คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER 9 : คนในอดีต
บทที่ 9 คนในอดีต
เป็นเวลาเกือบเที่ยงที่อิโนะจะพอมีเวลาแอบมาโทรศัพท์หาเพื่อนสาว วันนี้ทั้งวันเธอยังไม่เห็นร่างบางเจ้าของเรือนผมสีดอกซากุระที่คุ้นตาเลยสักครั้ง เธอชักรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีเสียแล้ว... มันเป็นความรู้สึกหวิวๆในใจอย่างบอกไม่ถูก... อิโนะเลื่อนหาเบอร์ของเพื่อนรักจนเจอก่อนจะกดโทรออก
เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่ค่ะ...
เสียงโอเปอเรเตอร์ตอบกลับมาทำให้หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างนึกแปลกใจ
เพื่อนของเธอไม่เคยปิดมือถือ...
หรือว่าจะแบตหมด?
คำถามหลากหลายประเดประดังเข้ามาในหัว อิโนะจำใจต้องทิ้งเรื่องของซากุระไว้เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าฝ่ายบัญชีตะโกนเรียกเธอด้วยเสียงอันดังอันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว
“คุณอิโนะ!!!” ไกโผล่หน้าออกมาตะโกนเรียกเธอจากห้องของหัวหน้า
“ค่า” เธอขานรับก่อนจะเก็บมือถือใส่กระเป๋าตามเดิมและไปพบหัวหน้าแผนก
“คุณว่างอยู่ใช่มั้ย?” หัวหน้าแผนกคิ้วหนาเตอะถามเสียงดังพร้อมกับยิ้มอวดฟันสวย อิโนะที่ยังไม่ชินกับความแอคทีฟจนเกินจำเป็นถึงกับผงะถอยหลังไปสองสามก้าว
“คะ...ค่ะ”
“ผมมีอะไรจะวานหน่อย” ไกพูดพร้อมกับยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลที่ถูกปิดผนึกไว้อย่างดีให้เธอ หัวหน้าแผนกยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก่อนจะกระซิบบางอย่างด้วยเสียงอันเบาผิดปกติ
“นี่น่ะเอกสารลับของฝ่ายบัญชีเชียวนะ เอาไปส่งให้ถึงมือคุณชิสึเนะหัวหน้าเลขาด้วยล่ะ” กระซิบเสร็จเจ้าตัวก็กลับไปยืนที่เดิมพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้เธอเป็นการให้กำลังใจ อิโนะได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้ทั้งที่ขนในกายต่างพากันลุกชันอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แอคทีฟเกินไปจนน่ากลัว!
ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ร่างเพรียวบางสูงโปร่งของอิโนะก็มายืนเคว้งคว้างอยู่ที่แผนกบริหาร ดวงตาสีหยกมองไปรอบๆเพื่อหาคนใครบางแต่คนแรกที่เธอเพ่งตามองหามากที่สุดกลับไม่ใช่หัวหน้าเลขาที่เธอจะเอาเอกสารมาส่ง แต่เป็นเจ้าของเรือนผมสีดอกซากุระเพื่อนสนิทของตนต่างหาก แต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อน อิโนะถอนหายใจเบาๆ... ในใจก็นึกกังวลว่าวันนี้เพื่อนของเธอหายไปไหน เหตุใดถึงได้ขาดงานไปโดยไม่บอกให้เธอรู้แบบนี้
“คุณขึ้นมาทำอะไรบนนี้หรือครับ”
เสียงเรียกเบาๆของใครคนหนึ่งทำให้หญิงสาวสะดุ้งตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันมองไปยังต้นเสียงแล้วดวงตาสีหยกก็ต้องเบิกกว้างอย่างตกใจอีกครั้งเมื่อเห็นว่าคนที่เรียกเธอเป็นใคร... ร่างสูงโปร่งของท่านประธานหนุ่มยืนเด่นอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงถามมาให้ อิโนะยืนอ้าปากค้างเพราะไม่คิดว่าเธอจะได้เจอนารูโตะแบบตัวต่อตัว ดวงตาสีหยกที่เผลอสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าสดใสของชายหนุ่มหลุบต่ำลงแทบไม่ทัน...
ท่านประธานของเธอหล่อเป็นบ้า!
“สะ...สวัสดีค่ะท่านประธาน” อิโนะพูดอย่างเก้ๆกังๆทำตัวไม่ถูก แต่อีกฝ่ายดูจะไม่สนใจกับคำทักทายของเธอเท่าไหร่ นารูโตะมองเธอด้วยสายตาอ่านยากก่อนจะถามซ้ำอย่างหงุดหงิดหน่อยๆ
“ว่าไงครับ? หรือคุณขึ้นมาหาคุณซากุระเพื่อนของคุณ?” น้ำเสียงแปร่งๆที่ฟังไม่ออกว่าโกรธ สงสัย หรือเฉยๆของนารูโตะทำให้คนฟังเผลอเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็ต้องหลบตาก้มลงมองพื้นอีก ในใจเกิดคำถามขึ้นมา
เขารู้ด้วยหรือว่าเธอกับซากุระเป็นเพื่อนกัน?
ก็คงจะรู้นั่นแหละเพราะเด็กฝึกงานของบริษัทนี้มีแค่สองคน...
อิโนะให้เหตุผลกับตัวเองก่อนจะตอบคำถามของเขา
“เปล่าค่ะ” เธอตอบ “ดิฉันเอาเอกสารของฝ่ายบัญชีมาส่งให้คุณชิสึเนะค่ะ”
“งั้นหรือครับ... ตอนนี้คุณชิสึเนะคงคุยอยู่กับผอ.ไอทีอยู่ที่ห้องของเธอ คุณคงต้องรอสักพัก หรือคุณจะฝากเอกสารไว้กับพนักงานก็ได้ จะได้ไม่ต้องรอนาน” นารูโตะเอ่ยเสียงราบเรียบแล้วทำท่าว่าจะเดินจากไป แต่เขาก็ชะงักตัวไว้ ดวงตาสีฟ้าหันกลับมาจ้องคนที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ก่อนจะถาม
“แล้วเพื่อนของคุณเขาไปไหน?” น้ำเสียงนั้นแปร่งหูจนดูประหลาด “เขาเป็นคนประเภทที่ขาดงานแล้วหายไปเฉยๆแบบนี้หรือครับ”
“เอ้อ...” อิโนะพูดอะไรไม่ออกนอกจากยืนอ้ำอึ้งเพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนของตนหายไปไหน แต่สิ่งที่ทำให้เธอแทบจะหายใจหายคอไม่ออกจริงๆก็คงเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วชวนขนลุกของคนถามกระมัง
“ผมเกลียดคนไร้ความรับผิดชอบที่สุด...” ชายหนุ่มพูดเสียงเย็นเยียบทำให้อิโนะต้องรีบแก้ต่างให้เพื่อนแทบไม่ทัน
“ซากุระคง...ไม่สบายมั้งคะ”
“ผมไม่ได้เพิ่งบอกไปเหรอครับว่าเขา ‘หาย’ ไปเฉยๆ ถ้าไม่สบายก็น่าจะโทรมาลาสิ แต่เขาก็ไม่ได้โทรมา ไม่บอกให้รู้ ‘ไม่’ แจ้งอะไรเลย! จู่ๆก็หายไป ทำไมถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ จะโกรธอะไรกันนักหนา ทำอะไรเหมือนเด็กไร้ความรับผิดชอบ! นี่ถ้าคุณติดต่อเขาได้เมื่อไหร่ฝากบอกให้เขารู้ด้วยนะครับว่าผม โกรธมาก!” นารูโตะพูดรัวอย่างโกรธๆอย่างกับไปกินรังแตนที่ไหนมา และพอระบายอารมณ์ขุ่นๆที่มีมาตั้งแต่เมื่อเช้าจบเจ้าตัวก็เดินปึงปังจากไปโดยทิ้งให้คนรับฝากได้แต่ยืนทำตาปริบๆ ไม่เข้าใจกับอาการโกรธจนดูเว่อร์ของท่านประธาน อิโนะมองตามไปอย่างงุนงงแต่ในใจก็รู้สึกสยองแทนเพื่อนสาวของตนที่ตอนนี้ไม่รู้หายตัวไปอยู่ที่ไหน
แกซวยแล้วล่ะ ยัยซากุระเอ๊ย!
“แล้วดิฉันจะให้คนติดต่อไปอีกทีค่ะ...”
เสียงพูดคุยที่ดังอยู่ข้างหลังเธอทำให้อิโนะละความสนใจจากคนที่เพิ่งเดินดุ่มๆเข้าห้องตัวเองไป หญิงสาวหันหลังกลับไปดูเจ้าของเสียงซึ่งเธอพอจะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเสียงของหัวหน้าเลขาสุดโหดคนที่เธอต้องเอาเอกสารมาส่ง ร่างบางเตรียมจะเข้าไปทักทายแล้วส่งเอกสารให้แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจจนแทบสิ้นสติเมื่อเห็นคนที่เดินออกมาจากห้องพร้อมกับชิสึเนะ...
“ผมฝากด้วยนะครับ จริงๆก็ไม่อยากรบกวนอะไรเท่าไหร่ แต่ผมยังใหม่อยู่ก็เลยอยากได้คนมาแนะนำอะไรให้นิดหน่อย”
“ไม่เป็นไรค่ะ” ชิสึเนะตอบพร้อมกับยิ้ม “ทางเราอุตส่าห์ได้ตัว คุณซาอิ อัจฉริยะจากMITเข้ามาทำงานด้วยทั้งที เรื่องแค่นี้ถือว่าสบายมากค่ะ”
“ฮะๆๆ ผมชักจะสงสัยแล้วสิว่าคนในบริษัทนี้จะปากหวานเหมือนคุณชิสึเนะกันทุกคนรึเปล่า” ซาอิพูดพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยสายตากรุ้มกริ่มดูเจ้าชู้
“กะ...ก็ไม่ได้ปากหวานอะไรนี่คะ...ดิฉัน...พูดไปตามความจริง” ผู้อาวุโสกว่าพูดแทบไม่เป็นประโยคเมื่อถูกผอ.คนใหม่แซวตรงๆ
“งั้นผมก็ขอน้อมรับคำชมนะครับ คุณคนสวย”
“ท่านผอ. ... ท่านก็พูดเกินไป” หัวหน้าเลขาที่ว่าแน่พอเจอกับคำพูดหวานหยดแถมสายตาที่ดูซุกซนนั้นก็ถึงกับอายม้วนกันเลยทีเดียว ชิสึเนะหลบตามองพื้นอย่างเขินอาย ใบหน้าขาวแดงเรื่ออย่างช่วยไม่ได้ และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากผอ.หนุ่มรุ่นน้องได้โข
ภาพของคนสองคนที่เดินคุยกันมาทำให้คนที่ยืนมองดูอยู่รู้สึกมึนงงไปหมดราวกับถูกอะไรหนักๆฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างแรง เธอพยายามทำใจที่เต้นโครมครามให้กลับคืนสู่สภาพปกติแต่ก็พบว่ามันทำได้ยากยิ่ง...
“ทำไม...ถึงมาอยู่ที่นี่...” อิโนะพึมพำออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนแทบไม่มีใครได้ยิน ลำคอของเธอตีบตันไปหมดเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาคอยบีบมันไว้ หญิงสาวยืนตัวแข็งค้าง เธอปล่อยเอกสารร่วงจากมือโดยไม่รู้ตัว...
สามปีที่ไม่ได้เจอกัน... เขายังคงหล่อเหลาและดูสง่างาม...
อิโนะยืนอึ้งมองคนที่อยู่ตรงหน้าเหมือนไม่ได้สติ... ขอบตาของเธอร้อนผ่าวโดยอัตโนมัติทันทีที่เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย...
ใบหน้าของคนที่มอบความเจ็บปวดให้เธอ...
“นี่เธอ เธอทำเอกสารหล่นน่ะ” เสียงเตือนของชิสึเนะปลุกคนที่กำลังอยู่ในอาการตกตะลึงให้ได้สติ อิโนะรีบกุลีกุจอก้มลงเก็บซองเอกสารที่ตกอยู่ที่พื้นแล้วถือมันไว้อย่างสั่นๆ ดวงตาสีหยกของเธอยังคงจดจ้องอยู่ที่ร่างสูงที่ยืนส่งยิ้มหวานมาให้
เป็นรอยยิ้มที่เสแสร้งเหมือนเมื่อสามปีก่อนไม่มีผิด!
“ที่นี่รับเด็กฝึกงานด้วยเหรอครับ?” ซาอิมองดูเธอที่อยู่ในชุดนักศึกษาและมีป้ายคล้องที่คอบ่งบอกถึงสถานะ ‘เด็กฝึกงาน’ ก่อนจะหันไปถามหัวหน้าเลขาที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงกึ่งสงสัย
“ผมได้ข่าวมาว่าบริษัทนี้ไม่เคยรับพนักงานฝึกงานมาก่อน”
“ปีนี้รับเป็นปีแรกน่ะค่ะ รับเข้ามาสองคน คนหนึ่งอยู่ฝ่ายบัญชีอีกคนมาอยู่ฝ่ายบริหารแต่วันนี้รู้สึกว่าเด็กฝึกงานที่ฝ่ายบริหารจะไม่มา” ชิสึเนะอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ไม่กระตือรือร้นนัก ซาอิพยักหน้าตามอย่างเข้าใจ ใบหน้าของเขายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม...
“อ้อ...งั้นก็ตั้งใจทำงานนะครับ!” เขาหันมาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริง ใบหน้าหล่อคมส่งยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ผิดกับคนฟังที่หัวใจเจ็บแปลบลงเรื่อยๆ มันเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง... คิดถึง โหยหา โกรธ เกลียดชัง...
ทำไมเขาถึงทักทายเธอได้โดยที่ไม่รู้สึกอะไรเลย?
“เธอมีธุระอะไรที่แผนกนี้รึเปล่า” ชิสึเนะเอ่ยถามคนที่เป็นใบ้รับประทานไปเรียบร้อยแล้ว ดวงตาดุๆของเธอจ้องมองอิโนะอย่างไม่ค่อยพอใจนักกับท่าทีดูแข็งๆของอีกฝ่าย
“คะ...คือดิฉัน เอาเอกสารของฝ่ายบัญชีมาส่งคุณชิสึเนะค่ะ” อิโนะพยายามบังคับเสียงตัวเองไม่ให้สั่น น้ำใสๆรื้นขึ้นที่ตาอย่างช่วยไม่ได้ ความทรงจำในอดีตมันเริ่มกลับมาตามหลอกหลอนเธออีกครั้ง
“หัวหน้าไกบอกให้ส่งให้ถึงมือ ดิฉันก็เลยยืนรอคุณ...”
แปะ...
หยดน้ำตาหยดแรกร่วงหล่นลงที่พื้น...
“เป็นเด็กฝึกงานที่ขยันจริงๆนะครับ”
แปะ...
“เสียดายจังที่แผนกของผมไม่มี...”
ไม่ไหวแล้ว...
เธอยืนอยู่ตรงนี้อีกไม่ได้แล้ว...
หยดน้ำตาร่วงผล็อยลงเรื่อยๆอย่างไม่ขาดสาย อิโนะพยายามซ่อนมันไว้โดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตากับบุคคลทั้งสอง เธอรีบยื่นซองเอกสารใส่มือของชิสึเนะแล้ววิ่งออกไปจากตรงนั้นโดยไม่หันหลังกลับไปมองข้างหลังอีกเลย เธอมายืนรอลิฟต์ด้วยหัวใจที่เต้นรัวเป็นจังหวะประหลาด หยดน้ำใสๆไหลออกจากดวงตาคู่สวยไม่หยุด
ตอนนี้เธอต้องไปจากที่นี่...
ไปให้พ้นจากเขา...
คนที่เคยทำร้ายจิตใจของเธออย่างไม่ไยดี...
“ร้องไห้ทำไมหรือครับ? คุณคนสวย...” เสียงราบเรียบที่แสนคุ้นหูดังกระทบโสตประสาทที่เริ่มจะด้านชาเข้าไปทุกที อิโนะสะดุ้งเฮือกเผลอมองไปยังต้นเสียงชั่วขณะ แล้วเธอก็ต้องตกใจจนตาค้าง...
ซาอิเดินมาหยุดรอลิฟต์อยู่ข้างๆเธอ แต่เขาไม่ได้หันมองดูเธอ ดวงตาสีนิลจดจ้องอยู่กับมือถือสมาร์ทโฟนที่เจ้าตัวถือไว้ในมือ
เขากลับมาทำไม? กลับมาให้เธอเห็นหน้าทำไม...
นั่นเป็นคำถามแรกที่เธอคิดจะถามคนที่ยืนรอลิฟต์อยู่ข้างๆ อิโนะเบือนหน้าหนี พร้อมกับขยับตัวถอยห่างเธอไม่อยากแม้จะยืนอยู่ใกล้เขาอีกแม้แต่วินาทีเดียว รู้สึกเจ็บในอกราวกับมีใครกำลังเอามีดมาแทง ยิ่งได้เห็นใบหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาของเขา ได้ยินเสียงที่นุ่มนวลแต่ก็เสแสร้งของเขา... เธอก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด ความเจ็บช้ำที่เขาทำไว้มันทำให้เธออยู่อย่างทุกข์ทรมานมาจนถึงทุกวันนี้ เธอกลายเป็นคนกลัวความรัก... ไม่กล้าเปิดใจรับใครเข้ามาอีกเลย...
เธอกลัวว่าถ้าเธอรัก...
มันจะทำให้เธอเจ็บปวด...
ทุกอย่างเป็นเพราะเขา...
หญิงสาวย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่เธอยังเรียนอยู่ปีหนึ่ง... มันเป็นช่วงเวลาที่เธอไม่มีวันลืม... เด็กสาวที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาหมาดๆและยังไม่เคยมีคนรักมาก่อนอย่างเธอย่อมจะตื่นเต้นไปกับสังคมใหม่ที่เปิดกว้าง เธอในตอนนั้นก็เหมือนกับสาววัยแรกรุ่นที่ไม่ประสีประสากับความรักและชอบวาดฝันว่าตนจะได้พบกับคนรักที่มีภาพลักษณ์เป็นเหมือนเจ้าชายในเทพนิยาย... และเธอก็ได้พบกับเจ้าชายในฝันที่รอคอยมาทั้งชีวิต...
เขาเป็นนักศึกษาปีสี่ของภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์...
เป็นชายที่ฉลาดเป็นกรดและป๊อบปูล่าที่สุดในมหาวิทยาลัย...
เธอตกหลุมรักเขาทันทีตั้งแต่แรกเห็น...
และก็เหมือนว่าตอนนั้นฟ้าจะเป็นใจให้เธอ เพราะซาอิเองก็ดูจะสนใจรุ่นน้องต่างคณะที่เพิ่งเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยเป็นปีแรกเหมือนกัน สุดท้ายพวกเธอก็ได้ตกลงคบหาดูใจกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น... ในตอนนั้นอิโนะคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก เธอมีคนรักที่แสนดีและเป็นที่น่าอิจฉาของบรรดาสาวๆทั้งมหาวิทยาลัย เพราะนอกจากจะหน้าตาดีอย่างหาตัวจับได้ยากแล้ว ซาอิยังเป็นคนที่เปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติของผู้ชายในฝันทุกประการ เขาทั้งเอาอกเอาใจเก่ง มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ เขาดูแลเธอทุกอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง ด้านการเรียนเขาก็ช่วยเหลือเธอได้แม้ว่าจะเรียนอยู่คนละคณะและเป็นสาขาที่ต่างกันสุดขั้วก็ตาม
เขาสมบูรณ์แบบ...
เธอรักเขาอย่างไม่อาจถอนตัว...
มันเป็นความรักที่ดูโง่งมที่สุด!
แล้ววิมานในอากาศที่เธอมักจะฝันถึงก็ค่อยๆพังทลายลงมาอย่างช้าๆ... หลังจากที่คบกันมาเกือบสามเดือน... ในวันสอบไฟนอลวันสุดท้ายอิโนะมารอซาอิที่มีสอบรอบเย็นเพื่อจะไปฉลองสอบเสร็จด้วยกัน เธอนั่งรอเขาเกือบสามชั่วโมงที่หน้าคณะแต่ก็ไร้วี่แววของแฟนหนุ่ม สุดท้ายหญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปตามตัวซาอิข้างในเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆของเขาต่างพากันออกมาจากตัวตึกนานแล้ว เธอเดินดูตามห้องต่างๆที่คาดว่าแฟนหนุ่มจะอยู่จนกระทั่งมาหยุดอยู่ห้องๆหนึ่งที่ประตูถูกเปิดแง้มเอาไว้ ทั้งแสงไฟและความเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เล็ดลอดออกมาผ่านช่องน้อยๆที่ถูกเปิดทำให้เธอรู้ว่าคงมีคนอยู่ข้างใน เธอตัดสินใจเดินเข้าไปดู... ก่อนจะพบว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ทำให้เธอต้องพบกับความทรมานที่สุด...
ภาพนักศึกษาชายหญิงคู่หนึ่งกำลังโรมรันพันตูกันอย่างไม่เกรงใจสถานที่...
แม้ว่าเสื้อผ้าของคนทั้งคู่จะอยู่ครบไม่มีชิ้นไหนหลุดลงมากองที่พื้นแต่ก็เรียกได้ว่าใกล้เคียงเต็มที...
อิโนะยืนมองภาพนั้นอย่างตกใจ เธอกลั้นเสียงอุทานของตัวเองไว้แล้วทำท่าจะเดินจากไปอย่างเงียบๆถ้าเธอไม่เห็นเสี้ยวหน้าของนักศึกษาฝ่ายชายที่แสนคุ้นตาเสียก่อน...
‘พี่ซาอิ!’ หญิงสาวร้องตะโกนออกมาอย่างตะลึงงัน หัวใจเจ็บปวดเหมือนถูกทุบให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เจ้าของชื่อหันหน้ามามองเธอเล็กน้อย...
ดวงตาของเขา...
เฉยชา...
ไร้ความรู้สึก...
เขาทำเหมือนมองไม่เห็นเธอด้วยซ้ำ...
วินาทีนั้นอิโนะรู้สึกเหมือนตัวเองถูกผลักให้ตกจากหน้าผาที่สูงชัน เธอยืนอึ้งอยู่หลายวินาที...ก่อนที่เธอจะดึงสติของตัวเองกลับมาได้แล้ววิ่งจากไป หยดน้ำใสๆไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียใจยิ่งนักกับการถูกคนรักทรยศหักหลัง ไม่คิดว่าคนอย่างเขาจะทำกับเธอได้ถึงขนาดนี้ แต่ความเสียใจครั้งนี้กลับไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บช้ำที่สุด... นั่นมันเป็นแค่จุดเริ่มต้นต่างหาก...
หลังจากที่ทำแบบนั้นกับเธอแล้ว อิโนะคาดว่าจะได้เห็นสีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงความสำนึกผิดหรือหวังจะได้ยินคำขอโทษจากปากของเขา แต่เปล่าเลย...ซาอิไม่ได้ทำแบบนั้น
เขาปฏิบัติกับเธอเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ยังคงยิ้มให้เธอ ดูแลเธออย่างดีเหมือนเดิมทุกอย่าง...
ฉุดรั้งหัวใจของเธอไว้โดยที่ไม่รู้สึกผิดบาปอะไรเลย...
แต่เพราะว่าเธอรักเขามาก... เขาเป็นเหมือนผู้ชายในฝันและยังเป็นรักครั้งแรกของเธอทำให้เธอตัดใจไม่ลง...
เธอให้อภัยเขาทั้งที่เขาไม่เคยเอ่ยขอโทษที่นอกใจเธอ...
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น... อิโนะก็ต้องประสบพบเจอกับความทรมานใจในรูปแบบต่างๆที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเธอทนอยู่ได้อย่างไร หลายครั้งนักที่เธอมักจะได้รับคำขู่ประหลาดๆจากหญิงสาวนิรนามที่ไม่รู้ว่ามีกี่คน มันล้วนเป็นคำขู่ที่ขอให้เธอเลิกยุ่งกับซาอิ... และก็เป็นหลายครั้งอีกเช่นกันที่เธอมักถูกทำร้ายและถูกกลั่นแกล้งจากคนที่ไม่รู้จัก ต้องทนฟังคำพูดกระแนะกระแหนที่ว่าเธอไปแย่งของของคนอื่นมา... แต่ตัวต้นเหตุอย่างเขาไม่ได้รู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเลยสักนิด
เขายังคงยิ้มให้เธอเสมอ...
และก็เพราะรอยยิ้มของเขาทำให้เธอยอมทน คิดว่ามันคงเป็นแค่อุปสรรคของความรักเท่านั้น เธอยอมกลายเป็นคนโง่ในสายตาของคนอื่นเพราะเธอเชื่อในความรักของเขา... แต่แล้ววันหนึ่งจู่ๆซาอิก็หายตัวไป ไม่มีการบอกให้รู้ล่วงหน้า ไม่มีคำลา ไม่มีจดหมายหรือหลักฐานใดๆเลยที่แสดงบอกเธอว่าเขาไปไหน จนกระทั่งเพื่อนของเขาคนหนึ่งบอกกับเธอหลังจากที่เธอวิ่งวุ่นตามหาเขาให้ควั่กมาทั้งวัน...
‘ซาอิไปเรียนต่อที่ MIT มันทำเรื่องเอาไว้ตั้งนานแล้ว นี่น้องไม่รู้เลยเหรอครับ?’
สุดท้ายเขาทิ้งเธอไปอย่างไม่ไยดี...
ไม่คิดด้วยซ้ำว่าเธอจะมีความรู้สึก...
ที่ผ่านมาเธอยอมทนไปเพื่ออะไร?
ความรักและความอดทนของเธอไม่มีความหมายสำหรับคนอย่างเขา...
ซาอิไม่เคยรู้สึกอะไรเลย...
เขาไม่ได้รัก...
ไม่ได้แคร์...
ทั้งหมดที่เขามีคือ...
ความว่างเปล่า...
รอยยิ้มของเขา...
คือละครฉากใหญ่ที่มีเธอเป็นผู้ชม!
เธอเจ็บ...
เจ็บที่ยอมทนกับความรักโง่งมอยู่เกือบปี... เจ็บที่เอาหัวใจไปทิ้งให้คนที่ไม่เคยเห็นค่าของมัน จนมาถึงตอนนี้... อิโนะก็ยังคิดไม่ออกว่าช่วงเวลานั้น...
เธอเป็นอะไรสำหรับเขากันแน่?
“ฝึกงานอยู่ที่ฝ่ายบัญชีเหรอครับ?” น้ำเสียงที่เป็นมิตรเอ่ยถามขึ้น อิโนะพยายามเช็ดๆน้ำตาที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกยามต้องเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสแสร้งของเขา... หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของเขาและเดินไปรอที่ลิฟต์ตัวอื่น ซาอิหัวเราะไล่หลังมาเบาๆ
เป็นเสียงหัวเราะที่เคยหลอกให้เธอหลงงมงาย...
“ใจร้ายจัง” เขาพูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ “ไม่ได้เจอกันมาตั้งนาน... ไม่คิดจะทักทายรุ่นพี่ร่วมสถาบันหน่อยเหรอครับ?”
“ฉัน...ฉันไม่มีเรื่องจะพูดกับคุณ!” อิโนะตอบเสียงกร้าวพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง... แต่ในน้ำเสียงนั้นยังคงเจือไปด้วยความเจ็บปวด...
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่เคยได้ยินคำขอโทษจากปากของเขาเลยสักคำ...
“ดุจังนะครับ” ซาอิพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะดูยิ้มแย้มแต่ดวงตากลับเฉยชาและว่างเปล่า... การได้เห็นหญิงสาวที่เขาเคยทิ้งมาเมื่อสามปีก่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เคียดแค้นแบบนั้น ถ้าถามว่าเขารู้สึกยังไงก็คงตอบได้ประโยคเดียวว่า ‘ไม่รู้สึกอะไรเลย’ ทุกอย่างยังคงว่างเปล่า...
มัน... ไร้ความรู้สึก...
หรือเขาควรแสดงสีหน้าอะไรสักอย่าง?
เธอต้องการให้เขาทำหน้าแบบไหนล่ะ?
ทำเป็นรู้สึกผิดหน่อยมั้ย?
หรือทำหน้าตาซื่อๆแบบที่เคยทำให้เธอหลงใหลเขาดี?
ซาอิคิดไม่ตก แต่สุดท้ายเขาก็ปั้นหน้าซื่อๆแล้วส่งยิ้มให้เธอจนได้ อิโนะมองใบหน้าและรอยยิ้มนั้นด้วยความขมขื่น...
เขาจะมาเยาะเย้ยเธอหรือ?
เยาะเย้ยให้กับความงี่เง่าของเธอเมื่อสามปีก่อน...
เยาะเย้ยเธอที่เคยบูชาความรักลวงๆของเขา...
ทุเรศสิ้นดี!
ติ๊ง!
เสียงสัญญาณดังขึ้นพร้อมกับไฟสีแดงกระพริบอยู่หน้าลิฟต์ตัวที่เธอรอ อิโนะไม่รอให้คนภายในลิฟต์ก้าวออกมาตามมารยาท เธอกลับเดินสวนเข้าไปแทบจะในทันที... เธอไม่อยากยืนอยู่ใกล้เขา ไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับเขา...
ไม่อยาก...
เป็นคนโง่อีกแล้ว...
.
.
.
นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ!
ซาสึเกะคิด... ตอนนี้เขากำลังอยู่ในอารมณ์หงุดหงิดอย่างที่สุดเมื่อสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ดูจะผิดแผนไปเสียหมด... ส่วนจุดที่มันผิดพลาดน่ะเหรอ?
ก็ผู้หญิงคนนั้นยังไงล่ะ!
หากเขารู้มาก่อนหน้านี้ว่าคนที่เลขาคนสนิทของตนหาให้จะเป็นผู้หญิงกลางคืนที่ทำยโสโอหังกล้าตบหน้าเขาล่ะก็ เขาก็คงปฏิเสธไปแบบไม่ต้องคิด... อย่าว่าแต่จะเอาเธอไปเล่นละครตบตาอิทาจิเพื่อหนีการแต่งงานเลย...เขาไม่มีทางอยู่ใกล้ผู้หญิงแบบนั้นได้เกินสิบนาทีหรอก
มันน่ารังเกียจเกินไป...
แต่ตอนนี้ซาสึเกะกลับไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจะยอมรับผู้หญิงคนนั้นมาเป็นแม่ของลูกและเป็น ‘เมียปลอมๆ’ ของตัวเอง เพราะเหตุผลที่เพื่อนสนิทเอามาตอกย้ำเขานั่นแหละ
‘ต้องไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น!’
‘แต่แกทำสัญญากับเขาไปแล้ว’
‘ก็ยกเลิกไปสิ! เงินสิบล้านนั้นฉันไม่เอาก็ได้ แต่ฉันไม่อยากเห็นหน้าแม่นั่นอีกแม้แต่วินาทีเดียว!’
‘โอเค ฉันจะไม่พูดถึงเรื่องสัญญาก็ได้ แต่แกจะเอาไงล่ะ พรุ่งนี้พี่อิทาจิก็จะพาแกไปบ้านฮิวงะแล้ว ถ้าเกิดมีการเจรจาเรื่องการแต่งงานจริงๆ...ฉันมั่นใจว่าคนอย่างอิทาจิสามารถทำให้แกยอมแต่งงานได้โดยไม่กล้าปฏิเสธซักแอะ’
‘ก็หาผ้หญิงคนใหม่มาสิ คนแบบยัยนั่นที่เห็นแก่เงินน่ะมีเยอะถมเถไป!’
‘อย่าดูถูกผู้หญิงให้มากนักจะดีกว่า... จริงอยู่ที่คนอยากทำรับสมอ้างเป็นเมียแกและเป็นแม่ให้ลูกแกน่ะมีเยอะแยะ แต่แกไม่มีทางจับเธอทำสัญญาผูกมัดแบบนี้ได้ทันเวลาแน่ และฉันก็คงไม่ต้องบอกนะว่าถ้าแกไม่ใช้สัญญาบังคับเธอไว้แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับแกและอาณาจักรการเงินของแก’
‘...’
‘คิดดูดีๆ... ถ้าแกอยากจะแต่งงานกับคุณหนูบ้านฮิวงะและใช้ชีวิตที่เหลือติกแหง็กอยู่กับผู้หญิงไปจนแก่ตายก็เอาสิ ฉันรับรองเลยว่าถ้าแกแต่งแล้วแกไม่มีสิทธิ์ได้หย่าแน่... ตราบใดที่พี่อิทาจิยังมีชีวิตอยู่น่ะนะ’
ติดแหง็กอยู่กับผู้หญิงจนแก่ตาย...
เหอะ! ไม่มีทาง...
และนั่นก็เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ซาสึเกะยังไม่เฉดหัวคนที่กำลังยึดโซฟาของเขาไปเป็นที่นอนออกไปจากบ้าน ตอนนี้นอกจากจะให้เธอมาทำหน้าที่อุ้มบุญให้เขาแล้วเขาจำเป็นต้องให้เธอมาเล่นบทเป็นคนรักของเขาด้วย อย่างน้อยก็ขอให้เล่นไปจนกว่าอิทาจิจะยกเลิกแผนการจับคู่นั่นแหละ ถ้าลงทุนขนาดนี้แล้วสุดท้ายก็ต้องไปแต่งงานมันก็เท่ากับว่าทุกอย่างที่ทำมาสูญเปล่า...
จ้างมาแล้วทั้งทีก็ต้องเอาให้คุ้ม!
ไหนๆก็จะมาเป็นแม่ของลูกแล้วก็เล่นบทเมียปลอมๆไปเลยแล้วกัน
ร่างสูงก้มมองดูนาฬิกาที่ข้อมือแล้วก็ต้องชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด...
บ่ายสามโมง...
เป็นเวลาบ่ายสามโมงแล้วแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังไม่ตื่น
จะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน...
สงสัยคงต้องปลุก...
“จะนอนกินบ้านกินเมืองไปจนถึงเมื่อไหร่!”
เสียงตะคอกกึ่งขู่ที่ยังคงเต็มไปด้วยอำนาจทำให้คนที่กำลังนอนหลับอยู่สะดุ้งตัวตื่นขึ้น ดวงตาสีมรกตสะลืมสะลือเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกกว้างเมื่อมันสบเข้ากับดวงตาสีรัตติกาลที่เต็มไปด้วยความชิงชังของเขา ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เธอสั่นสะท้านไปทั้งร่าง...
เขาจะทำอะไรเธออีก...
“เลิกทำสำออยและก็ลุกขึ้นมาฟังสิ่งที่ฉันจะบอกซักที!”
โดยไม่ต้องรอให้เขาย้ำเป็นรอบที่สาม ซากุระกระเด้งตัวลุกขึ้นจากโซฟาแทบจะในทันที ร่างบางตัวสั่นน้อยๆเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาทำกับเธอเมื่อเช้า ความรู้สึกชื้นๆที่เสื้อเป็นหลักฐานอย่างดี...
เขาเป็นคนโหดร้าย...
“ยะ...อย่าเข้ามานะ...” ซากุระพูดเสียงสั่นพร้อมกับเบียดตัวแนบชิดไปกับโซฟาอย่างหวาดกลัว ร่างสูงได้แต่ส่งเสียง ‘หึ’ ในลำคออย่างนึกสมเพชกับท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออก
ทำท่าทางอย่างกับว่าเขาอยากเข้าไปแตะตัวเจ้าหล่อนเสียเต็มประดา!
“เลิกทำสะดีดสะดิ้งแบบนั้นได้แล้ว ฉันเองก็ไม่ได้อยากเข้าไปใกล้ของสกปรกอย่างเธอนักหรอก!”
แม้ว่าเขาจะพูดออกมาแบบนั้นแต่สายตาที่แสดงออกถึงความเกลียดชังกับท่าทางร้ายกาจและดูไม่เป็นมิตรนั้นก็ยังคงทำให้เธอหวาดระแวงอยู่ดี ร่างบางกอดตัวเองไว้แน่น น้ำตาไหลพรากอย่างน่าสงสาร...
หากแต่คนมองกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น...
“อ้อ และก็ไม่ต้องมาบีบน้ำตาโง่ๆต่อหน้าฉัน... มันไม่ได้ช่วยทำให้ฉันรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาเลยสักนิด...” ร่างสูงพูดพร้อมกับมองดูเธออย่างเหยียดๆ
ผู้หญิงกับน้ำตาเป็นของคู่กัน...
มันไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงความเสียใจแต่มีไว้หลอกให้ผู้ชายงี่เง่าไปติดกับ...
เป็นหนึ่งในมารยาที่เขาเกลียดที่สุด!
“คุณมันบ้า...” เธอต่อว่าเขาแต่ไม่ดังนัก ริมฝีปากบางสั่นระริก...ใบหน้าของเธอซีดเผือดเหมือนคนป่วย “หยาบคายที่สุด ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ”
คำด่าทอที่แม้ไม่รุนแรงนักแต่ก็ทำเอาคนที่เกลียดผู้หญิงเข้าไส้ถึงกับเดือดปุดๆในใจที่โดนผู้หญิงด่า แต่สุดท้ายเขาก็ยังระงับอารมณ์โกรธไว้ได้... ถ้าเผลอพุ่งเข้าไปตะปบเธอเหมือนเมื่อเช้าจนได้แผลมาอีกล่ะก็ ไอ้ครั้นจะเอาไปหลอกอิทาจิว่าเจ้าหล่อนเป็นเมียรักหรือก็จะกลายเป็นเอาความป่าเถื่อนของตัวเองไปอวดแทน ซาสึเกะผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สนใจสายตาหวาดระแวงและอาการกลัวจนตัวสั่นของอีกฝ่าย...
แต่มันก็ดูสำออยจนน่าสมเพช!
“หุบปากเน่าๆของเธอไปเถอะ เธอไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อว่าอะไรฉันได้” ซาสึเกะพูดเสียงเย็น “ผู้หญิงต่ำๆแบบเธอที่ขายตัวเองมาให้ฉันแล้วมีหน้าที่แค่รับฟังและทำตามคำสั่งของฉันเท่านั้น”
ประโยคแค่ไม่กี่ประโยคของซาสึเกะทำให้คนที่กำลังบอบช้ำทางกายและใจอย่างหนักถึงกับหยุดร้องไห้... ซากุระเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ยืนกอดอกมองดูเธออย่างเกลียดชัง... ดวงตาสีมรกตเต็มไปด้วยความโกรธ มือเล็กทั้งสองข้างกำแน่น... เธอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดอย่างแค้นเคือง...
เธอไปทำอะไรให้เขานักหนา...
ทำไมเขาต้องทำร้ายเธอขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง...
ซาสึเกะมองสายตาที่แข็งกร้าวของอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบสายตาแบบนั้น... มันเหมือนว่าเธอกำลังต่อว่าเขาด้วยคำพูดที่ไร้เสียง... ซาสึเกะเมินสายตานั้นเพราะไม่รู้ว่าจะใส่ใจให้มันได้อะไรขึ้นมา เขาคงเกลียดเธอมากกว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ...
“ก่อนที่เธอจะเริ่มงานของเธอ...” เขาพูดเสียงเรียบ ไม่มองหน้าคู่สนทนาที่กำลังเห่อแดงกึ่งโกรธกึ่งอายด้วยเข้าใจถึงความหมายของ ‘งาน’ ที่เขาว่า
“...เรามีเรื่องต้องตกลงกัน”
มาสารภาพบาปT^T ขอโทษที่ไรท์หายหัวไปนานนนนนน แง้T^T คือไรท์พยาย๊ามพยายามแต่งแล้วนะ แต่มันก็ออกมาไม่ดีไม่ถูกใจไม่โอเคซักที(คือตอนนี้ก็ไม่คิดว่ามันจะโอเคนะ แต่ถูๆไถไปก่อนได้ม้าT^T) ยอมรับเลยค่ะว่าเกิดอาการ ‘ตัน’ มันไม่ใช่ที่ว่าหาเรื่องไปไม่ออกนะ แต่มันอึนๆมึนๆบอกไม่ถูก -^- เอาเป็นว่ากราบขอโทษเหล่ารีดเดอร์ทุกคนนะคะ เห็นทุกคนรอฟิคแล้วก็เจ็บปวดแปลบๆในใจอย่างบอกไม่ถูก กระซิกๆT^T ถ้างอนไรท์ก็อย่างอนนานน้า>.<
คาแร็คเตอร์ของซาอิในตอนนี้มันออกจะดูไม่ค่อยชัด (หรือมันชัด-0-?) แต่เดี๋ยวนานๆไปก็จะเข้าใจมันเอง ฮ่าๆๆ บทนี้ก็เน้นหนักไปที่คู่ของอิโนะหน่อยเนาะ ส่วนอิเกะก็... เฮ้อ ปล่อยๆมันไปเถอะ
ความคิดเห็น