาทำธุระอะไรแถวนี้?” เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นในขณะที่เธอปล่อยให้ความคิดหลงทางไปไกล ร่างบางหันขวับไปยังต้นเสียงก็พบกับร่างสูงสง่าของชายเจ้าของดวงตาสีนิลกำลังมองมาทางเธอด้วยท่าทางประหลาดใจ
“รุ่นพี่ซาอิ!”
“หรือว่ามาโรงพยาบาล?”
“คะ..ค่ะ ฉันเป็น...เป็นไข้หวัดนิดหน่อยค่ะ แล้วรุ่นพี่ซาอิมาทำอะไรแถวนี้คะ มาโรงพยาบาลเหมือนกันเหรอ?” เธอถามกลับ พยายามเบี่ยงประเด็นไม่ให้อีกฝ่ายซักไซ้ถามเรื่องอาการป่วยจอมปลอมของตัวเอง
“เปล่าหรอก ฉันมีนัดกับลูกค้าที่บริษัทแถวนี้น่ะ กำลังจะกลับอยู่พอดี” ร่างสูงพูดพร้อมกับชูกระเป๋าเอกสารให้เธอดูเพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่ามาทำงานจริงๆ หญิงสาวที่ได้เห็นดังนั้นถึงกับอมยิ้ม
“ขนาดวันหยุดแบบนี้ยังมาทำงาน ขยันเหมือนกันนะคะรุ่นพี่”
“ไม่ได้ขยันอะไรหรอก แต่มันเลี่ยงไม่ได้ต่างหาก ความจริงแล้วงานนี้คนที่จะต้องมาก็คือท่านประธาน แต่ก็อย่างที่รู้ คุณนารูโตะขอหยุดยาวจนถึงอาทิตย์หน้า ฉันก็เลยต้องมาแทน”
ประโยคของชายหนุ่มรุ่นพี่ทำให้คนที่กำลังยิ้มอยู่หน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด... ตั้งแต่วันนั้น มันก็ผ่านมาสามวันแล้ว... สามวันแล้วที่เธอปฏิเสธเขาไป ซากุระเริ่มใจคอไม่ดี ท่านประธานของเธอไม่ได้มาที่บริษัท ติดต่อก็ไม่ได้ มีแต่จดหมายลางานที่เขาสั่งให้คนทางบ้านเอามาส่งที่บริษัท เนื้อความบอกแค่ว่าขอลาหยุดจนถึงวันจันทร์ ไม่มีหมายเหตุบอกว่าขอลาหยุดไปเพื่ออะไร แต่เธอเองก็พอจะรู้
มันอาจจะเป็นเพราะเธอ...
เธอเกือบทำให้เขาผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรต้องมาตกกระไดพลอยโจรมาเป็นเครื่องมือที่เธอใช้เพื่อหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับซาสึเกะ เกือบทำให้เขาต้องทนทุกข์ใจมากกว่าเดิม แต่ก็ยังดีที่เธอรู้ตัวทัน... ยังดีที่เธอรู้ตัว...ว่าเขาเองก็มีหัวใจ การใช้คนที่มีหัวใจเป็นเครื่องมือ...
เป็นเรื่องที่โหดร้าย...
“เธอพอจะรู้รึเปล่าว่าคุณนารูโตะเขาเป็นอะไร?” เสียงนิ่งๆของซาอิดังแหวกโสตประสาทเข้ามา ซากุระหันมองชายหนุ่มรุ่นพี่ด้วยแววตาแสนเศร้าก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะก้มหลุบต่ำ
“ไม่ทราบค่ะ...” เธอตอบเสียงอ่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองคงถูกอีกฝ่ายเล่นงานเข้าเสียแล้ว
“ละ...แล้วทำไมฉันต้องรู้ด้วยล่ะคะรุ่นพี่!?!”
“ก็เธอสนิทกับท่านประธานที่สุดนี่”
“ไม่ได้สนิทกันซักหน่อย” เธอปฏิเสธ
“ไม่ต้องปิดหรอกน่า เรื่องนี้เค้ารู้กันทั้งบริษัทแล้วนะ”
“ฉะ...ฉันคิดว่าฉันไปดีกว่า รุ่นพี่น่ะพูดอะไรไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วเจอกันที่บริษัทค่ะ” เธอว่าแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไปอีกทางเมื่อรู้ว่าเถียงไปเท่าไหร่ก็คงจะแพ้ แต่ทว่าก้าวไปไม่กี่ก้าวก็ถูกคนข้างหลังเรียกเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ! เธอจะไปบ้านอิโนะใช่มั้ย?”
“ค่ะ” เธอหันมาตอบพร้อมกันกับที่ซาอิเดินไล่หลังมาจนทัน
“งั้นก็ไปด้วยกันเลย ฉันก็ว่าจะแวะไปหาอิโนะอยู่พอดี” พูดพร้อมกับชูกุญแจรถในมือ “ว่าไง? จะไปด้วยกันมั้ย? เพื่อนของเธอ...เอ่อ...คงกำลังรออยู่”
ใบหน้าที่กำลังแสดงออกว่าขัดเขินของชายหนุ่มทำให้คนที่ตอนแรกคิดจะเดินหนีไประบายยิ้มออกมา ซากุระหัวเราะร่าก่อนจะตบๆเข้าที่บ่าของคนตัวสูงกว่าอย่างหมั่นไส้
“เช้าถึงเย็นถึงแบบนี้ถ้าอิโนะยังไม่ยอมใจอ่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วนะคะเนี่ย”
“เพื่อนของเธอน่ะใจแข็งมากกว่าที่คิดนะ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับย่นจมูกอย่างน่ารักเมื่อนึกถึงแต่ละวีรกรรมอัน ‘น่าประทับใจ’ ของแฟนตัวเอง
ทำเขาหัวหมุนได้ทุกวันสิน่า!
“แต่เค้าก็ไม่เห็นเคยขัดใจอะไรรุ่นพี่นี่คะ”
“เพราะฉันบังคับต่างหากล่ะ...” ซาอิพูดเสียงเรียบ ดวงตาสีนิลดูสลดลงไปเล็กน้อย “แต่ว่า... ไม่มีใครอยากบังคับคนที่ตัวเองรักหรอก โดยเฉพาะการบังคับให้มารักตัวเองน่ะ”
“แล้ว...รุ่นพี่ทำทำไมล่ะคะ ถ้ารู้ว่าเขาไม่เต็มใจ... ก็ควรจะปล่อยเขาไปไม่ใช่เหรอ?”
“มันเป็นความเห็นแก่ตัวของฉันเอง... ฉันก็แค่...ปล่อยไปไม่ได้ ฉันจะใช้ทุกวิถีทางรั้งตัวเขาไว้” คำตอบที่แสนเห็นแก่ตัวทำให้ซากุระเงียบไปเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ตัวเธอน่ะรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของตัวเองรักผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน แต่เจ้าตัวคงไปแผลงฤทธิ์อะไรไว้สักอย่างจนทำให้ซาอิคิดแบบนี้แน่ๆ
“แต่ว่าถ้ามันถึงทางตันเมื่อไหร่... ฉันก็คงต้องปล่อยไป”
รถเก๋งคันหรูเคลื่อนตัวออกจากเขตโรงพยาบาลแล้วมุ่งหน้าสู่ถนนสายหลัก บรรยากาศในรถอึดอัดจนแทบจะหายใจหายคอกันไม่ออก ซากุระไม่รู้ว่าผู้ชายเป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่า ยามยิ้มก็ดูใจดีราวกับพ่อพระ แต่พอถึงคราวเงียบก็แสนจะน่ากลัว และเดิมทีซาอิเองก็เป็นพวกยิ้มพร่ำเพรื่อแบบไม่เลือกสถานการณ์อยู่แล้วเธอก็เลยเคยชินกับภาพลักษณ์แบบนั้นของเขา ดังนั้นพอมาเห็นเขาทำหน้านิ่งแถมยังดูเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งขั้วโลกแบบนี้เธอก็ต้องรู้สึกกดดันเป็นธรรมดา
ไม่รู้ว่าทำไมอิโนะถึงทนได้?
คิดอย่างสงสัยแล้วก็ต้องตัวสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆโทรศัพท์ในกระเป๋าก็แผดเสียงดังลั่น
“เอ่อ... ฉันขอรับโทรศัพท์นะคะ” เธอหันมาขออนุญาตสารถีจำเป็นที่ดูจะมีสมาธิเหลือเกินกับการขับรถ เมื่อเห็นว่าซาอิพยักหน้ารับรู้หญิงสาวก็กดรับสายทันที
“สวัสดีค่ะผู้จัดการ... ขาดพนักงาน? แต่ว่าฉัน... แย่ขนาดนั้นเชียวเหรอคะ? ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไป... ไม่เป็นไรค่ะ คุณกรุณาฉันมามากเรื่องแค่นี้ฉันทำให้ได้อยู่แล้ว... ค่ะ... ค่ะ... สวัสดีค่ะ”
“เอ่อ...พี่ซาอิคะ” ซากุระเรียกอีกฝ่ายเสียงอ้อมแอ้มหลังจากวางหูโทรศัพท์ ซาอิยิ้มราวกับรู้ดีว่าหญิงสาวที่นั่งข้างๆต้องการจะพูดอะไร
“มีธุระสินะ จะให้ไปส่งที่ไหนล่ะ”
“ผับปัวโรต์...ที่หมู่สี่ค่ะ”
“ไปทำอะไรที่นั่นเหรอ หรือว่าทำงาน?”
“ ‘เคยทำ’ ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่ได้ทำแล้ว พอดีว่าวันนี้ที่ผับขาดพนักงานน่ะค่ะผู้จัดการก็เลยมาขอให้ไปช่วย” เธอตอบไปตามตรง
“แปลกนะ ฉันก็เคยไปที่นั่นตั้งหลายครั้งแต่ไม่เคยเห็นเธอเลย”
“คงจะคลาดกันล่ะมั้งคะ รุ่นพี่เองก็เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ก็น่าจะเป็นช่วงที่ฉันลาออกจากที่นั่นพอดี”
“อืม...นั่นสินะ” แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจเท่าไหร่ แต่ใบหน้าที่เรียบเฉยกลับประดับรอยยิ้มที่มุมปาก
เป็นรอยยิ้มที่แสนเจ้าเล่ห์!
ไม่กี่นาทีถัดมารถของซาอิก็มาจอดเทียบอยู่หน้าประตูผับที่ยังไม่เปิดให้บริการ ซากุระก้าวลงจากรถโดยที่ไม่ลืมหันมาบอกขอบคุณคนที่อุตส่าห์มาส่ง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ไม่เป็นไร คืนนี้ฉันขอยืมตัวเพื่อนเธอนะ บอกไว้ก่อน กลับบ้านไปจะได้ไม่รอเก้อและฉันก็ไม่แน่ใจว่าถ้าอยู่กับฉันแล้วอิโนะจะว่างพอที่จะโทรไปบอกเธอรึเปล่า”
“อย่าทำให้อิโนะเสียใจอีกนะคะรุ่นพี่ซาอิ” เธอพูดพร้อมกับยิ้ม “ถึงยัยนั่นจะเล่นตัวยังไง แต่ก็รักรุ่นพี่คนเดียวมาตลอด... ฉันฝากยัยนั่นด้วยนะคะ ฉันไปล่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ”
ดวงตาสีนิลมองตามร่างเพรียวบางของหญิงสาวไปจนลับสายตา เรียวปากได้รูประบายยิ้มเจ้าเล่ห์แบบที่ใครมาเห็นก็ต้องขนหัวลุก
“อืม...จะดูแลเป็นอย่างดีเลยล่ะ”
เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเลี้ยวรถกลับ ซาอิมองดูรายชื่อคนโทรเข้าก่อนจะหัวเราะราวกับกำลังถูกใจ นิ้วเรียวยาวกดปุ่มรับที่คอนโซลก่อนจะกรอกเสียงทักทาย
“ผมกำลังจะโทรไปหาอยู่พอดีเลยครับ... ก็แค่...มีเรื่องน่าสนใจจะบอก...” พูดพร้อมกับหันมองไปยังประตูผับที่ยังปิดอยู่
“อยากฟังมั้ยครับ?”
.
.
.
รู้สึก...หน่วงๆในใจ
เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ที่กลับจากโอกินาวา ก็ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่า ‘สาเหตุ’ ที่ทำให้รู้สึกแบบนี้มันมาจากอะไร แต่รู้แล้วจะทำอะไรได้? ในชีวิตของเขามีอย่างอื่นที่สำคัญมากกว่าเรื่องไร้สาระพรรค์นั้นตั้งเยอะ เขาจะปล่อยให้สิ่งสำคัญเหล่านั้นมาพังทลายเพราะอารมณ์เพียงชั่ววูบไม่ได้อีกแล้ว
เขา...จะไม่ยอมให้อุจิวะต้องมาล่มสลายเพราะตัวเขาอีกแล้ว...
แกร๊ก!
เสียงลูกบิดลั่นแกร๊กเบาๆก่อนที่ประตูห้องทำงานของเขาจะเปิดออกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซาสึเกะแทบจะไม่ต้องเดาเลยว่าผู้บุกรุกที่กำลังเดินดุ่มๆเข้ามาหาเขานั้นเป็นใคร
“ถ้าแกมีมารยาทพอ แกจะเคาะประตูก่อนที่จะเข้ามา...” เขาพูดทั้งที่ยังไม่เงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยซ้ำ
“โทษทีที่ฉันมันไร้มารยาท” ด้าน ‘คนไร้มารยาท’ พูดจบก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ดวงตาสีน้ำตาลหม่นมองคนที่เอาแต่นั่งเขียนเอกสารขยุกขยิกอย่างไม่สบอารมณ์ที่ตนถูกเมิน
“ว่าแต่แกเถอะ คิดจะย้ายสำมะโนครัวมาอยู่ที่สำนักงานนี่เลยรึไง?”
“รู้ได้ยังไงว่าฉันค้างที่นี่” ซาสึเกะถามทั้งๆที่ตายังจดจ้องอยู่กับเอกสาร
“เมื่อกี้ฉันเจอซุยเงสึอยู่หน้าห้อง หมอนั่นมันบอกว่าแกกินนอนอยู่ที่นี่ไม่ยอมกลับบ้านกลับช่องตั้งแต่กลับจากโอกินาวา”
“...” เงียบ... ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆจนคนถามชักจะหมั่นไส้จนอดไม่ได้ที่จะแซว
“ไม่ทราบว่าคุณเพื่อนของกระผมมีเรื่องทุกข์ใจอะไรหรือครับ? ถึงกับอดทนอยู่ที่บ้านคนเดียวไม่ได้จนต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีมาอยู่ที่สำนักงานนี่น่ะ”
ได้ผล... คราวนี้ปีศาจจอมหยิ่งยอมทิ้งกองเอกสารแล้วเงยหน้าขึ้นมาคุยกับเขาจนได้ ซาโซริยิ้มอย่างกวนๆเมื่อเห็นสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ไม่อยากตอบ’ ของคู่สนทนา อันที่จริงเขาคิดว่าเขาก็พอจะเดาๆ ‘สาเหตุ’ ที่ทำให้เพื่อนของเขายอมทิ้งบ้านแสนรักแล้วมานอนเฉาที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารคนเดียวได้อยู่หรอก และยิ่งมาเห็นหน้าตาซังกะตายเหมือนคนป่วยใกล้ลาโลกของมันเขาก็ยิ่งมั่นใจ...
ถูกเมียทิ้งมาแน่ๆ
“เรื่องของฉัน” หันมาตอบแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ
“หึๆ”
“พี่เป็นยังไงบ้าง” จู่ๆคนถูกทิ้งก็ถามขึ้นในขณะที่เขายังคงหัวเราะ ซาโซริขมวดคิ้ว
“อะไร?”
“แกไปเจอพี่มาไม่ใช่รึไง ที่นิวยอร์กน่ะ”
“ระ...รู้ด้วยเหรอ?” ซาโซริถามไม่เต็มเสียงนักเมื่อถูกจับได้ เขาหรือก็อุตส่าห์นัดแนะกับอิทาจิเป็นอย่างดีว่าการพบปะครั้งนั้นจะให้ซาสึเกะรู้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็นการพบปะที่เกี่ยวโยงกับอดีตที่ไม่น่าพิสมัยของซาสึเกะ แต่ทว่าเจ้าเพื่อนตัวแสบที่มีมันสมองเหมือนไม่ใช่มนุษย์ของเขาก็ยังรู้อีกจนได้ ซาโซรินั่งปลงตก... ตามปกติถ้ามันรู้ขนาดนี้แล้วเขาคงไม่พ้นถูกมันบังคับให้คายข้อมูลทั้งหมดออกมาแน่ๆ
“แกไปหาพี่ทำไม”
นั่นไง...เริ่มแล้ว ทั้งเสียงที่เย็นชากับดวงตาที่เหมือนกับอิทาจิที่บ่งบอกว่าพร้อมจะเชือดได้ทุกเมื่อหากเขาเล่นอะไรตุกติก
เกลียดสองพี่น้องตระกูลนี้จริงๆ!
“พี่อิทาจิสบายดี” ตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงแถมเบี่ยงประเด็นไปเสียไกล ซาโซริขนลุกเกรียวเมื่อสัมผัสได้ถึงความกดดันแปลกๆที่ถูกแผ่ออกมาพร้อมกับสายตาอำมหิต
“แกอย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น แกก็รู้ว่าฉันตอบไม่ได้”
“รู้สึกจะจงรักภักดีกับพี่ฉันเหลือเกินนะ แต่แกเป็นเพื่อนฉันไม่ใช่รึไง”
“อย่าเอามิตรภาพมาอ้างเลยเพื่อนรัก เพราะยังไงฉันกลัวตายมากกว่า” พูดด้วยความสัตย์จริงแล้วก็เงียบไป จากนั้นก็ต้องแปลกใจเองว่าทำไมคราวนี้คุณเพื่อนไม่ยอมลุกจากเก้าอี้แล้วเดินมาข่มขู่เขาเหมือนทุกทีที่มันทำเวลาเขามีเรื่องปิดบัง ซาสึเกะเลิกเล่นเกมจ้องตากับเขาแล้วหันกลับไปสนใจงานต่อ...
แปลก...
“แล้วมาที่นี่ทำไม ฉันไม่ได้นัดแกมา” เสียงทุ้มถามขึ้น ดูเหมือนไม่ตะขิดตะขวงใจอะไรกับประเด็นเรื่องการพบปะระหว่างเขากับอิทาจิแล้ว ซาโซริลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะพูด
“แกนี่มันพูดอะไรโคตรทำร้ายจิตใจเลยว่ะ ถ้าแกไม่นัดฉันก็ไม่มีสิทธิ์จะมาใช่มั้ย”
“ตามหลักแล้วมันก็ต้องเป็นแบบนั้น”
“ไอ้คนไร้หัวใจ พูดอะไรไม่เคยรักษาน้ำใจคนอื่น” บ่นกระปอดกระแปดเสร็จก็หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาเปิดดู “แต่ก็ช่างเถอะ ฉันแวะมาเพราะมีของจะเอามาให้”
“ของอะไร?”
ซาโซริไม่ได้ตอบคำถามแต่โยนซองที่เจ้าตัวเปิดค้างไว้มาให้เขา ซาสึเกะหยิบแผ่นกระดาษสองสามแผ่นที่โผล่พ้นซองออกมาอ่าน ดวงตาสีรัตติกาลเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อเห็นเนื้อหาในกระดาษ
“วันนี้ฉันเคลียร์เอกสารที่สำนักงานก็เลยเจอไอ้นี่ สงสัยว่าเลขาของแกจะลืมเอามันมาด้วย”
“...”
“สัญญาการว่าจ้างอีกฉบับน่ะ”
สัญญาว่าจ้างอีกฉบับ...
มันเป็นสัญญาที่มีชื่อเขากับใครอีกคนที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่าไม่เคยได้ยินชื่อ ‘ฮารุโนะ ฮิโตมิ’ ทำไว้ด้วยกัน เนื้อหาของสัญญาระบุไว้ว่าถ้าฮารุโนะ ซากุระ ยอมตกลงทำสัญญาการว่าจ้างอุ้มบุตรให้เขา คนที่ชื่อฮารุโนะ ฮิโตมิก็จะได้เงินเป็นจำนวนสิบล้าน เมื่อไล่อ่านมาจนสุดหน้ากระดาษเขาก็พบว่าอีกฝ่ายลงลายมือชื่อรับรองไว้เสร็จสรรพในขณะที่ช่องลงลายมือชื่อของคู่สัญญาที่ควรจะมีลายเซ็นของเขากลับว่างเปล่า
“สัญญานี่... มัน...หมายความว่ายังไง” ซาสึเกะถามเสียงพร่า ถ้าเนื้อหาในสัญญานี่เป็นความจริง มันก็หมายความว่าผู้หญิงคนนั้น...
ไม่จริง...
“นี่แกไม่รู้เรื่องเลยเหรอ”
“ไม่...”
“เลขาของแกบอกให้ฉันร่างสัญญาฉบับนี้ขึ้นมา เพื่อให้คุณซากุระยอมมาเป็นแม่อุ้มบุญให้ลูกแกน่ะสิ” ซาโซริว่า ใบหน้าหล่อเหลาดูสลดลงเมื่อรู้ว่าเพื่อนของเขาพลาดความจริงข้อสำคัญไป
“อะไรนะ...”
“จูโกะดูเหมือนจะรู้ว่าคุณฮารุโนะ ซากุระคงไม่ยอมมารับอุ้มท้องให้แกง่ายๆก็เลยร่างสัญญาบังคับแม่เลี้ยงของเธอให้บังคับเธอมารับทำงานนี้อีกต่อหนึ่ง”
“ทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้”
“แกน่ะเคยสนใจอยากจะรู้เรื่องอื่นด้วยเหรอ? ในความคิดแกน่ะแค่ได้ผู้หญิงซักคนมาสมอ้างเป็นเมียก็พอแล้วไม่ใช่รึไง” เจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงว่าพลางถอนหายใจยาว
“แต่คุณซากุระน่ะเธอเป็นผู้หญิงที่ดีกว่าที่แกคิดนะซาสึเกะ เธอไม่ได้เห็นแก่เงินจนถึงกับต้องเอาศักดิ์ศรีไปแลกหรอก ที่มารับทำงานนี้ก็คงเพราะถูกบังคับล้วนๆ และถึงแม้จะทำงานเป็นโคโยตี้แต่ฉันยืนยันได้เลยว่าเมียแกน่ะไม่ประสีประสาเรื่องผู้ชายหรอก ไอ้นิสัยที่ชอบดูถูกว่าเขาสกปรกอย่างโน้นอย่างนี้น่ะ เลิกซะเถอะ เธอไม่ได้เป็นอย่างที่ปากแกว่า”
“แก...รู้ได้ยังไง” ซาสึเกะถาม ดวงตาสีรัตติกาลยังคงมองสัญญาในมืออย่างเหม่อลอย
“ก็ฉันพิสูจน์มาแล้ว...” เพราะคำพูดนั้นมาจากคนที่วันๆคิดแต่เรื่องอย่างว่า ทำให้คนที่มัวแต่คิดเรื่องสับสนถึงกับหันขวับมามองแทบไม่ทัน ใบหน้าสมบูรณ์แบบเรียบเฉยอย่างน่ากลัว ดวงตาที่แสนแข็งแกร่งจ้องมองเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ราวกับจะสาปให้หายไปจากโลก
“...”
“ฮะ...เฮ้ย อย่ามองฉันแบบนั้น ฉะ...ฉันแค่ไปถามเธอเล่นๆว่าสนใจจะมา...เอ่อ...” ซาโซริรีบแก้ตัวเมื่อเห็นลางหายนะอยู่รำไร แต่ทว่ายิ่งแก้ก็เหมือนยิ่งแย่ มันคงจะจับเขาไปถ่วงทะเลแน่ถ้ารู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยไปยื่นข้อเสนอให้ภรรเมียของมันไปมีซัมธิงด้วยน่ะ
“...”
“แต่เธอปฏิเสธฉันไง! ขนาดเสนอเงินให้เป็นล้านก็ยังไม่ยอมเลย!”
“...”
“ระ...เรื่องมันก็เกิดมาเป็นปีแล้วนะ ฉันสาบานว่าตอนนี้ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นแล้ว...”
“ไม่คิดก็ดีแล้ว” ซาสึเกะพูดเสียงเรียบแต่สายตาดุดันนั่นยังคงจ้องเขาอยู่ราวกับกำลังจับผิด ซาโซริเบ้ปาก...
“หวงจังวะ ไหนว่าไม่สนผู้หญิงไง พอมีเมียหน่อยล่ะก็หวงชิบ” บ่นเบาๆอย่างหมั่นไส้โดยลืมไปเสียสนิทว่าคนตรงหน้าเป็นพวกหูดี
“ไม่ได้หวง”
“งั้นฉันจีบ” พูดสวนไปเพราะหมั่นไส้ล้วนๆแล้วก็ต้องเผ่นแนบออกจากห้องแทบไม่ทันเมื่อเห็นแฟ้มเล่มหนาลอยมาทางตัวเองอย่างจงใจ
“รีบไสหัวกลับบ้านไปซะก่อนที่ฉันจะฆ่าแก!”
เอามาแค่จึ๋งนึงก่อนเพราะแต่งยังมิเสร็จ แต่ก็เพราะบอกไว้ว่าวันจันทร์จะลงก็ต้องลง ฮ่าๆๆ ในที่สุดเฮียซาโซริตัวบันเทิงประจำเรื่องก็โผล่มาอีกแล้ว>< หวิดตายแล้วมั้ยล่ะคุณเพ่ บังอาจไปแหย่หนวดเจ้าเกะที่ช่วงนี้อยู่ในอารมณ์ขึ้นๆลงๆ เหมือนประจำเดือนไม่มา -.- มันเป็นเวรเป็นกรรมของไรท์เองนั่นแหละค่ะที่ดันสร้างเจ้าเกะมาเป็นพวกคิดเยอะเกิ๊น แต่ก็สร้างมาแบบนี้แล้วก็ต้องลุยต่อให้ถึงที่สุด! แต่อยากจะบอกว่าบักเกะยามมุ้งมิ้งนี่ หุๆๆ -,.- ต้องคอยดูค่ะ(วิ่งไปกัดหมอนขาดกระจุย)
100%
ทำเขาหงุดหงิดได้ทุกทีสิไอ้บ้านั่น!
ร่างสูงบ่นคนที่เพิ่งวิ่งออกจากห้องไปเมื่อครู่อย่างหัวเสีย ในใจก็นึกว่าเมื่อกี้น่าจะขว้างให้แรงๆกว่านี้หน่อย เอาให้เจาะกะโหลกมันได้ก็ยิ่งดี มีอย่างที่ไหน มาพูดว่าจะจีบเมียคนอื่นเขาทั้งที่เจ้าของเขาก็ยังนั่งหัวโด่อยู่แบบนี้ ปากไม่สร้างสรรค์แบบนี้คงได้เจอสั่งสอนเข้าซักวัน!
ความคิดที่จะทำการแก้แค้นคนปากเสียหยุดชะงักลงเมื่อเขาได้ยินเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะ ซาสึเกะก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะรวบกองเอกสารแล้วเก็บเข้าที่
“เข้ามา”
สิ้นเสียงอนุญาตประตูบานสวยก็ถูกเปิดออกจากข้างนอกพร้อมกับเลขานอกสถานที่ก้าวเท้าเข้ามาภายในห้อง จูโกะมองตรงไปยังเจ้านายของตนแล้วรายงาน
“ได้เวลาแล้วครับคุณซาสึเกะ”
“อืม” ร่างสูงตอบก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นซองเอกสารสีน้ำตาลที่เพื่อนของเขาเพิ่งเอามาให้ มือแข็งแกร่งกำเข้าหากันแน่น...
“จูโกะ...” เขาเรียก น้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำ “ฉันมีเรื่องจะถามนาย”
“เรื่องอะไรครับ? แต่ผมว่าไปคุยกันบนรถดีกว่า ถ้าไปช้ากว่านี้ผมเกรงว่าเราจะสาย” เลขาเอ่ยเตือนแต่ทว่าคนกำลังร้อนใจไม่ฟัง
“ไม่ ต้องคุยตรงนี้เท่านั้น”
“ครับ”
“ทำไมนายถึงไม่เคยบอกฉัน ว่ามันยังมีสัญญาอีกฉบับ” ซาสึเกะถามพร้อมกับหยิบสัญญาขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู จูโกะผงะไปเล็กน้อย
“...”
“นายตั้งใจไม่เอามันมาให้ฉันดูใช่มั้ย?”
“...”
“ตอบฉันมาสิ! ทำไมนายไม่บอกฉัน! ทำไมไม่บอกฉันว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เต็มใจจะมาทำงานนี้ตั้งแต่แรก!!!” สิ้นเสียงตะคอกถามที่เต็มไปด้วยโทสะ ซาสึเกะก็พยายามระงับความโกรธที่กำลังพลุกพล่านของตัวเอง แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดจากคนสนิทของเขาทำอะไรปิดบังเขาแบบนี้
“ผมคิดว่ามันไม่จำเป็นครับ” เลขาหนุ่มตอบเสียงเรียบ และนั่นก็ยิ่งเพิ่มความโกรธให้เขา
“ใครอนุญาตให้นายคิดเอง!”
“คุณซาสึเกะ...” จูโกะเรียกชื่อเจ้านายของตัวเองอย่างใจเย็น “คุณเป็นคนที่สนใจแค่ผลลัพธ์ คุณไม่สนใจวิธีการที่จะได้ซึ่งผลลัพธ์นั้นมา ผมก็เลยไม่คิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องบอกคุณว่าผมใช้วิธีไหนในการเอาตัวซากุระมาให้คุณ”
ซาสึเกะมองหน้าลูกน้องด้วยสายตาอ่านยาก แม้แต่จูโกะเองก็ยังพูดอะไรที่คล้ายกับที่ซาโซริบอก ที่บอกว่าเขา...
สนใจแค่ตัวเอง...
“ทำไมนายต้องทำแบบนั้น... ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เต็มใจ และนายเองก็ไม่อยากให้แม่นั่นมาทำแบบนี้ไม่ใช่รึไง! แล้วทำไมนายถึงยังบังคับแม่นั่นให้มาทำงานนี้ทั้งที่มันก็ฝืนใจทั้งนาย!...และก็ผู้หญิงคนนั้น...”
“เป็นเพราะผมรักเธอครับ” คำพูดเพียงไม่กี่คำที่ออกจากปากเลขาที่ติดตามเขามาตลอดแปดปีทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกจุกที่คอ ซาสึเกะเสมองไปทางอื่น รู้สึกเจ็บแปลบในใจอย่างบอกไม่ถูก
“แล้วทำไม...นายถึงต้องผลักไสคนที่ตัวเองรักมาให้ฉัน มันเป็น...ความรักแบบไหนกัน?”
“ถ้าคุณจะฟังเรื่องราวทั้งหมดตอนนี้ ที่นัดกับคุณคารินไว้...คุณจะไปสายนะครับ”
“ฉันไม่สน...” ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ “เล่ามา... เล่าทุกอย่างที่นายรู้...”
.
.
.
“...คุณคิซาชิ คุณพ่อของซากุระท่านเสียไปเมื่อสามปีก่อนครับ เสียไป...โดยที่ทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้เธอ”
“หนี้นั่นหรือว่า...”
“ครับ เรื่องนี้คุณคงจะรู้จากซุยเงสึแล้ว เธอเป็นหนี้กับธนาคารของเราสามล้าน ถ้าหากไม่สามารถนำเงินมาชำระหนี้ได้ตามกำหนด บ้านที่คุณคิซาชินำมาเป็นหลักค้ำประกันจะต้องถูกยึดไปตามสัญญาที่เขาทำไว้กับธนาคาร บ้านหลังนั้น...เป็นบ้านที่ซากุระอยู่มาตั้งแต่เกิด เธอปล่อยให้มันถูกยึดไปไม่ได้ ก็เลยทำงานหาเงินมาใช้หนี้แทนพ่อของเธอ เธอต้องทำงานหนักตั้งแต่อายุสิบแปด...โดยที่ไม่มีใครช่วยเหลือเลย”
“แล้วแม่เลี้ยงของผู้หญิงคนนั้นล่ะ นายบอกว่าพ่อของแม่นั่นแต่งงานใหม่ไม่ใช่เหรอ เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลยรึไง”
“ช่วยเหรอครับ? เขาช่วยสิ... ช่วยเร่ขายซากุระให้คนโน้นคนนี้ยังไงล่ะครับ”
“!!!”
“ฮารุโนะ ฮิโตมิ เป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ เธอไม่รู้จักผมหรอกเพราะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ผมรู้จักเธอดี ผู้หญิงคนนี้พยายามจะให้ซากุระไปเป็นเมียน้อยของบรรดาเสี่ยทั้งหลายที่เจ้าหล่อนคงจะไปรู้จักมาจากบ่อนการพนันเพื่อหักลบกลบหนี้ที่ตัวเองไปก่อไว้ แต่ซากุระก็ปฏิเสธ... เธอไม่ยอมขายศักดิ์ศรีเพื่อแลกกับเงินอย่างเด็ดขาด”
“...”
“ผมเคยยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเธอครับ แต่เธอปฏิเสธ เธอรู้ว่าผมเองก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดจะช่วยเธอได้โดยที่ไม่ต้องเดือดร้อน”
“ผู้หญิงคนนั้น...โง่รึเปล่า”
“เธอแค่เห็นใจคนอื่นมากกว่าตัวเองครับ...เป็นคนนิสัยแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก... ซากุระทำงานพาร์ทไทม์อยู่จนกระทั่งปีที่แล้วที่เธอไปเป็นโคโยตี้ที่ผับเพราะไม่มีทางเลือก วันกำหนดที่จะต้องชำระหนี้ใกล้เข้ามาในขณะที่ตัวเธอก็ต้องใช้เงินเพื่อเป็นค่าศึกษาเล่าเรียน ถ้าไม่เป็นโคโยตี้ก็คงจะหาเงินจำนวนมากขนาดนั้นในเวลาสั้นๆไม่ได้ ผมสงสารเธอ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ซากุระเป็นคนหวงตัวมาก เธอหยิ่งในศักดิ์ศรี เธอหยิ่งในความเป็นลูกผู้หญิงของตัวเอง แต่เธอต้องไปทำงานแบบนั้น... ผมคิดว่าถ้าสถานการณ์บีบบังคับเธอมากกว่านั้น เธอคง...จะต้องขายร่างกายของตัวเองเข้าสักวันแน่ แค่คิดผมก็กลัวแทน... โลกนี้มันไม่ได้สวยหรู ถ้าเธอทำแบบนั้นจริงๆเธอจะต้องเจอกับคนแบบไหน ต้องได้รับความทรมานแบบไหน ผมไม่อยากจะเดา ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไง แล้วพอคุณสั่งให้ผมหาผู้หญิงมาเป็นแม่ของลูกคุณโดยที่คุณจะไม่เกี่ยงค่าจ้าง ผมก็เลยเลือกเธอ... ผมไม่อยากให้เธอทำงานที่ผับนั่น ไม่อยากให้เธอไปเจอกับคนไม่ดี และผมก็รู้จักคุณดี ผมรู้ว่าคุณเกลียดผู้หญิง คุณไม่มีทางทำอะไรเธอแน่นอน แต่ผมคงคิดผิด...”
“...”
“ความเกลียดชังของคุณ...มันมีมากกว่าที่ผมคิด ผม...ทำให้ซากุระตกนรกทั้งเป็น แต่ทั้งหมด...มันก็เป็นการแสดงความรักของผม ผมรู้ว่าเธอจะต้องเจ็บปวด การยกลูกในไส้ของตัวเองให้คนอื่นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ แต่ผมก็ยังเลือก...เลือกทางที่ผมคิดว่ามันเจ็บปวดน้อยที่สุดให้เธอ แต่พอมาถึงตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าทางที่ตัวเองเลือกให้เธอ มันดีจริงๆรึเปล่า...”
คำสารภาพทุกคำของจูโกะยังคงก้องอยู่ในหัวของคนที่กำลังเดินเข้าไปในภัตตาคารหรูกลางห้างดัง ซาสึเกะมองมือขาวๆของตนที่ในอดีตเคยมีรอยข่วนเล็กๆที่ผู้หญิงคนนั้นฝากเอาไว้ประดับอยู่ แม้ว่าตอนนี้มันจางจนหายไปแล้ว แต่ทว่าในใจของเขา...
มันยังอยู่...
ความคิดของซาสึเกะสะดุดลงเมื่อสายตาของเขาปะทะเข้ากับร่างเพรียวบางในชุดเดรสสั้นสีดำเรียบหรู เรือนผมสีแดงเพลิงของเธอโดดเด่นจนเขาสามารถสังเกตเห็นได้ไม่ยาก ซาสึเกะเดินตรงไปยังโต๊ะที่สาวสวยคนนั้นนั่งอยู่
“ขอโทษที่ทำให้รอ” เขาพูดก่อนจะเลื่อนเก้าอี้นั่งลงฝั่งตรงข้ามของหญิงสาว คนที่นั่งรอชักสีหน้าเล็กน้อย
“สายไปเกือบครึ่งชั่วโมง... มีแค่คำขอโทษเหรอคะ?”
“แล้วเธอจะเอาอะไร?”
“อืม...ฉันอยากได้... ‘ตัวคุณ’ ล่ะมั้งคะ” คารินพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงแล้วหัวเราะ ซาสึเกะที่รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะแพ้ทางคนตรงหน้าทุกทีถึงกับเปลี่ยนเรื่องแทบไม่ทัน
“ถ้ามีเวลาพูดจาไร้สาระก็เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เรื่องที่เธอบอกฉันทางโทรศัพท์นั่นน่ะ ที่ทางรัฐบาล...”
“ใจร้ายจังเลยนะคะคุณซาสึเกะ” เสียงหวานดังขัดขึ้นทั้งที่เขายังพูดไม่ทันจบประโยค ใบหน้าสวยแบบล้ำลึกกำลังบูดบึ้ง เธอเชิดปากใส่เขาเหมือนกำลังงอน ซาสึเกะถอนหายใจ รู้ดีว่าคราวนี้เขาคงต้องเป็นฝ่ายลงให้ก่อน ชายหนุ่มเงียบ...รอให้อีกฝ่ายบอกความต้องการของตัวเอง
“ฉันว่าเรามาสั่งอะไรทานกันก่อนดีกว่า เรื่องงานน่ะค่อยๆคุยกันไปก็ได้” คารินพูด เธอกลับมาส่งยิ้มแพรวพราวให้เขาอีกครั้ง
“ฉันไม่คิดว่าคนอย่างเธอจะอยากเสียเวลาอะไรกับเรื่องแค่นั้น”
“แต่ฉันคิดว่าเรื่องกินน่ะสำคัญจะตายไป” พูดจบก็กวักมือเรียกบริกรมารับออเดอร์ ซาสึเกะกอดอก ไม่ปิดบังว่าเขากำลังเบื่อหน่ายและรังเกียจที่จะต้องร่วมโต๊ะอาหารกับอีกฝ่าย หากแต่หญิงสาวกลับไม่ถือสาอะไรกับความหยาบคายที่แสดงออกอย่างชัดเจนของเขา เธอยังคงยิ้มระรื่นตอนที่บริกรเอาอาหารที่สั่งไว้มาเสิร์ฟ
“ถ้าไม่มีเรื่องงานฉันก็คงจะไม่ได้มีโอกาสมานั่งร่วมโต๊ะกับราชาแบบนี้หรอก ถือเป็นโชคดีของฉันจริงๆที่มีพ่อเป็นรัฐมนตรีการคลัง”
“เธอกลายเป็นคนที่พูดแต่เรื่องไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนสิคะ คุณน่ะไม่ได้เจอฉันมาตั้งหลายปี ฉันไม่ใช่รองประธานนักเรียนที่แสนจะเย็นชาและเจ้าระเบียบเหมือนเดิมแล้วนะ” เธอว่า ดวงตาสีโกเมนที่ดูร้อนแรงมองเขาอย่างมีเลศนัย “แต่ดูท่าว่าคุณ ‘อดีตประธานนักเรียน’ คนเก่งจะยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ทั้งเข้มงวด... เย็นชา... และก็มีเสน่ห์เหมือนเดิม”
ถ้อยคำนั้นดูเหมือนจะแฝงไปด้วยนัยอะไรบางอย่าง ซาสึเกะพินิจมองคู่สนทนาอีกครั้งแล้วก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายดูเปลี่ยนไปจริงๆ ฟุรุคาวะ คาริน ที่เขารู้จักสมัยเรียนอยู่ไฮสคูลนั้นเป็นผู้หญิงที่สวยและเก่งอย่างหาตัวจับได้ยาก เขากับเธอต้องร่วมงานกันตลอดเพราะต่างฝ่ายต่างก็มีตำแหน่งในสภานักเรียนกันทั้งคู่ ยิ่งปีสุดท้ายของไฮสคูลที่เขาได้รับเลือกเป็นประธานนักเรียนโดยที่อีกฝ่ายเป็นรองประธาน เขากับเธอก็ยิ่งต้องใกล้ชิดกัน เธอสามารถทำงานได้ทุกอย่างตามแบบที่เขาสั่ง เป็นผู้หญิงที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของเขาได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ฟุรุคาวะ คารินในตอนนั้นเป็นคนที่เข้มงวดและจริงจังเสมอ แตกต่างจากตอนนี้ที่ดูจะช่างพูดช่างเจรจา อีกทั้งยังใช้ความสวยที่มีมาตั้งแต่เกิดได้ถูกที่ถูกทางมากกว่าเดิมเสียอีก ดูจากสายตาของคนเกือบทั้งภัตตาคารที่จ้องมองมายังโต๊ะของพวกเขาก็คงพอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้
“เธอกำลังเล่นตลกอะไรอยู่?” ซาสึเกะถามเสียงเรียบนิ่งเมื่อเห็นสายตาที่เหมือนแฝงอะไรบางอย่างของอีกฝ่าย “ถ้าวันนี้ยังไม่พร้อมจะเจรจาก็เลื่อนไปเป็นวันอื่น ฉันไม่ว่างพอที่จะมานั่งฟังเธอสาธยายเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“โกรธเหรอคะ?”
“...”
“ฉันก็แค่ล้อเล่นน่ะค่ะ ก็ฉันเห็นคุณทำงานตลอดเวลาเลยนี่นา ก็แค่อยากจะให้คุณผ่อนคลายบ้าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์สินะ” เธอพูดพร้อมกับหัวเราะ มือเรียวสวยหยิบกระเป๋าเอกสารที่วางไว้ข้างตัวก่อนจะดึงซองเอกสารซองหนึ่งออกมา
“นี่เป็นข้อเสนอคร่าวๆที่คุณพ่อฝากให้ฉันเอามาให้คุณค่ะ ความจริงมตินี้ยังไม่ผ่านที่ประชุม แต่ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” เธอพูดพร้อมกับยื่นซองนั้นให้เขา “คุณพ่อคิดว่าเอามาให้คุณพิจารณาดูก่อนดีกว่าเพราะถ้ามันผ่านที่ประชุมแล้วการดำเนินการจะเป็นไปอย่างรวดเร็วจนคุณแทบจะไม่มีเวลาตัดสินใจ คุณพ่อกลัวว่าคุณจะปฏิเสธน่ะค่ะ”
“ถึงฉันจะปฏิเสธแต่ก็ยังมีฟุวะที่มีเงินทุนมากพอที่จะให้กู้ไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นจำเป็นต้องตื่นตระหนก” ซาสึเกะพูดในขณะที่สายตาก็ไล่อ่านรายละเอียดของข้อเสนอที่อีกฝ่ายเพิ่งให้มา แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของอีกฝ่าย
“นั่นมันเป็นมุกของคุณรึเปล่าคะคุณซาสึเกะ ฉันรู้หรอกน่าว่าตอนนี้ฟุวะแทบจะไม่มีเงินสำรองในธนาคารแล้ว... ตามที่คุณคาดการณ์ไว้ยังไงล่ะคะ” คารินพูด ดวงตาสีโกเมนหรี่มองเขาเหมือนจับผิด
“หมายความว่ายังไง”
“งานประมูลเกาะที่โอกินาวา... คุณกล้าสาบานรึเปล่าคะว่าคุณไม่ได้จงใจแพ้?” น้ำเสียงนั้นเหมือนรู้ทันเขาทุกอย่าง ร่างสูงนิ่งเงียบ
ผู้หญิงคนนี้ฉลาด...
“ฉันเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับค่ะ แต่ว่าแลกกับการที่คุณจะพาฉันไปเที่ยวช่วงสุดสัปดาห์นี้นะ ตกลงมั้ยคะประธาน?”
“อยากทำอะไรก็ตามใจ แต่เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับฉัน” เขาตอบปัด ก่อนจะเก็บเอกสารใส่ซองตามเดิม
“งั้นถ้าฉันจะรายงานประธานฟุเสะคุณก็คงไม่ว่าอะไรใช่มั้ยคะ?”
“คาริน...”
“คุณไม่ได้เรียกชื่อฉันแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ รู้สึกคิดถึงจัง” คำพูดที่ล้อเลียนไม่กริ่งเกรงต่ออำนาจในตัวเขาทำให้ซาสึเกะนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้
อยู่ต่อคงไม่ดีแน่
“ฉันจะกลับแล้ว ค่าอาหารมื้อนี้เธอจ่ายเองก็แล้วกันเพราะฉันไม่ได้กินด้วย” เขาพูดตัดบทก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วจากไปทันทีอย่างไม่เกรงใจ
ดวงตาสีโกเมนมองตามแผ่นหลังสง่างามของร่างสูงไปด้วยสายตาที่ขบขัน หญิงสาวยกยิ้มที่มุมปาก
“ ‘ราชาพยศ’ ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้วนะ” พูดพร้อมกับยกแก้วไวน์ข้างตัวขึ้นจิบ
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่มีทางปล่อยให้คุณไปเป็นของคนอื่นหรอกค่ะ สิบเอ็ดปีที่ฉันเฝ้ามองคุณ...มันจะต้องไม่สูญเปล่า”
.
.
.
ร่างสูงเดินออกมาจากภัตตาคารด้วยใบหน้าที่แสดงออกได้ชัดว่ากำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกไล่ต้อน
เป็นความรู้สึกที่เขาไม่ชอบ
บอดี้การ์ดนายหนึ่งที่ยืนรออยู่หน้าภัตตาคารเดินนำเขาไปยังลานจอดรถหน้าห้างสรรพสินค้า ซาสึเกะเห็นเงาตะคุ่มของเลขานอกสถานที่อยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าจูโกะจะกำลังคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ ร่างสูงเดินมาถึงรถเป็นเวลาเดียวกันกับที่จูโกะเข้านั่งประจำที่ตำแหน่งคนขับ บอดี้การ์ดคนอื่นก็พร้อมกันอยู่ที่รถอีกคัน
“เมื่อกี้คุยกับใคร” ซาสึเกะถามหลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก
“คุณคิซาเมะครับ” เลขาหนุ่มตอบ “เขาโทรมาบอกว่าคุณอิทาจิจะกลับมาภายในอาทิตย์หน้า ถ้าทางนี้มีเรื่องอะไรที่ยังไม่เรียบร้อยก็ให้รีบจัดการ...เอ่อ...คุณอิทาจิสั่งเขามาอีกทีน่ะครับ”
“รู้ทั้งรู้ว่าฉันโกหกแต่ก็ยังแกล้งทำเป็นเชื่อ แต่อันที่จริงคงแค่อยากให้ฉันทรมานเพราะกุเรื่องโกหกขึ้นมามากกว่า เป็นผู้ชายที่ร้ายกาจจริงๆ” พูดจบก็ทิ้งตัวเอนหลังพิงเบาะ ก่อนจะหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า แต่พอนึกได้ว่าเขายังมีเรื่องที่ต้องคุยกับอีกฝ่ายซาสึเกะก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
“จูโกะ”
“ครับ?”
“นายโกรธฉันใช่มั้ย...เรื่องผู้หญิงคนนั้น” สิ้นเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจ ทั่วทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบ จูโกะนิ่งไปเหมือนพยายามจะนึกหาคำพูดดีๆ ส่วนคนถามหรือก็รู้สึกเหมือนมีมือปริศนาคอยบีบหัวใจอยู่ตลอดเวลา เขารู้สึก...เหมือนว่าตัวเองไปแย่งของรักของคนอื่นมา อีกทั้งยังย่ำยีของชิ้นนั้นจนเหมือนเป็นสิ่งไม่มีค่า
ของชิ้นนั้น...ที่เขากำลังคิดถึง...
“ผมเคยโกรธคุณครับ โกรธมาก... แต่ตอนนี้ผมเข้าใจคุณแล้ว เพราะตัวคุณในตอนนี้...ก็คงจะเหมือนกับตัวผม...” จูโกะตอบในที่สุด เขายิ้มให้เจ้านายตัวเอง ซาสึเกะนิ่วหน้า
เหมือนกันงั้นหรือ?
“คุณรู้มั้ยครับว่าทำไมผมถึงยอมตัดใจตามคำสั่งของคุณแทนที่จะดึงดันรักผู้หญิงที่เป็นรักแรกของผมต่อไป”
“นาย...ตัดใจได้แล้วงั้นเหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกว่าประหลาดใจ เสียงนั้นดูออกว่ากำลังดีใจอยู่ลึกๆหากแต่เจ้าของเสียงกลับไม่ได้รู้ตัวเลย
“ทำไม่ได้ง่ายๆหรอกครับ แต่ผมกำลังพยายาม และผมก็ต้องทำให้ได้... ผมต้องตัดใจ... เพราะผม...ไม่สามารถแย่งชิงสิ่งที่เป็นหัวใจของคุณได้”
“!!!”
“แววตาของคุณตอนที่บอกให้ผมตัดใจมันบอกผมทุกอย่าง คุณไม่ใช่แค่หวง...แต่คุณรัก รักมากซะด้วย”
“ไปติดนิสัยมาจากซาโซริรึไง ชอบเดาส่งๆว่าฉันรู้สึกยังไง” ซาสึเกะตำหนิ พยายามทำให้เสียงของตัวเองดูเป็นปกติที่สุด หากแต่เลขาคนสนิทย่อมรู้จักเจ้านายของตัวเองดี ตอนนี้เจ้านายของเขา...
คงกำลังเขิน
“แล้วไม่จริงหรือครับ?”
“ไม่”
“แล้วทำไมคุณต้องโทรไปยกเลิกนัดคุณหมอที่อุตส่าห์รอคิวมาเกือบสองเดือนล่ะครับ” จูโกะถามเสียงเจ้าเล่ห์ เป็นครั้งแรกจริงๆที่เขาใช้เสียงแบบนี้กับผู้เป็นนาย
“ฉันยังไม่พร้อม” คนปากแข็งพึมพำตอบเบาๆพร้อมกับทอดสายตามองออกไปนอกรถ
“จะหลอกผมที่ติดตามคุณมาแปดปีน่ะ มันไม่สำเร็จหรอกนะครับ พอทางโรงพยาบาลแจ้งมาว่าต้องเปลี่ยนหมอที่จะทำกิฟต์ให้จากหมอผู้หญิงเป็นหมอผู้ชายคุณก็โทรไปยกเลิกนัดแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ คุณน่ะ... แค่ไม่อยากให้ใครได้แตะต้องสิ่งที่คุณรักมากกว่า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นหมอก็เถอะ”
“จูโกะ... ถ้านายยังไม่อยากลงจากรถก็ขับไปเงียบๆ”
“จี้ใจดำหรือครับ?”
“...”
“ถ้าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันฝืนใจมาก ทำไมคุณไม่ลองทำตามใจตัวเองดูสักครั้งล่ะครับ” จูโกะพูดยิ้มๆ
“ฉันไม่ได้กำลังฝืนใจ”
“ถ้าช้าไปมันจะไม่ทันการณ์นะครับ”
“นายหมายความว่ายังไง”
“คุณก็รู้ว่าผมกำลังหมายถึงอะไร เวลาไม่เคยรอให้คนเราได้คิดไตร่ตรองอะไรมากนักนะครับคุณซาสึเกะ ถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบนี้คุณอาจจะสูญเสียสิ่งที่คุณรอคอยมาตลอดก็ได้” เลขาคนสนิทพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ดวงตาสีเพลิงมองกระจกส่องหลังที่กำลังสะท้อนภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่ทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
“ฉันไม่เคยรออะไร และที่สำคัญ... ฉันไม่มีทางสูญเสียสิ่งที่มันเป็นของฉันเด็ดขาด” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจก็ยังหวั่นๆกับคำพูดที่ส่อลางไม่ดีของเลขา แต่ถึงจะรู้สึกหวั่นๆยังไงเขาก็ยังสุขุมพอที่จะเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ไม่แสดงออกมาให้เห็นจนกระทั่ง...
“รั้งตัวเอาไว้ได้แต่หัวใจไปอยู่ที่อื่น หรือคุณอยากจะให้มันเป็นแบบนั้นครับ?”
ประโยคสั้นๆแต่ได้ใจความทำให้เส้นความอดทนของคนที่พยายามอดกลั้นขาดผึงลงในที่สุด
“จอดรถ...” ซาสึเกะสั่งเสียงเรียบ
“ครับ?”
“ฉันบอกให้จอดรถ!!!”
เสียงตะคอกที่ดังเสียจนแก้วหูแทบแตกทำให้เลขาหนุ่มใช้เท้าแตะเบรกแทบไม่ทัน จูโกะที่เหยียบเบรกกะทันหันประคองตัวรถที่ทำท่าจะเซออกนอกช่องจราจรเข้าเทียบจอดข้างทาง รถยุโรปสีดำสนิทอีกคันที่ขับตามมาจอดอยู่ข้างหลังโดยรักษาระยะห่างราวห้าเมตร
“ลงไป” ร่างสูงพูดพร้อมกับเปิดประตูรถแล้วย้ายตัวเองจากเบาะหลังมาประจำตำแหน่งที่นั่งคนขับ เขาพยักพเยิดหน้าไปยังกลุ่มคนที่ออกมายืนออกันอยู่นอกรถ
“บอกเจ้าพวกนั้นด้วยว่าไม่ต้องตาม ถ้าฉันเห็นใครเสนอหน้าตามไปล่ะก็ ฉันไล่ออก!”
“แล้ว...คุณจะไปไหนครับ?” ฝ่ายคนเพิ่งถูกปล้นตำแหน่งคนขับเอ่ยถามยิ้มๆ
“ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องยุ่ง!!!” พูดจบก็บึ่งรถออกไปทันทีไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ถามอะไรต่อ จูโกะมองตามไปพร้อมกับหัวเราะ
“จะดีเหรอครับคุณจูโกะ ดูคุณซาสึเกะอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมเกรงว่าจะไปก่อเรื่อง” บอดี้การ์ดนายหนึ่งเดินตัวลีบเข้ามาถาม จูโกะละสายตาจากรถของเจ้านายที่ขับฝ่าความมืดออกไป ดวงตาสีเพลิงหันกลับมามองหนึ่งในทีมอารักขาที่ยืนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตก
“อ้าว เป็นห่วงนักก็ตามไปสิ”
“ใครจะกล้าล่ะครับ” ผู้ใต้บังคับบัญชาตอบเสียงอ่อย
ทั้งสั่งทั้งขู่มาซะขนาดนั้น ใครกล้าตามไปก็เรียกได้ว่าไม่รักชีวิต!
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก” เลขาหนุ่มพูดทั้งที่ยังกลั้นขำ “ก็แค่ไปตามเมียกลับบ้านน่ะไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันกับใครซักหน่อย และที่ไม่อยากให้ตามไปนั่นก็คงเพราะไม่อยากให้เห็นน่ะสิ...”
“...”
“ฉาก ‘ง้อ’ เมียน่ะนะ”
.
.
.
ร่างบางในชุดพนักงานเสิร์ฟออกมายืนสุดอากาศบริสุทธิ์อยู่ด้านหลังของผับหลังจากขลุกตัวอยู่ในผับที่มีแต่กลิ่นสุรากับกลิ่นบุหรี่ลอยคลุ้งในอากาศจนน่าเวียนหัว ดวงตาสีมรกตก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะลอบระบายลมหายใจแผ่วเบา...ยืดยาว... สองทุ่มแล้ว... เธอเดาว่าป่านนี้เพื่อนสนิทของเธอคงจะยังไม่กลับจากเดทกับซาอิแน่ๆ คิดแล้วก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้เพื่อนของเธอตอนนี้คงกำลังมีความสุข...ความสุข...ที่ได้อยู่กับคนที่ตัวเองรักและอีกฝ่ายก็รักตอบ เป็นความสุขที่เธอไม่อาจวาดฝันถึงได้เลยด้วยซ้ำ...
ตราบใดที่คนที่เธอรักยังเป็น ‘เขา’ ...
ในขณะที่ปล่อยให้ความคิดคำนึงลอยล่องไปแสนไกล เสียงเครื่องยนต์ครางหึ่งก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อหันไปมองก็พบรถยุโรปคันหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วก่อนจะจอดสงบอยู่ใกล้ๆกับประตูผับ หญิงสาวพยายามหรี่ตามองคนที่อยู่ในรถแต่เพราะแสงไฟหน้ารถที่เปิดไว้เสียจ้าทำให้เธอมองได้ไม่ชัดว่าเจ้าของรถที่ไม่ยอมเอารถไปจอดที่ลานจอดรถหน้าผับแต่กลับแวะมาจอดที่หลังผับนั้นเป็นใคร และความสงสัยของเธอก็ถูกตอบในอีกหนึ่งนาทีให้หลังเมื่อเจ้าของรถออกมายืนปรากฏกายต่อหน้าเธอ ดวงตากลมโตเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างสูงสง่ากับดวงตาสีรัตติกาลที่ดูน่ากลัว
อุจิวะ ซาสึเกะ...
“คะ...คุณซาสึเกะ!” ร่างบางร้องเสียงหลง พยายามขยับตัวถอยห่างจากคนอันตรายแต่แข้งขาก็ไม่ยอมขยับตามที่สมองสั่ง
“ตกใจใช่มั้ยที่เห็นฉันที่นี่” อีกฝ่ายพูดพร้อมกับกัดฟันกรอด ใบหน้าถมึงทึงเหมือนพร้อมจะฆ่าเธอได้ทุกเมื่อทำให้หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นด้วยความกลัว
“คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉัน...อ๊ะ! คุณจะพาฉันไปไหน!?!” เธอร้องถามเมื่อถูกแรงมหาศาลจากร่างสูงฉุดกระชากไปตรงซอยมืดๆด้านหลังร้าน
“ฉันบอกเธอแล้วใช่มั้ยว่าระหว่างอยู่ในสัญญากับฉัน ห้ามเธอมาเหยียบที่นี่เด็ดขาด! ครั้งที่แล้วก็ได้ ‘บทเรียน’ ไม่แล้วไม่ใช่รึไง อยากลองดีกับฉันนักใช่มั้ย!?!” เมื่อหาที่สงบๆคุยกันได้ ซาสึเกะก็ไม่รอช้าที่จะอาละวาดใส่คนที่กำลังพยายามแกะข้อมือของตัวเองออกจากมือที่แสนแข็งแกร่งของเขา
“คุณปล่อยฉันนะ!”
“กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้!”
“ฉันบอกคุณไปแล้วยังไงล่ะคะว่าฉันไม่กลับ!” ตวาดใส่พร้อมกับสะบัดมือแรงๆแต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม
มือของเขาไม่ขยับเลยซักนิด...
“แต่พี่กำลังจะกลับมา ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องกลับ อย่าลืมว่าสัญญาที่เธอทำไว้กับฉันมันมีข้อที่ระบุไว้ว่าต่อหน้าพี่อิทาจิเธอกับฉันต้องเล่นบทสามีภรรยากัน จำไม่ได้รึไง?” ร่างสูงพยายามพูดอย่างใจเย็น เขารู้ดีว่าเธอดื้อมากกว่าที่เห็นหลายเท่านัก บางทีถ้าใช้ไม้อ่อน... เธออาจจะยอมกลับไปกับเขาก็ได้
“แต่พี่ชายคุณก็รู้เรื่องทั้งหมดแล้วไม่ใช่เหรอคะ เราจะเล่นละครหลอกเด็กแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?” เธอย้อนจนเขาไปต่อไม่เป็น ดวงตาสีมรกตเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา
“แล้วคุณน่ะ...กำลังเล่นตลกอะไรกับฉันเหรอคะ คุณยกเลิกนัดหมอ คุณทำแบบนั้นทำไม? ทำไมคุณไม่รีบทำให้มันจบๆคะ เราจะได้ต่างคนต่างไปกันซักที โอ๊ย!” พูดยังไม่ทันจบประโยคดีเธอก็ต้องร้องอย่างเจ็บปวดเมื่อข้อมือถูกบีบเสียแรงจนกระดูกแทบร้าว
“อยากให้มันจบเร็วๆงั้นเหรอ?” ซาสึเกะพูดพร้อมกับยิ้มเหยียดก่อนจะตะคอกเสียงดัง “ทำไม!?! มีใครรอเธออยู่รึไง? บอกให้มันรอต่อไปนะ เพราะฉันไม่มีทางปล่อยเธอแน่นอน!!!”
“แล้วคุณจะเก็บฉันเอาไว้ทำไมคะ?” เธอถามทั้งน้ำตา ลิ้มรสอันขมขื่นของความเจ็บปวดที่ปลายลิ้น “เราเกลียดกันมากขนาดนี้ทำไมไม่อยู่ทางใครทางมัน คุณอยากให้ฉันอุ้มท้องให้ลูกของคุณฉันก็พร้อมจะทำอยู่นี่ไงคะ สัญญาของคุณ...ฉันกำลังจะทำอยู่นี่ไง แล้วคุณน่ะ...มาทำแบบนี้ทำไมคะ... ”
“ฉันก็แค่อยากเห็น...ไอ้หน้าตาเหมือนกำลังจะขาดใจตายของเธอเวลาที่อยู่กับฉัน คงทรมานมากสินะที่คนที่เธอต้องเห็นหน้าอยู่ทุกวันมันเป็นฉัน!... ไม่ใช่ไอ้บ้านั่นน่ะ!!!” ตะคอกกลับไปอย่างเดือดดาล ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ...
ทำไมเธอถึงอยากจะไปจากเขานักนะ?
ผู้ชายที่รอเธออยู่มันดีกว่าเขานักหรือไง!?!
“ทรมานเหรอคะ? ฉันก็เจ็บปวดทรมานแทบตายอยู่ทุกวันนี่ไง! คุณยังต้องการอะไรจากฉันอีก!?!” เธอร้องถาม ความปวดร้าวดูจะหยั่งรากลึกลงในใจจนเธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อีกต่อไป
“ฉันไม่มีอะไรจะให้คุณแล้วนะคะ ศักดิ์ศรี ร่างกาย หรือแม้แต่...‘หัวใจ’ ฉันก็ให้คุณไปหมดแล้ว! ฉันไม่เหลืออะไรจะให้คุณแล้ว!!!”
หัวใจ?
“เธอ...ว่าอะไรนะ” ซาสึเกะถามเสียงขาดห้วง เขาคิดว่าตัวเองคงฟังอะไรสักอย่างผิดไป
“อยากจะหัวเราะฉันมั้ยคะ? หัวเราะกับความบ้าของฉัน... คำเตือนแรกที่คุณพูดเมื่อตอนนั้น คำเตือนที่คุณบอกฉันว่าห้ามรักคุณเด็ดขาดนั่นน่ะ... ฉันทำไม่ได้”
“!!!”
“ฉันรักคุณไปแล้ว!”
ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาจากร่างสูง เขายืนเงียบราวกับไม่มีตัวตน โดยที่ไม่รู้เลยว่าความเงียบของเขามันกำลังฆ่าคนที่เพิ่งบอกความในใจทั้งเป็น หญิงสาวสะอื้นจนตัวโยน กัดริมฝีปากจนแทบจะห้อเลือด ช่างน่าสมเพชตัวเองเหลือเกิน... จนตรอกจนถึงกับต้องบอกความรู้สึกออกไปให้เขาหัวเราะเล่น แต่ยังไงเธอก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว และถ้าเผื่อว่าเขายังมีความเห็นใจเหลืออยู่สักนิด เขาก็คง...
ไม่รั้งเธอไว้...
“ฉันพยายามจะหนีจากคุณ ไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกแม้แต่วินาทีเดียว! ทั้งหมดมันก็เพื่อให้ฉันลืมคุณไปซะ ถ้าลืมแล้วฉันก็จะตัดใจได้ ถ้าลืมแล้วฉันก็จะไม่มีอะไรผูกพันกับคุณอีก แต่คุณ... แทนที่คุณจะปล่อยฉันไป คุณกลับรั้งตัวฉันเอาไว้ ให้ฉันเห็นหน้าคุณ! คุณ... ที่ฉันไม่อาจแตะต้องได้ มันเจ็บปวดทรมานมากขนาดไหนคุณรู้บ้างมั้ยคะ!?!”
คำพูดที่เก็บงำเอาไว้ในใจพรั่งพรูออกมาจากริมฝีปากอิ่มสวย หญิงสาวดิ้นสุดแรง ทั้งทุบ ทั้งตีแต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือเธอ ยิ่งดิ้น...เขาก็ยิ่งจับมือเธอเอาไว้แน่น
“ฉันเจ็บ...” เธอพูด ยังคงพยายามแกะมือออกจากมือของเขา
“...”
“ตอนนี้แค่หายใจฉันยังรู้สึกเจ็บ แค่คิดถึงคุณกับอนาคตที่ฉันจะต้องเจอฉันก็ทรมาน... ฉันรู้ดีว่าหนีคุณไม่พ้น รู้ดีว่าฉันจะต้องทำตามสัญญา แต่ว่า...คุณให้เวลาฉันหน่อยได้มั้ยคะ?”
“...”
“อย่าเพิ่งให้ฉันเห็นหน้าคุณตอนนี้เลย ไม่งั้นฉันคง...ตัดใจไม่ได้” น้ำเสียงอ้อนวอนของเธอช่างน่าสงสารยิ่งนัก มันดูเศร้าสร้อยจนคนฟังยังรู้สึกสะท้านในใจ
“ปล่อยฉันเถอะค่ะ ปล่อยมือฉัน...” เธอร้องขอ
“...”
“ปล่อยฉัน...”
“...”
“ฉันบอกให้ปล่อยฉัน!!!” หญิงสาวตะโกนพร้อมกับดิ้นสุดแรงจนสามารถสะบัดมือของเขาออกไปได้ เมื่อเห็นว่ามือเป็นอิสระร่างบางก็หมุนตัวกลับแทบจะในทันที ตอนนี้เธออยากจะหนีไป... หนีไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่มีเขาอยู่ ไปให้พ้นจากความเจ็บปวดที่คอยทิ่มแทงเธออยู่ทุกวินาทีแบบนี้...
แต่ยังไม่ทันที่ขาจะได้ก้าวหนีไปไหน คนข้างหลังก็คว้าตัวเธอไว้ได้ทัน ร่างทั้งร่างของเธอถูกดึงจนไปปะทะเข้ากับแผ่นอกของอีกฝ่าย เธอพยายามจะขืนตัวออกแต่ท่อนแขนแข็งแกร่งก็โอบรัดตัวเธอเอาไว้เสียแน่น ร่างบางดิ้นขลุกขลักอย่างดื้อรั้นอยู่อย่างนั้นสักพักก่อนจะยอมแพ้ในที่สุด ดวงหน้าหวานที่เต็มไปด้วยน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุดซุกอยู่กับแผ่นอกของเขา
“ที่พูดมาน่ะ...ไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ย?” ร่างสูงพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสงบลงแล้ว เขาใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธอเบาๆ
“ฮึก... ”
“ทุกอย่างที่เธอพูด เป็นความจริงใช่มั้ย? ซากุระ...”
เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อของเธอ...
น้ำเสียงนั้นไม่ได้เต็มไปด้วยความดูถูกเย้ยหยันเหมือนที่ผ่านมา หากแต่ดูอบอุ่นลึกซึ้งจนเธอเองยังรู้สึกได้ เจ้าของชื่อดูเหมือนจะสะดุ้งเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะซุกหน้ากลับไปที่อกเหมือนเดิมราวกับต้องการจะซ่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาเอาไว้
“ฮึก...คุณมันใจร้าย... คุณใจร้าย” เธอพึมพำพร้อมกับใช้มือทุบรัวไปที่อกของเขาอย่างบ้าคลั่ง แต่ทว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอทำให้คนถูกประทุษร้ายอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา กำปั้นเล็กๆของเธอที่ทุบรัวอยู่ที่อกของเขามันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บอะไรเลยสักนิด... ไม่เจ็บเลย...
ความเจ็บทุกอย่างดูเหมือนจะหายไปหมดแล้ว ความรู้สึกหน่วงๆในใจที่เขามีมาตลอดหนึ่งอาทิตย์ก็เหมือนกัน มันหายไปนับตั้งแต่ที่เธอพูดคำนั้นออกมา...
“ฉันรักคุณไปแล้ว”
แค่ประโยคนี้เท่านั้นที่เขารอคอยมาตลอด... แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวความลังเลที่มีก็มลายหายไปจนสิ้น หัวใจแสนด้านชาลิงโลดขึ้นมาเหมือนได้ยาชูกำลังชั้นดี ซาสึเกะกระชับกอดแน่นขึ้น เขาเคยคิดสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง...เขาเคยลังเลว่าตัวเองควรจะยอมรับความรู้สึกแปลกๆนั่นดีรึเปล่า แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันชัดเจนแล้ว...
เขารักเธอ
“ให้ฉันอยู่คนเดียวสักพักนะคะ ฮึก... ฉันจะได้...ตัดใจ...อื๊อ...” คำพูดที่ดูแสลงหูสำหรับคนฟังถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากบางถูกครอบครองด้วยเรียวปากได้รูปของคนตัวสูงกว่า
ตัดใจหรือ? ไม่ยอมปล่อยให้เธอทำแบบนั้นหรอก...
ทุกความรู้สึก...ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสัมผัสที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่น เขาถ่ายทอดมันออกมาอย่างช้าๆแต่ทว่าหนักแน่นราวกับต้องการจะย้ำให้เธอรู้ถึงความรู้สึกที่อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ
ซาสึเกะรู้ดี...เขาไม่ใช่คนที่ถนัดนักกับการพูดอธิบายความรู้สึกของตัวเองให้ใครฟัง ต่อให้ใจรู้สึก ‘รัก’ จนแทบบ้า แต่ฝืนยังไงปากมันก็คงไม่ขยับ เขาจึงเลือกที่จะบอกเธอเป็นภาษากาย เพราะมันคงบอกทุกอย่างให้เธอรู้ ...รู้อย่างลึกซึ้ง... รู้ว่าแท้จริงแล้ว ‘คนใจร้าย’ ที่เธอพูดถึง... กำลังรู้สึกอะไร...
หวานเหลือเกิน...
ซากุระรู้สึกเหมือนว่าร่างกายของตัวเองเบาจนแทบจะลอยละล่องไปกับสายลม... ทำไมมันถึงได้หวานขนาดนี้? จูบของเขาในตอนนี้แตกต่างจากจูบแรกของเธอกับเขามาก มันอ่อนโยน นุ่มละมุนและน่าหลงใหล มันทำให้เธอแทบละลาย...
ทำให้เธอรู้สึกได้ถึง...
‘ความรัก’
เมื่อรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดเริ่มหมดแรง ร่างสูงก็ผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า ดวงตาสีรัตติกาลมองร่างเล็กอย่างมีความหมาย... ดวงตาที่แสนแข็งแกร่งคู่นั้นไม่เหลือแล้วซึ่งความหยาบกระด้าง ซาสึเกะยกมือขึ้นเกลี่ยน้ำตาที่เลอะอยู่เต็มใบหน้านวล
“ตัดใจไม่ได้ก็ไม่ต้องตัด” ร่างสูงพูดพร้อมกับยิ้ม... เป็นยิ้มที่มีเสน่ห์ที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา
“ฮึก...”
“อยากจะรักฉันก็รัก”
คราวนี้ไม่พูดเปล่าแต่กลับดึงตัวเธอเข้าไปกอดไว้เสียแน่นราวกับโหยหามานานแสนนาน
“คิดถึงมากเลย...รู้มั้ย?”
ประโยคสั้นๆฉบับคนมึน กรี๊ดดดด อิเกะ ในที่สุดก็ได้แสดงบทพระเอกซักที >< โอ๊ย ซึนๆมึนๆมาตั้งหลายตอนสุดท้ายมันก็หวานเลี่ยนกับเค้าเป็น รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก T^T
มาต่อให้ครบแล้วนะคะ เชื่อว่าตอนนี้มันเป็นตอนที่หลายคนรอคอยมาแสนนาน (ไรท์ก็รอจะแต่งมานานจนเหงือกแห้งแล้วค่ะ-.-) ก็จบไปแล้วสำหรับตอนที่แต่งออกมาเพื่อฉลอง The Last ซึ่งได้ยินเสียงบ่นว่าเกะกุน้อยจนจะเรียกได้ว่าไม่มี นี่ถ้ามูฟวี่หน้าไม่เสนอเรื่องเกะกุเยอะๆนะ ไรท์จะไปเผาบ้านอ.มาซาชิ-0- (เห็นเขาว่าจะทำรุ่นลูกเป็นเดอะมูฟวี่ด้วยค่ะ สิงหาปีหน้าล่ะมั้งนะ) ต่อจากนี้ก็คงจะลายาวกันอีกรอบ T^T และจะกลับมาตามสัญญาเหมือนเดิมค่ะ คิดว่าคงไม่เหลืออะไรให้ฉลองแล้ว 555
ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันนะจ๊ะ จุ๊บๆ <3
ความคิดเห็น