ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC Naruto] เพลิงแค้นซาตาน [END]

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : จุดเริ่มต้นและจุดจบของความแค้น

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 57


    บทที่ 1 จุดเริ่มต้นและจุดจบของความแค้น

     

     

    ปิ๊งป่อง--- ~

               

                “จ้า มาแล้วจ้า” น้ำเสียงงัวเงียฟังดูไม่ชัดดังนำมาก่อนที่ใครบางคนจะเปิดประตู ภาพตรงหน้าทำเอาเธอแทบช็อค เจ้าของเรือนผมสีเหลืองทองโดดเด่นที่ตั้งชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทางกำลังยืนมองเธออย่างสะลึมสะลือ มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตูในขณะที่อีกข้างถือถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่หนังตาของเจ้าตัวนั้นแทบจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่

     

                “ตื่นมาก็โซ้ยของหนักเลยนะยะนายน่ะ -_-

     

                “อ้าว... ซากุระจังเองเหรอ ฮ้าว~ มา...ง่ำๆๆ มาทำไมแต่เช้าตรู่เลยเนี่ย ง่ำๆวันนี้มัน...ฮ้าว~ วันหยุดไม่ใช่เหรอ?” เออนั่น...ตกลงจะกิน จะนอน หรือจะคุยกับเธอกันแน่นะไอ้หมอนี่

     

                “นี่มันเที่ยงแล้วย่ะ!” ซากุระเอ็ดก่อนจะถอนหายใจ  “ช่างเหอะ! รีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วแต่งตัวซะ ฉันจะรอ อย่าให้นานล่ะ อุซึมากิ นารูโตะ” เธอเน้นย้ำทีละคำเพื่อให้คนตรงหน้าเข้าใจว่าเธอกำลังรีบจริงๆ แต่เหมือนว่าเจ้าของรอยยิ้มใสซื่อนั้นจะซื่อบื้อเกินกว่าที่จะตีความหมายนั้นออก

     

                “ฮะ! ว่าไงนะ จะไปเดทกันเหรอ!?!

     

                “ท่านซึนาเดะเรียกหรอกย่ะเจ้าบ้า!” เธอแหวเข้าให้ก่อนจะกระแทกประตูปิดปังเล่นเอาเจ้าของห้องถึงกับร้องจ๊าก

     

                “ใจร้ายอ่า... ซากุระจัง”

    .

    .

    .

     

                “ช้าจริง! มัวแต่ไปโอ้เอ้ที่ไหนมา แย่จริงๆเลย!” นั่นเป็นประโยคแรกที่เธอได้ยินเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องของ โฮคาเงะซึ่งเป็นชื่อตำแหน่งของนินจาที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน โคโนฮะควบด้วยตำแหน่งผู้นำของเหล่านินจาแห่งแคว้น ฮิโนะคุนิหรือ แคว้นแห่งไฟ นั่นเอง

                “ขะ...ขอโทษด้วยค่ะท่านซึนาเดะ เจ้านารูโตะมัวแต่กินข้าวเช้าตอนเที่ยงอยู่น่ะค่ะ” ซากุระละล่ำละลักตอบเพราะกลัวว่าท่านโฮคาเงะรุ่นที่ห้าจะเกิดปรี๊ดแตกและจะพาลทำลายข้าวของเอาได้ง่ายๆ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวต้นเหตุจะไม่สะทกสะท้านเลยสักนิดว่าหัวตัวเองหวิดจะหลุดจากบ่าเสียแล้ว

     

                “เรียกคนเค้ามาตอนวันหยุดเนี่ย มีธุระอะไรสำคัญเหรอป้า”

     

                “ฮึ่ม...!” ซึนาเดะมองคนไม่รู้กาลเทศะอย่างปลงๆก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เคร่งเครียด“มีข่าวแพร่กระจายในหลายๆแห่ง ฉันอยากจะคุยเรื่องนี้แหละ”

     

                “ข่าว? ข่าวอะไรเหรอครับ?”

     

                “โอโรจิมารุตายแล้ว ดูเหมือนซาสึเกะจะเป็นคนฆ่าด้วย...”

     

                “!!!

     

                “!!!” สิ้นเสียงของซึนาเดะ ใบหน้าของสองหนุ่มสาวก็อยู่ในสภาพที่ซึนาเดะคาดการณ์ไว้ไม่ผิด ทั้งคู่ตกใจและมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสดใสจะเป็นคนเอ่ยทำลายความเงียบ

     

                “แหม! ผมก็ว่าแล้วว่าคนอย่างหมอนั่นน่ะไม่เสียท่าให้โอโรจิมารุง่ายๆหรอก ฮี่ๆ”

     

                “งั้น...งั้นเค้าก็...” ซากุระพูดพร้อมกับน้ำใสๆรื้นขึ้นที่ตา

     

                “งั้นหมอนั่นก็จะกลับมาโคโนฮะแล้วสิ” นารูโตะเป็นฝ่ายถามขึ้น ซึ่งมันก็เป็นคำถามเดียวกับที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ แต่คนถูกถามกลับนิ่งเงียบ สายตาของผู้หยั่งรู้กวาดมองไปยังผู้อาวุโสน้อยกว่าทั้งสอง ก่อนจะตอบด้วยเสียงอันเบาหวิว

     

                “ไม่หรอก... ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้นนะ...”

    .

    .

    .

     

    อีกด้านหนึ่งของแคว้นฮิโนะคุนิ ท่ามกลางผืนป่าที่ดูรกร้างผู้คน ปรากฏการต่อสู้ของสองสายเลือดแห่งตระกูลอุจิวะ อุจิวะ ซาสึเกะ และ อุจิวะ อิทาจิ

     

                “แฮ่กๆ...” เสียงหายใจหอบถี่ดังมาจากชายที่บัดนี้ไม่เหลือเค้าของผู้แข็งแกร่งที่สามารถโค่นโอโรจิมารุเลยแม้แต่น้อย ขาทั้งสองข้างของเขาไม่มีแรงแม้จะยืนหยัดลุกขึ้น

     

                “ซาสึเกะ...คาถาของนายจบแค่นี้รึไง ถ้ามีพลังอะไรซุกซ่อนอยู่ก็เอาออกมาใช้เลยสิ” ชายเจ้าของดวงตาสีแดงฉานไม่ต่างกับเขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก

     

                “ไม่! ฉันจะไม่ยอมแพ้แบบนี้ ฉันจะไม่แพ้แกเป็นครั้งที่สอง!” ซาสึเกะตวาดลั่นแม้ว่าความจริงแล้วเขาแทบจะไม่มีจักระเหลืออยู่เลย

     

                “ยังพูดจาอวดดีเหมือนเดิมนะ แต่สภาพแบบนั้นนายจะทำอะไรฉันได้”

     

                “ยังไงฉันก็จะฆ่าแกให้ได้อิทาจิ ฉันจะล้างแค้นให้พ่อกับแม่ ล้างแค้นให้กับอุจิวะทุกคนที่ถูกแกฆ่า!” ซาสึเกะมองหน้าบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น พี่ชายแท้ๆอย่างเกลียดแสนเกลียด ภาพความทรงจำในค่ำคืนที่แสนโหดร้ายไหลย้อนกลับเข้ามาในหัวราวกับภาพยนตร์ที่กำลังฉายซ้ำ...

     

                ในคืนที่ดวงจันทร์ส่องแสงได้ไม่เต็มที่เพราะมีเมฆบดบัง เด็กชายวัยเจ็ดขวบที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนกำลังเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี วันนี้เขาได้รับคำชมจากอาจารย์อีกแล้ว ถ้าเล่าให้พี่ชายฟังพี่ชายต้องดีใจมากแน่ๆ เด็กชายเดินผ่านเขาไปในเขตพื้นที่ของตระกูลอุจิวะ แต่แทนที่พื้นที่นี้จะเต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คนเดินขวักไขว่เหมือนกับทุกวัน วันนี้มันกลับเงียบ... เงียบเสียจนดูน่ากลัว...

              ซาสึเกะในวัยเจ็ดขวบรับรู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่ เขารีบวิ่งไปยังคฤหาสน์ของตระกูลอุจิวะอันเป็นบ้านของตัวเอง แต่ที่บ้านก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน ไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงนุ่มนวลของแม่ที่มาต้อนรับ...

     

              “แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว” เด็กชายตะโกนเรียกผู้เป็นแม่แต่ก็มีเพียงความเงียบที่ขานรับ ซาสึเกะเดินเข้าไปในตัวบ้านด้วยความรู้สึกตื่นกลัว กลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียนลอยมาปะทะจมูกจนแทบจะอาเจียน แต่ถึงกระนั้นเด็กชายก็ยังคงใจแข็งเดินต่อไป จนมาหยุดที่หน้าห้องๆหนึ่งที่กลิ่นคาวเลือดนั้นคละคลุ้งยิ่งกว่าห้องใด

     

              “มะ...แม่ครับ พ่อครับ...” ซาสึเกะร้องเรียกอีกครั้งแม้จะพอคาดการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังอยากให้มันเป็นเพียงการคาดการณ์ที่ไม่ใช่เรื่องจริง

     

              ภาพตรงหน้าที่ปรากฏทำให้เด็กชายถึงกับล้มทั้งยืน ร่างของผู้เป็นพ่อนอนจมกองเลือด ข้างๆกันนั้นก็มีร่างของแม่ที่อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

     

              “พ่อครับ! แม่ครับ!” ซาสึเกะที่แทบจะไม่มีแรง คลานไปดูร่างของทั้งสองอย่างเชื่องช้า

     

              “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ใครทำกับพ่อแม่แบบนี้! ฮึก...” ในม่านน้ำตาแห่งความเศร้าโศกของเด็กชาย แสงจันทร์ที่คอยหลบเร้นอยู่หลังเมฆมาตลอดก็กลับส่องสว่างฉายชัด ภาพเงาเลือนรางที่เคยเห็นก็กลับเด่นชัดเหมือนมีแสงอาทิตย์ส่อง ชายคนหนึ่ง...กำลังยืนมองภาพอันน่าสลดของเด็กชายด้วยแววตาที่เฉยชา ผู้ชาย...ที่ซาสึเกะเรียกได้เต็มปากว่า พี่

     

              “พะ...พี่ครับ พี่ ฮึก...คะ..ใครก็ไม่รู้ ทำ...ทำกับพ่อแม่ ฮึก...” เด็กชายพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ทว่าก็ยังคงได้รับแค่สายตาที่เย็นชาเป็นการตอบแทน

     

              “พี่...”

     

    ฉึก!

              ดาวกระจายถูกปามาจากคนตรงหน้า มันเฉียดแก้มเขาไปเพียงไม่กี่มิลก่อนจะปักค้างอยู่ที่ผนังห้องด้านหลัง รังสีสังหารรุนแรงแผ่ไปทั่วบริเวณจนซาสึเกะไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ ความกลัวแล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว ความเจ็บปวดเสียดขึ้นมาในอก ไม่จริงหรอก...

     

              “พี่ครับ... หรือว่าพี่...”

     

    ฉึก!

     

              โดยไม่ต้องรอให้คนตรงหน้ายืนยันคำตอบ ดาวกระจายอันที่สองก็เป็นคำตอบชั้นดีที่ทำให้เด็กชายรู้ว่าตอนนี้ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่พี่ชายคนเดิมของเขาอีกต่อไปแล้ว อิทาจิสืบเท้าเข้ามาหาอย่างช้าๆ ในดวงตาปรากฏเนตรวงแหวนรูปร่างแปลก ซาสึเกะได้แต่คุกเข่าภาวนา... อย่าฆ่าผมเลย...

     

              “พี่ พี่อย่าฆ่าผมนะ ผมกลัวแล้ว ฮึก...อย่าฆ่าผม”

     

              “...” อิทาจิโน้มตัวลงก่อนจะใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายมองหน้าน้องชายคนเดียวของเขา

     

              “ฉันไม่ฆ่านายหรอก...” เสียงเยียบเย็นผิดมนุษย์เอ่ยขึ้น

     

              “ฮึก...”

     

              “เพราะชีวิตนายมันไร้ค่า! ไอ้น้องชายอ่อนแออย่างนายฆ่าไปมันก็ชวนสังเวชเปล่าๆ” คำพูดที่แสนเจ็บปวดเสียดแทงใจทำให้เด็กชายเริ่มมีอารมณ์โกรธ ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานเหมือนกับผู้เป็นพี่

     

              “แค้นฉันสิ! แค้นฉันและก็แข็งแกร่งขึ้น! จากนั้นก็มาแก้แค้นฉันคนนี้ คนที่ฆ่าพ่อกับแม่ของนาย คนที่พรากทุกสิ่งไปจากนาย!

     

              “ฮึก...ทำไม...”

     

              “...”

     

              “ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย! พี่ฆ่าพ่อกับแม่ทำไม...พี่ฆ่าพวกเค้าทำไม ตอบผมมาสิ!” ซาสึเกะมองผู้เป็นพี่ด้วยเนตรวงแหวนที่ยังไม่สมบูรณ์ ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวดจนใจแทบจะสลาย พี่ชายที่เขารักที่สุด...ทรยศเขา

     

              “ดวงตาแบบนั้นทำอะไรฉันไม่ได้หรอก ถ้านายมีดวงตาเหมือนฉันเมื่อไหร่...ก็ค่อยมาสู้กัน ฉันไม่มีธุระอะไรที่นี่แล้ว”

     

              “พี่...”

     

              “ถ้านายแข็งแกร่งแล้ว จะมาล้างแค้นฉันเมื่อไหร่ก็เชิญ...”

     

     

    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย นับตั้งแต่วันนั้นเขาก็มีชีวิตอยู่เพื่อความแค้น เขายอมสละ ยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังที่จะเอามาล้างแค้นกับผู้ชายตรงหน้า แต่ช่วงชีวิตที่เขาทิ้งไปนั้น...มันกลับทำอะไรผู้ชายตรงหน้าไม่ได้เลย เขาไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น หรือไม่ อุจิวะ อิทาจิก็แข็งแกร่งเกินไป

     

    “หมดแรงแล้วเหรอ ซาสึเกะ?” อิทาจิพูดพร้อมกับสืบเท้าเข้าไปหาน้องชาย

     

    “แก!

     

    “ถ้างั้น...ดวงตาคู่นั้นของนาย ฉันขอนะ”

     

    !!!

     

    “ผู้ที่ใช้เนตรวงแหวน... หากใช้วิชานี้ไปนานๆเข้าดวงตาทั้งสองข้างจะเริ่มฝ้าฟางและมืดบอดไปในที่สุด วิธีที่จะทำให้กลับมามองเห็นได้เหมือนเดิมคือต้องเปลี่ยนเอาดวงตาของผู้ที่มีเนตรเหมือนกันมาใส่ บางครั้งการต่อสู้แย่งชิงดวงตาอาจรุนแรงจนถึงขั้นต้องฆ่ากันตาย ดังนั้นตระกูลอุจิวะจึงได้ชื่อว่าเป็นตระกูลที่ต้องสาป เพราะนอกจากการเบิกเนตรจะจำเป็นต้องฆ่าคนที่ตัวเองรักแล้ว การจะทำให้ดวงตาทั้งสองข้างยังคงมองเห็นได้ต่อไปก็จำเป็นต้องแย่งชิงดวงตาของผู้อื่นมาเป็นของตน”

     

    นั่นเป็นสิ่งที่โอโรจิมารุเคยบอกเขาไว้ หรือนี่จะเป็นการคาดการณ์ของอิทาจิ! ผู้ชายคนนี้ฝากฝังความแค้นแสนสาหัสไว้ที่เขา กระตุ้นให้เขาตามล้างแค้นจนเขาต้องเบิกเนตรวงแหวนที่มีอนุภาพมหาศาล และท้ายที่สุดก็จะช่วงชิงเนตรวงแหวนของเขาไป!

     

    “ใครมันจะไปยอมให้แกทำแบบนั้น!” สิ้นเสียงซาสึเกะก็ลุกยืนขึ้นก่อนจะขว้างมีดคุไนที่ติดยันต์ระเบิดไว้เป็นแผงไปที่อิทาจิ แต่การโจมตีทั้งหมดนั้นถูกป้องกันโดยเทพวายุ ซูซาโนะโอะ อันเป็นพลังจากเนตรวงแหวนของอิทาจิ มันเป็นการป้องกันที่ไร้ที่ติ เขาไม่สามารถทำลายมันได้ เป็นความสามารถของอิทาจิที่เขาไม่มีวันก้าวผ่านไปได้...

     

     “นายจะทำอะไรมันก็ไร้ประโยชน์ การป้องกันของซูซาโนะโอะไม่มีช่องโหว่ อั่ก...!” จู่ๆอิทาจิที่พูดยังไม่ทันจบประโยคดีก็สำลักเลือดออกมากองใหญ่

     

    “ไม่...ไม่มีเวลาแล้ว ดวงตาของฉัน...แค่ก...” ถึงแม้ว่าสภาพร่างกายจะไม่เอื้ออำนวย แต่อิทาจิก็ยังคงเดินโซซัดโซเซมาหาเขาจนได้ ซาสึเกะได้แต่ยืนเบิกตาโพลง ร่างกายของเขาไม่ยอมขยับเขยื้อนตามที่สมองสั่ง

     

    “ตาของฉัน...”

     

    “ไม่...ฉะ...ฉันไม่มีวันยกให้แก ฉันจะไม่แพ้แกอีก” ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่ตัวกลับไม่ขยับ ถึงปากจะบอกว่าไม่แพ้แต่เขาทำอะไรไม่ได้แล้ว หรือเขาต้องเสียดวงตาคู่นี้ไปจริงๆ!?!

     

    “ซาสึเกะ...” อิทาจิเอื้อมมือที่เปื้อนเลือดข้างหนึ่งไปที่ดวงตาของซาสึเกะราวกับจะคว้ามันมาเป็นของตนพร้อมกับร่ายคาถาบางอย่าง แต่ท่ามกลางความตระหนกของผู้แพ้...

     

    แปะ

     

                อิทาจิใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจิ้มไปที่หน้าผากของซาสึเกะเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มแสนเศร้า... เหมือนที่ชอบทำกับเขาตอนเด็กๆ

     

                “พี่ครับ สอนผมปาดาวกระจายหน่อยซี่~ พี่สัญญาเอาไว้แล้วนะ” ซาสึเกะในวัยเด็กกำลังออดอ้อนพี่ชายคนเดียวของเขา ใบหน้าที่ฉายแววหล่อตั้งแต่เด็กกำลังงองุ้มเพราะถูกขัดใจ อิทาจิที่อยู่ในชุดนินจาพร้อมปฏิบัติการไม่ได้ตอบอะไรเพียงแต่กวักมือเรียกเด็กชายเข้าไปหา ซาสึเกะตัวน้อยวิ่งเข้าไปหาพี่ชายที่แสนรักเพราะคิดว่าคราวนี้พี่ชายตัวดีคงไม่บ่ายเบี่ยงและยอมสอนเขาปาดาวกระจายแน่ๆ แต่ทว่า...

     

    แปะ

     

              อิทาจิใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางจิ้มไปที่หน้าผากของเด็กน้อยเบาๆก่อนจะยิ้ม

     

              “โทษทีนะ ซาสึเกะ... วันนี้พี่มีงานน่ะ เอาไว้วันหลังนะ”

     

                “โทษทีนะ ซาสึเกะ... ที่มัน...ต้องจบแบบนี้...” อิทาจิมองผู้เป็นน้องผ่านดวงตาที่ฝ้าฟางของตัวเองก่อนจะยิ้มให้เขาเป็นครั้งสุดท้ายแล้วล้มลง เขาตายไปทั้งๆที่ยิ้ม...

     

    ฉันชนะงั้นเหรอ?

     

                ซาสึเกะทรุดตัวลงนั่งข้างๆร่างที่ไร้ลมหายใจของผู้เป็นพี่ เขาชนะแล้วสินะ... เขาแก้แค้นได้แล้ว... แต่ทำไมน้ำตาถึงได้ไหลไม่หยุด...?

     

                และท่ามกลางความรู้สึกสับสนของซาสึเกะ ภาพความทรงจำของใครคนหนึ่งก็ไหลเข้ามาในหัวพร้อมๆกับเนตรวงแหวนในดวงตาที่เริ่มเปลี่ยนไป

     

    คาถาสุดท้ายในชีวิตของอุจิวะ อิทาจิ... คือการปลูกถ่ายดวงตาให้น้องชายของตัวเอง!

     

     

     

    อิทาจินิซังงงงง Oh GOD WHY!?! T.T อ่านกี่ทีก็สะเทือนใจ ความรักของขุ่นพี่นี่มันสุดจะบรรยายจริงๆ   พยายามแต่งให้มันออกมาเศร้านะ (คือมันเศร้ามะ? ฮ่ะๆๆ) ตอนแรกกะจะไม่ย้อนอดีตแล้วน้า แต่ถ้าไม่ย้อนเรื่องมันจะไม่สมบูรณ์เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ยาวเหยียดเลย ปล. นารูโตะเปิดตัวอย่างหล่อ (หล่อลืมเลย>.<)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×