คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER 6 : พันธสัญญา
บทที่ 6 พันธสัญญา
“ผมเป็นตัวแทน...”
“เอาแต่เนื้อ น้ำไม่ต้อง!” เสียงตวาดของคู่สนทนาทำเอาจูโกะผงะไปเล็กน้อย ชายหนุ่มปรับสีหน้าให้เรียบสนิทตามเดิม เขาไม่คิดว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อจึงส่งแบบร่างสัญญาที่เพิ่งได้มาจากซาโซริให้อีกฝ่าย ฮิโตมิคว้ามาเปิดอ่านอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีดำสนิทเบิกกว้างเมื่อเห็นเนื้อความที่อยู่ข้างใน
“จ้างอุ้มท้อง!!!” เธอพูดออกมาเสียงดัง ยังดีที่จูโกะรอบคอบพอจึงพาเธอมาเจรจาที่บ้านของเธอเอง เขาเกรงว่าเสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความโลภของอีกฝ่ายจะทำให้คนอื่นแตกตื่นและธนาคารพลอยเสียชื่อไปด้วย
“จ่ายมัดจำก่อนสิบล้านพร้อมยกหนี้ให้ทั้งหมด ถ้าคลอดแล้วเพิ่มอีกสิบ! คุ้มอะไรอย่างนี้!” ฮิโตมิว่า เธอดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อเห็นช่องทางได้เงินมหาศาลที่แสนง่ายดายขนาดนี้ ไม่ต้องนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งก็ได้มาฟรีๆ แค่ไปอุ้มท้องให้เขาก็ได้เงิน... สาวใหญ่ยิ้มแก้มปริ กะอีแค่อุ้มท้อง...ลูกในไส้คนเดียวมีค่าตั้งยี่สิบล้าน แบบนี้ใครไม่เอาก็โง่เต็มที
“ฉันตกลง! ตกลงๆๆ” เธอว่าก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นสัญญาโดยไม่อ่านอีกสองสามแผ่นที่เหลือด้วยซ้ำ จูโกะมองปนทึ่งเล็กน้อย
เธอไม่ถามด้วยซ้ำว่าใครคือพ่อของเด็ก...
ความโลภทำให้คนทำได้เพียงนี้เชียวหรือ?
“เงินจะได้เมื่อไหร่? ฉันจะได้ออกไปจากบ้านเส็งเคร็ง ลาออกจากงานเฮงซวยนั่นซักที” เธอถามพร้อมกับบ่น ก่อนจะเหลียวมองรอบๆบ้านอย่างนึกรังเกียจ บ้านเก่าๆโทรมๆแบบนี้เธอไม่อยากอยู่ให้มันขายหน้าหรอก แต่เพราะไม่มีเงินมากมายนักจึงไปซื้อหรือเช่าอยู่ที่อื่นไม่ได้... แต่ตอนนี้เธอมีเงินแล้ว... มีเงินแล้วใครมันจะไปอยู่ ไอ้บ้านเล็กเท่ารูหนูแบบนี้อยู่ไปก็หมดราศีให้คนอื่นเขาดูถูก
“ผมจะเอาเช็คมาให้พรุ่งนี้ครับ...” จูโกะว่าหลังจากเก็บเอกสารเรียบร้อยแล้ว
“เช็ค? ไม่เอา! ฉันขอเป็นเงินสด! ถ้าเช็คเด้งฉันก็เสียฟรีน่ะสิ” เธอพูดแล้วทำเสียงขึ้นจมูก ดวงตายังคงเต็มไปด้วยความโลภสุดหยั่ง จูโกะนึกดูแคลนในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ครับ เงินสดก็ได้ ผมจะเบิกจากธนาคารมาให้คุณพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงตรง พอรับเงินเรียบร้อยแล้วขอความกรุณาให้คุณปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดนะครับ”
“ข้อตกลงอะไร?” เธอถามพลางขมวดคิ้วสงสัย จูโกะยิ้มเย็น... มัวแต่ห่วงเรื่องเงินจนไม่ทันอ่านข้อสัญญาดีๆ ผู้หญิงคนนี้ช่างมีคุณสมบัติตรงตามที่ซาสึเกะต้องการจริงๆ...
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเลือกเธอ...
“ผมคิดว่าคุณคงจะรีบร้อนไปจนไม่ทันอ่าน...” จูโกะพูด เขาหยิบสัญญาออกมาอีกครั้งแต่ไม่ได้ส่งให้เธอ ชายหนุ่มอ่านมันด้วยตัวเอง
“ในสัญญา...คนที่จะทำหน้าที่เป็นแม่อุ้มบุญคือคุณ ‘ฮารุโนะ ซากุระ’ ผู้สืบสันดานโดยตรงของคุณฮารุโนะ คิซาชิ ส่วนคุณฮารุโนะ ฮิโตมิ คุณมีหน้าที่เป็นผู้รับรองว่าเธอจะทำตามสัญญาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆครับ” หลังจากฟังที่จูโกะอธิบายจบ ฮิโตมิก็นั่งกระพริบตาปริบๆเหมือนคนโง่เง่า เธอค่อยๆทำความเข้าใจประโยคที่จูโกะพูดทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน
“หมายความว่าคนที่ต้องไปอุ้มท้อง...คือยัยเด็กนั่น?” เธอเค้นคำพูดออกมาหลังจากทึ่งอยู่นานสองนาน
“ครับ” จูโกะตอบพร้อมกับยิ้ม วูบหนึ่งที่เขารู้สึกเศร้าสลดแทนหญิงสาวผู้อาภัพคนนั้นนัก แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาตีสีหน้าเรียบเหมือนเดิม
“เอ๊ะฉันงง แล้วแบบนี้ใครจะเป็นคนได้เงินล่ะ” ฮิโตมิวกกลับเข้ามาที่เรื่องเงิน เธอไม่ได้แยแสเลยสักนิดว่าลูกเลี้ยงของเธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญายังไง
“คุณจะเป็นคนได้รับเงินส่วนแรกครับ...” จูโกะอธิบาย เขาต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดเนื้อความในส่วนที่คนตรงหน้าไม่ได้อ่านให้เธอฟังอีกหน “ส่วนเงินอีกสิบล้านในส่วนหลังคุณฮารุโนะ ซากุระจะเป็นคนได้ไป”
“ได้ไงกัน!” เธอแหว “ถ้าคนที่ตั้งท้องจะเป็นคนได้เงินส่วนหลังงั้นก็ให้ฉันทำแทนสิ จะให้ยกเงินตั้งขนาดนั้นให้ยัยเด็กนั่นฉันไม่ยอมหรอก”
“คุณเซ็นสัญญาไปแล้วครับ... ในสัญญาคุณซากุระจะเป็นผู้ทำหน้าที่นี้ ส่วนคุณ...คุณแค่ยินยอมและรับรองว่าเธอจะทำตามสัญญาก็เท่านั้น” จูโกะอธิบายด้วยเสียงที่เรียบเฉย ฮิโตได้แต่ทำเสียงฮึดฮัดอย่างขัดใจ แต่สักพักเธอก็หันมาถามเขาอีก
“แล้วไอ้ข้อตกลงอะไรที่ว่ามันอะไรบ้าง ที่คุณเพิ่งพูดถึงเมื่อกี้น่ะ”
“อ้อ” เลขาหนุ่มว่าก่อนจะพลิกกระดาษไปอ่านสัญญาแผ่นที่สอง “วันพรุ่งนี้คุณต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น ห้ามอยู่ในบ้านหลังนี้และห้ามกลับมาเด็ดขาด...”
“ฉันทำแน่ล่ะ ถ้ามีเงินฉันก็ไม่อยากอยู่นักหรอก ไอ้บ้านเส็งเคร็งนี่น่ะ”
“ครับ... คุณต้องห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ปิดปากให้สนิท... ถ้าคุณพลั้งเผลอแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้ ทางเราจะยึดเงินคืนทั้งหมดและแจ้งความจับคุณในข้อหาละเมิดสัญญา” ชายหนุ่มว่า รู้สึกกระดากปากนิดๆที่ต้องยกกฎหมายขึ้นมาอ้างทั้งที่สัญญาที่ตนถืออยู่นั้นดูจะฝ่าฝืนกฎหมายไปหลายมาตรา
“ตกลง ฉันจะเหยียบให้มิดไม่ให้แม้แต่มดแมลงรู้เลยล่ะ แล้วมีอะไรอีกมั้ย?” เธอกระชากเสียงถาม ดวงตายังคงแฝงไปด้วยความไม่พอใจนิดๆ อาจเป็นเพราะชวดเงินสิบล้านไป
“ข้อสุดท้ายแล้วครับ ในวันพรุ่งนี้คุณจะต้องทำให้คุณฮารุโนะ ซากุระยอมเซ็นสัญญาตกลงกับทางเราให้ได้ ถ้าเธอไม่ยอมเซ็นผมก็จะถือว่าเป็นโมฆะไป คุณจะไม่ได้เงิน หนี้จะยังคงอยู่เหมือนเดิม”
“ฮะ!!!” ฮิโตมิร้องเสียงหลงเมื่อนึกภาพเงินสิบล้านลอยไปและมีภาพหนี้กองโตเข้ามาแทน
แค่คิดก็ขนหัวลุก...
“ได้! ฉันรับปากว่าจะทำให้นังเด็กนั่นเซ็นสัญญา ต่อให้ต้องตัดมือมันมาเซ็นฉันก็จะทำ!” เธอพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะ คิดดีใจอยู่หน่อยที่ตอนนั้นซากุระปฏิเสธไม่ยอมไปเป็นเมียน้อยเสี่ย มิฉะนั้นหรือวันนี้จะมีคนมาขอให้ไปเป็นแม่อุ้มบุญให้ลูกของเขา เธอว่าแล้วก็เพิ่งฉุกคิดได้...
เศรษฐีใจป้ำที่ยอมทุ่มเงินเป็นสิบๆล้านนั่นมันใครกัน?
“นี่คุณตัวแทน... ฉันขอถามอะไรหน่อย” ฮิโตมิเรียกจูโกะที่กำลังเก็บกระเป๋าเอกสาร ชายหนุ่มหันมองคนเรียกก่อนจะพูด
“อะไรหรือครับ?”
“ใครเป็นคนจ้างให้ยัยซากุระไปอุ้มท้องให้กัน...”
พอได้ยินคนถามถามมาอย่างนั้นจูโกะก็ได้แต่ยิ้มเย็นๆตอบ ฮิโตมิชักสีหน้าเพราะรอยยิ้มของชายหนุ่มช่างเหมือนรอยยิ้มเย้ยหยันเสียจริง หล่อนไม่ชอบมันเลย ให้ตายสิ!
“มันเป็นความลับน่ะครับ และผมจะยินดีมากถ้าคุณไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเขาคนนั้น” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จะว่ารื่นหูก็ไม่ใช่ เย็นชาก็ไม่เชิง ฮิโตมิพยักหน้าเอออออย่างเสียไม่ได้ ไม่อยากให้รู้ก็ไม่ต้องรู้ มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเธออยู่แล้วเพราะเธอไม่ใช่คนอุ้มท้อง... จะหนุ่มจะแก่หรือหน้าตาอุบาทว์ทุเรศยังไงนั่นมันก็คือสิ่งที่ลูกเลี้ยงของเธอต้องเจอมิใช่เธอเสียหน่อย... คิดได้ดังนั้นแม่เลี้ยงวัยกลางคนก็ยิ้ม
สมน้ำหน้ามันจริงๆ!
ผยองดีนักสุดท้ายก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากที่เธอบอก...
ขายร่างกายเพื่อใช้หนี้...
จูโกะมองภาพคนที่กำลังยิ้มร้ายกาจแล้วส่ายหน้าเบาๆ สายตาที่มุ่งร้ายนั่นมันอะไรกัน? ดูเกลียดชังและรุนแรงยิ่งกว่าสายตาของซาสึเกะเสียอีก
ผู้หญิงคนนี้อันตรายกว่าที่คิด...
เขาต้องระวัง...
“งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยลาแล้วเดินออกไปพร้อมหอบหิ้วกระเป๋าเอกสารไปด้วย เขาไม่ฟังด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะลาเขาตอบหรือไม่ เขาไม่อยากอยู่เผชิญหน้ากับผู้หญิงหน้าเงินคนนั้นต่ออีกแม้สักวินาทีเดียว
มันน่ารังเกียจสิ้นดี!
.
.
.
“ทุกอย่างจะพร้อมในวันพรุ่งนี้ครับ”
“ถือว่าทันฉิวเฉียด” เสียงตอบรับที่เต็มไปด้วยอำนาจเอ่ย
“เมื่อวานพี่มาเปรยๆกับฉันว่าจะพาไปพบผู้นำบ้านฮิวงะ...เหอะ! พาไปหาคู่ชัดๆ” ซาสึเกะอดค่อนขอดพี่ชายคนเดียวของตัวเองไม่ได้ แม้จะดูเหมือนไม่บังคับแต่สายตาของอิทาจิเมื่อคืนมันบ่งบอกได้ชัดเจนมาก
‘ไม่ไปแกตาย...’
นั่นเป็นประโยคที่ซาสึเกะอ่านได้จากสายตาของอิทาจิ แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาไม่ได้ประดับไปด้วยความเศร้าและแห้งเฉาเหมือนตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มันกำลังเปล่งประกายระยิบระยับประกาศชัยชนะไปทั่วเสียจนคนมองยังแสบตา
“แล้วจะพาตัวผู้หญิงคนนั้นมาได้วันพรุ่งนี้เลยไหม” ซาสึเกะเงยหน้าขึ้นถามเลขาที่ยืนทำหน้าเคร่งอยู่
“คิดว่าได้ครับ”
“ ‘คิดว่า’ เหรอ? ฉันไม่อยากได้ยินอะไรที่ไม่แน่นอนแบบนั้น พรุ่งนี้ ‘ต้องได้’!” ซาสึเกะย้ำ ต้องไม่มีอะไรผิดพลาดในแผนการของเขาอย่างเด็ดขาด... ถ้าขืนส่งเธอมาช้ากว่านี้แค่วันเดียว เขาอาจจะถูกมัดมือชกให้แต่งงานกับบุตรีเพียงคนเดียวของบ้านฮิวงะก็ได้...
ผู้หญิงเพียงคนเดียวนอกจากแม่ที่เขายกให้อยู่สูงกว่าผู้หญิงคนอื่น...
ฮิวงะ ฮินาตะ!
อันที่จริงหากถูกสถานการณ์บีบบังคับมากกว่านี้และเขาไม่ได้ไอเดียเจ๋งๆจากซาโซริมาล่ะก็ ฮิวงะ ฮินาตะ คงเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาคิดถึง เธอเป็นผู้หญิงที่จัดได้ว่าสวยจนเขายังยอมรับ เรียบร้อยและอ่อนหวานสมเป็นกุลสตรีทุกอย่าง ติดแต่ว่าดูบอบบางอยู่เสียหน่อย ซาสึเกะคิดว่าหากตนไม่เป็นโรคเกลียดผู้หญิงจนเข้ากระดูกดำแบบนี้เขาคงจะไปจีบเธอและดองตระกูลฮิวงะกับอุจิวะเข้าด้วยกันเป็นแน่
แต่ก็อย่างว่า...
นั่นมันเป็นไปไม่ได้...
ต่อให้ดีกว่าผู้หญิงธรรมดาแค่ไหนเธอก็ยังเป็นผู้หญิง...
ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจสำหรับเขาอยู่ดี...
“ครับ ผมจะพาเธอมาพรุ่งนี้ให้ได้” จูโกะรับปากอย่างลำบากใจ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซากุระจะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรกับสิ่งที่เธอจะต้องทำตามสัญญาที่แม่เลี้ยงของเธอเพิ่งเซ็นไป
“ดี! รู้แบบนี้ฉันค่อยสบายใจหน่อย ค่าใช้จ่ายที่นายขอมาฉันบอกให้คนไปจัดการแล้ว พรุ่งนี้ก็มาเอาที่ธนาคารได้เลย” ซาสึเกะกำลังพูดถึงเรื่องเงินสิบล้านที่เขาตกลงไว้กับฮิโตมิ เจ้าของดวงตาสีรัตติกาลยิ้มเย้ยหยันกับความเห็นแก่เงินเห็นแก่ได้ของพวกผู้หญิงชั่นต่ำ... คิดแล้วก็นึกสงสารบรรพบุรุษอยู่เสียหน่อยที่ทายาทรุ่นต่อไปจะต้องมีเลือดสกปรกของผู้หญิงคนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร... พี่ชายของเขาแค่อยากได้ลูก ไม่ได้บอกว่าอยากได้ลูกผู้ดีเอาไว้เลี้ยงเสียหน่อย เพราะฉะนั้นจะเกิดจากของสูงของต่ำมันก็ลูกเหมือนกัน พี่ชายของเขาไม่มีสิทธิ์มาว่าอะไรเขาได้
“ถึงฉันจะไม่ค่อยสนใจแต่ก็อยากรู้หน่อย ผู้หญิงคนที่นายหามานี่เป็นคนยังไง” ซาสึเกะเลียบเคียงถาม ถ้าเผื่อว่าแย่จนเกินรับได้เขาจะได้ทำใจไว้แต่เนิ่นๆหรือไม่ก็เฉดหัวทิ้งไปพอผ่านช่วงวิกฤติในวันมะรืนนี้
“สวยครับ เรียบร้อย ถ่อมตน แต่เธอออกจะเป็นคนกล้าๆอยู่เสียหน่อย” จูโกะบอกสรรพคุณแม่อุ้มบุญให้เขาฟัง ซาสึเกะชักสีหน้าคล้ายจะเย้ยหยัน
“อะไร? สาธยายมาแต่ข้อดี ไอ้ข้อแย่ๆแบบที่เห็นแก่เงินจนต้องมารับหน้าที่อุ้มท้องให้ลูกชาวบ้านนี่ไม่มีเหรอ”
“ผมไม่รู้จะบอกกับคุณยังไงดีครับคุณซาสึเกะ... เอาเป็นว่าเธอดีกว่าที่คุณจินตนาการเอาไว้ก็แล้วกัน”
“เหอะ! ผู้หญิงในจินตนาการของฉันมันก็สกปรกดำมืดเห็นแก่เงินเหมือนกันหมดนั่นแหละ” เขาพูดพร้อมกับแค่นหัวเราะ แววตาเดียดฉันท์ปรากฏขึ้นมาในบัดดล
“และนายบอกผู้หญิงคนนั้นรึเปล่าว่าไอ้วิธีจะทำลูกน่ะฉันจะใช้วิธีผสมเทียม ยัยนั่นจะไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตัวฉันแม้แต่ปลายเล็บ”
“ยังไม่ได้บอกให้ทราบครับ” ชายหนุ่มตอบตามตรง อันที่จริงเขาคิดว่าหญิงสาวยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเธอจะต้องมาทำหน้าที่อุ้มลูกให้กับซาสึเกะ
“งั้นก็ไปบอกซะว่าอย่าสะเออะเสนอหน้ามาเข้าใกล้ฉัน ฉันไม่ใช่สุภาพบุรุษดีไม่ดีจะเผลอฆ่าเอาได้ง่ายๆ”
“ครับ ผมจะกำชับเธอให้” จูโกะรับคำทั้งที่หน้าซีดเหงื่อตก และแม้ว่าจะเก็บอาการกังวลใจไว้มิดแค่ไหนมันก็มิอาจรอดพ้นสายตาที่แสนเฉียบคมของราชาไปได้ ซาสึเกะมองเลขาของตนพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ฉันมีอีกคำถามหนึ่ง...” จู่ๆซาสึเกะก็พูดขึ้น คนที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาเงยหน้าขึ้นมอง จูโกะหวั่นๆกับสายตาจับผิดของเจ้านายแต่เจ้าตัวก็ยังคงรักษาสีหน้าได้ดีสมกับที่เป็นเลขาหน้าตายของประธานอุจิวะ
“ครับ?”
“ผู้หญิงคนนั้น...” ซาสึเกะเว้นจังหวะหยุดไปเพื่อให้คนถูกถามกดดันยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าปกติมันจะใช้ไม่ค่อยได้ผลกับคนที่พบกับแรงกดดันจากเขาตลอดอย่างจูโกะ แต่ก็นับว่าครั้งนี้ผิดปกติ จูโกะมีปฏิกิริยาตอบสนองมากกว่าที่ควรจะเป็น... ซาสึเกะยิ้มเย็นเยือกก่อนจะพูดออกมา
“...เป็นอะไรกับนายกันแน่”
.
.
.
ตลอดช่วงบ่ายซากุระใช้เวลาไปกับการวิ่งวุ่นถ่ายเอกสาร พิสูจน์อักษร เดินเอางานไปส่งต่อให้แผนกอื่น หรือแม้แต่ซื้อกาแฟและของว่างยามบ่ายตามที่ถูกไหว้วานมา หญิงสาวนั่งลงที่เก้าอี้อย่างเงียบเชียบหลังจากที่เธอเสิร์ฟกาแฟให้พนักงานรุ่นพี่ที่อยู่โต๊ะเยื้องๆกัน
ตอนนี้เธอกลายเป็นเบ๊จิปาถะไปเสียแล้ว...
“เอ่อ...” เสียงทุ้มๆของใครคนหนึ่งเอ่ย ซากุระไม่แม้แต่จะหันไปมอง เธอก้มหน้าก้มตาตรวจคำถูกผิดในใบคำสั่งต่อไป หากแต่ในใจกลับนึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
จะมาแกล้งให้เธอดีใจเล่นอีกหรือ?
“คือผมไม่ได้ตั้งใจ” นารูโตะพูดเสียงแผ่วผ่านทางจอมอนิเตอร์ ร่างสูงทำหน้าสลดลงเมื่อคู่สนทนาทำเหมือนว่าเขาไม่มีตัวตน
“ซากุระ...”
ฟึ่บ!
ซากุระเอากองเอกสารวางทับไปที่จอมอนิเตอร์เพื่อตัดปัญหา... เธอไม่อยากมองเห็นเขา ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่อยากรับรู้ว่าเขากำลังมองเธออยู่จากจอนั้น...
เขาใจร้าย...
ทางด้านของคนถูกเมินถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เขาใช้เวลากว่าชั่วโมงในการขอโทษที่เขาไม่เข้าใจเหตุผลของเธอ แต่ก็นั่นล่ะ...มันล้มเหลว เธอไม่สนใจเขาเลยสักนิด ขนาดเดินสวนกันเธอยังทำแค่ทำความเคารพตามธรรมดาราวกับมนุษย์หุ่นยนต์ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ จากนั้นก็เดินเลยผ่านเขาไปราวกับว่าเขาเป็นอากาศธาตุ...
“เฮ้อ~ ฉันเป็นประธานนะ” ร่างสูงบ่นออกมาอย่างเซ็งๆ เป็นถึงประธานแต่ต้องตามง้องอนเด็กฝึกงาน รู้ถึงไหนคงจะอายถึงนั่น แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาเป็นคนผิด เป็นตัวต้นเหตุทั้งหมด... เขาควรจะห่างแล้วปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับพนักงานคนอื่นๆหรือ?
ทำแบบนั้นแล้วมันขัดๆใจยังไงไม่รู้...
นารูโตะค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคงไม่ได้รู้สึกอะไรต่อเด็กสาวคนนั้นมากไปกว่าคำว่า ‘ลูกน้อง’ ตามที่คนอื่นเข้าใจผิดแน่ๆ ที่เข้าไปหยอกไปแกล้งนั้นทำไปเพราะไร้สาระอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ เขาต้องการฝึกเธอให้ทำงานเป็นก็เท่านั้น... เหมือนกับที่บิดาของเธอเคยฝึกให้เขาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ใช่...
พ่อของซากุระ... ฮารุโนะ คิซาชิ เคยเป็นพี่เลี้ยงให้เขา...
นารูโตะยิ้มเมื่อนึกถึงวัยเด็กของตน ตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุสิบสองปีและเพิ่งจะเข้ามาเยี่ยมบริษัทเป็นครั้งแรกตามคำสั่งของผู้เป็นพ่อ แต่ด้วยกลัวว่าลูกชายที่ขึ้นชื่อว่าแสบสนิทของตนจะก่อปัญหา มินาโตะจึงได้ส่งหนึ่งในเลขามือดีของตน ฮารุโนะ คิซาชิ มาคอยตามประกบดูนารูโตะและช่วยสอนงานคร่าวๆที่เขาควรรู้ในฐานะของผู้สืบทอดบริษัทคนต่อไป...
สิบห้าปีก่อน...
“นี่ผมยอมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะครับคุณหนู”
ชายวัยยี่สิบปลายๆพูดอย่างอ่อนใจเมื่อเขาพา ‘คุณหนู’ ที่เลื่องชื่อในด้านความแสบมานั่งเล่นที่ดาดฟ้าทั้งๆที่เวลานี้เป็นเวลาที่เด็กชายควรจะไปศึกษางานที่ฝ่ายผลิต
“คุณลุงก็พูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วนะครับ แต่ก็เห็นพาผมมาทุกที” เด็กชายวัยสิบสองขวบตอบพร้อมกับหัวเราะ ดวงตาสีฟ้าสดใสเต็มไปด้วยความซุกซนแต่ก็แฝงไว้ซึ่งความเศร้าแปลกๆ
“เฮ้อ~ ก็ถ้าผมไม่พามาคุณหนูก็จะหาเรื่องพิเรนทร์ๆไปเล่นงานฝ่ายผลิตน่ะสิ”
“นั่นไง! คุณลุงพามาเพราะคุณกลัวผม ต่อให้มีครั้งหน้ายังไงคุณลุงก็ต้องยอมผมอีกอยู่ดี”
“ก็...เอ่อ...” คิซาชิไปต่อไม่เป็นเมื่อถูกลูกชายของท่านประธานใหญ่พูดดักคอ และก็เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวจึงชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาก่อน
“ผมอยู่ไม่นานหรอกครับ พอได้ไอเดียเจ๋งๆไปป่วนฝ่ายผลิตที่เขี้ยวลากดินเมื่อไหร่ผมสัญญาว่าจะเดินตามคุณลุงลงไปดูงานด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเลย!”
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องอย่างตกใจเมื่อเข้าใจจุดประสงค์ของการโดดงานของเด็กชาย “คุณหนูจะทำผมหัวขาดเอานะครับ อย่าได้คิดเล่นอะไรพิเรนทร์เชียว พวกฝ่ายผลิตน่ะมีแต่พวกที่ดุยิ่งกว่าเสือ ขืนไปแกล้งเขาแล้วท่านประธานเล่นงานผมไม่รู้ด้วยนะครับ”
“ช่างคุณพ่อปะไร!” เด็กชายพูดพร้อมกับทำหน้ามุ่ย “คุณพ่อสนใจแต่บริษัท สนใจแต่งานมากกว่าผมซะอีก”
“ฮ่าๆๆ นี่คุณหนูน้อยใจท่านประธานหรือครับ?”
“จะบ้าเหรอครับ! เป็นผู้ชายจะมาน้อยจงน้อยใจอะไร ผมดีใจซะอีกที่คุณพ่อไม่มายุ่งกับผมมาก ไม่งั้นผมคงไม่โด่งดังขนาดนี้หรอก” นารูโตะพูดพร้อมกับยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
“แหม่...ผมว่ามันไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีเท่าไหร่นะครับ” คิซาชิอดแซวไม่ได้และก็ได้สายตาขุ่นเขียวของนารูโตะเป็นการตอบแทน ชายหนุ่มหลุดหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเด็กชาย
ก็น่าจะรู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นตัวป่วน...
“น่าๆคุณหนู อย่างน้อยก็มีคนที่ชื่นชมบูชาคุณนะครับ” คิซาชิพูดอย่างอ่อนโยนเพื่อให้เด็กชายรู้สึกดีขึ้น และก็เป็นดังคาดเมื่อนารูโตะหันใบหน้าที่ฉายแววหล่อมาตั้งแต่เด็กมองมาทางเขา
“ชื่นชมผมเนี่ยนะ!?! มีใครบ้าขนาดนั้นเหรอครับ? ผมเห็นว่ามีแต่คนด่าสาปส่งผมทั้งนั้น” เสียงช่วงท้ายของนารูโตะช่างดูเศร้าสร้อยยิ่งนัก คิซาชิถอนหายใจเบาๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของการก่อกบฏและตั้งตนเป็นตัวป่วนของนารูโตะเล่า...
นารูโตะก็แค่เหงา...
อยากเรียกร้องความสนใจบ้าง...
“ลูกสาวผมเองนั่นแหละ ปีนี้ก็ได้หกขวบพอดี..” คิซาชิพูด ดวงตาสีฟ้าครามทอดมองออกไป
“คุณลุงมีลูกสาวหรือครับ?” นารูโตะหันมาถามอย่างแปลกใจ ใบหน้าที่บูดบึ้งนั่นหายไปแล้วเหลือเพียงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ครับ... กำลังซนเลยล่ะ เมื่อปีที่แล้วแม่แกเสียแกก็เลยกลายเป็นเด็กซึมเศร้าไป ไม่พูดไม่จางอแงไม่ยอมไปโรงเรียน เล่นเอาผมกลุ้มไปเลย...” คิซาชิยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าน่ารักน่าชังของลูกสาวตัวเอง
“แต่ตอนนี้แกยิ้มออกแล้วครับ... รู้มั้ยครับคุณหนูว่าเพราะอะไร?”
“...”
“เพราะคุณหนูยังไงล่ะครับ”
“!!!”
“ฮ่ะๆๆ จะหาว่าผมเอาคุณหนูไปนินทาลับหลังก็เถอะ แต่วีรกรรมแสบๆของคุณหนูน่ะผมเอาไปบ่นให้ลูกสาวฟังหมดนั่นแหละ ทีแรกแกก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับ แต่ไปๆมาๆกลายเป็นว่าแกบูชาคุณหนูไปเสียแล้ว...คุณหนูเป็นวีรบุรุษของแกเลยนะครับ” ชายหนุ่มตอบตามความจริงแล้วลอบมองปฏิกิริยาของเด็กชาย เขาพบว่าดวงตาที่เคยกักเก็บความเศร้าซึมไว้ข้างในเริ่มฉายแววดีใจออกมาทีละน้อย สุดท้ายนารูโตะก็ยิ้มออกมา
“สุดท้ายผมก็เป็นวีรบุรุษ...” นารูโตะพูดอวดๆ “ต่อให้เป็นวีรบุรุษของคนๆเดียวผมก็คือวีรบุรุษใช่ไหมครับ”
“แต่เป็นฮีโร่ของเด็กหกขวบนะครับ”
“ช่างสิ แค่รู้ว่ามีคนชอบผมซักคนผมก็มีแรงคึกแล้ว”
“คึก? คึกอะไรกันครับคุณหนู” คิซาชิถามพลางมองนารูโตะอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจ เขาชักสังหรณ์แปลกๆว่าตัวเองได้กระทำการผิดพลาดไปเสียแล้วที่เล่าให้นารูโตะฟัง
“อ้าว ผมเป็นวีรบุรุษนี่ครับ ก็ต้องคึกอยากทำงานในฐานะฮีโร่ของลูกสาวคุณลุงเป็นธรรมดา” นารูโตะพูดพร้อมกับยิ้มอวดฟันขาว คิซาชิชักใจคอไม่ดี...
“อย่าบอกนะครับว่า...”
“รออะไรกันล่ะครับคุณลุง ไปฝ่ายผลิตกันเถอะ ผมคิดแผนบอมบ์แผนกนั้นเอาไว้แล้ว คราวนี้แหละจะเอาให้แสบทรวงจนพูดกันไม่ออกเลยทีเดียว”
“เฮ้ย! ไม่ได้นะครับคุณหนู!”
“แต่ก่อนจะไปลุยผมขอถามอะไรสักอย่างนะครับ” นารูโตะหันมาถามแต่คนถูกถามกลับยืนตัวแข็งทื่อ... เขายังคงช็อคที่นารูโตะเล่นตีความจุดประสงค์ที่เขาเล่าเรื่องลูกสาวให้ฟังเสียผิดไปหมด
“ตอนนี้ผมกำลังเป็นวีรบุรุษของใครอยู่...”
คิซาชิที่ดูเหมือนจะได้สติหลังจากเผลอใจลอยไปชั่วขณะ ทันได้ยินคำถามของเด็กชายพอดี เขาเงยหน้าขึ้นมองลูกเจ้านายก่อนจะยิ้ม...
“ซากุระครับ...ลูกสาวของผม...เธอชื่อฮารุโนะ ซากุระ”
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความบ้าระห่ำของเขาในวัยเด็ก... ทุกๆวันนารูโตะจะต้องก่อวีรกรรมอะไรซักอย่าง หนักบ้างเบาบ้างเพื่อที่พี่เลี้ยงของเขาจะได้เอาไปเล่าถ่ายทอดให้เด็กหญิงตัวน้อยฟัง... มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวันของเขาเสียแล้ว แต่ก็ใช่ว่าเขาจะเอาแต่ก่อเรื่องเพียงอย่างเดียว นารูโตะตั้งใจศึกษาดูงานและมีความสามารถเทียบเท่าพนักงานระดับหัวหน้าตั้งแต่อายุเพียงสิบหกปี และหลังจากนั้นผู้เป็นพ่อก็ส่งเขาไปเรียนต่อทางด้านไอทีที่ต่างประเทศ... ชายหนุ่มไม่เคยมีโอกาสได้เจอเด็กผู้หญิงที่ศรัทธาเขาเป็นคนแรกด้วยซ้ำไป...
แปดปีต่อจากนั้นเขาได้ข่าวจากคนในบริษัทว่าฮารุโนะ คิซาชิเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนจนเสียชีวิต นารูโตะที่กำลังดูแลบริษัทสาขาที่ต่างประเทศรีบบินกลับมาโดยด่วน ในใจเขานึกห่วงคนเพียงคนเดียว...
ฮารุโนะ ซากุระ...
แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้พบเธอเพราะเมื่อเขากลับมาร่างของคิซาชิก็ถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มได้แต่ไปยืนเคารพที่หน้าป้ายหลุมศพของคิซาชิ... แต่คราวนี้เขาไม่ได้นิ่งดูดายเรื่องลูกสาวคนเดียวของอดีตพี่เลี้ยง นารูโตะกำชับให้คนตามหาเธอก่อนจะกลับไปทำงานต่อที่ต่างประเทศ ไม่นานหลังจากนั้นนักสืบที่เขาส่งไปสืบก็โทรไปรายงานว่าลูกสาวของคิซาชิกำลังเรียนปีหนึ่งที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มตัดสินใจติดต่อทางมหาวิทยาลัยเพื่อจองตัวเธอมาเป็นเด็กฝึกงานที่บริษัทของเขาตั้งแต่นั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ในปีนี้บริษัทที่ไม่เคยรับนักศึกษาฝึกงานมาก่อนกลับรับเข้ามาถึงสองคน...
เขากลัวเธอไม่มีเพื่อนจึงระบุชื่อเพื่อนของเธอเพิ่มเข้ามาอีกคน...
สามปีต่อจากนั้นนารูโตะกลับมารับตำแหน่งประธานบริษัทแทนพ่อของเขาที่เพิ่งอำลาตำแหน่งไปเพราะเซ็งจัด ชายหนุ่มนัดแนะกับฝ่ายบุคคลแล้วว่าเขาจะให้ฮารุโนะ ซากุระมาอยู่ฝ่ายบริหารในขณะที่เพื่อนของเธออยู่ฝ่ายบัญชี เหตุผลน่ะหรือ?
ก็แค่อยากสอนงาน...
แต่ถึงจะรู้ประวัติของเธอมามากแค่ไหน นารูโตะก็ยังไม่เคยเห็นหน้าของเธอเลยสักครั้ง นั่นทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ช็อคเมื่อเห็นนักศึกษาฝึกงานเพียงคนเดียวในชั้นบริหารเป็นคนๆเดียวกับที่เขาเจอเมื่อเช้า... วินาทีแรกที่ได้เห็นใบหน้าตื่นๆของเธอก็ทำให้เขาใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก... นารูโตะไม่อยากจะยอมรับว่าเขามีความรู้สึกพิเศษใดๆต่อหญิงสาว เขาอาจจะเป็นแบบนี้กับทุกคนก็ได้...
ความรัก...
เขาได้มันมามากพอจนไม่รู้ว่าอันไหนคือรักแท้อันไหนคือรักลวง...
เขาทำให้หัวใจของตัวเองพร้อมรับความรักจากทุกคน...
แต่ไม่ได้เตรียมให้มันมอบความรักให้ใคร...
เกือบห้าโมงเย็นแล้ว...
นารูโตะคิดในใจเมื่อมองดูนาฬิกาแขวนผนังเรือนใหญ่
เธอน่าจะกำลังเลิกงาน...
ไปง้อหน่อยดีกว่า...
ถ้าขืนงอนมากกว่านี้เดี๋ยวจะไม่ได้สอนอะไร...
ผิดความตั้งใจแย่...
นารูโตะคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพก่อนจะคว้าเสื้อสูทของตนขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้องไป
“เธอกำลังจะทำให้ฉันประสาทเสียนะ... ซากุระ...”
แฮร่! ตอนนี้ย้อนความหลังซะยาวเลย ฮ่ะๆ ตอนนี้เกะออกมาโชว์ตัวแล้ว เย่! สำหรับพวกสายSทั้งหลายก็เริ่มจะออกมาวาดลวดลายกันแล้วนะครัช รีดเดอร์คนไหนที่รอดูฉากโหดๆก็อีกไม่นานเกินรอค่ะ ตอนนี้หนูกุกำลังจะเดินเข้าปากอิเกะละ แอร๊ย!!! >.< ส่วนบักโตะ แต่งไปแต่งมากลายเป็นซึน... -^- ฮี่ๆ ปล. บอกตรงๆว่าแม่เลี้ยงหนูกุขนาดแต่งเองยังหมั่นไส้นางเอกเลย บร๊ะ!
ความคิดเห็น